วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554
Touch - Adachi Mitsuru
จุดพลุฉลอง ในที่สุด VBK ก็เข็นออกมาครบ การรอคอยแสนยาวนานของเราก็จบลงด้วย เรื่องนี้อ่านมาตั้งแต่สมัยประถม แต่ไม่เคยซื้อเก็บได้ครบชุดเลย แล้วก็ถูก VBK ทำเจ็บหลายที ลอยแพปกแข็ง เวอร์ชันนี้ก็ทำลุ้นอยู่นาน ตอนแรกเราเข็ดไม่กล้าซื้อนะ กะว่ารอจบแล้วยกแพ็ค แต่พอมันออกมาถึงเล่ม 8 ก็เริ่มคลายใจเห็นว่าคราวนี้มีลุ้น กลัวจะหมดหาไม่ได้ก็เลยต้องไปซื้อมาเก็บไว้ก่อน แต่พอหลังจากนั้น กว่าจะออกเล่มต่อมาแต่ละเล่มนี่ ทำเราเครียดมาก ชาตินี้ฉันจะได้เก็บครบมั้ยเนี่ย ในที่สุดก็สำเร็จจนได้ โพสต์นี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ขอเฮอย่างเดียว
เราอ่าน Touch ครั้งแรกตอนมันเป็นเล่มบางๆ ไม่มีลิขสิทธิ์ สมัยเล่มละ 10 บาทใช่มั้ย เป็นของพี่สาว ไม่ใช่ของตัวเอง การ์ตูนเก่าๆ ของพี่เรามีเรื่องสนุกเยอะมาก แต่เขาไม่เก็บสะสม โตมาก็หายไปหมด รับช่วงไม่ทัน บางเรื่องที่ดังๆ เอามาพิมพ์ใหม่ก็ยังโชคดีไปได้เก็บ แต่บางเรื่องมันก็ไม่เคยมีพิมพ์ซ้ำเลย อย่าง ไมมี่แองเจิล (อิงาราชิ ยูมิโกะ), หันมาทางนี้ซิเลิฟ (อาซากิริ ยู สมัยยังไม่เทิร์นดาร์ค), พลังรัก (ยามาโตะ วากิ) แล้วอีกตั้งหลายเรื่อง ฯลฯ พูดไปเรื่อยๆ ก็คงไล่ไม่หมด นึกถึงแล้วก็เสียดาย
เรื่อง Touch นี้เขาถือกันว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของอาดาจิ เราก็ชอบมาก แต่ที่สุดของอาดาจิ มิซึรุ สำหรับเรา ไม่ใช่ Touch แต่เป็น Rough ต่างหาก ทัชนี่เล่มหลังๆ มันยืดๆ ไป ความจริงตอนนี้เราเลิกราจากการเป็นแฟนผลงานของอาดาจิไปแล้วล่ะ หลังจากที่ซื้อเก็บทุกเรื่องที่มีชื่อนี้บนปก เพราะไม่ได้ชอบงานยุคหลังๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว ไม่รู้เขาเปลี่ยนหรือเราเปลี่ยน เราตามซื้อ H2 กับ Katsu! จนจบ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกอ่านสนุกเลย พอถึง Cross Game เราอ่านได้ครึ่งเรื่อง ก็ตัดสินใจว่า ไม่รู้จะยื้อความสัมพันธ์นี้ต่อไปทำไม บางทีมันก็คงต้องปล่อยวาง ปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการความทรงจำ ดีกว่าจะยิ่งเสียความรู้สึกกันต่อไปเปล่าๆ
แต่เมื่อวันนี้เรายก Touch ทั้งตั้ง 12 เล่มมาอ่าน ยังจำเนื้อเรื่องได้หมดเลย เพราะเคยอ่านมาไม่ต่ำกว่า 5 รอบแล้ว เอามาอ่านใหม่ตอนนี้ นอกจากความสนุกที่ได้จากเรื่อง ความรู้สึกตอนอ่านอีกครึ่งหนึ่งมันเป็นเรื่องการระลึกถึงความหลัง อ่านจบแล้วก็รู้สึกดี แบบที่โฆษณา Short Program ท้ายเล่มว่าไว้ "เก็บความสุขของวัยหนุ่มสาวไว้ให้คุณคิดถึง"
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554
The Foundling - Georgette Heyer
คะแนน : 7.5
กลับมาหา GH อีกที ตอนนี้ชักเลือกยากแล้ว เหลือแต่เรื่องที่ดูไม่เข้าทางเราเท่าไหร่ เขาบอกเล่มนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ ตรงที่ไม่เน้นโรแมนติกเลย และบทสำคัญตกอยู่กับตัวเอกฝ่ายชาย ไม่ใช่ฝ่ายหญิงเหมือนเรื่องอื่นๆ ดูเหมือนเป็นพระเอกเบต้าที่เราอาจจะชอบ เอาเล่มนี้แล้วกัน
จิลลี่ หรือ อดอลฟุส จิลเลสพี แวร์ เกิดมาพร้อมกับตำแหน่งดยุคแห่งเซล คนที่ 7 เป็นเด็กขี้โรค จึงถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม แบบริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม มาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต โดยผู้เป็นอาและบรรดาคนรับใช้ทั้งโขยง ตอนนี้จิลลี่อายุ 24 แล้ว แต่ทุกคนก็ยังทำกับว่าเขาเป็นลูกแหง่ สร้างความเบื่อหน่ายคับข้องใจให้เขาเป็นอย่างยิ่ง วันหนึ่งเมื่อลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งเกิดปัญหาถูกแบล็คเมล์ จิลลี่จึงขันอาสาไปจัดการปัญหาให้ โดยแอบหลบออกจากบ้านโดยไม่ให้ทุกคนรู้ แล้วก็ได้ผจญกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างมั่นใจในตนเอง
เล่มนี้ก็เป็นเรื่องราวอลเวงชวนหัวไปเรื่อยๆ ทั้งเล่ม ตลกบ้างไม่ตลกบ้าง เรื่องของ GH ไม่ได้สำคัญที่พล็อตอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ภาษาที่ใช้กับตัวละครที่มีเสน่ห์ สำนวนแบบที่บางทีอ่านแล้วต้องให้มันไปหมุนในสมองสองรอบก่อนถึงจะเข้าใจแล้วก็จะอมยิ้ม ไม่อธิบายความคิดความรู้สึกตัวละครตรงๆ แต่ใช้การแสดงให้เห็นมากกว่า ในส่วนตัวละคร จิลลี่ก็โอเค ดูท่าแหยแต่จริงๆ ก็ได้เรื่องได้ราว รับมือกับปัญหาได้หมด จริงๆ แอบรำคาญพวกตัวละครประกอบบางคนบ้างนิดหน่อย อย่างทอมกับเบลินดา แต่ก็ต้องพยายามเข้าใจ ถูกสร้างมาให้เป็นพวกโง่จนขำ แต่แอบกรี๊ดกิเดี้ยน ชอบคนนี้น่ะ เท่ดี เสียดายแฮเรียตมีบทน้อยมากเลย แต่โดยรวมๆ เล่มนี้ก็โอเคแหละ อ่านเพลินดีเหมือนกัน
กลับมาหา GH อีกที ตอนนี้ชักเลือกยากแล้ว เหลือแต่เรื่องที่ดูไม่เข้าทางเราเท่าไหร่ เขาบอกเล่มนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ ตรงที่ไม่เน้นโรแมนติกเลย และบทสำคัญตกอยู่กับตัวเอกฝ่ายชาย ไม่ใช่ฝ่ายหญิงเหมือนเรื่องอื่นๆ ดูเหมือนเป็นพระเอกเบต้าที่เราอาจจะชอบ เอาเล่มนี้แล้วกัน
จิลลี่ หรือ อดอลฟุส จิลเลสพี แวร์ เกิดมาพร้อมกับตำแหน่งดยุคแห่งเซล คนที่ 7 เป็นเด็กขี้โรค จึงถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม แบบริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม มาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต โดยผู้เป็นอาและบรรดาคนรับใช้ทั้งโขยง ตอนนี้จิลลี่อายุ 24 แล้ว แต่ทุกคนก็ยังทำกับว่าเขาเป็นลูกแหง่ สร้างความเบื่อหน่ายคับข้องใจให้เขาเป็นอย่างยิ่ง วันหนึ่งเมื่อลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งเกิดปัญหาถูกแบล็คเมล์ จิลลี่จึงขันอาสาไปจัดการปัญหาให้ โดยแอบหลบออกจากบ้านโดยไม่ให้ทุกคนรู้ แล้วก็ได้ผจญกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างมั่นใจในตนเอง
เล่มนี้ก็เป็นเรื่องราวอลเวงชวนหัวไปเรื่อยๆ ทั้งเล่ม ตลกบ้างไม่ตลกบ้าง เรื่องของ GH ไม่ได้สำคัญที่พล็อตอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ภาษาที่ใช้กับตัวละครที่มีเสน่ห์ สำนวนแบบที่บางทีอ่านแล้วต้องให้มันไปหมุนในสมองสองรอบก่อนถึงจะเข้าใจแล้วก็จะอมยิ้ม ไม่อธิบายความคิดความรู้สึกตัวละครตรงๆ แต่ใช้การแสดงให้เห็นมากกว่า ในส่วนตัวละคร จิลลี่ก็โอเค ดูท่าแหยแต่จริงๆ ก็ได้เรื่องได้ราว รับมือกับปัญหาได้หมด จริงๆ แอบรำคาญพวกตัวละครประกอบบางคนบ้างนิดหน่อย อย่างทอมกับเบลินดา แต่ก็ต้องพยายามเข้าใจ ถูกสร้างมาให้เป็นพวกโง่จนขำ แต่แอบกรี๊ดกิเดี้ยน ชอบคนนี้น่ะ เท่ดี เสียดายแฮเรียตมีบทน้อยมากเลย แต่โดยรวมๆ เล่มนี้ก็โอเคแหละ อ่านเพลินดีเหมือนกัน
วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554
Legend - Marie Lu
คะแนน : 7
นิยาย YA แนวดิสโทเปียอีกเรื่องหนึ่ง พล็อตเรื่องเหมือนจะน่าสนใจ และได้รีวิวจากสื่อต่างๆ ดี เห็นว่าถูกซื้อลิขสิทธิ์สร้างหนังไปแล้วด้วยตั้งแต่ก่อนวางแผง แต่ก็คงเหมือนที่เราเคยอ่านเจอจากเว็บของนักเขียนคนนึง ใครไม่รู้จำไม่ได้ เขาบอกว่า มันเป็นเรื่องการตลาดมากกว่า ซื้อขายออปชันกันถูกๆ เพราะฝ่ายนักเขียนกับสำนักพิมพ์ก็อยากขายเพื่อจะได้โปรโมทว่าถูกซื้อไปสร้างเป็นหนังแล้วนะ ฝ่ายสตูดิโอก็อยากซื้อลิขสิทธิ์มาแบบถูกๆ ก่อนตีพิมพ์ เหมือนซื้อล็อตเตอรี่เกิดฟลุกหนังสือดังขึ้นมาก็เหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง ทำกันเกร่อไปหมดแล้ว นิยายดีไม่ดีไม่สน อาจจะไม่ได้เอาไปสร้างเป็นหนังจริงก็ได้ เพราะฉะนั้นคนอ่านก็คงเชื่อคำโฆษณาง่ายๆ ไม่ได้แล้ว เลือกยากลำบากใจจริงน้อ แต่ดาวจากนักอ่านในอเมซอนก็ดีนะ ลองดู
เรื่องราวเกิดขึ้นในลอสแอนเจลิสยุคอนาคต หลังน้ำท่วมใหญ่ เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายสาธารณรัฐกับฝ่ายอาณานิคม ตัวเอกคือ เดย์ เด็กหนุ่มอายุ 15 นักก่อการร้ายที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด กับจูน เด็กสาววัย 15 นักเรียนอัจฉริยะในวิทยาลัยทหาร เดย์บุกลักลอบเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อปล้นยารักษาโรคให้ครอบครัวของเขา จูนต้องการล่าตัวคนร้ายที่สังหารพี่ชายนายทหารของเธอ เป็นเหตุการณ์ที่ชักนำให้ชะตาชีวิตของทั้งคู่โคจรมาพบกัน
ดำเนินเรื่องด้วยการตัดสลับไปมาทีละบทระหว่างเดย์กับจูน เพราะผู้แต่งทำงานเป็นนักพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์มาก่อน นิยายเรื่องนี้ก็จะรู้สึกเหมือนวิดีโอเกมจริงๆ แอกชั่นตัดไปตัดมาเร็วๆ ไม่ใช่ว่าเนื้อเรื่องเหมือนเกมไม่ดีนะ ถึงเดี๋ยวนี้เราจะห่างหายจากการเล่นเกมไปแล้ว แต่เกมที่มีเนื้อเรื่องดีๆ อย่าง FF6, FF12 หรือตระกูล Tactics Ogre นี่ก็ยังทำให้เราประทับใจไม่รู้ลืม หรือเรื่องแบบ Resident Evil ก็สนุกดีออก สำหรับเล่มนี้ช่วงแรกก็โอเคนะ มีฉากบรรยากาศน่าสนใจและโครงเรื่องก็น่าติดตามใช้ได้ แต่พอถึงครึ่งเรื่อง ก็จับทิศทางเรื่องได้หมดแล้ว พอตัวเอกสองคนมาอยู่ด้วยกันจริงๆ เรื่องก็หมดแรงอ่อนหายไปเลย
สาเหตุสำคัญอยู่ที่ตัวละคร สร้างมาแบบ 2D มาก แบนราบ ขอโทษนะ ตัวกราฟิกสไปรท์เล็กๆ ของ Celes Chere ฉากนี้ ยังทำให้เรารู้สึกว่าเซลีสเป็นตัวละครที่มีมิติมากกว่าเดย์กับจูน 100 เท่า
อ่านสนุกได้แค่ครึ่งเรื่อง แต่นี่เป็นเล่มแรกของไตรภาค ยังไม่อยากฟันธงกับเรื่องนี้ เดี๋ยวเล่มถัดไปอาจจะมีดีกว่านี้ก็ได้ ความจริงถ้าเป็นเด็กๆ วัยรุ่นอ่านเล่มนี้เล่นๆ ก็อาจจะได้ แต่เราคงเกินวัยกลุ่มเป้าหมายของเรื่องนี้อีกแล้ว ไม่เข็ดสักที ชอบไปเอา YA มาอ่านแล้วก็บ่นว่ามันเด็ก
นิยาย YA แนวดิสโทเปียอีกเรื่องหนึ่ง พล็อตเรื่องเหมือนจะน่าสนใจ และได้รีวิวจากสื่อต่างๆ ดี เห็นว่าถูกซื้อลิขสิทธิ์สร้างหนังไปแล้วด้วยตั้งแต่ก่อนวางแผง แต่ก็คงเหมือนที่เราเคยอ่านเจอจากเว็บของนักเขียนคนนึง ใครไม่รู้จำไม่ได้ เขาบอกว่า มันเป็นเรื่องการตลาดมากกว่า ซื้อขายออปชันกันถูกๆ เพราะฝ่ายนักเขียนกับสำนักพิมพ์ก็อยากขายเพื่อจะได้โปรโมทว่าถูกซื้อไปสร้างเป็นหนังแล้วนะ ฝ่ายสตูดิโอก็อยากซื้อลิขสิทธิ์มาแบบถูกๆ ก่อนตีพิมพ์ เหมือนซื้อล็อตเตอรี่เกิดฟลุกหนังสือดังขึ้นมาก็เหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง ทำกันเกร่อไปหมดแล้ว นิยายดีไม่ดีไม่สน อาจจะไม่ได้เอาไปสร้างเป็นหนังจริงก็ได้ เพราะฉะนั้นคนอ่านก็คงเชื่อคำโฆษณาง่ายๆ ไม่ได้แล้ว เลือกยากลำบากใจจริงน้อ แต่ดาวจากนักอ่านในอเมซอนก็ดีนะ ลองดู
เรื่องราวเกิดขึ้นในลอสแอนเจลิสยุคอนาคต หลังน้ำท่วมใหญ่ เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายสาธารณรัฐกับฝ่ายอาณานิคม ตัวเอกคือ เดย์ เด็กหนุ่มอายุ 15 นักก่อการร้ายที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด กับจูน เด็กสาววัย 15 นักเรียนอัจฉริยะในวิทยาลัยทหาร เดย์บุกลักลอบเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อปล้นยารักษาโรคให้ครอบครัวของเขา จูนต้องการล่าตัวคนร้ายที่สังหารพี่ชายนายทหารของเธอ เป็นเหตุการณ์ที่ชักนำให้ชะตาชีวิตของทั้งคู่โคจรมาพบกัน
ดำเนินเรื่องด้วยการตัดสลับไปมาทีละบทระหว่างเดย์กับจูน เพราะผู้แต่งทำงานเป็นนักพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์มาก่อน นิยายเรื่องนี้ก็จะรู้สึกเหมือนวิดีโอเกมจริงๆ แอกชั่นตัดไปตัดมาเร็วๆ ไม่ใช่ว่าเนื้อเรื่องเหมือนเกมไม่ดีนะ ถึงเดี๋ยวนี้เราจะห่างหายจากการเล่นเกมไปแล้ว แต่เกมที่มีเนื้อเรื่องดีๆ อย่าง FF6, FF12 หรือตระกูล Tactics Ogre นี่ก็ยังทำให้เราประทับใจไม่รู้ลืม หรือเรื่องแบบ Resident Evil ก็สนุกดีออก สำหรับเล่มนี้ช่วงแรกก็โอเคนะ มีฉากบรรยากาศน่าสนใจและโครงเรื่องก็น่าติดตามใช้ได้ แต่พอถึงครึ่งเรื่อง ก็จับทิศทางเรื่องได้หมดแล้ว พอตัวเอกสองคนมาอยู่ด้วยกันจริงๆ เรื่องก็หมดแรงอ่อนหายไปเลย
สาเหตุสำคัญอยู่ที่ตัวละคร สร้างมาแบบ 2D มาก แบนราบ ขอโทษนะ ตัวกราฟิกสไปรท์เล็กๆ ของ Celes Chere ฉากนี้ ยังทำให้เรารู้สึกว่าเซลีสเป็นตัวละครที่มีมิติมากกว่าเดย์กับจูน 100 เท่า
สปอยล์สุดๆ
ฟังดูภูมิหลังของเดย์กับจูนเหมือนจะดี แต่พอรู้จักสองคนนี้จริงๆ จะรู้ว่าทั้งคู่เป็นเด็กไม่เอาไหน จูนนี่อัจฉริยะยังไง การกระทำหลายอย่างดูออกจะไร้ความคิด ส่วนเดย์นี่ไม่อยากจะเซด ถ้าเป็นตัวในเกมจริงๆ ก็ไม่อยากเลี้ยงเก็บเลเวลให้ด้วยซ้ำ เรียกได้เต็มปากว่ากาก ไม่เห็นมีฝีมือตรงไหน เหลือเชื่อที่บอกว่าเป็นนักก่อการร้ายที่รัฐบาลตามจับ แต่โง่ๆ บุกเข้าไปดื้อๆ แผนอะไรก็ไม่มี เวลาถูกจับก็เห็นมีแต่ปากดี เอาตัวเองก็ไม่รอด ช่วยอะไรใครก็ไม่ได้ ไม่เห็นทำอะไรได้สักอย่าง
ความรักของเดย์กับจูนนี่อ่านแล้วรู้สึกคลื่นไส้ มีเวลาอยู่ด้วยกันแค่สองวัน แทบไม่ได้คุยกันมากมาย จูนคิดว่าเดย์ฆ่าพี่ชายตัวเองนะ ไปปิ๊งเขาได้ไง แล้วก็อย่างที่เดย์พูดใส่หน้าจูน "เหมือนเธอเหนี่ยวไกปืนฆ่าแม่ของฉัน" เรื่องที่แม่ของเดย์ถูกฆ่าตายนี่ จูนปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้นะ เพราะเป็นคนพาทหารบุกไปจับ แต่แทนที่จะเป็นชนวนให้เจ็บแค้นกดดัน ประโยคต่อมาเดย์ก็เปลี่ยนเรื่องพูดไปถามถึงคนอื่นแล้ว โห แม่ตายทั้งคนนะ แล้วถัดมาไม่ทันไรเดย์ก็นั่งคิดถึงจูน "เธอไม่ผิด เธอไม่ได้ตั้งใจ" เฮ้อ ตัวละครกลวง มีแต่เปลือก พวกตัวร้ายก็ไม่มีมิติพอๆ กัน ทั้งโง่ ทั้งเลวแบบไม่มีเหตุผล อ่านแล้วตลกอนาถๆ
ความรักของเดย์กับจูนนี่อ่านแล้วรู้สึกคลื่นไส้ มีเวลาอยู่ด้วยกันแค่สองวัน แทบไม่ได้คุยกันมากมาย จูนคิดว่าเดย์ฆ่าพี่ชายตัวเองนะ ไปปิ๊งเขาได้ไง แล้วก็อย่างที่เดย์พูดใส่หน้าจูน "เหมือนเธอเหนี่ยวไกปืนฆ่าแม่ของฉัน" เรื่องที่แม่ของเดย์ถูกฆ่าตายนี่ จูนปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้นะ เพราะเป็นคนพาทหารบุกไปจับ แต่แทนที่จะเป็นชนวนให้เจ็บแค้นกดดัน ประโยคต่อมาเดย์ก็เปลี่ยนเรื่องพูดไปถามถึงคนอื่นแล้ว โห แม่ตายทั้งคนนะ แล้วถัดมาไม่ทันไรเดย์ก็นั่งคิดถึงจูน "เธอไม่ผิด เธอไม่ได้ตั้งใจ" เฮ้อ ตัวละครกลวง มีแต่เปลือก พวกตัวร้ายก็ไม่มีมิติพอๆ กัน ทั้งโง่ ทั้งเลวแบบไม่มีเหตุผล อ่านแล้วตลกอนาถๆ
อ่านสนุกได้แค่ครึ่งเรื่อง แต่นี่เป็นเล่มแรกของไตรภาค ยังไม่อยากฟันธงกับเรื่องนี้ เดี๋ยวเล่มถัดไปอาจจะมีดีกว่านี้ก็ได้ ความจริงถ้าเป็นเด็กๆ วัยรุ่นอ่านเล่มนี้เล่นๆ ก็อาจจะได้ แต่เราคงเกินวัยกลุ่มเป้าหมายของเรื่องนี้อีกแล้ว ไม่เข็ดสักที ชอบไปเอา YA มาอ่านแล้วก็บ่นว่ามันเด็ก
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554
The Catcher in the Rye - J. D. Salinger
คะแนน : 7
ได้ยินชื่อนิยายคลาสสิคติดอันดับหนังสือดีเล่มนี้มานาน แต่ก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ การพร่ำบ่นของเด็กเกรียนคนหนึ่งนี่มันจะน่าอ่านเร้อ แต่เล่มนี้มันก็ถูกอ้างอิงบ่อยจริงๆ ชักอยากจะรู้ว่าเป็นไง ใน 11/22/63 ก็พูดถึงอีกที สงสัยต้องอ่านซะล่ะ จะได้หายสงสัย
ไม่ต้องพูดถึงเนื้อเรื่อง เพราะมันไม่ได้สำคัญอะไรเลย อ่านความคิดของเด็กพระเอกคนเดียวทั้งเรื่อง ไดอารี่ของวัยรุ่นขวางโลก ที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียน แต่ก็อ่านเพลินดีนะ โฮลเด้นนี่มันบ่นพล่ามได้ทุกเรื่องจริงๆ แอบหัวเราะในใจตลอดทั้งเล่ม ไม่มีอะไรตลกทั้งสิ้น แต่เพราะคิดว่า ดีนะนี่ที่พ้นอายุตอนนั้นมาแล้ว วัยนั้นคงเป็นวัยที่ยากลำบากที่สุดในการอยู่กับตัวเองล่ะนะ ยังหาตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองในโลกไม่เจอ
ฉากที่ชอบที่สุดคือ ตอนที่ไปคุยกับครูที่บ้าน กับฉากที่นัดเจอกับน้องสาวตอนท้ายเล่ม เจ้าตัวก็ยังรู้ตัวนะว่าฝันเฟื่องอวดเก่ง ถูกกระตุกนิดเดียวก็รู้ตัวว่าไปไม่รอด คงเพราะมาอ่านตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วถึงชอบสองฉากนี้ แบบมองว่า อารมณ์ต่อต้านแบบในเรื่องมันเป็นแค่ช่วงหนึ่งของชีวิตตอนนั้นซึ่งเดี๋ยวมันจะผ่านไป และดีใจอีกอย่างที่ไม่ได้อายุเท่านั้นแล้ว เพราะถ้าได้อ่านเล่มนี้วัยนั้นแปลว่าอาจจะถูกให้อ่านในวิชาเรียน แล้วคงต้องนั่งทำการบ้านวิเคราะห์เรื่องนี้หัวแตกแน่เลย แค่ตีความชื่อเรื่องก็เหนื่อยแล้ว
ได้ยินชื่อนิยายคลาสสิคติดอันดับหนังสือดีเล่มนี้มานาน แต่ก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ การพร่ำบ่นของเด็กเกรียนคนหนึ่งนี่มันจะน่าอ่านเร้อ แต่เล่มนี้มันก็ถูกอ้างอิงบ่อยจริงๆ ชักอยากจะรู้ว่าเป็นไง ใน 11/22/63 ก็พูดถึงอีกที สงสัยต้องอ่านซะล่ะ จะได้หายสงสัย
ไม่ต้องพูดถึงเนื้อเรื่อง เพราะมันไม่ได้สำคัญอะไรเลย อ่านความคิดของเด็กพระเอกคนเดียวทั้งเรื่อง ไดอารี่ของวัยรุ่นขวางโลก ที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียน แต่ก็อ่านเพลินดีนะ โฮลเด้นนี่มันบ่นพล่ามได้ทุกเรื่องจริงๆ แอบหัวเราะในใจตลอดทั้งเล่ม ไม่มีอะไรตลกทั้งสิ้น แต่เพราะคิดว่า ดีนะนี่ที่พ้นอายุตอนนั้นมาแล้ว วัยนั้นคงเป็นวัยที่ยากลำบากที่สุดในการอยู่กับตัวเองล่ะนะ ยังหาตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองในโลกไม่เจอ
ฉากที่ชอบที่สุดคือ ตอนที่ไปคุยกับครูที่บ้าน กับฉากที่นัดเจอกับน้องสาวตอนท้ายเล่ม เจ้าตัวก็ยังรู้ตัวนะว่าฝันเฟื่องอวดเก่ง ถูกกระตุกนิดเดียวก็รู้ตัวว่าไปไม่รอด คงเพราะมาอ่านตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วถึงชอบสองฉากนี้ แบบมองว่า อารมณ์ต่อต้านแบบในเรื่องมันเป็นแค่ช่วงหนึ่งของชีวิตตอนนั้นซึ่งเดี๋ยวมันจะผ่านไป และดีใจอีกอย่างที่ไม่ได้อายุเท่านั้นแล้ว เพราะถ้าได้อ่านเล่มนี้วัยนั้นแปลว่าอาจจะถูกให้อ่านในวิชาเรียน แล้วคงต้องนั่งทำการบ้านวิเคราะห์เรื่องนี้หัวแตกแน่เลย แค่ตีความชื่อเรื่องก็เหนื่อยแล้ว
วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554
11/22/63 - Stephen King
คะแนน : 8.5
คงไม่ต้องช่วยเชียร์เยอะ เพราะชื่อ สตีเว่น คิง บนปก ก็รับประกันได้ในตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณชอบอ่านแนว action thriller แล้วคิดว่าคำพูดของเราพอจะเชื่อได้บ้าง ก็อยากบอกว่า ใครที่ยังไม่ได้อ่าน รีบๆ ปิดโพสต์นี้ แล้วไปหาเล่มนี้มาอ่านเถอะค่ะ มันส์โคตรๆ
แต่ถ้าฟังแค่นี้ยังตัดสินใจไม่ได้ เราจะพยายามโน้มน้าวใจคุณๆ ต่อ จะได้มีแนวร่วมคนที่ชอบเหมือนกันเยอะๆ แต่ก็อาจจะเขียนได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะมันเลยมาเกือบสองวันแล้ว แต่คืนนั้นอ่านจบก็ง่วงแล้ว เมื่อวานกลับจากเที่ยว นอนดูหนัง แล้วดูลิเวอร์พูลต่อ ก็หมดวันอีก ถ้าเขียนบล็อกตอนเพิ่งอ่านจบ อะดรีนาลีนที่เกิดจากการอ่านเรื่องนี้ยังพล่านทั่วตัว คงจะจูงใจได้มากกว่านี้
วันที่ 22 เดือน 11 ปี 1963 คือวันที่ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ถูกลอบยิงเสียชีวิต แต่ถ้าวันนั้นเขาไม่ตาย ประวัติศาสตร์โลกก็อาจจะพลิกโฉมไป ปัจจุบันที่เรารู้จักก็อาจไม่ใช่เช่นนี้ นิยายเล่มนี้คือเรื่องราวของชายหนุ่มชื่อ เจค เอปปิ้ง ครูสอนภาษาอังกฤษธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในต้นทศวรรษที่ 2 ของศตวรรษที่ 21 (ก็ปี 2011 นั่นแหละ ในหนังสือเรียกให้มันเท่ๆ ว่างี้) เขาได้ย้อนเวลากลับไปสู่อดีต พร้อมกับคำขอร้องให้เขาช่วยหยุดยั้งการลอบสังหาร JFK ฮ่าฮ่า บอกโครงเรื่องแค่นี้ก็คงพอ เพราะเราก็รู้แค่นี้แหละตอนก่อนอ่าน ดูชื่อคนแต่ง เห็นพล็อต เห็นดาวอเมซอน กับรู้ว่าไม่ใช่แนวสยองขวัญ ก็อยากอ่านแล้ว เชื่อใจคนขับแล้วก็กระโจนขึ้นรถเลย
สนุกมากตั้งแต่เริ่ม บทแรกก็ทำเราติดแล้ว แนะนำตัวพระเอก แล้วก็เริ่มลุยเลย ไอเดียการย้อนเวลาทำได้น่าสนใจมากๆ ช่วงต้น 1/3 เรื่อง เต็มไปด้วยแอกชั่น ระทึกมาก เหมือนนั่งรถที่โชเฟอร์ขับซิ่ง มียางแตกแหกโค้งอีกต่างหาก คนอ่านก็นั่งเกาะเบาะตัวเกร็ง ลุ้นดี พอเข้าช่วงกลางเรื่อง คนขับเริ่มผ่อนคันเร่ง พระเอกเริ่มปรับตัวกับการใช้ชีวิตในยุคอดีต ไปเป็นครูโรงเรียนมัธยม และได้พบหญิงสาวคนหนึ่ง เนื้อเรื่องช่วงนี้ยาวมากทีเดียว ถึงจะไม่มีแอกชั่นเยอะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนเขียนจะปล่อยให้เรานั่งชมวิวสบายๆ จนอาจเผลอหลับ มีการเบรกให้คนอ่านหัวทิ่ม กระตุกอารมณ์ลุ้นกันเป็นระยะๆ
เราไม่เบื่อกับเหตุการณ์ชีวิตช่วงตรงกลางเลย เราคิดว่ามันเป็นการทำให้ตัวละครมีเลือดเนื้อ ตัวหนังสือของ สตีเว่น คิง มีพลัง บางครั้งอ่านไปน้ำตาเปื้อนแก้มไม่รู้ตัว ตอนไหนก็จำไม่ได้ ไม่ใช่ฉากสำคัญอะไร แต่มัน moved อีกอย่าง เราชอบเรื่องราวความรักในเล่มนี้ ตอนอ่านสุภาษิตญี่ปุ่นตอนเปิดเรื่อง ก็งงนะว่าเกี่ยวอะไร แต่พอถึงเนื้อเรื่องตอนนั้นซึ้งมากเลย ถ้าไม่มีเรื่องราวพวกนั้น มันก็เหมือนพระเอกฮีโร่ธรรมดา ย้อนมาช่วยแก้ไขเหตุการณ์ เสร็จจบก็ไป ถ้าทำไม่สำเร็จก็แล้วไง แต่พอแต่งเรื่องให้เจคมีความผูกพันกับอดีต ก็เหมือนการเพิ่มเดิมพันให้ตัวละคร สถานการณ์ของพระเอกก็จะถูกบีบคั้นขึ้นว่าต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ตอนอ่านก็จะยิ่งอิน ยิ่งเชียร์ แล้วจะยิ่งเจ็บปวดใจแทนพระเอกกับการตัดสินใจครั้งสุดท้ายตอนจบเรื่องของเขา
ช่วงท้ายเรื่อง เข้าสู่ฉากแอกชั่นยาวเหยียด วันที่ 11/22/63 เนื้อเรื่องสปีดสุดชีวิต แทบหายใจหายคอไม่ทัน แปลกนะทั้งที่มันเป็นเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ที่เราควรจะรู้ตอนจบดีอยู่แล้วใช่ไหม แต่กลับเดาทางไม่ได้เลยว่าจะจบยังไง มีความเป็นไปได้นานัปการ ตอนจบสุดท้ายเป็นแนว sci-fi เต็มที่ จักรวาลสตริง พอถึงบทสุดท้ายของเรื่อง เราคงพูดได้แค่ว่า ในเมื่อเรื่องมันเป็นอย่างนี้ จบแบบนี้ก็คงเป็นฉากจบที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้แล้ว อ่านจบแล้วคิดว่า เวลาทุกนาทีที่เราใช้อ่านทุกตัวอักษรของนิยาย 849 หน้าเล่มนี้ คุ้มค่ามาก
คงไม่ต้องช่วยเชียร์เยอะ เพราะชื่อ สตีเว่น คิง บนปก ก็รับประกันได้ในตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณชอบอ่านแนว action thriller แล้วคิดว่าคำพูดของเราพอจะเชื่อได้บ้าง ก็อยากบอกว่า ใครที่ยังไม่ได้อ่าน รีบๆ ปิดโพสต์นี้ แล้วไปหาเล่มนี้มาอ่านเถอะค่ะ มันส์โคตรๆ
แต่ถ้าฟังแค่นี้ยังตัดสินใจไม่ได้ เราจะพยายามโน้มน้าวใจคุณๆ ต่อ จะได้มีแนวร่วมคนที่ชอบเหมือนกันเยอะๆ แต่ก็อาจจะเขียนได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะมันเลยมาเกือบสองวันแล้ว แต่คืนนั้นอ่านจบก็ง่วงแล้ว เมื่อวานกลับจากเที่ยว นอนดูหนัง แล้วดูลิเวอร์พูลต่อ ก็หมดวันอีก ถ้าเขียนบล็อกตอนเพิ่งอ่านจบ อะดรีนาลีนที่เกิดจากการอ่านเรื่องนี้ยังพล่านทั่วตัว คงจะจูงใจได้มากกว่านี้
วันที่ 22 เดือน 11 ปี 1963 คือวันที่ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ถูกลอบยิงเสียชีวิต แต่ถ้าวันนั้นเขาไม่ตาย ประวัติศาสตร์โลกก็อาจจะพลิกโฉมไป ปัจจุบันที่เรารู้จักก็อาจไม่ใช่เช่นนี้ นิยายเล่มนี้คือเรื่องราวของชายหนุ่มชื่อ เจค เอปปิ้ง ครูสอนภาษาอังกฤษธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในต้นทศวรรษที่ 2 ของศตวรรษที่ 21 (ก็ปี 2011 นั่นแหละ ในหนังสือเรียกให้มันเท่ๆ ว่างี้) เขาได้ย้อนเวลากลับไปสู่อดีต พร้อมกับคำขอร้องให้เขาช่วยหยุดยั้งการลอบสังหาร JFK ฮ่าฮ่า บอกโครงเรื่องแค่นี้ก็คงพอ เพราะเราก็รู้แค่นี้แหละตอนก่อนอ่าน ดูชื่อคนแต่ง เห็นพล็อต เห็นดาวอเมซอน กับรู้ว่าไม่ใช่แนวสยองขวัญ ก็อยากอ่านแล้ว เชื่อใจคนขับแล้วก็กระโจนขึ้นรถเลย
สนุกมากตั้งแต่เริ่ม บทแรกก็ทำเราติดแล้ว แนะนำตัวพระเอก แล้วก็เริ่มลุยเลย ไอเดียการย้อนเวลาทำได้น่าสนใจมากๆ ช่วงต้น 1/3 เรื่อง เต็มไปด้วยแอกชั่น ระทึกมาก เหมือนนั่งรถที่โชเฟอร์ขับซิ่ง มียางแตกแหกโค้งอีกต่างหาก คนอ่านก็นั่งเกาะเบาะตัวเกร็ง ลุ้นดี พอเข้าช่วงกลางเรื่อง คนขับเริ่มผ่อนคันเร่ง พระเอกเริ่มปรับตัวกับการใช้ชีวิตในยุคอดีต ไปเป็นครูโรงเรียนมัธยม และได้พบหญิงสาวคนหนึ่ง เนื้อเรื่องช่วงนี้ยาวมากทีเดียว ถึงจะไม่มีแอกชั่นเยอะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนเขียนจะปล่อยให้เรานั่งชมวิวสบายๆ จนอาจเผลอหลับ มีการเบรกให้คนอ่านหัวทิ่ม กระตุกอารมณ์ลุ้นกันเป็นระยะๆ
เราไม่เบื่อกับเหตุการณ์ชีวิตช่วงตรงกลางเลย เราคิดว่ามันเป็นการทำให้ตัวละครมีเลือดเนื้อ ตัวหนังสือของ สตีเว่น คิง มีพลัง บางครั้งอ่านไปน้ำตาเปื้อนแก้มไม่รู้ตัว ตอนไหนก็จำไม่ได้ ไม่ใช่ฉากสำคัญอะไร แต่มัน moved อีกอย่าง เราชอบเรื่องราวความรักในเล่มนี้ ตอนอ่านสุภาษิตญี่ปุ่นตอนเปิดเรื่อง ก็งงนะว่าเกี่ยวอะไร แต่พอถึงเนื้อเรื่องตอนนั้นซึ้งมากเลย ถ้าไม่มีเรื่องราวพวกนั้น มันก็เหมือนพระเอกฮีโร่ธรรมดา ย้อนมาช่วยแก้ไขเหตุการณ์ เสร็จจบก็ไป ถ้าทำไม่สำเร็จก็แล้วไง แต่พอแต่งเรื่องให้เจคมีความผูกพันกับอดีต ก็เหมือนการเพิ่มเดิมพันให้ตัวละคร สถานการณ์ของพระเอกก็จะถูกบีบคั้นขึ้นว่าต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ตอนอ่านก็จะยิ่งอิน ยิ่งเชียร์ แล้วจะยิ่งเจ็บปวดใจแทนพระเอกกับการตัดสินใจครั้งสุดท้ายตอนจบเรื่องของเขา
ช่วงท้ายเรื่อง เข้าสู่ฉากแอกชั่นยาวเหยียด วันที่ 11/22/63 เนื้อเรื่องสปีดสุดชีวิต แทบหายใจหายคอไม่ทัน แปลกนะทั้งที่มันเป็นเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ที่เราควรจะรู้ตอนจบดีอยู่แล้วใช่ไหม แต่กลับเดาทางไม่ได้เลยว่าจะจบยังไง มีความเป็นไปได้นานัปการ ตอนจบสุดท้ายเป็นแนว sci-fi เต็มที่ จักรวาลสตริง พอถึงบทสุดท้ายของเรื่อง เราคงพูดได้แค่ว่า ในเมื่อเรื่องมันเป็นอย่างนี้ จบแบบนี้ก็คงเป็นฉากจบที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้แล้ว อ่านจบแล้วคิดว่า เวลาทุกนาทีที่เราใช้อ่านทุกตัวอักษรของนิยาย 849 หน้าเล่มนี้ คุ้มค่ามาก
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554
The Load of Unicorn - Cynthia Harnett
คะแนน : 8
ตอนเป็นเด็กชอบอ่านเรื่อง "กระสอบขนแกะ" มาก ยืมจากห้องสมุด ตอนโตมาคิดถึงอยากอ่าน แต่ภาษาไทยมันหายาก ก็ต้องตามหาต้นฉบับ โชคดีมีพิมพ์ใหม่เมื่อปี 2001 ก็เลยได้ The Wool-pack (คะแนน 8.5) มาเก็บ ตอนนี้คิดถึงอีกที ก็เลยอยากอ่านเรื่องอื่นของผู้แต่งคนเดียวกันอีกบ้าง
ชื่อเรื่องนี้เหมือนแฟนตาซี แต่ไม่ใช่เลย เป็นวรรณกรรมเยาวชนอิงประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษยุคกลางช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 บอกเล่าเรื่องราวของเบเนดิกต์ หรือเบนดี้ ซึ่งเป็นลูกชายของอาลักษณ์นักทำหนังสือ ซึ่งสมัยนั้นยังคัดด้วยลายมืออยู่ เบนดี้เป็นลูกชายคนเล็ก และมีปัญหากับพวกพี่ชายต่างมารดาที่อายุมากกว่ากันเยอะ พ่อจึงส่งเขาไปเป็นลูกศิษย์ของผู้ที่กำลังเริ่มทำธุรกิจการพิมพ์ขึ้นมาในอังกฤษ ชื่อ The Load of Unicorn หมายถึงหีบห่อบรรจุกระดาษที่มีลายน้ำรูปยูนิคอร์นที่โรงพิมพ์สั่งนำเข้า แต่กลับสูญหายไปจากเรือที่บรรทุกมา เบนดี้ต้องช่วยแก้ปัญหา และเขาก็ต้องไปตามหาต้นฉบับลายมือของเรื่อง Le Morte d'Arthur ตำนานกษัตริย์อาร์เธอร์ เพื่อนำมาพิมพ์หนังสือ
อ่านสนุกดี ความรู้ด้านประวัติศาสตร์เพียบ มีรายละเอียดสิ่งละอันพันละน้อยในวิถีชีวิตผู้คนยุคนั้นชัดเจน ให้เห็นภาพสมัยโน้นแจ่มแจ้งดีจัง มีรูปวาดลายเส้นสวยๆ เป็นภาพประกอบด้วย ผู้แต่งวาดเอง เก่งจังเลย ตัวละครก็มีโลกทัศน์เหมือนคนที่อยู่ในยุคนั้นจริงๆ พวกความเชื่อในศาสนา หรือสภาพสังคม อย่างเช่น เบนดี้กับเพื่อน เบนดี้เป็นลูกพ่อค้า แต่เพื่อนเป็นลูกหลานคนงาน ไปส่งของด้วยกัน เจ้าของบ้านชวนเบนดี้กินอาหารร่วมโต๊ะด้วย แต่ไม่เชิญเพื่อน ในหนังสือก็ไม่ต้องอธิบายเหตุผล ปล่อยตัวละครทำตัวตามธรรมชาติ แต่อ่านแล้วก็จะสัมผัสได้ถึงการแบ่งชนชั้นสมัยนั้น ทุกอย่างแนบเนียนเรียงร้อยสวยงาม ที่ชอบมากอีกอย่างก็ตรงที่อ่านแล้วซึ้งเรื่องวิวัฒนาการของหนังสือ ถ้าไม่มีเทคโนโลยีอะไร กว่าจะได้หนังสือเล่มหนึ่งมันก็ลำบากนะ และยิ่งรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของการพิมพ์ นับเป็นเครื่องมือปฏิวัติโลกสมัยนั้นจริงๆ
ถึงจะเน้นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ แต่เนื้อเรื่องก็สนุกน่าติดตามด้วย มีฉากการผจญภัยของเบนดี้ แต่ที่ขาดไปไม่น่ารักอย่างเรื่องกระสอบขนแกะ ก็ตรงที่ไม่มีเด็กนางเอกนี่ล่ะ (ยังจำที่นิโคลัสเรียกเซซิลีว่า "ตุ๊กตุ่นของฉัน" ได้เลย น่ารักเนอะ เป็นคู่หมั้นกัน สมัยนั้นอายุ 12-13 ก็แต่งงานได้แล้ว) เรื่องนี้บทเด็กผู้หญิงไม่เด่น เพราะตัวละครเอามาจากคนจริงในประวัติศาสตร์มากกว่าเรื่องนั้น ก็เลยมีอิสระในการดำเนินเรื่องไม่เท่า
ตอนเป็นเด็กชอบอ่านเรื่อง "กระสอบขนแกะ" มาก ยืมจากห้องสมุด ตอนโตมาคิดถึงอยากอ่าน แต่ภาษาไทยมันหายาก ก็ต้องตามหาต้นฉบับ โชคดีมีพิมพ์ใหม่เมื่อปี 2001 ก็เลยได้ The Wool-pack (คะแนน 8.5) มาเก็บ ตอนนี้คิดถึงอีกที ก็เลยอยากอ่านเรื่องอื่นของผู้แต่งคนเดียวกันอีกบ้าง
ชื่อเรื่องนี้เหมือนแฟนตาซี แต่ไม่ใช่เลย เป็นวรรณกรรมเยาวชนอิงประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษยุคกลางช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 บอกเล่าเรื่องราวของเบเนดิกต์ หรือเบนดี้ ซึ่งเป็นลูกชายของอาลักษณ์นักทำหนังสือ ซึ่งสมัยนั้นยังคัดด้วยลายมืออยู่ เบนดี้เป็นลูกชายคนเล็ก และมีปัญหากับพวกพี่ชายต่างมารดาที่อายุมากกว่ากันเยอะ พ่อจึงส่งเขาไปเป็นลูกศิษย์ของผู้ที่กำลังเริ่มทำธุรกิจการพิมพ์ขึ้นมาในอังกฤษ ชื่อ The Load of Unicorn หมายถึงหีบห่อบรรจุกระดาษที่มีลายน้ำรูปยูนิคอร์นที่โรงพิมพ์สั่งนำเข้า แต่กลับสูญหายไปจากเรือที่บรรทุกมา เบนดี้ต้องช่วยแก้ปัญหา และเขาก็ต้องไปตามหาต้นฉบับลายมือของเรื่อง Le Morte d'Arthur ตำนานกษัตริย์อาร์เธอร์ เพื่อนำมาพิมพ์หนังสือ
อ่านสนุกดี ความรู้ด้านประวัติศาสตร์เพียบ มีรายละเอียดสิ่งละอันพันละน้อยในวิถีชีวิตผู้คนยุคนั้นชัดเจน ให้เห็นภาพสมัยโน้นแจ่มแจ้งดีจัง มีรูปวาดลายเส้นสวยๆ เป็นภาพประกอบด้วย ผู้แต่งวาดเอง เก่งจังเลย ตัวละครก็มีโลกทัศน์เหมือนคนที่อยู่ในยุคนั้นจริงๆ พวกความเชื่อในศาสนา หรือสภาพสังคม อย่างเช่น เบนดี้กับเพื่อน เบนดี้เป็นลูกพ่อค้า แต่เพื่อนเป็นลูกหลานคนงาน ไปส่งของด้วยกัน เจ้าของบ้านชวนเบนดี้กินอาหารร่วมโต๊ะด้วย แต่ไม่เชิญเพื่อน ในหนังสือก็ไม่ต้องอธิบายเหตุผล ปล่อยตัวละครทำตัวตามธรรมชาติ แต่อ่านแล้วก็จะสัมผัสได้ถึงการแบ่งชนชั้นสมัยนั้น ทุกอย่างแนบเนียนเรียงร้อยสวยงาม ที่ชอบมากอีกอย่างก็ตรงที่อ่านแล้วซึ้งเรื่องวิวัฒนาการของหนังสือ ถ้าไม่มีเทคโนโลยีอะไร กว่าจะได้หนังสือเล่มหนึ่งมันก็ลำบากนะ และยิ่งรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของการพิมพ์ นับเป็นเครื่องมือปฏิวัติโลกสมัยนั้นจริงๆ
ถึงจะเน้นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ แต่เนื้อเรื่องก็สนุกน่าติดตามด้วย มีฉากการผจญภัยของเบนดี้ แต่ที่ขาดไปไม่น่ารักอย่างเรื่องกระสอบขนแกะ ก็ตรงที่ไม่มีเด็กนางเอกนี่ล่ะ (ยังจำที่นิโคลัสเรียกเซซิลีว่า "ตุ๊กตุ่นของฉัน" ได้เลย น่ารักเนอะ เป็นคู่หมั้นกัน สมัยนั้นอายุ 12-13 ก็แต่งงานได้แล้ว) เรื่องนี้บทเด็กผู้หญิงไม่เด่น เพราะตัวละครเอามาจากคนจริงในประวัติศาสตร์มากกว่าเรื่องนั้น ก็เลยมีอิสระในการดำเนินเรื่องไม่เท่า
วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554
The Copeland Bride - Justine Cole
คะแนน : 6
นิยายเก๋ากึ้กตั้งแต่ปี 1983 ผลงานเรื่องแรกและเรื่องเดียวของ Justine Cole ผู้ไม่มีตัวตนจริง เพราะนี่คือนามปากกาของเพื่อนบ้านสองคนชื่อ Susan Elizabeth Phillips กับ Claire Kiehl ร่วมมือกันแต่งนิยายเล่มนี้ขึ้นมา ก่อนที่เพื่อนจะย้ายบ้านไป แล้ว SEP จะเริ่มต้นงานเขียนเดี่ยวๆ ในชื่อของตัวเอง เรื่องนี้ขาดตลาดไปนาน และคงไม่มีพิมพ์ใหม่เพราะเนื้อเรื่องมีปัญหาด้าน political correctness กดขี่ทางเพศ เป็นเล่มที่หายาก และเพราะเสียงวิจารณ์ด้านลบ ทำให้เราเฉยๆ ไม่ได้คิดอยากจะขวนขวายตามอ่านซะเท่าไหร่ แต่แล้ววันดีคืนดี ก็ราวกับมันลอยมาอยู่ตรงหน้า คนแจกก็เหมือนกลัวคนไม่รู้ ย้ำชื่อผู้แต่งซะเด่นว่า aka Susan Elizabeth Phillips เลยรู้สึกว่ามันส่งเสียงเรียกร้อง อ่านสิ อ่านสิ SEP เชียวนะ มันจะเลวร้ายสักแค่ไหนกัน
ที่จริงเราไม่ชอบเรื่องที่พระเอกข่มขืนนางเอกนะ แต่ก็กะว่าเรื่องมันเก่าแล้ว อ่านนิยายสมัยนั้นก็ทำใจหน่อยแล้วกัน ถือว่าเป็นเครื่องมือในการเดินเรื่อง พระเอกไม่รู้ว่านางเอกเวอร์จิ้น หลังจากแต่งงาน ขืนใจนางเอกเสร็จแล้ว เอาไปปล่อยบ้านพ่อ แล้วก็หายตัวไปเกือบครึ่งเล่ม ระหว่างนั้น นางเอกก็เรียนหนังสือ ฝึกกิริยามารยาท การเต้นรำ แต่งตัวใหม่ แปลงโฉมเป็นสาวสวย พอพระเอกกลับมาก็เลยจำไม่ได้ ช่วงกลางๆ เรื่องนี่มันก็พออ่านได้เพลินๆ นะ ถึงจะไม่ดีเด่นอะไร แต่ถ้าตั้งใจสังเกตก็พอมองเห็นร่องรอยบางอย่างของ SEP เหมือนกัน แต่พอเรื่องมาถึงตอนพระเอกรู้ความจริงแล้วจับตัวนางเอกไปขังที่บ้านในชนบท เราคิดว่าตัวเองเป็นคนรักความสงบ ไม่นิยมความรุนแรง แต่ตอนอ่านช่วงนี้ อยากเอาหนังสือเล่มที่โพสต์ถึงข้างล่างแพ่นกบาลหมอนี่มากๆ เลย
พระเอกนางเอกเรื่องนี้แทบจะไม่เคยคุยกันดีๆ เลย ทะเลาะกันทั้งเรื่อง พระเอกอัลฟ่ายุคเก่า จองหอง วางก้าม บ้าอำนาจ ส่วนนางเอกก็เจ้าอารมณ์ไร้เหตุผลไม่ใช่น้อย แต่โนเอลล์ยังไม่ร้ายเท่าควินน์ พระเอกเรื่องนี้แย่มากๆ เลวแบบต้องถามว่า นี่พระเอกเหรอ ตอนจะจบเรื่องที่เขาข่มขืนนางเอกอีกครั้ง ตอนนี้เรารับไม่ได้ ไม่มีข้อแก้ตัวไหนฟังขึ้นแล้ว คนรักกันไม่ทำแบบนี้ ตอนอ่านฉากนี้ถึงขั้นอยากยิงพระเอกทิ้งเลย เจตนาอยากฆ่าตัวละครในนิยายนี่คงไม่บาปใช่มั้ย ถ้าไม่มีฉากนั้น เราว่าเรื่องนี้มันก็พออ่านได้ แต่พอเป็นแบบนี้ก็ไม่ไหว พระเอกไม่มีการสำนึกตัวทำดีไถ่โทษใดๆ ทั้งสิ้นด้วย
หึ! ทีนี้ซึ้งแล้วว่า นี่เป็นเรื่องที่แย่ที่สุดของ SEP จริงๆ นั่นแหละ ถ้าเทียบแล้วคงจะเป็นน้องๆ เรื่อง Pirate's Love ของ Johanna Lindsey ทีเดียว เรื่องนั้นพระเอกก็ข่มขืนนางเอกทั้งเรื่องเหมือนกัน เป็นเรื่องที่จัดอยู่ในจำพวกที่เขาเรียกว่า เสียดายต้นไม้ที่ถูกตัดมาทำกระดาษเพื่อพิมพ์หนังสือ สิ่งดีอย่างเดียวที่เราได้จากนิยายเล่มนั้นคือ มันทำให้เราพูดได้เต็มปากว่า เราอ่าน JL ครบทุกเรื่องแล้ว เพราะฉะนั้นเล่มนี้ก็คงต้องพูดแบบเดียวกัน ต่อไปจะได้ไม่ต้องสงสัยว่า งานเก่าชิ้นแรกของ SEP นั้นเป็นยังไง ดีนะนี่ ที่เราเป็นแฟนผลงานเธออยู่ อ่านจบแล้วถึงไม่ชอบยังไงก็ยังรู้สึกขำๆ กับมันได้
นิยายเก๋ากึ้กตั้งแต่ปี 1983 ผลงานเรื่องแรกและเรื่องเดียวของ Justine Cole ผู้ไม่มีตัวตนจริง เพราะนี่คือนามปากกาของเพื่อนบ้านสองคนชื่อ Susan Elizabeth Phillips กับ Claire Kiehl ร่วมมือกันแต่งนิยายเล่มนี้ขึ้นมา ก่อนที่เพื่อนจะย้ายบ้านไป แล้ว SEP จะเริ่มต้นงานเขียนเดี่ยวๆ ในชื่อของตัวเอง เรื่องนี้ขาดตลาดไปนาน และคงไม่มีพิมพ์ใหม่เพราะเนื้อเรื่องมีปัญหาด้าน political correctness กดขี่ทางเพศ เป็นเล่มที่หายาก และเพราะเสียงวิจารณ์ด้านลบ ทำให้เราเฉยๆ ไม่ได้คิดอยากจะขวนขวายตามอ่านซะเท่าไหร่ แต่แล้ววันดีคืนดี ก็ราวกับมันลอยมาอยู่ตรงหน้า คนแจกก็เหมือนกลัวคนไม่รู้ ย้ำชื่อผู้แต่งซะเด่นว่า aka Susan Elizabeth Phillips เลยรู้สึกว่ามันส่งเสียงเรียกร้อง อ่านสิ อ่านสิ SEP เชียวนะ มันจะเลวร้ายสักแค่ไหนกัน
เตือนสปอยล์
โนเอลล์ ดอเรียน เติบโตในสลัมลอนดอนหลังจากแม่ตายตอนเธอยังเด็ก หาเลี้ยงตัวเองด้วยการเป็นนักล้วงกระเป๋ามืออาชีพ ลวงเหยื่อให้ตายใจด้วยการแต่งตัวเป็นโสเภณี วันหนึ่งดวงซวยไปเจอ ควินน์ โคปแลนด์ จับได้ ควินน์เป็นลูกชายของเจ้าของอู่ต่อเรือที่ประสบความสำเร็จ แต่เขามีเรื่องไม่ถูกกับพ่อ ก็เลยจับโนเอลล์แต่งงานด้วย เพื่อประชด (พล็อตนี้โหลเหมือนกันนะนี่) แล้วเขาก็พาเจ้าสาวในคราบโสเภณีไปทิ้งไว้บ้านพ่อ แล้วก็หายตัวไป พ่อเจ้าบ่าวเกิดเห็นใจเธอขึ้นมา ก็เลยตัดสินใจจะช่วยชุบตัวโนเอลล์ให้สมฐานะการเป็นเจ้าสาวของโคปแลนด์ที่จริงเราไม่ชอบเรื่องที่พระเอกข่มขืนนางเอกนะ แต่ก็กะว่าเรื่องมันเก่าแล้ว อ่านนิยายสมัยนั้นก็ทำใจหน่อยแล้วกัน ถือว่าเป็นเครื่องมือในการเดินเรื่อง พระเอกไม่รู้ว่านางเอกเวอร์จิ้น หลังจากแต่งงาน ขืนใจนางเอกเสร็จแล้ว เอาไปปล่อยบ้านพ่อ แล้วก็หายตัวไปเกือบครึ่งเล่ม ระหว่างนั้น นางเอกก็เรียนหนังสือ ฝึกกิริยามารยาท การเต้นรำ แต่งตัวใหม่ แปลงโฉมเป็นสาวสวย พอพระเอกกลับมาก็เลยจำไม่ได้ ช่วงกลางๆ เรื่องนี่มันก็พออ่านได้เพลินๆ นะ ถึงจะไม่ดีเด่นอะไร แต่ถ้าตั้งใจสังเกตก็พอมองเห็นร่องรอยบางอย่างของ SEP เหมือนกัน แต่พอเรื่องมาถึงตอนพระเอกรู้ความจริงแล้วจับตัวนางเอกไปขังที่บ้านในชนบท เราคิดว่าตัวเองเป็นคนรักความสงบ ไม่นิยมความรุนแรง แต่ตอนอ่านช่วงนี้ อยากเอาหนังสือเล่มที่โพสต์ถึงข้างล่างแพ่นกบาลหมอนี่มากๆ เลย
พระเอกนางเอกเรื่องนี้แทบจะไม่เคยคุยกันดีๆ เลย ทะเลาะกันทั้งเรื่อง พระเอกอัลฟ่ายุคเก่า จองหอง วางก้าม บ้าอำนาจ ส่วนนางเอกก็เจ้าอารมณ์ไร้เหตุผลไม่ใช่น้อย แต่โนเอลล์ยังไม่ร้ายเท่าควินน์ พระเอกเรื่องนี้แย่มากๆ เลวแบบต้องถามว่า นี่พระเอกเหรอ ตอนจะจบเรื่องที่เขาข่มขืนนางเอกอีกครั้ง ตอนนี้เรารับไม่ได้ ไม่มีข้อแก้ตัวไหนฟังขึ้นแล้ว คนรักกันไม่ทำแบบนี้ ตอนอ่านฉากนี้ถึงขั้นอยากยิงพระเอกทิ้งเลย เจตนาอยากฆ่าตัวละครในนิยายนี่คงไม่บาปใช่มั้ย ถ้าไม่มีฉากนั้น เราว่าเรื่องนี้มันก็พออ่านได้ แต่พอเป็นแบบนี้ก็ไม่ไหว พระเอกไม่มีการสำนึกตัวทำดีไถ่โทษใดๆ ทั้งสิ้นด้วย
หึ! ทีนี้ซึ้งแล้วว่า นี่เป็นเรื่องที่แย่ที่สุดของ SEP จริงๆ นั่นแหละ ถ้าเทียบแล้วคงจะเป็นน้องๆ เรื่อง Pirate's Love ของ Johanna Lindsey ทีเดียว เรื่องนั้นพระเอกก็ข่มขืนนางเอกทั้งเรื่องเหมือนกัน เป็นเรื่องที่จัดอยู่ในจำพวกที่เขาเรียกว่า เสียดายต้นไม้ที่ถูกตัดมาทำกระดาษเพื่อพิมพ์หนังสือ สิ่งดีอย่างเดียวที่เราได้จากนิยายเล่มนั้นคือ มันทำให้เราพูดได้เต็มปากว่า เราอ่าน JL ครบทุกเรื่องแล้ว เพราะฉะนั้นเล่มนี้ก็คงต้องพูดแบบเดียวกัน ต่อไปจะได้ไม่ต้องสงสัยว่า งานเก่าชิ้นแรกของ SEP นั้นเป็นยังไง ดีนะนี่ ที่เราเป็นแฟนผลงานเธออยู่ อ่านจบแล้วถึงไม่ชอบยังไงก็ยังรู้สึกขำๆ กับมันได้
วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554
Harry Potter Page to Screen: The Complete Filmmaking Journey
จริงๆ ยังอ่านเล่มนี้ไม่จบเลย ได้มาแล้วก็ต้องทิ้งไว้ที่บ้าน หอบไปหอบมาไม่ไหว แต่คิดว่าเขียนถึงไว้หน่อยก็ดี เผื่อเป็นข้อมูลให้คนที่อาจจะกำลังตัดสินใจ เพราะตอนจะสั่งซื้อเล่มนี้ เสียเวลาหาข้อมูลนานมากๆ ทั้งที่มีคนรีวิวเยอะแยะ มีเป็นวิดีโอรีวิวใน youtube ก็หลายอัน แต่ไม่มีอันไหนตอบข้อสงสัยเราได้ชัดๆ จริงๆ เสียทีว่า ตกลงแบบของ U.S. กับ U.K. ต่างกันยังไง ของ U.S. ข้อมูล Amazon บอกมี 540 หน้า แต่ U.K 528 หน้า แล้ว 12 หน้าที่ต่างกันนี่คืออะไร แต่เท่าที่ไล่ดูคลิปก็เห็นมีเนื้อหาเหมือนกันทั้งนั้นประมาณ 532 หน้า การนับหน้าที่ไม่เท่ากันนั้นอาจจะเพราะนับปกในด้วย
เพราะฉะนั้น เลยคิดเข้าข้างตัวเองว่า มันคงไม่ต่างกัน หน้าปกเหมือนกัน ข้อมูลข้างในเหมือนกัน ชื่อหนังภาคแรกในเล่ม U.K. ยังเป็น the Sorcerer’s Stone เลย ต่างแค่ที่สำนักพิมพ์ และขนาดรูปเล่มอาจจะต่างกันนิดหน่อย ตัดสินใจซื้อจาก Amazon U.K. เพราะถูกกว่า เล่มนี้ร้านหนังสือในเมืองไทยขายในราคา 2,000 ขึ้นทั้งนั้น แต่ถ้าสั่งซื้อจากป่า UK รวมมากับเล่มอื่นๆ คิดแยกราคา+เฉลี่ยค่าส่งออกมาแล้ว เล่มนี้ตกอยู่ที่ 1,500-1,600 บาทเท่านั้น
หนังสือเล่มใหญ่มาก ปกแข็ง เล่มหนา ยืนยันว่า 532 หน้าไม่รวมหน้ารองปก และหนักมากๆ ประมาณ 3 กิโลได้ เอาฟาดหัวคนก็ตาย ถืออ่านไม่ไหว ถ้าไม่วางโต๊ะก็ต้องวางตัก ข้างในเป็นกระดาษอาร์ต พิมพ์สี่สีทั้งเล่ม ภาพประกอบมีทั้งรูปถ่ายและรูปวาด concept art ใครอยากรู้เนื้อหาข้างในไปหาดูใน youtube แต่ที่ชอบมากและอาจจะเห็นไม่ชัดจากในวิดีโอก็คือ ในเนื้อกระดาษบางหน้าจะมีพิมพ์ลายฝังเป็นรูปเงาเล็กๆ เช่น ปากกาขนนก ไม้กวาด พวกนี้ด้วย เก๋ดี
ในส่วนเนื้อหามีบางส่วนคาบเกี่ยวกับเล่ม Harry Potter Film Wizardry (อันนั้นเลือกง่ายเพราะชอบปกแดง) แต่เล่ม Page to Screen เนื้อหาละเอียดกว่า และเล่าเรื่องต่อเนื่องกว่า ตั้งแต่แรกเริ่มก่อนเป็นหนังจนจบภาคสุดท้าย ในขณะที่ Film Wizardry จะเน้นลูกเล่นที่เปิดออกมาได้ เช่น พวกจดหมาย แผนที่ตัวกวน ตำราวิชาปรุงยา โฆษณาร้านของเล่นวีสลีย์ อะไรพวกนั้น ถ้าเทียบกันเล่มแดงสวยกว่า แต่เล่มใหญ่เนื้อหาดีกว่า ส่วนตัวชอบเล่ม Page to Screen มากกว่าเพราะชอบอ่านเกร็ดเบื้องหลังเยอะๆ แต่ทั้งคู่ก็คุ้มค่าน่าสะสมมากๆ พลาดไม่ได้ทั้งสองเล่ม
วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
Dreamdark: Blackbringer - Laini Taylor
คะแนน : 8
เราก็นึกว่าจะรอให้เรื่องนี้มันออกมาให้ครบชุดก่อน แต่ปรากฏว่า พอเข้าไปอ่านเว็บคนเขียน เธอบอกว่าเรื่องนี้สำนักพิมพ์ไม่ยอมพิมพ์ต่อ มิน่าล่ะ เห็นมันออกมาแค่ 2 เล่มก็หายไปเลย แต่เลนี่ เทย์เลอร์ ก็บอกว่า จะพยายามหาวิธีให้คนได้อ่านจนจบนะ เอาไงล่ะทีนี้ อยากอ่านก็อยากอ่านเพราะติดใจมาจาก Daughter of Smoke and Bone แต่ก็กลัวค้างคา เอาน่ะ เสี่ยงดู
แม็กพาย วินด์วิตช์ เป็นเด็กหญิงแฟรี่ (อายุร้อยปีแล้วล่ะ แต่สำหรับโลกในเรื่องนี้ที่แฟรี่อยู่ได้เป็นพันปีก็ถือว่ายังเด็กอยู่) แม็กพายออกไล่ล่าปิศาจที่เหล่ามนุษย์จอมจุ้นปล่อยให้หลุดจากขวด วันหนึ่งก็มาเจอว่า ปิศาจที่หลุดออกจากขวดคราวนี้ไม่ใช่ธรรมดา เพราะผนึกที่ปิดขวดนั้นเป็นตราประทับของแม็กรูเวน ดจินน์ธาตุไฟ ที่เป็นผู้สร้างโลกทั้งหมดขึ้นมา แม็กพายกับพวกพ้องพี่อีกาของเธอจึงเดินทางติดตามเบาะแสกลับมาที่ป่าดรีมดาร์ค บ้านเกิดของเธอเอง
เรื่องนี้เป็นแฟนตาซีแท้ๆ แฟนตาซีมากๆ เลยด้วย ช่วงแรกเหมือนอ่านพวกตำนานปรัมปรามากกว่าอ่านนิยายด้วยซ้ำ การสร้างโลกในเรื่องนี้มีรายละเอียดที่น่าทึ่งทีเดียว แต่ช่วงแรกก็จะรู้สึกแปลกที่นิดหน่อย ไม่คุ้นเคย ถ้าเทียบกับเรื่อง DoS&B บรรยากาศในเรื่องนี้เข้าถึงยากกว่า และเนื้อเรื่องออกอารมณ์เด็กกว่า เหมือนนิทานผจญภัย จริงๆ มีตัวละครที่เป็นพระเอก แต่ยังไม่เน้นเรื่องโรแมนติก แค่ปิ๊งๆ ยังใสๆ กันอยู่ แม็กพายกับทาลอนเป็นเด็กที่สมบูรณ์แบบระดับโอเว่อร์ทั้งคู่ ช่างไม่มีข้อเสียเลย แต่ก็ไม่น่าหมั่นไส้นะ ที่จริงเนื้อเรื่องสนุกดีมากเลย และดีที่จบในเล่มแบบไม่ค้างคาด้วย เขียนได้ลงตัวมาก แต่เพราะรู้สึกว่ามันเด็กไปหน่อย เราเลยไม่ค่อยอิน
เสียดายอยากอ่านเรื่องนี้ตอนเป็นเด็ก เราคงหลงเรื่องนี้มากๆ เลย นึกถึงสมัยก่อนตอนที่อ่านเรื่อง "เมืองในตู้เสื้อผ้า" (แค่ชื่อเรื่องที่เรียกก็บอกอายุจริงๆ ^_^) แล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าทุกอันในบ้าน ไปเยี่ยมบ้านปู่ย่าตายายก็ไปแอบมุดๆ ดูในตู้ ที่จริงไม่ได้เชื่อหรอกแค่แอบหวัง ตอนเด็กๆ นี่ตลกดีเนอะ
เราก็นึกว่าจะรอให้เรื่องนี้มันออกมาให้ครบชุดก่อน แต่ปรากฏว่า พอเข้าไปอ่านเว็บคนเขียน เธอบอกว่าเรื่องนี้สำนักพิมพ์ไม่ยอมพิมพ์ต่อ มิน่าล่ะ เห็นมันออกมาแค่ 2 เล่มก็หายไปเลย แต่เลนี่ เทย์เลอร์ ก็บอกว่า จะพยายามหาวิธีให้คนได้อ่านจนจบนะ เอาไงล่ะทีนี้ อยากอ่านก็อยากอ่านเพราะติดใจมาจาก Daughter of Smoke and Bone แต่ก็กลัวค้างคา เอาน่ะ เสี่ยงดู
แม็กพาย วินด์วิตช์ เป็นเด็กหญิงแฟรี่ (อายุร้อยปีแล้วล่ะ แต่สำหรับโลกในเรื่องนี้ที่แฟรี่อยู่ได้เป็นพันปีก็ถือว่ายังเด็กอยู่) แม็กพายออกไล่ล่าปิศาจที่เหล่ามนุษย์จอมจุ้นปล่อยให้หลุดจากขวด วันหนึ่งก็มาเจอว่า ปิศาจที่หลุดออกจากขวดคราวนี้ไม่ใช่ธรรมดา เพราะผนึกที่ปิดขวดนั้นเป็นตราประทับของแม็กรูเวน ดจินน์ธาตุไฟ ที่เป็นผู้สร้างโลกทั้งหมดขึ้นมา แม็กพายกับพวกพ้องพี่อีกาของเธอจึงเดินทางติดตามเบาะแสกลับมาที่ป่าดรีมดาร์ค บ้านเกิดของเธอเอง
เรื่องนี้เป็นแฟนตาซีแท้ๆ แฟนตาซีมากๆ เลยด้วย ช่วงแรกเหมือนอ่านพวกตำนานปรัมปรามากกว่าอ่านนิยายด้วยซ้ำ การสร้างโลกในเรื่องนี้มีรายละเอียดที่น่าทึ่งทีเดียว แต่ช่วงแรกก็จะรู้สึกแปลกที่นิดหน่อย ไม่คุ้นเคย ถ้าเทียบกับเรื่อง DoS&B บรรยากาศในเรื่องนี้เข้าถึงยากกว่า และเนื้อเรื่องออกอารมณ์เด็กกว่า เหมือนนิทานผจญภัย จริงๆ มีตัวละครที่เป็นพระเอก แต่ยังไม่เน้นเรื่องโรแมนติก แค่ปิ๊งๆ ยังใสๆ กันอยู่ แม็กพายกับทาลอนเป็นเด็กที่สมบูรณ์แบบระดับโอเว่อร์ทั้งคู่ ช่างไม่มีข้อเสียเลย แต่ก็ไม่น่าหมั่นไส้นะ ที่จริงเนื้อเรื่องสนุกดีมากเลย และดีที่จบในเล่มแบบไม่ค้างคาด้วย เขียนได้ลงตัวมาก แต่เพราะรู้สึกว่ามันเด็กไปหน่อย เราเลยไม่ค่อยอิน
เสียดายอยากอ่านเรื่องนี้ตอนเป็นเด็ก เราคงหลงเรื่องนี้มากๆ เลย นึกถึงสมัยก่อนตอนที่อ่านเรื่อง "เมืองในตู้เสื้อผ้า" (แค่ชื่อเรื่องที่เรียกก็บอกอายุจริงๆ ^_^) แล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าทุกอันในบ้าน ไปเยี่ยมบ้านปู่ย่าตายายก็ไปแอบมุดๆ ดูในตู้ ที่จริงไม่ได้เชื่อหรอกแค่แอบหวัง ตอนเด็กๆ นี่ตลกดีเนอะ
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
Dancing on Coals - Ellen O'Connell
คะแนน : 7.5
นิยายโรแมนซ์ตะวันตกเรื่องที่ 3 ของนักเขียนอินดี้ Ellen O'Connell อีบุ๊คสองเรื่องก่อนนี้ นอกจากเขียนเองพิมพ์เองแล้ว เจ้าตัวก็ยังออกแบบปกและโฟโต้ช็อปเองอีกด้วย ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ แต่เล่มนี้ง่ายไปมั้ยอ่ะ ดูเป็นมือสมัครเล่นไปหน่อย
แคทเธอรีน แกรนท์ หนีเสือปะจระเข้ จากโจรปล้นรถม้าโดยสาร (เสือ) มาเจออินเดียนแดง (จระเข้) และก็หนีจากจระเข้มาเจอ เกตัน นักรบอาปาเช่ผู้เกลียดชังคลั่งแค้นคนขาวสุดชีวิต คนขาวทุกคนที่เจอต้องฆ่าให้หมด แต่เพราะคำสัญญาที่รับปากน้องชายว่าจะไม่ฆ่าไม่ทำร้ายหญิงสาวผู้นี้ เกตันจึงต้องร่วมเดินทางกับแคทเธอรีน เพื่อพาหญิงสาวเอาตัวรอดจากดินแดนเถื่อนแถบชายแดนสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโก
ธรรมดาเราไม่ค่อยชอบพระเอกอินเดียนแดงเท่าไหร่ รวมไปถึงบรรดาผู้ชายเถื่อนๆ พวกไวกิ้ง โจรสลัด หรือท่านชีคท่านเชค ทั้งหลายเนี่ย ไม่ค่อยอยากอ่าน ไม่ถูกจริตกับพวกวางก้าม สมองยังไม่พัฒนาพ้นยุคฟาดหัวผู้หญิงลากเข้าถ้ำ ช่วงแรกๆ เกตันก็มาแนวโหดเต็มที่ เป็นนักรบที่คอยดักปล้นดักฆ่าพวกคนขาว เพราะมีความแค้นฝังใจที่พ่อแม่ถูกฆ่าตายตอนเขายังเด็ก ครึ่งเล่มแรก พระเอกไม่ยอมพูดกับนางเอกสักคำเลย ไม่พูดภาษาอังกฤษเพราะคิดว่าเสนียดปาก ใช้ส่งสัญญาณมือเอา แต่ดูๆ แล้ว เกตันก็ยังเป็นคนที่โอเคนะ โหดห้าวแต่ไม่ใช่พวกไร้เหตุผล ไม่เคยหาเรื่องนางเอกเลย ส่วนแคทเธอรีนก็โอเคมั้ง เป็นผู้หญิงเข้มแข็งและใจสู้ดี
แคทเธอรีนนั้นแม่ตายตั้งแต่เด็กเหลือแต่พ่อกับพวกพี่ชาย ถูกพาตะลอนไปมารอบโลก แต่พอเป็นสาวถูกบังคับให้กลับมาใช้ชีวิตกุลสตรี เธอก็เลยเข้ากับชีวิตใหม่ไม่ได้ ในขณะที่เกตันเป็นอินเดียนแดงที่แปลกแยกจากคนอื่นๆ ในเผ่า เพราะถูกคนขาวจับตัวไปตอนเป็นเด็ก บังคับให้เข้ารีตเข้าเรียนแบบคนขาว พอเขาโตก็หนีกลับมาอยู่กับพวกตัวเอง แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับเต็มที่จากคนอื่นๆ แล้ว คนสองคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าพวกได้มาเจอกัน ก็เลยเป็นจุดที่ทำให้ความสัมพันธ์ข้ามเผ่าพันธุ์เป็นไปได้อย่างน่าเชื่อถือ สิ่งสำคัญในความรักของทั้งคู่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับในตัวตนของกันและกัน
เรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ ผจญภัยไป ถูกจับก็หนี ถูกตามก็หลบ ไปอยู่แคมป์อินเดียนแดง ล่าสัตว์ ขี่ม้า แอบมองกันตอนอาบน้ำในลำธาร ตามเรื่องตามราวของแนวนี้ล่ะ ที่จริงเรื่องนี้ก็อ่านเพลินดี แต่ไม่มีจุดพีคให้ประทับใจ ไม่รู้ว่าขาดอะไรไป เหมือนตัวเล่นดี ครองเกมได้ แต่ยังยิงไม่เข้ากรอบ ชนเสาชนคาน
นิยายโรแมนซ์ตะวันตกเรื่องที่ 3 ของนักเขียนอินดี้ Ellen O'Connell อีบุ๊คสองเรื่องก่อนนี้ นอกจากเขียนเองพิมพ์เองแล้ว เจ้าตัวก็ยังออกแบบปกและโฟโต้ช็อปเองอีกด้วย ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ แต่เล่มนี้ง่ายไปมั้ยอ่ะ ดูเป็นมือสมัครเล่นไปหน่อย
แคทเธอรีน แกรนท์ หนีเสือปะจระเข้ จากโจรปล้นรถม้าโดยสาร (เสือ) มาเจออินเดียนแดง (จระเข้) และก็หนีจากจระเข้มาเจอ เกตัน นักรบอาปาเช่ผู้เกลียดชังคลั่งแค้นคนขาวสุดชีวิต คนขาวทุกคนที่เจอต้องฆ่าให้หมด แต่เพราะคำสัญญาที่รับปากน้องชายว่าจะไม่ฆ่าไม่ทำร้ายหญิงสาวผู้นี้ เกตันจึงต้องร่วมเดินทางกับแคทเธอรีน เพื่อพาหญิงสาวเอาตัวรอดจากดินแดนเถื่อนแถบชายแดนสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโก
ธรรมดาเราไม่ค่อยชอบพระเอกอินเดียนแดงเท่าไหร่ รวมไปถึงบรรดาผู้ชายเถื่อนๆ พวกไวกิ้ง โจรสลัด หรือท่านชีคท่านเชค ทั้งหลายเนี่ย ไม่ค่อยอยากอ่าน ไม่ถูกจริตกับพวกวางก้าม สมองยังไม่พัฒนาพ้นยุคฟาดหัวผู้หญิงลากเข้าถ้ำ ช่วงแรกๆ เกตันก็มาแนวโหดเต็มที่ เป็นนักรบที่คอยดักปล้นดักฆ่าพวกคนขาว เพราะมีความแค้นฝังใจที่พ่อแม่ถูกฆ่าตายตอนเขายังเด็ก ครึ่งเล่มแรก พระเอกไม่ยอมพูดกับนางเอกสักคำเลย ไม่พูดภาษาอังกฤษเพราะคิดว่าเสนียดปาก ใช้ส่งสัญญาณมือเอา แต่ดูๆ แล้ว เกตันก็ยังเป็นคนที่โอเคนะ โหดห้าวแต่ไม่ใช่พวกไร้เหตุผล ไม่เคยหาเรื่องนางเอกเลย ส่วนแคทเธอรีนก็โอเคมั้ง เป็นผู้หญิงเข้มแข็งและใจสู้ดี
แคทเธอรีนนั้นแม่ตายตั้งแต่เด็กเหลือแต่พ่อกับพวกพี่ชาย ถูกพาตะลอนไปมารอบโลก แต่พอเป็นสาวถูกบังคับให้กลับมาใช้ชีวิตกุลสตรี เธอก็เลยเข้ากับชีวิตใหม่ไม่ได้ ในขณะที่เกตันเป็นอินเดียนแดงที่แปลกแยกจากคนอื่นๆ ในเผ่า เพราะถูกคนขาวจับตัวไปตอนเป็นเด็ก บังคับให้เข้ารีตเข้าเรียนแบบคนขาว พอเขาโตก็หนีกลับมาอยู่กับพวกตัวเอง แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับเต็มที่จากคนอื่นๆ แล้ว คนสองคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าพวกได้มาเจอกัน ก็เลยเป็นจุดที่ทำให้ความสัมพันธ์ข้ามเผ่าพันธุ์เป็นไปได้อย่างน่าเชื่อถือ สิ่งสำคัญในความรักของทั้งคู่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับในตัวตนของกันและกัน
เรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ ผจญภัยไป ถูกจับก็หนี ถูกตามก็หลบ ไปอยู่แคมป์อินเดียนแดง ล่าสัตว์ ขี่ม้า แอบมองกันตอนอาบน้ำในลำธาร ตามเรื่องตามราวของแนวนี้ล่ะ ที่จริงเรื่องนี้ก็อ่านเพลินดี แต่ไม่มีจุดพีคให้ประทับใจ ไม่รู้ว่าขาดอะไรไป เหมือนตัวเล่นดี ครองเกมได้ แต่ยังยิงไม่เข้ากรอบ ชนเสาชนคาน
วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
มาแล้ว ตัวอย่างหนังแบบเต็ม The Hunger Games
หลังจากผิดหวังจากทีเซอร์ที่ออกมาก่อนนี้ ที่แทบไม่เห็นอะไรเลย
อันนี้ล่ะ ใช่เลย <3 <3 <3 นั่งลุ้นหน้าเว็บรอดูสตรีมถ่ายทอดสดทั้งชั่วโมงเลยนี่
ฮือ น้ำตาแทบไหล ปลื้มมาก อยากดูหนังแทบรอไม่ไหวแล้ว
ตอนนี้ก็เตรียม Pre-order หนังสือไปพลางๆ ก่อน เล็งไว้ 3 เล่มนี้
The Hunger Games: Official Illustrated Movie Companion
The Hunger Games Tribute Guide
The World of the Hunger Games
มาเจาะกันทีละช็อตในเทรลเลอร์นี้
จะพยายามไม่สปอยล์มากเกินไป แต่ในตัวอย่างหนังก็มีบอกเนื้อเรื่องสำคัญไปบางจุดแล้ว
ความจริงใครที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ ก็ไม่ควรอ่านเนื้อความต่อไปนี้
เพราะสำหรับเรื่อง Hunger Games อ่านนิยายหรือดูหนังแบบไม่รู้อะไรมาก่อนเลยจะสนุกกว่า
Inheritance - Christopher Paolini
คะแนน : 7
เล่มนี้คือหนังสือชุด Inheritance ลำดับ 4 หรือว่า เอรากอน เล่มจบ นั่นเอง จากที่ตอนแรกบอกจะเป็นไตรภาค เขียนไปเขียนมาดังก็ยืดมาอีกเล่ม จาก Inheritance Trilogy ก็กลายเป็น Inheritance Cycle ไป
ถ้าใครชอบเรื่องเอรากอน ขอความกรุณาอย่าอ่านโพสต์นี้เลยค่ะ เพราะมันอาจมีข้อความกระทบกระเทือนจิตใจคุณได้ ขออนุญาตออกตัวแรงนิดนึง เพราะจำได้ว่าเคยอ่านบล็อกวิจารณ์เรื่องนี้ (ลองกูเกิลดู ยังหาเจอด้วย ที่นี่) เราไม่ได้คิดตรงกันกับคุณเจ้าของบล็อกโน้นหมดนะ แต่อ่านแล้วนั่งขำที่เขียน บางอย่างก็จริงของเขานะ พอมาเจอความเห็นตอนท้าย โห แฟนๆ เอรากอนที่มาตอบคอมเมนต์น่ากลัวมาก ตอนจะเริ่มเขียนถึงเรื่องนี้นึกถึงเคสนั้นขึ้นมาได้ เลยรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ นั่นเป็นกรณีฝังใจที่ทำให้เราเกิดอาการไม่เข้าใจอยู่ตั้งนาน คือ ความเห็นต่างกันก็เรื่องหนึ่ง แต่มารยาทในสังคมก็เป็นอีกเรื่อง เว็บเป็นพื้นที่สาธารณะก็จริง แต่บล็อกมันมีความเป็นส่วนตัวอยู่ในระดับนึง มันไม่ใช่เว็บบอร์ด เป็นแขกแต่ไประรานบอกเจ้าของบ้านให้ปรับทัศนคตินี่ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรยอมรับกันได้นะคะ เพราะฉะนั้น หนูๆ เอ๋ย ถ้ารู้ตัวว่าเป็นแฟนเทพของซีรีส์นี้แบบใครแตะไม่ได้ ก็อย่าอ่านบล็อกนี้ อย่ามายุ่งกับพี่เลย ขอร้อง
คำเตือน : เนื้อหาต่อไปนี้คือสปอยล์สุดสามโลก ที่พูดถึงเล่มก่อนๆ จนถึงฉากจบเล่มนี้ด้วย การคลิกปุ่มข้างล่าง ถือเป็นการตกลงว่า ยินดีรับความเสี่ยง และถ้าอ่านแล้วไม่ชอบใจ จะไปแอบด่าเจ้าของบล็อกนี้ที่ไหนก็ได้ แต่จะไม่มาต่อความยาวสาวความยืดกันที่นี่
ก่อนพูดถึงเล่มใหม่ ขอเท้าความเดิมหน่อย ตอนที่อ่านเล่ม 1 Eragon (คะแนน 8) เรายังชอบเรื่องนี้อยู่เลย ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนอ่านเราก็นึกถึงเนื้อเรื่อง Star Wars ในฉากบรรยากาศแบบ LOTR เหมือนกัน แต่ก็คิดแค่ช่วงแรกในส่วนของโครงเรื่อง พอถึงหลังๆ มันก็มีรายละเอียดเยอะแยะที่อ่านแล้วก็รู้สึกว่าน่าติดตามดีเหมือนกัน เพราะจะว่าไป พล็อตเรื่องของนิยายมันก็ไม่ได้มีมากมายนักหรอก ถึงจะไม่ค่อยออริจินอล แต่ถ้าเขียนแล้วอ่านสนุกได้ เราก็โอเค
พอถึงเล่ม 2 Eldest (คะแนน 7) เล่มนี้เลือนๆ จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว แต่รู้สึกจะเริ่มเบื่อความยืดของมัน ฝึกวิชากันนานมาก มีแต่น้ำ มีเนื้อเรื่องสำคัญจริงๆ ในเล่มก็ตรงเรื่องของเมอร์ทักห์แค่นั้นเอง (I am your brother ทำเสียงเหมือนดาร์ธเวเดอร์นะ ^_^) จนมาเจอเล่ม 3 Brisingr (คะแนน 6) ทำให้เราเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้อย่างแรง จุดที่เราไม่ไหวคือ เรื่องชาติกำเนิดของเอรากอน ดูท่าข้อกล่าวหาเรื่องก๊อบสตาร์วอร์สคงจะกระเทือนซางคนเขียน Christopher Paolini ไม่น้อย น้องเปา (ชอบคำนี้ ขอยืมใช้) ก็เลยพลิกเรื่องซะ เผื่อคนไม่ได้อ่านเรื่องนี้ เราก็จะใช้ตัวละครสตาร์วอร์สเปรียบเทียบให้ฟังว่ามันเป็นยังไง คือ จริงๆ แล้ว เอรากอน (ลุค) ไม่ใช่ลูกของมอร์ซาน (อนาคิน) ที่ทรยศไปเข้ากับกัลบาทอริกซ์ (จักรพรรดิ) อย่างที่ตัวเองเข้าใจตามที่เมอร์ทักห์บอก แต่เซเลน่า (แพดเม่) คบชู้กับบรอม (โอบีวัน) จนมีลูกออกมาเป็นเอรากอนต่างหาก เห็นมั้ย ไม่เหมือนสตาร์วอร์สแล้ว แต่อ่านตอนนั้นนี่เราแทบอยากจะหาอะไรเขวี้ยงมากเลย แม่มเอ๊ย ถ้าเป็นงั้น ตอนบรอมสอนวิชาทำไมไม่บอกเอรากอนวะ ศักดิ์ศรีไม่มีแล้ว นอกจากตีท้ายครัวเพื่อนแล้วกับลูกก็ยังไม่กล้าบอกความจริงต่อหน้าอีก ว้อย
เจอเนื้อเรื่องอุบาทว์ในเล่ม 3 ไป ทำให้เรารู้สึกลบกับเรื่องนี้มากๆ แล้ว แต่พอเล่ม 4 ออกก็ต้องอ่าน คือ ไม่ชอบค้างคาน่ะ ยังไงก็อยากรู้ตอนจบ เล่มอวสานของชุดนี้หนามากๆ ปาเข้าไป 880 หน้า (ยืดขึ้นเรื่อยๆ จำนวนหน้าของฉบับภาษาอังกฤษตามลำดับ 528 -> 704 -> 785 -> 880) เริ่มต้นเล่มมีเรื่องย่อ 3 เล่มแรกให้อ่านก่อนก็ค่อยยังชั่ว อ่านนานชักลืมแล้ว เปิดฉากต่อมาจากเล่มเดิม เอรากอนกับพวกพ้องเตรียมตัวยกกองทัพจะไปลุยกับราชากัลบาทอริกซ์ แรกๆ เราก็ตั้งใจอ่านดีอยู่ เอ๊ะ แต่ไปเรื่อยๆ ทำไมมันอืดอย่างนี้ น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงจริงๆ สำนวนของน้องเปานี่เยิ่นเย้อสุดๆ เดี๋ยวจะหาว่าพูดลอยๆ ยกตัวอย่างให้ดู แค่จะบอกว่า ฝูงมังกรเรียกว่า A thunder of dragons ต้องเขียนยาวขนาดนี้
แม่เจ้า! ตอนนี้เจอมหาอุทกภัยในชีวิตจริงแล้ว ยังต้องมาลุยน้ำท่วมอาลาเกเซียในนิยายอีกด้วยหรือนี่ ไม่ใช่แค่คำบรรยายเพ้อเจ้อ แต่เนื้อเรื่องก็เต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยไร้สาระเต็มไปหมด อย่างมีบทที่เอรากอนไปนั่งลุ้นชาวบ้านคลอดลูกทั้งบท แล้วพอคลอดออกมาเอรากอนก็ต้องไปนั่งรักษาเด็กที่เกิดมาพิการอีกทั้งบท เพื่ออะไร !? สำคัญตรงไหนกับเนื้อเรื่อง โธ่ ท่านนักบุญเอรากอน เราพยายามตั้งใจอ่านอยู่ได้แค่ตอนต้นประมาณ 200 กว่าหน้า (ถ้าเป็นเรื่องอื่นนี่จะจบเล่มแล้วนะ) หลังจากนั้นก็เริ่มไม่ไหวล่ะ เปิดเสียงให้ Kindle อ่านให้ฟังแทน ตอนไหนมีอะไรเกิดขึ้นค่อยสลับกลับมาอ่าน
พอมาตรงกลาง เนื้อเรื่องตรงที่ไปหาเอลดูนารีของมังกรนี่ จริงๆ ไอเดียดี ถ้ารวบรัดหน่อยจะสนุกกว่านี้ และพอถึงตอนท้าย ฉากที่ลุยด่านไปเผชิญหน้ากับกัลบาทอริกซ์ก็สนุกดีทีเดียว แต่วิธีปราบบอสใหญ่นี่ทำให้นึกถึงเรื่อง The Sword of Shannara นะ เอรากอนนี่มันรวมฮิตนิยายแฟนตาซีจริงๆ ไอ้แนวคิดเรื่องนามจริงของสรรพสิ่ง นี่ก็เอามาจากพ่อมดแห่งเอิร์ธซี แล้วพอโค่นตัวร้ายเสร็จ เรื่องก็ยังไม่จบ ยังเหลืออีกเกินร้อยหน้า นั่งแจกแจงชีวิตแต่ละคนกันอีก ว่าใครเป็นยังไง จะทำอะไรต่อ พวกตัวละครดาดๆ อย่างโรแรนกับแคทริน่านี่จะมีบทเยอะแยะอะไรนักหนา อีตรงที่ไม่สำคัญล่ะเล่าเยอะ ทีไอ้เจ้ามังกรเขียวบนหน้าปกเนี่ย โผล่มาตอนจะจบเรื่องอยู่แล้ว ตอนอ่านฉากมังกรผสมพันธุ์กันนี่ กุมหัวเลย จำเป็นต้องมีด้วยเรอะ
ส่วนฉากจบ เอรากอนกับซาเฟียร่าเดินทางออกจากดินแดนอาลาเกเซีย ไปหาที่ฟูมฟักไข่มังกร และจะเป็นผู้ฝึกสอนพวกอัศวินมังกรรุ่นใหม่ ก่อนไปก็เสียเวลาร่ำลากับตัวละครที่เหลือเกือบทุกคนในเรื่อง (เฮ้อ) เมอร์ทักห์ (ตัวละครที่ดูมีพัฒนาการที่สุดคนเดียวในเรื่อง) กับธอร์นก็ไปตามทางตัวเอง ส่วนอาเรียก็ไปเป็นราชินีเอลฟ์ ถ้าเราชอบนางเอกเรื่องนี้คงแอบเศร้านิดนึงที่พระเอกไม่ได้คู่ ดีที่เฉยๆ กับอาเรียเลยไม่รู้สึกอะไร แบบอาเรียนี่เหมือนที่เพลงเขาว่า สวยแล้วหยิ่งที่จริงไม่ผิด แต่รำคาญเหมือนกัน เวลาเอรากอนมองอาเรียตาปรอยเหมือนลูกหมาหาเจ้าของทั้งเรื่อง เพราะเรื่องมันเล่าจากฝั่งเอรากอนเป็นหลัก ก็จะรู้สึกถึงแต่ความเฉยเมยเย็นชาของอาเรีย คนอ่านเลยเข้าไม่ถึง เพราะฉะนั้นจบแบบนี้ก็คงโอเคแล้วมั้ง ก็ตามสไตล์ฮีโร่ ชะตาวีรบุรุษ สู้จบแล้วต้องปลีกวิเวก เป็นคนดีต้องเสียสละ ครองบัลลังก์เองไม่ได้ เดี๋ยวเขาหาว่าหวังผล
ความจริงตอนอ่านช่วงเบื่อนี่อยากให้คะแนน 6.5 เท่านั้น แต่พอบางช่วงมันก็สนุกดี เสียดายถ้าตัดน้ำๆ ออกสักครึ่งเล่ม อาจจะให้ถึง 7.5 เลย ตกลงใจจิ้มไปที่ 7 แล้วกัน แต่ถ้ามีไทม์แมชชีน เราจะย้อนเวลาไปเตือนตัวเองก่อนเริ่มอ่านเรื่องชุดนี้ตามกระแสว่า ที่จริงเรื่องนี้มันก็อ่านได้ แต่เพราะมันยาวเกิน ไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไปเท่าไหร่นักหรอก
เล่มนี้คือหนังสือชุด Inheritance ลำดับ 4 หรือว่า เอรากอน เล่มจบ นั่นเอง จากที่ตอนแรกบอกจะเป็นไตรภาค เขียนไปเขียนมาดังก็ยืดมาอีกเล่ม จาก Inheritance Trilogy ก็กลายเป็น Inheritance Cycle ไป
ถ้าใครชอบเรื่องเอรากอน ขอความกรุณาอย่าอ่านโพสต์นี้เลยค่ะ เพราะมันอาจมีข้อความกระทบกระเทือนจิตใจคุณได้ ขออนุญาตออกตัวแรงนิดนึง เพราะจำได้ว่าเคยอ่านบล็อกวิจารณ์เรื่องนี้ (ลองกูเกิลดู ยังหาเจอด้วย ที่นี่) เราไม่ได้คิดตรงกันกับคุณเจ้าของบล็อกโน้นหมดนะ แต่อ่านแล้วนั่งขำที่เขียน บางอย่างก็จริงของเขานะ พอมาเจอความเห็นตอนท้าย โห แฟนๆ เอรากอนที่มาตอบคอมเมนต์น่ากลัวมาก ตอนจะเริ่มเขียนถึงเรื่องนี้นึกถึงเคสนั้นขึ้นมาได้ เลยรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ นั่นเป็นกรณีฝังใจที่ทำให้เราเกิดอาการไม่เข้าใจอยู่ตั้งนาน คือ ความเห็นต่างกันก็เรื่องหนึ่ง แต่มารยาทในสังคมก็เป็นอีกเรื่อง เว็บเป็นพื้นที่สาธารณะก็จริง แต่บล็อกมันมีความเป็นส่วนตัวอยู่ในระดับนึง มันไม่ใช่เว็บบอร์ด เป็นแขกแต่ไประรานบอกเจ้าของบ้านให้ปรับทัศนคตินี่ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรยอมรับกันได้นะคะ เพราะฉะนั้น หนูๆ เอ๋ย ถ้ารู้ตัวว่าเป็นแฟนเทพของซีรีส์นี้แบบใครแตะไม่ได้ ก็อย่าอ่านบล็อกนี้ อย่ามายุ่งกับพี่เลย ขอร้อง
คำเตือน : เนื้อหาต่อไปนี้คือสปอยล์สุดสามโลก ที่พูดถึงเล่มก่อนๆ จนถึงฉากจบเล่มนี้ด้วย การคลิกปุ่มข้างล่าง ถือเป็นการตกลงว่า ยินดีรับความเสี่ยง และถ้าอ่านแล้วไม่ชอบใจ จะไปแอบด่าเจ้าของบล็อกนี้ที่ไหนก็ได้ แต่จะไม่มาต่อความยาวสาวความยืดกันที่นี่
ก่อนพูดถึงเล่มใหม่ ขอเท้าความเดิมหน่อย ตอนที่อ่านเล่ม 1 Eragon (คะแนน 8) เรายังชอบเรื่องนี้อยู่เลย ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนอ่านเราก็นึกถึงเนื้อเรื่อง Star Wars ในฉากบรรยากาศแบบ LOTR เหมือนกัน แต่ก็คิดแค่ช่วงแรกในส่วนของโครงเรื่อง พอถึงหลังๆ มันก็มีรายละเอียดเยอะแยะที่อ่านแล้วก็รู้สึกว่าน่าติดตามดีเหมือนกัน เพราะจะว่าไป พล็อตเรื่องของนิยายมันก็ไม่ได้มีมากมายนักหรอก ถึงจะไม่ค่อยออริจินอล แต่ถ้าเขียนแล้วอ่านสนุกได้ เราก็โอเค
พอถึงเล่ม 2 Eldest (คะแนน 7) เล่มนี้เลือนๆ จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว แต่รู้สึกจะเริ่มเบื่อความยืดของมัน ฝึกวิชากันนานมาก มีแต่น้ำ มีเนื้อเรื่องสำคัญจริงๆ ในเล่มก็ตรงเรื่องของเมอร์ทักห์แค่นั้นเอง (I am your brother ทำเสียงเหมือนดาร์ธเวเดอร์นะ ^_^) จนมาเจอเล่ม 3 Brisingr (คะแนน 6) ทำให้เราเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้อย่างแรง จุดที่เราไม่ไหวคือ เรื่องชาติกำเนิดของเอรากอน ดูท่าข้อกล่าวหาเรื่องก๊อบสตาร์วอร์สคงจะกระเทือนซางคนเขียน Christopher Paolini ไม่น้อย น้องเปา (ชอบคำนี้ ขอยืมใช้) ก็เลยพลิกเรื่องซะ เผื่อคนไม่ได้อ่านเรื่องนี้ เราก็จะใช้ตัวละครสตาร์วอร์สเปรียบเทียบให้ฟังว่ามันเป็นยังไง คือ จริงๆ แล้ว เอรากอน (ลุค) ไม่ใช่ลูกของมอร์ซาน (อนาคิน) ที่ทรยศไปเข้ากับกัลบาทอริกซ์ (จักรพรรดิ) อย่างที่ตัวเองเข้าใจตามที่เมอร์ทักห์บอก แต่เซเลน่า (แพดเม่) คบชู้กับบรอม (โอบีวัน) จนมีลูกออกมาเป็นเอรากอนต่างหาก เห็นมั้ย ไม่เหมือนสตาร์วอร์สแล้ว แต่อ่านตอนนั้นนี่เราแทบอยากจะหาอะไรเขวี้ยงมากเลย แม่มเอ๊ย ถ้าเป็นงั้น ตอนบรอมสอนวิชาทำไมไม่บอกเอรากอนวะ ศักดิ์ศรีไม่มีแล้ว นอกจากตีท้ายครัวเพื่อนแล้วกับลูกก็ยังไม่กล้าบอกความจริงต่อหน้าอีก ว้อย
เจอเนื้อเรื่องอุบาทว์ในเล่ม 3 ไป ทำให้เรารู้สึกลบกับเรื่องนี้มากๆ แล้ว แต่พอเล่ม 4 ออกก็ต้องอ่าน คือ ไม่ชอบค้างคาน่ะ ยังไงก็อยากรู้ตอนจบ เล่มอวสานของชุดนี้หนามากๆ ปาเข้าไป 880 หน้า (ยืดขึ้นเรื่อยๆ จำนวนหน้าของฉบับภาษาอังกฤษตามลำดับ 528 -> 704 -> 785 -> 880) เริ่มต้นเล่มมีเรื่องย่อ 3 เล่มแรกให้อ่านก่อนก็ค่อยยังชั่ว อ่านนานชักลืมแล้ว เปิดฉากต่อมาจากเล่มเดิม เอรากอนกับพวกพ้องเตรียมตัวยกกองทัพจะไปลุยกับราชากัลบาทอริกซ์ แรกๆ เราก็ตั้งใจอ่านดีอยู่ เอ๊ะ แต่ไปเรื่อยๆ ทำไมมันอืดอย่างนี้ น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงจริงๆ สำนวนของน้องเปานี่เยิ่นเย้อสุดๆ เดี๋ยวจะหาว่าพูดลอยๆ ยกตัวอย่างให้ดู แค่จะบอกว่า ฝูงมังกรเรียกว่า A thunder of dragons ต้องเขียนยาวขนาดนี้
“That is the proper term for a flock of dragons. If ever you had heard one in full flight, you would understand. When ten, twelve, or more dragons flew past overhead, the very air would reverberate around you, as if you were sitting inside a giant drum. Besides, what else could you call a group of dragons? You have your murder of ravens, your convocation of eagles, your gaggle of geese, your raft of ducks, your band of jays, your parliament of owls, and so on, but what about dragons? A hunger of dragons? That doesn’t sound quite right. Nor does referring to them as a blaze or a terror, although I’m rather fond of terror, all things considered: a terror of dragons.… But no, a flock of dragons is called a thunder. Which you would know if your education had consisted of more than just learning how to swing a sword and conjugate a few verbs in the ancient language.”
แม่เจ้า! ตอนนี้เจอมหาอุทกภัยในชีวิตจริงแล้ว ยังต้องมาลุยน้ำท่วมอาลาเกเซียในนิยายอีกด้วยหรือนี่ ไม่ใช่แค่คำบรรยายเพ้อเจ้อ แต่เนื้อเรื่องก็เต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยไร้สาระเต็มไปหมด อย่างมีบทที่เอรากอนไปนั่งลุ้นชาวบ้านคลอดลูกทั้งบท แล้วพอคลอดออกมาเอรากอนก็ต้องไปนั่งรักษาเด็กที่เกิดมาพิการอีกทั้งบท เพื่ออะไร !? สำคัญตรงไหนกับเนื้อเรื่อง โธ่ ท่านนักบุญเอรากอน เราพยายามตั้งใจอ่านอยู่ได้แค่ตอนต้นประมาณ 200 กว่าหน้า (ถ้าเป็นเรื่องอื่นนี่จะจบเล่มแล้วนะ) หลังจากนั้นก็เริ่มไม่ไหวล่ะ เปิดเสียงให้ Kindle อ่านให้ฟังแทน ตอนไหนมีอะไรเกิดขึ้นค่อยสลับกลับมาอ่าน
พอมาตรงกลาง เนื้อเรื่องตรงที่ไปหาเอลดูนารีของมังกรนี่ จริงๆ ไอเดียดี ถ้ารวบรัดหน่อยจะสนุกกว่านี้ และพอถึงตอนท้าย ฉากที่ลุยด่านไปเผชิญหน้ากับกัลบาทอริกซ์ก็สนุกดีทีเดียว แต่วิธีปราบบอสใหญ่นี่ทำให้นึกถึงเรื่อง The Sword of Shannara นะ เอรากอนนี่มันรวมฮิตนิยายแฟนตาซีจริงๆ ไอ้แนวคิดเรื่องนามจริงของสรรพสิ่ง นี่ก็เอามาจากพ่อมดแห่งเอิร์ธซี แล้วพอโค่นตัวร้ายเสร็จ เรื่องก็ยังไม่จบ ยังเหลืออีกเกินร้อยหน้า นั่งแจกแจงชีวิตแต่ละคนกันอีก ว่าใครเป็นยังไง จะทำอะไรต่อ พวกตัวละครดาดๆ อย่างโรแรนกับแคทริน่านี่จะมีบทเยอะแยะอะไรนักหนา อีตรงที่ไม่สำคัญล่ะเล่าเยอะ ทีไอ้เจ้ามังกรเขียวบนหน้าปกเนี่ย โผล่มาตอนจะจบเรื่องอยู่แล้ว ตอนอ่านฉากมังกรผสมพันธุ์กันนี่ กุมหัวเลย จำเป็นต้องมีด้วยเรอะ
ส่วนฉากจบ เอรากอนกับซาเฟียร่าเดินทางออกจากดินแดนอาลาเกเซีย ไปหาที่ฟูมฟักไข่มังกร และจะเป็นผู้ฝึกสอนพวกอัศวินมังกรรุ่นใหม่ ก่อนไปก็เสียเวลาร่ำลากับตัวละครที่เหลือเกือบทุกคนในเรื่อง (เฮ้อ) เมอร์ทักห์ (ตัวละครที่ดูมีพัฒนาการที่สุดคนเดียวในเรื่อง) กับธอร์นก็ไปตามทางตัวเอง ส่วนอาเรียก็ไปเป็นราชินีเอลฟ์ ถ้าเราชอบนางเอกเรื่องนี้คงแอบเศร้านิดนึงที่พระเอกไม่ได้คู่ ดีที่เฉยๆ กับอาเรียเลยไม่รู้สึกอะไร แบบอาเรียนี่เหมือนที่เพลงเขาว่า สวยแล้วหยิ่งที่จริงไม่ผิด แต่รำคาญเหมือนกัน เวลาเอรากอนมองอาเรียตาปรอยเหมือนลูกหมาหาเจ้าของทั้งเรื่อง เพราะเรื่องมันเล่าจากฝั่งเอรากอนเป็นหลัก ก็จะรู้สึกถึงแต่ความเฉยเมยเย็นชาของอาเรีย คนอ่านเลยเข้าไม่ถึง เพราะฉะนั้นจบแบบนี้ก็คงโอเคแล้วมั้ง ก็ตามสไตล์ฮีโร่ ชะตาวีรบุรุษ สู้จบแล้วต้องปลีกวิเวก เป็นคนดีต้องเสียสละ ครองบัลลังก์เองไม่ได้ เดี๋ยวเขาหาว่าหวังผล
ความจริงตอนอ่านช่วงเบื่อนี่อยากให้คะแนน 6.5 เท่านั้น แต่พอบางช่วงมันก็สนุกดี เสียดายถ้าตัดน้ำๆ ออกสักครึ่งเล่ม อาจจะให้ถึง 7.5 เลย ตกลงใจจิ้มไปที่ 7 แล้วกัน แต่ถ้ามีไทม์แมชชีน เราจะย้อนเวลาไปเตือนตัวเองก่อนเริ่มอ่านเรื่องชุดนี้ตามกระแสว่า ที่จริงเรื่องนี้มันก็อ่านได้ แต่เพราะมันยาวเกิน ไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไปเท่าไหร่นักหรอก
วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
The Black Hawk - Joanna Bourne
น้ำท่วมอ่วมอรทัยกันไปตามๆ กัน ประเทศไทย บ้านของเราที่กรุงเทพฯ น้องน้ำก็จ่ออยู่ ลุ้นกันทุกวัน พะวักพะวนถึงคนทางบ้าน ส่วนตัวเราที่อยู่ทางนี้ก็ยุ่งวุ่นวายไม่ใช่น้อย เมื่อวานไปช่วยจัดถุงยังชีพ วันนี้ไปเป็นผู้ช่วยแม่ครัวทำอาหารเลี้ยงผู้ประสบภัย พรุ่งนี้ก็จะลงพื้นที่นำของไปส่ง อย่าได้เข้าใจผิดว่าเราเป็นคนดีมีจิตอาสาเชียว แต่เขาเปิดศูนย์รับบริจาคและศูนย์พักพิงผู้อพยพกันตรงนี้ ถึงไม่ใช่หน้าที่ แต่พอมีคนมาชวนแกมบังคับให้ไปช่วย ใครจะปฏิเสธได้ลงคอ
บางวันเรานั่งเรือพายเอาสิ่งของบริจาคไปให้ชาวบ้าน บางคนก็ยิ้มสู้ บางคนก็ยิ้มแห้ง แต่ที่ติดตาคือสายตาของบางคนที่เอื้อมมือมารับถุงสิ่งของ แววตาเขาช่างว่างเปล่า เห็นแล้วใจหาย พวกเขาน้ำท่วมถึงอกมาสองเดือนแล้ว ทำให้รู้สึกว่า ความช่วยเหลือที่ให้ไปมันน้อยนิดมากเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย ลำบากกันมากจริงๆ
พอหันมาเวลาจะติดตามข่าวสาร ก็ยังเจอน้ำลายท่วมจอ ท่วมบอร์ด ท่วมเว็บอีก เฮ้อ ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาทะเลาะกันนะ สถานการณ์เป็นแบบนี้ ที่จริงเราพยายามชิลนะ แต่รอบตัวเครียดๆ กันหมด ก็พาประสาทเสียไปเหมือนกัน ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีใจอ่านหนังสือ ไม่ค่อยมีอารมณ์เขียนบล็อกด้วย แต่กับเรื่องนี้อ่านจบแล้วมีอะไรอยากพูดถึงนิดหน่อย ก็สักนิดแล้วกัน
The Black Hawk - Joanna Bourne
คะแนน : 8
สามคำก่อน ปกเห่ยมาก!!! นั่นไม่ใช่เอเดรียนในใจเราเลยสักนิด
เล่มนี้คือชุด Spymaster เล่ม 4 ถึงจะผิดหวังจาก My Lord and Spymaster มา แต่ในเมื่อนี่เป็นเรื่องของเอเดรียนกับจัสตีน ที่เราถูกใจมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กใน The Forbidden Rose ยังไงก็คงต้องอ่านล่ะนะ กับการติดตามเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ยี่สิบกว่าปีของหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับหนุ่มชาวอังกฤษกับอดีตสายลับสาวสวยชาวฝรั่งเศส
ถึงเราจะพอเดาออกว่า ชีวิตพระเอกนางเอกเรื่องนี้คงจะต้องผ่านอะไรเลวร้ายมาเยอะ โดยเฉพาะจัสตีน สภาพแวดล้อมจากเล่มก่อนก็ส่ออยู่แล้ว แต่เมื่อได้รับรู้เรื่องราวของเธอจริงๆ ในเล่มนี้ ตอนอ่านหน้านั้นก็ทำให้รู้ตัวว่า ตลอดเวลาที่รอเล่มนี้มา เรายังแอบหวังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจว่า เด็กโตในซ่องแต่รอดปากเหยี่ยวปากกาได้หมดอย่างดาวพระศุกร์นี่มันมีได้จริง แต่ถ้าแต่งเรื่องอย่างนั้นเราก็อาจจะหัวเราะความไม่สมจริงก็ได้นะ เฮ้อ ถอนหายใจทีนึง โลกไม่สวยทุกอย่าง ก็ต้องทำใจ แต่จุดนี้ไม่ทำให้เราชอบจัสตีนน้อยลงนะ ถ้าจะมีความรู้สึกอะไรพอกพูนขึ้นมา ก็เป็นแค่ความสงสารตัวละครเพิ่มมาเท่านั้น
ครึ่งเล่มแรกสนุกดีมาก เราชอบฉากที่เล่าย้อนความหลังสลับไปมากับปัจจุบัน ฉากรักครั้งแรกของเอเดรียนกับจัสตีน เขียนได้ดีมากจริงๆ แสดงพัฒนาการทางจิตใจของตัวละครได้ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดาย ที่พอจัสตีนโตเป็นสาวเต็มตัว กลับทำให้เรารู้สึกชอบเธอน้อยลง ช่วงที่ตัดสัมพันธ์ ถึงจะพอเข้าใจเหตุผล แต่เราไม่ชอบวิธีการ แล้วก็รู้สึกว่า นางเอกดึงดันดื้อด้านมากไป
พอถึงครึ่งเรื่องหลังกลับไม่สนุกเท่าช่วงแรก เพราะเมื่อผ่านมาถึงเหตุการณ์ปัจจุบันในเรื่อง ในหลายๆ ฉากที่จัสตีนทำและพูด ก็ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า นางเอกเรื่องนี้เป็นผู้หญิงกร้านโลกเกินไปแล้วสำหรับเรา เราเพิ่งเบื่อนางเอกเรื่อง Angel's Wolf (Nalini Singh) ที่นั่งเจ็บปวดฝังใจกับคนรักเก่ามาเป็นร้อยปี แต่พอมาเจอแบบจัสตีนที่ดูชาด้านไม่ค่อยแสดงอาการเจ็บปวดรวดร้าวอะไรมากนักตลอดเวลาที่ต้องแยกจากเอเดรียน เราก็ขัดใจอีก (จู้จี้จังแฮะ) จะเทียบว่าไงดี เธอเป็นฟักทองที่มีเปลือกหนา แต่ข้างในเนื้อนิ่มช้ำง่าย เหมือนคนที่ข้างในบอบบางเลยต้องสร้างเปลือกหนาไว้คุ้มครอง หรือเป็นหัวมันที่เปลือกบ๊างบาง แต่ข้างในแข็งโป๊ก หรือประสบการณ์ชีวิตของจัสตีนสูบความชุ่มชื่นออกจากตัวเธอหมด กลายเป็นแตงกวาที่เปลือกแข็ง แต่ข้างในแห้งหมดไม่มีน้ำ กินไม่ไหวแล้ว (อาจจะอุปมาตลกๆ หน่อย เพราะวันนี้ไปนั่งหั่นผักมา แบบเก้ๆ กังๆ สุดขีด เพราะตัวเองยังไม่เคยทำให้ตัวเองกินเลยนะเนี่ย)
เพราะเนื้อเรื่องช่วงหลังมันหันไปสนใจกับงานสายลับที่ต้องสืบหาว่าใครอยู่เบื้องหลังการลอบทำร้ายจัสตีนและจ้องป้ายสีให้เอเดรียน ส่วนของความเป็นโรแมนซ์เลยดูเหมือนไม่ได้พัฒนาเต็มที่ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในปัจจุบัน มันขาดความหวานความซึ้ง อย่างฉากรักครั้งที่ทั้งคู่กลับมาดีกัน มันน่าจะสร้างความประทับใจได้มากกว่านี้นะ แม้แต่คำว่า I love you ของจัสตีน ก็จืดชืดธรรมดามากเลย อีกอย่างเราไม่ชอบเวลาที่จัสตีนชอบพูดตอกย้ำอดีตตัวเองกับเอเดรียน ไม่รู้คิดมากไปมั้ย แต่เหมือนเธอพูดเพื่อลองใจ ให้เขารู้สึกเจ็บร้อนแทน เราว่า จัสตีนน่าจะรู้ตัวว่า ที่เธอทำที่เธอเป็น เกิดได้ยังไง ทำเพื่ออะไร ถ้ารู้เหตุผลของตัวเองในใจ ก็ไม่เห็นจะต้องรู้สึกดูถูกตัวเอง แต่เพราะเป็นอย่างนี้ ความรู้สึกชอบนางเอกเลยไม่พีค โดยเฉพาะถ้าเทียบกับเรื่อง The Spymaster's Lady ถ้าลองให้คะแนนความชอบตัวละครดูคงได้ประมาณนี้ เกรย์ 8 + แอนนีค 10, เอเดรียน 8.5 + จัสตีน 8
อาจจะดูเหมือนติเยอะ แต่จริงๆ เราชอบเรื่องนี้นะ เพียงแต่คิดว่า มันน่าจะดีกว่านี้ได้ หรือไม่ก็เพราะมันมืดมนไปสำหรับเรา ถึงไม่ชอบเล่มนี้มากกว่านี้
บางวันเรานั่งเรือพายเอาสิ่งของบริจาคไปให้ชาวบ้าน บางคนก็ยิ้มสู้ บางคนก็ยิ้มแห้ง แต่ที่ติดตาคือสายตาของบางคนที่เอื้อมมือมารับถุงสิ่งของ แววตาเขาช่างว่างเปล่า เห็นแล้วใจหาย พวกเขาน้ำท่วมถึงอกมาสองเดือนแล้ว ทำให้รู้สึกว่า ความช่วยเหลือที่ให้ไปมันน้อยนิดมากเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย ลำบากกันมากจริงๆ
พอหันมาเวลาจะติดตามข่าวสาร ก็ยังเจอน้ำลายท่วมจอ ท่วมบอร์ด ท่วมเว็บอีก เฮ้อ ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาทะเลาะกันนะ สถานการณ์เป็นแบบนี้ ที่จริงเราพยายามชิลนะ แต่รอบตัวเครียดๆ กันหมด ก็พาประสาทเสียไปเหมือนกัน ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีใจอ่านหนังสือ ไม่ค่อยมีอารมณ์เขียนบล็อกด้วย แต่กับเรื่องนี้อ่านจบแล้วมีอะไรอยากพูดถึงนิดหน่อย ก็สักนิดแล้วกัน
The Black Hawk - Joanna Bourne
คะแนน : 8
สามคำก่อน ปกเห่ยมาก!!! นั่นไม่ใช่เอเดรียนในใจเราเลยสักนิด
เล่มนี้คือชุด Spymaster เล่ม 4 ถึงจะผิดหวังจาก My Lord and Spymaster มา แต่ในเมื่อนี่เป็นเรื่องของเอเดรียนกับจัสตีน ที่เราถูกใจมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กใน The Forbidden Rose ยังไงก็คงต้องอ่านล่ะนะ กับการติดตามเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ยี่สิบกว่าปีของหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับหนุ่มชาวอังกฤษกับอดีตสายลับสาวสวยชาวฝรั่งเศส
เตือนสปอยล์
ถึงเราจะพอเดาออกว่า ชีวิตพระเอกนางเอกเรื่องนี้คงจะต้องผ่านอะไรเลวร้ายมาเยอะ โดยเฉพาะจัสตีน สภาพแวดล้อมจากเล่มก่อนก็ส่ออยู่แล้ว แต่เมื่อได้รับรู้เรื่องราวของเธอจริงๆ ในเล่มนี้ ตอนอ่านหน้านั้นก็ทำให้รู้ตัวว่า ตลอดเวลาที่รอเล่มนี้มา เรายังแอบหวังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจว่า เด็กโตในซ่องแต่รอดปากเหยี่ยวปากกาได้หมดอย่างดาวพระศุกร์นี่มันมีได้จริง แต่ถ้าแต่งเรื่องอย่างนั้นเราก็อาจจะหัวเราะความไม่สมจริงก็ได้นะ เฮ้อ ถอนหายใจทีนึง โลกไม่สวยทุกอย่าง ก็ต้องทำใจ แต่จุดนี้ไม่ทำให้เราชอบจัสตีนน้อยลงนะ ถ้าจะมีความรู้สึกอะไรพอกพูนขึ้นมา ก็เป็นแค่ความสงสารตัวละครเพิ่มมาเท่านั้น
ครึ่งเล่มแรกสนุกดีมาก เราชอบฉากที่เล่าย้อนความหลังสลับไปมากับปัจจุบัน ฉากรักครั้งแรกของเอเดรียนกับจัสตีน เขียนได้ดีมากจริงๆ แสดงพัฒนาการทางจิตใจของตัวละครได้ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดาย ที่พอจัสตีนโตเป็นสาวเต็มตัว กลับทำให้เรารู้สึกชอบเธอน้อยลง ช่วงที่ตัดสัมพันธ์ ถึงจะพอเข้าใจเหตุผล แต่เราไม่ชอบวิธีการ แล้วก็รู้สึกว่า นางเอกดึงดันดื้อด้านมากไป
พอถึงครึ่งเรื่องหลังกลับไม่สนุกเท่าช่วงแรก เพราะเมื่อผ่านมาถึงเหตุการณ์ปัจจุบันในเรื่อง ในหลายๆ ฉากที่จัสตีนทำและพูด ก็ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า นางเอกเรื่องนี้เป็นผู้หญิงกร้านโลกเกินไปแล้วสำหรับเรา เราเพิ่งเบื่อนางเอกเรื่อง Angel's Wolf (Nalini Singh) ที่นั่งเจ็บปวดฝังใจกับคนรักเก่ามาเป็นร้อยปี แต่พอมาเจอแบบจัสตีนที่ดูชาด้านไม่ค่อยแสดงอาการเจ็บปวดรวดร้าวอะไรมากนักตลอดเวลาที่ต้องแยกจากเอเดรียน เราก็ขัดใจอีก (จู้จี้จังแฮะ) จะเทียบว่าไงดี เธอเป็นฟักทองที่มีเปลือกหนา แต่ข้างในเนื้อนิ่มช้ำง่าย เหมือนคนที่ข้างในบอบบางเลยต้องสร้างเปลือกหนาไว้คุ้มครอง หรือเป็นหัวมันที่เปลือกบ๊างบาง แต่ข้างในแข็งโป๊ก หรือประสบการณ์ชีวิตของจัสตีนสูบความชุ่มชื่นออกจากตัวเธอหมด กลายเป็นแตงกวาที่เปลือกแข็ง แต่ข้างในแห้งหมดไม่มีน้ำ กินไม่ไหวแล้ว (อาจจะอุปมาตลกๆ หน่อย เพราะวันนี้ไปนั่งหั่นผักมา แบบเก้ๆ กังๆ สุดขีด เพราะตัวเองยังไม่เคยทำให้ตัวเองกินเลยนะเนี่ย)
เพราะเนื้อเรื่องช่วงหลังมันหันไปสนใจกับงานสายลับที่ต้องสืบหาว่าใครอยู่เบื้องหลังการลอบทำร้ายจัสตีนและจ้องป้ายสีให้เอเดรียน ส่วนของความเป็นโรแมนซ์เลยดูเหมือนไม่ได้พัฒนาเต็มที่ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในปัจจุบัน มันขาดความหวานความซึ้ง อย่างฉากรักครั้งที่ทั้งคู่กลับมาดีกัน มันน่าจะสร้างความประทับใจได้มากกว่านี้นะ แม้แต่คำว่า I love you ของจัสตีน ก็จืดชืดธรรมดามากเลย อีกอย่างเราไม่ชอบเวลาที่จัสตีนชอบพูดตอกย้ำอดีตตัวเองกับเอเดรียน ไม่รู้คิดมากไปมั้ย แต่เหมือนเธอพูดเพื่อลองใจ ให้เขารู้สึกเจ็บร้อนแทน เราว่า จัสตีนน่าจะรู้ตัวว่า ที่เธอทำที่เธอเป็น เกิดได้ยังไง ทำเพื่ออะไร ถ้ารู้เหตุผลของตัวเองในใจ ก็ไม่เห็นจะต้องรู้สึกดูถูกตัวเอง แต่เพราะเป็นอย่างนี้ ความรู้สึกชอบนางเอกเลยไม่พีค โดยเฉพาะถ้าเทียบกับเรื่อง The Spymaster's Lady ถ้าลองให้คะแนนความชอบตัวละครดูคงได้ประมาณนี้ เกรย์ 8 + แอนนีค 10, เอเดรียน 8.5 + จัสตีน 8
อาจจะดูเหมือนติเยอะ แต่จริงๆ เราชอบเรื่องนี้นะ เพียงแต่คิดว่า มันน่าจะดีกว่านี้ได้ หรือไม่ก็เพราะมันมืดมนไปสำหรับเรา ถึงไม่ชอบเล่มนี้มากกว่านี้
วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554
Daughter of Smoke and Bone - Laini Taylor
คะแนน : 8.25
นั่นคือบทเริ่มต้นของนิยาย YA เรื่องนี้ และเมื่ออ่านจบแล้วเราคิดว่า มันเหมาะเอามาใช้เป็นบทสรุปย่อของเล่มนี้ด้วย โรเมโอกับจูเลียตแบบแฟนตาซี นี่เป็นเล่มแรกที่ได้อ่านงานของ เลนี่ เทย์เลอร์ ที่จริงเล็งไว้นานแล้วล่ะ ตั้งแต่ชุด Dreamdark แต่ก็ยังไม่ได้อ่านซะที กะว่ารอให้ออกจบก่อน
คารูว เป็นเด็กสาวอายุ 17 ปี นักศึกษาโรงเรียนศิลปะในกรุงปราก ความลับที่ไม่มีคนอื่นรู้คือ ผมสีฟ้าของเธอไม่ได้มาจากการย้อม แต่ได้จากการอธิษฐานต่างหาก นอกเวลาเรียน เธอทำงานให้ที่ร้านของบริมสโตน คิเมียราหัวแพะที่เลี้ยงดูเธอมาจนโต คารูวรับหน้าที่เดินทางผ่านประตูมิติไปเก็บรวบรวมฟัน (ทุกชนิด รวมทั้งเขี้ยว ทั้งงา) รอบโลกให้เขา โดยไม่เคยรู้ว่าฟันพวกนั้นถูกใช้เพื่ออะไร แต่แล้ว ก็ปรากฏรอยฝ่ามือปริศนาอยู่บนบานประตูมิติ และเมื่อคารูวพบชายหนุ่มรูปงามวิ่งไล่ล่าเธอ รูปเงาของเขามีปีกอยู่กลางหลัง ชีวิตที่เธอรู้จักก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
อ่านเรื่องนี้ช่วงแรกๆ ทำให้เรานึกแว้บถึง CLAMP อาจเพราะฉากในร้านบริมสโตนมันให้ความรู้สึกคล้าย xXxHolic เนื้อเรื่องไม่ได้เหมือนกันมากนักหรอก และกลิ่นอายของตะวันออกกับตะวันตกก็ต่างกันชัดเจน แต่วิธีการที่ดึงคนอ่านเข้าไปอยู่ในโลกที่คนเขียนสร้างได้อย่างรวดเร็วหน้าตาเฉย ตำนานดั้งเดิมแต่สร้างสรรค์ใหม่ ได้เจอสิ่งมีชีวิตและกฎเกณฑ์ต่างๆ ในโลกขนานโผล่ออกมาเรื่อยๆ ทั้งที่มันแปลกแต่กลับไม่รู้สึกประหลาด ยอมรับและเชื่อในเนื้อเรื่องได้ง่ายๆ เหมือนโครงเรื่องจะไม่ซับซ้อน แต่รายละเอียดยอกย้อนให้อยากติดตาม ทำให้เราอดเปรียบเทียบเรื่องนี้กับงานของ CLAMP ไม่ได้ ฮ่าฮ่า แต่ตัวละครยังไม่บิดผันขนาด CLAMP หรอกนะ
ความรู้สึกแรกที่เราคิดกับนางเอกเรื่องนี้ คงเรียกว่าความประทับใจไม่ได้ ต้นเรื่องตอนที่เธอแกล้งแฟนเก่า เราส่ายหัวในใจ เฮ้อ เด็กสมัยนี้ โชคดีที่มันแป๊บเดียวมาก หลังจากนั้นเราก็ชอบเธอแหละ ชอบเวลาที่เธอคุยกับเพื่อน และกับพวกคิเมียราที่เป็นเหมือนครอบครัวของเธอ พออ่านจบแล้วมาคิดดู ไอ้ฉากแรกๆ นั่นมันคงมีไว้เพื่อดึงนักอ่านวัยรุ่นให้รู้สึกว่าตัวเอกใกล้ชิดกับตัวเองมั้ง สับสนอ้างว้างไม่แน่ใจ บางทีก็ทำอะไรโง่ๆ ไปแล้วเพิ่งรู้ตัวทีหลังว่าตอนนั้นช่างทำไปได้ แต่สำหรับเรา ถ้าคารูวไม่เคยมีอดีตวุ่นวายกับแฟนเก่าเลย จะรู้สึกเพอร์เฟกต์กว่านี้ แต่ถ้าดูภาพรวมมันก็ถือเป็นจุดเล็กน้อยมาก เพราะฉะนั้นช่างมันเถอะ และเราชอบบทของแมดริกัลจริงๆ
ช่วงครึ่งหลังเป็นเรื่องในโลกของเซราฟิมกับคิเมียรา ฉากระหว่างอาคิว่ากับแมดริกัลช่างสวยงาม บทสนทนาของเรื่องนี้อ่านสนุก การบรรยายเนื้อเรื่องและอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครก็ดี ฉากสุดท้ายนี่กระชากใจ บีบอารมณ์จริงๆ อ่านเล่มนี้จบแล้วมีจุดที่อยากตะโกนบ่นดังๆ ข้อเดียว ทำไมไม่บอกกันก่อนว่าเรื่องนี้เป็นไตรภาค แล้วจะได้อ่านอีกสองเล่มต่อเมื่อไหร่เนี่ย อ๊าก
Once upon a time,
an angel and a devil fell in love.
It did not end well
นั่นคือบทเริ่มต้นของนิยาย YA เรื่องนี้ และเมื่ออ่านจบแล้วเราคิดว่า มันเหมาะเอามาใช้เป็นบทสรุปย่อของเล่มนี้ด้วย โรเมโอกับจูเลียตแบบแฟนตาซี นี่เป็นเล่มแรกที่ได้อ่านงานของ เลนี่ เทย์เลอร์ ที่จริงเล็งไว้นานแล้วล่ะ ตั้งแต่ชุด Dreamdark แต่ก็ยังไม่ได้อ่านซะที กะว่ารอให้ออกจบก่อน
คารูว เป็นเด็กสาวอายุ 17 ปี นักศึกษาโรงเรียนศิลปะในกรุงปราก ความลับที่ไม่มีคนอื่นรู้คือ ผมสีฟ้าของเธอไม่ได้มาจากการย้อม แต่ได้จากการอธิษฐานต่างหาก นอกเวลาเรียน เธอทำงานให้ที่ร้านของบริมสโตน คิเมียราหัวแพะที่เลี้ยงดูเธอมาจนโต คารูวรับหน้าที่เดินทางผ่านประตูมิติไปเก็บรวบรวมฟัน (ทุกชนิด รวมทั้งเขี้ยว ทั้งงา) รอบโลกให้เขา โดยไม่เคยรู้ว่าฟันพวกนั้นถูกใช้เพื่ออะไร แต่แล้ว ก็ปรากฏรอยฝ่ามือปริศนาอยู่บนบานประตูมิติ และเมื่อคารูวพบชายหนุ่มรูปงามวิ่งไล่ล่าเธอ รูปเงาของเขามีปีกอยู่กลางหลัง ชีวิตที่เธอรู้จักก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
อ่านเรื่องนี้ช่วงแรกๆ ทำให้เรานึกแว้บถึง CLAMP อาจเพราะฉากในร้านบริมสโตนมันให้ความรู้สึกคล้าย xXxHolic เนื้อเรื่องไม่ได้เหมือนกันมากนักหรอก และกลิ่นอายของตะวันออกกับตะวันตกก็ต่างกันชัดเจน แต่วิธีการที่ดึงคนอ่านเข้าไปอยู่ในโลกที่คนเขียนสร้างได้อย่างรวดเร็วหน้าตาเฉย ตำนานดั้งเดิมแต่สร้างสรรค์ใหม่ ได้เจอสิ่งมีชีวิตและกฎเกณฑ์ต่างๆ ในโลกขนานโผล่ออกมาเรื่อยๆ ทั้งที่มันแปลกแต่กลับไม่รู้สึกประหลาด ยอมรับและเชื่อในเนื้อเรื่องได้ง่ายๆ เหมือนโครงเรื่องจะไม่ซับซ้อน แต่รายละเอียดยอกย้อนให้อยากติดตาม ทำให้เราอดเปรียบเทียบเรื่องนี้กับงานของ CLAMP ไม่ได้ ฮ่าฮ่า แต่ตัวละครยังไม่บิดผันขนาด CLAMP หรอกนะ
ความรู้สึกแรกที่เราคิดกับนางเอกเรื่องนี้ คงเรียกว่าความประทับใจไม่ได้ ต้นเรื่องตอนที่เธอแกล้งแฟนเก่า เราส่ายหัวในใจ เฮ้อ เด็กสมัยนี้ โชคดีที่มันแป๊บเดียวมาก หลังจากนั้นเราก็ชอบเธอแหละ ชอบเวลาที่เธอคุยกับเพื่อน และกับพวกคิเมียราที่เป็นเหมือนครอบครัวของเธอ พออ่านจบแล้วมาคิดดู ไอ้ฉากแรกๆ นั่นมันคงมีไว้เพื่อดึงนักอ่านวัยรุ่นให้รู้สึกว่าตัวเอกใกล้ชิดกับตัวเองมั้ง สับสนอ้างว้างไม่แน่ใจ บางทีก็ทำอะไรโง่ๆ ไปแล้วเพิ่งรู้ตัวทีหลังว่าตอนนั้นช่างทำไปได้ แต่สำหรับเรา ถ้าคารูวไม่เคยมีอดีตวุ่นวายกับแฟนเก่าเลย จะรู้สึกเพอร์เฟกต์กว่านี้ แต่ถ้าดูภาพรวมมันก็ถือเป็นจุดเล็กน้อยมาก เพราะฉะนั้นช่างมันเถอะ และเราชอบบทของแมดริกัลจริงๆ
ช่วงครึ่งหลังเป็นเรื่องในโลกของเซราฟิมกับคิเมียรา ฉากระหว่างอาคิว่ากับแมดริกัลช่างสวยงาม บทสนทนาของเรื่องนี้อ่านสนุก การบรรยายเนื้อเรื่องและอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครก็ดี ฉากสุดท้ายนี่กระชากใจ บีบอารมณ์จริงๆ อ่านเล่มนี้จบแล้วมีจุดที่อยากตะโกนบ่นดังๆ ข้อเดียว ทำไมไม่บอกกันก่อนว่าเรื่องนี้เป็นไตรภาค แล้วจะได้อ่านอีกสองเล่มต่อเมื่อไหร่เนี่ย อ๊าก
วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554
คินดะอิจิกับคดีฆาตกรรมปริศนา ตอนคดีฆาตกรรมเรือสำราญผีสิง
คะแนน : 7.5
เมื่อวานวันอาทิตย์งานหนังสือคนเยอะมาก ขนาดไปตั้งแต่เพิ่งเปิด พอบ่ายสามก็ฝ่าฝูงชนไม่ไหวล่ะ มือก็ชักหิ้วหนัก เลยกลับดีกว่า เสียดายว่ายังเดินได้ไม่ค่อยทั่วเท่าไหร่เลย งานนี้คงไปได้รอบเดียว สถานการณ์น้ำท่วมเดินทางไม่สะดวก ขี้เกียจเข้ามาอีก
คินดะอิจิรุ่นหลาน ฉบับนิยาย ไลท์โนเวล ประมาณ 250 หน้า ราคาปก 190 บาท นี่ก็แพงกว่าการ์ตูนเยอะเหมือนกันนะ แต่กระดาษดีกว่า ข้างในมีภาพสี pin-up และมีรูปประกอบฝีมือฟุมิยะ ซาโต้ แทรกประมาณ 3-4 หน้า เนื้อเรื่องโดย อามางิ เชย์มารุ เจ้าประจำ เล่มนี้เป็นตอนที่ 2 เราข้ามไม่ได้ซื้อเล่ม 1 ของ VBK เพราะเราเคยซื้อฉบับแปลภาษาอังกฤษของตอนแรกมาอ่านนานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ยังบ้าการ์ตูนเรื่องนี้มากๆ คดีโอเปร่าอ่านแล้วไม่สบายใจเพราะมูลเหตุความแค้นของฆาตกรมาจากประเด็นที่เราไม่ชอบอ่าน แต่คดีฆาตกรรมเรือสำราญผีสิงนี่น่าสนใจ
คินดะอิจิจับฉลากได้รางวัลทริปล่องเรือ เลยออกเดินทางพร้อมกับมิยูกิ มาขึ้นเรือสำราญสุดโทรม ได้เจอสารวัตรเคนโมจิที่ซื้อทัวร์ราคาซำเหมามากับภรรยา ทริปนี้จะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของเรือลำนี้ จึงมีลูกเรือกับแขกเพียงไม่มาก แต่เรือลำนี้ถูกควบคุมโดย Ghost Captain ที่มีตำนานเล่าขานว่าจะทำให้คนบนเรือหายตัวไปทีละคน เป็นหน้าที่ของคินดะอิจิที่ต้องใช้ชื่อปู่เป็นเดิมพัน เพื่อทำให้ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่าง
การดำเนินเรื่องฉบับนิยายนี้ก็มีสไตล์เหมือนฉบับการ์ตูนเปี๊ยบ ก็อ่านเพลินดี ทริกใช้ได้ไม่งี่เง่า เกิดเหตุในเวลาที่ทุกคนมีพยานยืนยันสถานที่อยู่กันหมด การดำเนินเรื่องค่อนข้างเร็ว แต่ตอนนี้เหมือนกับว่า รวมตัวละครมาได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกกลุ่มแขกกับกลุ่มลูกเรือ ดูแยกจากกันเกินไป ทำให้เมื่อจับเค้าได้ว่า เหตุจูงใจของฆาตกรคืออะไร มันก็ตัดคนน่าสงสัยไปได้เยอะเลย ตัวละครบางคนนี่เหมือนใส่มาเฉยๆ ให้ครบช่องแนะนำตัว คุณนายเคนโมจิก็แทบไม่มีบทอะไร ตอนท้ายเลยเหลือลุ้นคนร้ายอยู่แค่ 1-2 คน เดาง่ายเลย แต่ฉากเฉลยสนุกดี
เมื่อวานวันอาทิตย์งานหนังสือคนเยอะมาก ขนาดไปตั้งแต่เพิ่งเปิด พอบ่ายสามก็ฝ่าฝูงชนไม่ไหวล่ะ มือก็ชักหิ้วหนัก เลยกลับดีกว่า เสียดายว่ายังเดินได้ไม่ค่อยทั่วเท่าไหร่เลย งานนี้คงไปได้รอบเดียว สถานการณ์น้ำท่วมเดินทางไม่สะดวก ขี้เกียจเข้ามาอีก
คินดะอิจิรุ่นหลาน ฉบับนิยาย ไลท์โนเวล ประมาณ 250 หน้า ราคาปก 190 บาท นี่ก็แพงกว่าการ์ตูนเยอะเหมือนกันนะ แต่กระดาษดีกว่า ข้างในมีภาพสี pin-up และมีรูปประกอบฝีมือฟุมิยะ ซาโต้ แทรกประมาณ 3-4 หน้า เนื้อเรื่องโดย อามางิ เชย์มารุ เจ้าประจำ เล่มนี้เป็นตอนที่ 2 เราข้ามไม่ได้ซื้อเล่ม 1 ของ VBK เพราะเราเคยซื้อฉบับแปลภาษาอังกฤษของตอนแรกมาอ่านนานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ยังบ้าการ์ตูนเรื่องนี้มากๆ คดีโอเปร่าอ่านแล้วไม่สบายใจเพราะมูลเหตุความแค้นของฆาตกรมาจากประเด็นที่เราไม่ชอบอ่าน แต่คดีฆาตกรรมเรือสำราญผีสิงนี่น่าสนใจ
คินดะอิจิจับฉลากได้รางวัลทริปล่องเรือ เลยออกเดินทางพร้อมกับมิยูกิ มาขึ้นเรือสำราญสุดโทรม ได้เจอสารวัตรเคนโมจิที่ซื้อทัวร์ราคาซำเหมามากับภรรยา ทริปนี้จะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของเรือลำนี้ จึงมีลูกเรือกับแขกเพียงไม่มาก แต่เรือลำนี้ถูกควบคุมโดย Ghost Captain ที่มีตำนานเล่าขานว่าจะทำให้คนบนเรือหายตัวไปทีละคน เป็นหน้าที่ของคินดะอิจิที่ต้องใช้ชื่อปู่เป็นเดิมพัน เพื่อทำให้ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่าง
การดำเนินเรื่องฉบับนิยายนี้ก็มีสไตล์เหมือนฉบับการ์ตูนเปี๊ยบ ก็อ่านเพลินดี ทริกใช้ได้ไม่งี่เง่า เกิดเหตุในเวลาที่ทุกคนมีพยานยืนยันสถานที่อยู่กันหมด การดำเนินเรื่องค่อนข้างเร็ว แต่ตอนนี้เหมือนกับว่า รวมตัวละครมาได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกกลุ่มแขกกับกลุ่มลูกเรือ ดูแยกจากกันเกินไป ทำให้เมื่อจับเค้าได้ว่า เหตุจูงใจของฆาตกรคืออะไร มันก็ตัดคนน่าสงสัยไปได้เยอะเลย ตัวละครบางคนนี่เหมือนใส่มาเฉยๆ ให้ครบช่องแนะนำตัว คุณนายเคนโมจิก็แทบไม่มีบทอะไร ตอนท้ายเลยเหลือลุ้นคนร้ายอยู่แค่ 1-2 คน เดาง่ายเลย แต่ฉากเฉลยสนุกดี
วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554
The Son of Neptune (Heroes of Olympus #2) - Rick Riordan
คะแนน : 8.25
Heroes of Olympus หรือ Percy Jackson ภาค 2 เล่มใหม่ เตือนก่อนเลย เพราะไม่สามารถพูดถึงเล่มนี้โดยไม่สปอยล์เล่ม 1 ได้
เพอร์ซียยยยยยยยยยยย์ กลับมาแล้ววววววววววววว แค่ประโยคแรกก็สปอยล์แล้วนะ หลังจากเล่มที่แล้วมีปัญหาว่า เพอร์ซีย์ แจ็คสัน หายตัวไปจากแคมป์ฮาล์ฟบลัด จนมาเฉลยท้ายเรื่องว่า มีแคมป์เด็กลูกครึ่งเทพโรมันอยู่ที่อีกฟากของอเมริกา เปิดฉากมาเล่มสองก็จับความต่อเนื่องทันที เพอร์ซีย์มาถึงแคมป์จูปิเตอร์ ความทรงจำของเขาหายไป จำได้แต่ว่าตัวเองมีแฟนชื่อแอนนาเบ็ธ เขาได้พบเพื่อนใหม่สองคน คือ เฮเซล กับ แฟรงค์ ทั้งสามต้องร่วมมือกันออกผจญภัยตามคำพยากรณ์
เล่มนี้สนุกตั้งแต่แรกเลย เพราะเป็นเพอร์ซีย์ที่รู้จักดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัว เล่มที่แล้วไม่เห็นหน้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอเริ่มอ่านเล่มนี้เพิ่งรู้ตัวว่าคิดถึงหมอนี่เหมือนกัน ยังแอบตลกเหมือนเดิม แต่ดูเก่งและฉลาดขึ้นหน่อย แต่เพอร์ซีย์ไม่ได้เด่นคนเดียว เล่มนี้ก็แบ่งการเล่าเรื่องเป็นสามมุมมองเหมือนเล่มที่แล้ว ตัวละครเพื่อนใหม่สองคนนี้ดี เฮเซลนี่เป็นเด็กผู้หญิงที่ได้อย่างใจเรามากเลย เหมือนภายนอกจะหวั่นไหวอ่อนแอ แต่พอเอาจริงก็เก่ง ส่วนแฟรงค์ก็โอเคเลย เขาเป็นลูกของเทพคนที่เราชอบซะด้วย (เพราะเป็นเทพประจำวันเกิดเรา) มาร์สเป็นเทพโอลิมเปียนที่บทเด่นที่สุดในเล่มนี้ ภาคก่อนหมอนี่จะงี่เง่ามาก แต่ภาคนี้ดูดีมีชาติตระกูลขึ้นเยอะ เพราะเป็นเทพที่โรมันนับถือ
เรื่องมันส์ตั้งแต่เริ่ม และฮาก๊ากหลายฉากมาก ชอบตอนเจอเทพีสายรุ้งไอริส ผู้เปิดร้านขายสินค้าชีวจิต จี้สุดๆ ตอนที่เธอบอกว่า กำลังเลือกพุทธกับเต๋า แล้วพวกพระเอกก็บอกว่า เธอเป็นเทพกรีกนะ เจ๊ก็กอดอกตอบทันที "อย่าจับฉันใส่กล่อง ใส่กรอบสี่เหลี่ยมนะ" เทพก็ต้องพัฒนาตามสมัย ขำกลิ้ง อีกตอนก็ฉากเล่นมุกนักรบหญิงอเมซอนทำงานอยู่ที่เว็บอเมซอน อ่านไปหัวเราะไป เล่มนี้ตลกหลายตอนเล่าไม่หมด เนื้อเรื่องน่าติดตาม ฉากแอกชั่นก็สนุกมาก สู้กันเท่ๆ ความสามารถกับไอเทมของเฮเซลกับแฟรงค์นี่เจ๋งนะ ไปๆ มาๆ ชักจะเหมือนการ์ตูนฮีโร่แบบพวก X-Men แล้ว ที่แต่ละคนมีพลังพิเศษใช้ในการต่อสู้ แต่ก็สนุกมากล่ะ ชอบมากเลยเล่มนี้ อ่านจบแล้วก็อยากอ่านเล่ม 3 ต่อเลย โธ่ ต้องรออีกปีเต็มๆ เลยเหรอเนี่ย
Heroes of Olympus หรือ Percy Jackson ภาค 2 เล่มใหม่ เตือนก่อนเลย เพราะไม่สามารถพูดถึงเล่มนี้โดยไม่สปอยล์เล่ม 1 ได้
สปอยล์
สปอยล์
สปอยล์
เพอร์ซียยยยยยยยยยยย์ กลับมาแล้ววววววววววววว แค่ประโยคแรกก็สปอยล์แล้วนะ หลังจากเล่มที่แล้วมีปัญหาว่า เพอร์ซีย์ แจ็คสัน หายตัวไปจากแคมป์ฮาล์ฟบลัด จนมาเฉลยท้ายเรื่องว่า มีแคมป์เด็กลูกครึ่งเทพโรมันอยู่ที่อีกฟากของอเมริกา เปิดฉากมาเล่มสองก็จับความต่อเนื่องทันที เพอร์ซีย์มาถึงแคมป์จูปิเตอร์ ความทรงจำของเขาหายไป จำได้แต่ว่าตัวเองมีแฟนชื่อแอนนาเบ็ธ เขาได้พบเพื่อนใหม่สองคน คือ เฮเซล กับ แฟรงค์ ทั้งสามต้องร่วมมือกันออกผจญภัยตามคำพยากรณ์
เล่มนี้สนุกตั้งแต่แรกเลย เพราะเป็นเพอร์ซีย์ที่รู้จักดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัว เล่มที่แล้วไม่เห็นหน้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอเริ่มอ่านเล่มนี้เพิ่งรู้ตัวว่าคิดถึงหมอนี่เหมือนกัน ยังแอบตลกเหมือนเดิม แต่ดูเก่งและฉลาดขึ้นหน่อย แต่เพอร์ซีย์ไม่ได้เด่นคนเดียว เล่มนี้ก็แบ่งการเล่าเรื่องเป็นสามมุมมองเหมือนเล่มที่แล้ว ตัวละครเพื่อนใหม่สองคนนี้ดี เฮเซลนี่เป็นเด็กผู้หญิงที่ได้อย่างใจเรามากเลย เหมือนภายนอกจะหวั่นไหวอ่อนแอ แต่พอเอาจริงก็เก่ง ส่วนแฟรงค์ก็โอเคเลย เขาเป็นลูกของเทพคนที่เราชอบซะด้วย (เพราะเป็นเทพประจำวันเกิดเรา) มาร์สเป็นเทพโอลิมเปียนที่บทเด่นที่สุดในเล่มนี้ ภาคก่อนหมอนี่จะงี่เง่ามาก แต่ภาคนี้ดูดีมีชาติตระกูลขึ้นเยอะ เพราะเป็นเทพที่โรมันนับถือ
เรื่องมันส์ตั้งแต่เริ่ม และฮาก๊ากหลายฉากมาก ชอบตอนเจอเทพีสายรุ้งไอริส ผู้เปิดร้านขายสินค้าชีวจิต จี้สุดๆ ตอนที่เธอบอกว่า กำลังเลือกพุทธกับเต๋า แล้วพวกพระเอกก็บอกว่า เธอเป็นเทพกรีกนะ เจ๊ก็กอดอกตอบทันที "อย่าจับฉันใส่กล่อง ใส่กรอบสี่เหลี่ยมนะ" เทพก็ต้องพัฒนาตามสมัย ขำกลิ้ง อีกตอนก็ฉากเล่นมุกนักรบหญิงอเมซอนทำงานอยู่ที่เว็บอเมซอน อ่านไปหัวเราะไป เล่มนี้ตลกหลายตอนเล่าไม่หมด เนื้อเรื่องน่าติดตาม ฉากแอกชั่นก็สนุกมาก สู้กันเท่ๆ ความสามารถกับไอเทมของเฮเซลกับแฟรงค์นี่เจ๋งนะ ไปๆ มาๆ ชักจะเหมือนการ์ตูนฮีโร่แบบพวก X-Men แล้ว ที่แต่ละคนมีพลังพิเศษใช้ในการต่อสู้ แต่ก็สนุกมากล่ะ ชอบมากเลยเล่มนี้ อ่านจบแล้วก็อยากอ่านเล่ม 3 ต่อเลย โธ่ ต้องรออีกปีเต็มๆ เลยเหรอเนี่ย
วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554
Archangel's Blade (Guild Hunter #4) - Nalini Singh
คะแนน : 8.25
ก่อนนี้เราไม่ค่อยชอบซีรีส์นี้เท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเล่ม 2 พอถึง เล่ม 3 Archangel's Consort (คะแนน : 7) ก็รู้สึกดีขึ้นหน่อย แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก จนเราขี้เกียจเขียนถึง ตอนนี้ลืมๆ เนื้อเรื่องไปแล้วด้วย คุ้นๆ ว่า วุ่นวายกับการคืนชีพของแม่ราฟาเอล กับเอเลน่าช้ำใจเรื่องพ่อไม่รัก เรื่องที่รู้สึกกลางๆ ก็งี้แหละ ไม่มีอะไรให้จำ เผลอๆ ไอ้เนื้อเรื่องที่ไม่ชอบนี่ดันจำได้ดีกว่าซะอีก เช่น ไม่ชอบพวกองครักษ์ทั้ง 7 ของราฟาเอล เยอะจัดเกินไป ชื่อก็เรียกยาก จำได้แค่สองคน คือนายปีกฟ้า กับตัวแสบดมิทรี ฉากที่เขาดูดเลือดผู้หญิงแล้วมองยั่วเอเลน่านั่นแหละ ชังน้ำหน้าตัวละครตัวนี้มากๆ ฉันไม่ชอบแวมไพร์!! ฉันเกลียดผู้ชายโอหัง!! ตอนแรกกะไม่อ่านต่อแล้วด้วยซ้ำ ยิ่งรู้ว่าคนที่ไม่ชอบเป็นพระเอกเล่มนี้ แต่ Archangel's Blade ก็ได้รีวิวระดับ A มา เลยอยากลองดูอีกเล่ม พออ่านจบแล้วคิดว่า โชคดีนะที่เราไม่ตัดใจไปซะก่อน
ความรู้สึกตอนอ่านเล่มนี้ไม่เหมือนสองเล่มก่อนเลย คงเพราะได้พระเอกนางเอกคู่ใหม่ ออนเนอร์เป็นนางเอกที่ดี ดมิทรีก็ทำให้เรากลับมาชอบได้ โดยเฉพาะฉากขอโทษ ถึงพระเอกนางเอกจะมีอดีตเลวร้าย แต่เรื่องนี้ไม่ทำให้เราจิตตก คงเพราะทัศนคติแบบ "ฉันคือ survivor ไม่ใช่ victim" นี่ล่ะ
อีกอย่างที่ชอบเล่มนี้มากกว่าเล่มอื่น ตรงที่เนื้อเรื่องมีทิศทางเป้าหมายชัดเจน มีคดีปริศนาที่ศพมีรอยสักอักขระโบราณ การไล่ตามล่าพวกแวมไพร์ที่ใช้ออนเนอร์เป็นเครื่องเล่น แทรกด้วยเรื่องความหลังของดมิทรีสมัยเป็นมนุษย์ น่าสนใจและสนุกดี สปีดการดำเนินเรื่องกำลังดี ไม่เสียเวลากับรายละเอียดข้างทางเยอะนัก เนื้อเรื่องหลักมันเคลียร์จบในเล่มด้วย และเราชอบมากๆ เรื่องความรักพันปี ตอนท้ายๆ ซึ้งมาก โดยรวมเลยรู้สึกว่าเล่มนี้ลงตัวไปหมดเลย ฮ่า สบายใจจัง จะได้เลิกขัดแย้งในใจซะทีว่า ชอบนักเขียนแต่ไม่ชอบซีรีส์
ก่อนนี้เราไม่ค่อยชอบซีรีส์นี้เท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเล่ม 2 พอถึง เล่ม 3 Archangel's Consort (คะแนน : 7) ก็รู้สึกดีขึ้นหน่อย แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก จนเราขี้เกียจเขียนถึง ตอนนี้ลืมๆ เนื้อเรื่องไปแล้วด้วย คุ้นๆ ว่า วุ่นวายกับการคืนชีพของแม่ราฟาเอล กับเอเลน่าช้ำใจเรื่องพ่อไม่รัก เรื่องที่รู้สึกกลางๆ ก็งี้แหละ ไม่มีอะไรให้จำ เผลอๆ ไอ้เนื้อเรื่องที่ไม่ชอบนี่ดันจำได้ดีกว่าซะอีก เช่น ไม่ชอบพวกองครักษ์ทั้ง 7 ของราฟาเอล เยอะจัดเกินไป ชื่อก็เรียกยาก จำได้แค่สองคน คือนายปีกฟ้า กับตัวแสบดมิทรี ฉากที่เขาดูดเลือดผู้หญิงแล้วมองยั่วเอเลน่านั่นแหละ ชังน้ำหน้าตัวละครตัวนี้มากๆ ฉันไม่ชอบแวมไพร์!! ฉันเกลียดผู้ชายโอหัง!! ตอนแรกกะไม่อ่านต่อแล้วด้วยซ้ำ ยิ่งรู้ว่าคนที่ไม่ชอบเป็นพระเอกเล่มนี้ แต่ Archangel's Blade ก็ได้รีวิวระดับ A มา เลยอยากลองดูอีกเล่ม พออ่านจบแล้วคิดว่า โชคดีนะที่เราไม่ตัดใจไปซะก่อน
ความรู้สึกตอนอ่านเล่มนี้ไม่เหมือนสองเล่มก่อนเลย คงเพราะได้พระเอกนางเอกคู่ใหม่ ออนเนอร์เป็นนางเอกที่ดี ดมิทรีก็ทำให้เรากลับมาชอบได้ โดยเฉพาะฉากขอโทษ ถึงพระเอกนางเอกจะมีอดีตเลวร้าย แต่เรื่องนี้ไม่ทำให้เราจิตตก คงเพราะทัศนคติแบบ "ฉันคือ survivor ไม่ใช่ victim" นี่ล่ะ
อีกอย่างที่ชอบเล่มนี้มากกว่าเล่มอื่น ตรงที่เนื้อเรื่องมีทิศทางเป้าหมายชัดเจน มีคดีปริศนาที่ศพมีรอยสักอักขระโบราณ การไล่ตามล่าพวกแวมไพร์ที่ใช้ออนเนอร์เป็นเครื่องเล่น แทรกด้วยเรื่องความหลังของดมิทรีสมัยเป็นมนุษย์ น่าสนใจและสนุกดี สปีดการดำเนินเรื่องกำลังดี ไม่เสียเวลากับรายละเอียดข้างทางเยอะนัก เนื้อเรื่องหลักมันเคลียร์จบในเล่มด้วย และเราชอบมากๆ เรื่องความรักพันปี ตอนท้ายๆ ซึ้งมาก โดยรวมเลยรู้สึกว่าเล่มนี้ลงตัวไปหมดเลย ฮ่า สบายใจจัง จะได้เลิกขัดแย้งในใจซะทีว่า ชอบนักเขียนแต่ไม่ชอบซีรีส์
วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554
Somewhere in Time - Richard Matheson
คะแนน : 8
เรารู้จักชื่อ Somewhere in Time ครั้งแรก ตอนที่อ่านนิยายเรื่อง "จากฝัน...สู่นิรันดร" แล้วมีคนบอกว่าพล็อตเรื่องเหมือนหนังเรื่องนี้ ก็จำชื่อไว้แต่ตอนนั้นยังไม่มีโอกาสได้ดู พอในที่สุดได้ดูที่เอามาฉายทางโทรทัศน์ ก็ปลื้มเรื่องนี้มาก ต้องหาแผ่นมาเก็บ เป็นหนังรักสุดซึ้งที่น่าประทับใจที่สุดเรื่องหนึ่งเลย โดยเฉพาะฉากคลาสสิคตอนถ่ายรูปที่ใครๆ ก็ชอบพูดถึง นางเอก เจน ซีมัวร์ นี่แบบหยาดฟ้ามาดิน และดนตรีประกอบติดหูเหลือเกิน
เรื่องนี้มาจากนิยายที่แต่งโดย Richard Matheson ตอนพิมพ์ครั้งแรกใช้ชื่อ Bid Time Return แต่ฉบับพิมพ์ครั้งหลังๆ ก็เห็นใช้ชื่อตามหนังหมดแล้ว พออ่านจบแล้ว เรารู้สึกว่าชอบแบบหนังมากกว่า มีไม่บ่อยนะที่คิดแบบนี้ ทุกทีถ้าชอบหนังแล้วมาอ่านหนังสือจะยิ่งชอบ ถ้าอ่านหนังสือก่อนดูหนังก็จะคิดว่า หนังสู้ไม่ได้ แต่ยังไงก็อยากจะบันทึกความรู้สึกตอนอ่านเรื่องนี้เก็บไว้สักหน่อย
เรารู้จักชื่อ Somewhere in Time ครั้งแรก ตอนที่อ่านนิยายเรื่อง "จากฝัน...สู่นิรันดร" แล้วมีคนบอกว่าพล็อตเรื่องเหมือนหนังเรื่องนี้ ก็จำชื่อไว้แต่ตอนนั้นยังไม่มีโอกาสได้ดู พอในที่สุดได้ดูที่เอามาฉายทางโทรทัศน์ ก็ปลื้มเรื่องนี้มาก ต้องหาแผ่นมาเก็บ เป็นหนังรักสุดซึ้งที่น่าประทับใจที่สุดเรื่องหนึ่งเลย โดยเฉพาะฉากคลาสสิคตอนถ่ายรูปที่ใครๆ ก็ชอบพูดถึง นางเอก เจน ซีมัวร์ นี่แบบหยาดฟ้ามาดิน และดนตรีประกอบติดหูเหลือเกิน
เรื่องนี้มาจากนิยายที่แต่งโดย Richard Matheson ตอนพิมพ์ครั้งแรกใช้ชื่อ Bid Time Return แต่ฉบับพิมพ์ครั้งหลังๆ ก็เห็นใช้ชื่อตามหนังหมดแล้ว พออ่านจบแล้ว เรารู้สึกว่าชอบแบบหนังมากกว่า มีไม่บ่อยนะที่คิดแบบนี้ ทุกทีถ้าชอบหนังแล้วมาอ่านหนังสือจะยิ่งชอบ ถ้าอ่านหนังสือก่อนดูหนังก็จะคิดว่า หนังสู้ไม่ได้ แต่ยังไงก็อยากจะบันทึกความรู้สึกตอนอ่านเรื่องนี้เก็บไว้สักหน่อย
คำเตือน : สปอยล์แบบหมดเปลือก
วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554
Chaos in Death - J. D. Robb
คะแนน : 7
พบศพ 3 ศพ ชาย 2 หญิง 1 ถูกตัดใบหู ควักลูกตา และถูกตัดลิ้นไป ทั้งสามเป็นอดีตเด็กขี้ยาที่กำลังพยายามกลับตัว มีพยานที่อาศัยอยู่ตึกใกล้เคียงให้การว่า เห็นชายประหลาดตัวสีเขียว ตาถลนสีแดงก่ำ เดินหัวเราะเต้นรำผ่านไปในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ !! เป็นหน้าที่ของผู้หมวดอีฟ ดัลลัส ต้องเข้ามารับหน้าที่คลี่คลายคดีประหลาดนี้
ตอนนี้เป็นเรื่องสั้นอยู่ในเล่ม The Unquiet อ่านแล้วเฉยๆ เรื่อยๆ เพราะตอนที่แล้วสนุกมาก ตอนนี้เลยรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเท่าไหร่ อาศัยธีมจากนิยายคลาสสิค Dr Jekyll and Mr Hyde เนื้อเรื่องสั้นๆ สืบวื้บเดียวก็ถึงตัวคนร้ายแล้ว ในส่วนความสัมพันธ์ของอีฟกับคนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรเด่นนัก มีประโยคประทับใจจากนาดีนนิดนึงมั้ง ถือว่าเป็นตอนที่อ่านได้เพลินๆ แต่ไม่ได้ช่วยเสริมอะไรพิเศษให้แก่เรื่องชุดนี้
พบศพ 3 ศพ ชาย 2 หญิง 1 ถูกตัดใบหู ควักลูกตา และถูกตัดลิ้นไป ทั้งสามเป็นอดีตเด็กขี้ยาที่กำลังพยายามกลับตัว มีพยานที่อาศัยอยู่ตึกใกล้เคียงให้การว่า เห็นชายประหลาดตัวสีเขียว ตาถลนสีแดงก่ำ เดินหัวเราะเต้นรำผ่านไปในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ !! เป็นหน้าที่ของผู้หมวดอีฟ ดัลลัส ต้องเข้ามารับหน้าที่คลี่คลายคดีประหลาดนี้
ตอนนี้เป็นเรื่องสั้นอยู่ในเล่ม The Unquiet อ่านแล้วเฉยๆ เรื่อยๆ เพราะตอนที่แล้วสนุกมาก ตอนนี้เลยรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเท่าไหร่ อาศัยธีมจากนิยายคลาสสิค Dr Jekyll and Mr Hyde เนื้อเรื่องสั้นๆ สืบวื้บเดียวก็ถึงตัวคนร้ายแล้ว ในส่วนความสัมพันธ์ของอีฟกับคนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรเด่นนัก มีประโยคประทับใจจากนาดีนนิดนึงมั้ง ถือว่าเป็นตอนที่อ่านได้เพลินๆ แต่ไม่ได้ช่วยเสริมอะไรพิเศษให้แก่เรื่องชุดนี้
วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554
The Night Circus - Erin Morgenstern
คะแนน : 8
Amazon เลือกเล่มนี้เป็นหนึ่งใน Best Books of the Month เดือนนี้ และสื่อต่างๆ ก็เชียร์เล่มนี้เยอะ แต่เหตุผลสำคัญสุดที่ทำให้ตัดสินใจเลือกอ่านคือ คนเขียนบอกว่า เรื่องนี้คงไม่มีภาคต่อ ดี ไม่ต้องมีภาระผูกพันให้ติดตาม
The Night Circus กล่าวถึงคณะละครสัตว์ลึกลับในยุคปลายศตวรรษที่ 19 ที่เดินทางเปิดการแสดงไปตามเมืองต่างๆ โดยเปิดให้คนเข้าชมเฉพาะเวลากลางคืน เบื้องหลังผืนผ้าใบริ้วดำสลับขาวของคณะละครสัตว์แห่งความฝันนี้ คือเวทีการแข่งขันระหว่างสองจอมเวทย์ ที่ฝึกฝนลูกศิษย์ฝ่ายละคนให้มาเป็นตัวแทนในการประลอง โดยที่เจ้าตัวนักมายากลหญิงสาวชายหนุ่มคู่แข่ง ซีเลียและมาร์โก้ ไม่รู้กฎกติกาใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งไม่รู้ว่า ความรักที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง จะส่งผลเช่นไรต่อทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด
ตั้งแต่เริ่ม เวลาอ่านจะรู้สึกว่า บรรยากาศในเรื่องนั้นราวกับต้องมนตรา ฉากในคณะเซอร์คัสแห่งนี้ บรรยายได้ดีมากเลย ไม่ว่าจะเป็นเต๊นท์เขาวงกต หรือสวนน้ำแข็ง รู้สึกว่ามันมีมนต์ขลังอยู่จริงๆ แต่เนื้อเรื่องจะรู้สึกงงนิดหน่อย เพราะมันถูกตัดสลับไปสลับมาเป็นบทๆ สั้นบ้างยาวบ้าง จากมุมมองตัวละครแต่ละคนซึ่งก็มีเยอะอยู่ บางทีเล่าเรื่องย้อนไปมาไม่เรียงตามลำดับเวลาอีกต่างหาก ครึ่งเล่มแรกเหมือนอ่านเอาบรรยากาศอย่างเดียว เนื้อเรื่องไม่คืบหน้าเลย แต่ก็ทำได้ดีนะ จงใจสร้างอารมณ์เหมือนมายา กึ่งฝัน วิบวับลับตา จับต้องไม่ค่อยได้ แต่จะมองว่าน่าเบื่อก็ได้เหมือนกัน
ภาษาที่ใช้ไม่ได้หรูหราฟุ้งเฟ้อจนเกินเหตุ ทว่าหมดจดงดงามจนพาเคลิ้ม แต่เพราะวิธีการเขียนราวกับให้ดูภาพ คนแต่งก็ไม่เคยจะพาเราเข้าไปในหัวตัวละครเลย ช่วงแรกๆ ก็ทำเราอึดอัดคับข้องใจอยู่ พระเอกนางเอกคิดอะไรรู้สึกยังไงก็ไม่ค่อยรู้เลย แต่พอคุ้นเคยกับตัวละครไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มอินได้ เราชอบฉากที่มาร์โก้ก้มหน้ามาจะจูบ แล้วซีเลียเบือนหน้าหนี ให้อารมณ์รักต้องห้ามมากๆ อืมม์ แฮะ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาครึ่งเล่มคร่ำครวญว่ารักแค่ไหน ต้องหักห้ามใจเพียงใด บรรยายสั้นๆ นิดเดียวก็ทำให้คนอ่านประทับใจได้เหมือนกัน
ความจริงเนื้อเรื่องเรื่องนี้น้อยมาก เรื่องย่อตอนต้นเกริ่นไว้ยังไง ตอนจบก็มีประเด็นแค่นั้นแหละ แต่ความสนุกของมันคงอยู่ที่บรรยากาศ กับการติดตามว่า ชิ้นส่วนจิ๊กซอว์เนื้อเรื่องที่กระจัดกระจายในครึ่งแรก มันมาร้อยเรียงเป็นภาพใหญ่ในครึ่งเรื่องหลังได้อย่างไร พอเห็นภาพต่อเรียงกันเยอะขึ้นก็ทำให้เข้าใจปมประเด็นของเนื้อเรื่องซะที ก็จะรู้สึกน่าติดตามมากขึ้น ชอบพวกรุ่นเด็ก พ็อพเพ็ต วิดเจ็ต เบลีย์ เป็นตัวช่วยดำเนินเรื่องที่ดี และช่วยเร่งจังหวะให้เนื้อเรื่องเข้าสู่ไคลแม็กซ์ได้ลุ้นขึ้น แต่ตอนจบก็ยังงงๆ อยู่หน่อยนะ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่แน่ใจ รักษาอารมณ์แฟนซีทั้งเรื่อง
อ่านเล่มนี้เหมือนเล่นม้าหมุนหรือขึ้นชิงช้าสวรรค์มั้ง ไม่ได้สนุกตื่นเต้นเหมือนเล่นรถไฟเหาะ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ขึ้น โดยเฉพาะตอนช่วงที่อยู่สูงที่สุด พอกลับถึงพื้นแล้วก็ยังรู้สึกดี แต่จะชอบเล่นแล้วเล่นอีกมั้ย ก็คงไม่นะ
ป.ล. ไม่รู้จะแปะป้ายหมวดไหนให้เล่มนี้ มีเวทมนตร์แต่ไม่เหมือนเรื่องแฟนตาซี กล่าวถึงความรักแต่ห่างไกลมากจากนิยายโรแมนซ์หรือโรแมนติก ชีวิตดราม่าก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเป็นนิยายย้อนยุคหรือ เหตุการณ์ก็อยู่ในคณะเซอร์คัสเกือบทั้งหมด ฉากอดีตเป็นเพียงส่วนประกอบให้เหมือนภาพฝันขึ้นเท่านั้น
Amazon เลือกเล่มนี้เป็นหนึ่งใน Best Books of the Month เดือนนี้ และสื่อต่างๆ ก็เชียร์เล่มนี้เยอะ แต่เหตุผลสำคัญสุดที่ทำให้ตัดสินใจเลือกอ่านคือ คนเขียนบอกว่า เรื่องนี้คงไม่มีภาคต่อ ดี ไม่ต้องมีภาระผูกพันให้ติดตาม
The Night Circus กล่าวถึงคณะละครสัตว์ลึกลับในยุคปลายศตวรรษที่ 19 ที่เดินทางเปิดการแสดงไปตามเมืองต่างๆ โดยเปิดให้คนเข้าชมเฉพาะเวลากลางคืน เบื้องหลังผืนผ้าใบริ้วดำสลับขาวของคณะละครสัตว์แห่งความฝันนี้ คือเวทีการแข่งขันระหว่างสองจอมเวทย์ ที่ฝึกฝนลูกศิษย์ฝ่ายละคนให้มาเป็นตัวแทนในการประลอง โดยที่เจ้าตัวนักมายากลหญิงสาวชายหนุ่มคู่แข่ง ซีเลียและมาร์โก้ ไม่รู้กฎกติกาใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งไม่รู้ว่า ความรักที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง จะส่งผลเช่นไรต่อทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด
ตั้งแต่เริ่ม เวลาอ่านจะรู้สึกว่า บรรยากาศในเรื่องนั้นราวกับต้องมนตรา ฉากในคณะเซอร์คัสแห่งนี้ บรรยายได้ดีมากเลย ไม่ว่าจะเป็นเต๊นท์เขาวงกต หรือสวนน้ำแข็ง รู้สึกว่ามันมีมนต์ขลังอยู่จริงๆ แต่เนื้อเรื่องจะรู้สึกงงนิดหน่อย เพราะมันถูกตัดสลับไปสลับมาเป็นบทๆ สั้นบ้างยาวบ้าง จากมุมมองตัวละครแต่ละคนซึ่งก็มีเยอะอยู่ บางทีเล่าเรื่องย้อนไปมาไม่เรียงตามลำดับเวลาอีกต่างหาก ครึ่งเล่มแรกเหมือนอ่านเอาบรรยากาศอย่างเดียว เนื้อเรื่องไม่คืบหน้าเลย แต่ก็ทำได้ดีนะ จงใจสร้างอารมณ์เหมือนมายา กึ่งฝัน วิบวับลับตา จับต้องไม่ค่อยได้ แต่จะมองว่าน่าเบื่อก็ได้เหมือนกัน
ภาษาที่ใช้ไม่ได้หรูหราฟุ้งเฟ้อจนเกินเหตุ ทว่าหมดจดงดงามจนพาเคลิ้ม แต่เพราะวิธีการเขียนราวกับให้ดูภาพ คนแต่งก็ไม่เคยจะพาเราเข้าไปในหัวตัวละครเลย ช่วงแรกๆ ก็ทำเราอึดอัดคับข้องใจอยู่ พระเอกนางเอกคิดอะไรรู้สึกยังไงก็ไม่ค่อยรู้เลย แต่พอคุ้นเคยกับตัวละครไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มอินได้ เราชอบฉากที่มาร์โก้ก้มหน้ามาจะจูบ แล้วซีเลียเบือนหน้าหนี ให้อารมณ์รักต้องห้ามมากๆ อืมม์ แฮะ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาครึ่งเล่มคร่ำครวญว่ารักแค่ไหน ต้องหักห้ามใจเพียงใด บรรยายสั้นๆ นิดเดียวก็ทำให้คนอ่านประทับใจได้เหมือนกัน
ความจริงเนื้อเรื่องเรื่องนี้น้อยมาก เรื่องย่อตอนต้นเกริ่นไว้ยังไง ตอนจบก็มีประเด็นแค่นั้นแหละ แต่ความสนุกของมันคงอยู่ที่บรรยากาศ กับการติดตามว่า ชิ้นส่วนจิ๊กซอว์เนื้อเรื่องที่กระจัดกระจายในครึ่งแรก มันมาร้อยเรียงเป็นภาพใหญ่ในครึ่งเรื่องหลังได้อย่างไร พอเห็นภาพต่อเรียงกันเยอะขึ้นก็ทำให้เข้าใจปมประเด็นของเนื้อเรื่องซะที ก็จะรู้สึกน่าติดตามมากขึ้น ชอบพวกรุ่นเด็ก พ็อพเพ็ต วิดเจ็ต เบลีย์ เป็นตัวช่วยดำเนินเรื่องที่ดี และช่วยเร่งจังหวะให้เนื้อเรื่องเข้าสู่ไคลแม็กซ์ได้ลุ้นขึ้น แต่ตอนจบก็ยังงงๆ อยู่หน่อยนะ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่แน่ใจ รักษาอารมณ์แฟนซีทั้งเรื่อง
อ่านเล่มนี้เหมือนเล่นม้าหมุนหรือขึ้นชิงช้าสวรรค์มั้ง ไม่ได้สนุกตื่นเต้นเหมือนเล่นรถไฟเหาะ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ขึ้น โดยเฉพาะตอนช่วงที่อยู่สูงที่สุด พอกลับถึงพื้นแล้วก็ยังรู้สึกดี แต่จะชอบเล่นแล้วเล่นอีกมั้ย ก็คงไม่นะ
ป.ล. ไม่รู้จะแปะป้ายหมวดไหนให้เล่มนี้ มีเวทมนตร์แต่ไม่เหมือนเรื่องแฟนตาซี กล่าวถึงความรักแต่ห่างไกลมากจากนิยายโรแมนซ์หรือโรแมนติก ชีวิตดราม่าก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเป็นนิยายย้อนยุคหรือ เหตุการณ์ก็อยู่ในคณะเซอร์คัสเกือบทั้งหมด ฉากอดีตเป็นเพียงส่วนประกอบให้เหมือนภาพฝันขึ้นเท่านั้น
วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554
New York to Dallas (In Death #33) - J. D. Robb
คะแนน : 8.5
นิยายชุด In Death เล่มที่ 33 แต่เป็นเล่มแรก ที่ไม่มีคำว่า In Death ในชื่อเรื่อง และฉากของเรื่องส่วนใหญ่เปลี่ยนจากนิวยอร์กไปอยู่ที่ดัลลัส เมืองซึ่งเป็นต้นกำเนิดชื่อของอีฟ เล่มนี้สนุกมากๆ ตั้งแต่เริ่มเปิดเรื่อง ฉากแรกที่อีฟนั่งเบื่อกับการทำงานเอกสาร ก็ทำเราขำแล้ว โดยเฉพาะตอนเถียงกับคอมพิวเตอร์ ฮากระจาย อยากมีคอมพ์แบบนี้มั่งจัง แล้วก็อยากได้ออโต้เชฟด้วย ^_^ แต่เพียงยังไม่จบบทแรก อารมณ์ของเรื่องก็เปลี่ยนทันที ลุ้นระทึกตั้งแต่ต้น เมื่อคนร้ายที่อีฟเคยจับตัวได้เมื่อ 12 ปีก่อน หนีออกจากคุกมา แล้วจับผู้หญิงคนหนึ่งเป็นตัวประกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการแก้แค้นอีฟ
อีฟกับรอร์คเดินทางมาดัลลัส เพื่อพยายามตามล่าคนร้าย เนื่องจากมาต่างเมือง สมาชิกประจำอย่างพวกตำรวจนิวยอร์กก็จะมีบทน้อย พีบอดี้ก็ไม่ได้ไปด้วย แต่การได้เห็นบทบาทของอีฟในการทำงานร่วมกับตำรวจต่างเมืองบ้างก็ดีนะ การดำเนินเรื่องเล่มนี้เยี่ยมมาก ลุ้นตลอด ต้องพยายามหาร่องรอยหลักฐานว่า คนร้ายกบดานอยู่ที่ไหน มีความคืบหน้าในการติดตามสืบเกือบทุกบท ตามเข้าใกล้คนร้ายไปเรื่อยๆ เรื่องเร่งเร็ว ไม่มีเอื่อยเลย เรื่องพาร์ทเนอร์ของคนร้าย เราเดาถูกด้วย ตั้งแต่ประโยคแรกที่พูดถึงเลย กะมานานแล้ว
คดีในเล่มนี้เกี่ยวพันกับการกักขังและล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิง บวกกับสถานที่เป็นเมืองดัลลัส เพราะฉะนั้นแน่นอนว่า ต้องส่งผลกระทบทางใจต่ออีฟแน่ๆ อาการฝันร้ายของอีฟเล่มนี้เลยดูจะหนักเป็นพิเศษ แต่เพราะประเด็นนี้ ก็เลยยิ่งทำให้เห็นระดับความรักความผูกพันของอีฟกับรอร์ค อ่านนิยายชุดนี้ บางทีก็เหมือนอ่านหนังสือฮาวทู 999 วิธีบอกรัก บอกรักกันมา 30-40 ตอน ตอนละหลายๆ หน ก็ยังไม่รู้สึกซ้ำซากเลยสักนิด ยังซึ้งยังโดนใจได้ตลอด สรุปว่านี่เป็น 1 ในเล่มที่เราชอบที่สุดในซีรีส์ In Death เลยนะ
ป.ล. ลืมพูดถึงได้ไง เจ้าแมวอ้วนกาลาแฮด น่ารักที่สุดเลย
นิยายชุด In Death เล่มที่ 33 แต่เป็นเล่มแรก ที่ไม่มีคำว่า In Death ในชื่อเรื่อง และฉากของเรื่องส่วนใหญ่เปลี่ยนจากนิวยอร์กไปอยู่ที่ดัลลัส เมืองซึ่งเป็นต้นกำเนิดชื่อของอีฟ เล่มนี้สนุกมากๆ ตั้งแต่เริ่มเปิดเรื่อง ฉากแรกที่อีฟนั่งเบื่อกับการทำงานเอกสาร ก็ทำเราขำแล้ว โดยเฉพาะตอนเถียงกับคอมพิวเตอร์ ฮากระจาย อยากมีคอมพ์แบบนี้มั่งจัง แล้วก็อยากได้ออโต้เชฟด้วย ^_^ แต่เพียงยังไม่จบบทแรก อารมณ์ของเรื่องก็เปลี่ยนทันที ลุ้นระทึกตั้งแต่ต้น เมื่อคนร้ายที่อีฟเคยจับตัวได้เมื่อ 12 ปีก่อน หนีออกจากคุกมา แล้วจับผู้หญิงคนหนึ่งเป็นตัวประกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการแก้แค้นอีฟ
อีฟกับรอร์คเดินทางมาดัลลัส เพื่อพยายามตามล่าคนร้าย เนื่องจากมาต่างเมือง สมาชิกประจำอย่างพวกตำรวจนิวยอร์กก็จะมีบทน้อย พีบอดี้ก็ไม่ได้ไปด้วย แต่การได้เห็นบทบาทของอีฟในการทำงานร่วมกับตำรวจต่างเมืองบ้างก็ดีนะ การดำเนินเรื่องเล่มนี้เยี่ยมมาก ลุ้นตลอด ต้องพยายามหาร่องรอยหลักฐานว่า คนร้ายกบดานอยู่ที่ไหน มีความคืบหน้าในการติดตามสืบเกือบทุกบท ตามเข้าใกล้คนร้ายไปเรื่อยๆ เรื่องเร่งเร็ว ไม่มีเอื่อยเลย เรื่องพาร์ทเนอร์ของคนร้าย เราเดาถูกด้วย ตั้งแต่ประโยคแรกที่พูดถึงเลย กะมานานแล้ว
คดีในเล่มนี้เกี่ยวพันกับการกักขังและล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิง บวกกับสถานที่เป็นเมืองดัลลัส เพราะฉะนั้นแน่นอนว่า ต้องส่งผลกระทบทางใจต่ออีฟแน่ๆ อาการฝันร้ายของอีฟเล่มนี้เลยดูจะหนักเป็นพิเศษ แต่เพราะประเด็นนี้ ก็เลยยิ่งทำให้เห็นระดับความรักความผูกพันของอีฟกับรอร์ค อ่านนิยายชุดนี้ บางทีก็เหมือนอ่านหนังสือฮาวทู 999 วิธีบอกรัก บอกรักกันมา 30-40 ตอน ตอนละหลายๆ หน ก็ยังไม่รู้สึกซ้ำซากเลยสักนิด ยังซึ้งยังโดนใจได้ตลอด สรุปว่านี่เป็น 1 ในเล่มที่เราชอบที่สุดในซีรีส์ In Death เลยนะ
ป.ล. ลืมพูดถึงได้ไง เจ้าแมวอ้วนกาลาแฮด น่ารักที่สุดเลย
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554
Prey - Linda Howard
คะแนน : 7
เล่มนี้หน้าปกกับเนื้อหาข้างในไปคนละทาง ตอนแรกก่อนอ่านเห็นปกแล้วก็เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร พออ่านจบแล้วมาเขียนบล็อก แปะรูปเสร็จ สิ่งแรกที่นึกทันทีก็คือ รูปนี้ไม่สื่ออะไรถึงเนื้อเรื่องเลยนะเนี่ย เกิดใครไม่เคยอ่าน Linda Howard แล้วหลงซื้อเล่มนี้เพราะหน้าปก อ่านจบก็คงงงๆ เหมือนกัน บุคลิกนางเอกไม่เหมือนผู้หญิงในรูปเลย ในเล่มมีตอนไหนใส่ขาสั้นนอนเล่นอยู่หวา แล้วในหนังสือฉากอยู่ในป่าทั้งเรื่อง ไม่เห็นมีใบไม้บนปกสักใบ
แอนจี้ พาวเวล รับช่วงธุรกิจต่อจากพ่อ เป็นไกด์นำทางเดินป่า แต่เพราะสภาพเศรษฐกิจซบเซา แถมมีไกด์หนุ่มมาดเข้มอย่าง แดร์ คัลลาแฮน เป็นคู่แข่ง ทำให้ลูกค้าหดหาย สถานการณ์ของเธอย่ำแย่ จนแอนจี้ต้องตัดสินใจเลิกกิจการ งานครั้งสุดท้ายของเธอ คือการพาลูกค้าสองคนเข้าป่าไปล่าหมี โดยไม่รู้เลยว่า หนึ่งในนั้นตั้งใจใช้ทริปนี้ดำเนินแผนการฆาตกรรม!
เนื้อเรื่องเล่มนี้น้อยมากๆ เน้นฉากแอกชั่นอย่างเดียว เรื่องลุ้นสืบสวนก็ไม่เท่าไหร่ แผนการซับซ้อนอะไรก็ไม่มี ตัวร้ายก็เห็นๆ ชัดว่าใคร โรแมนซ์ก็น้อย แดร์ปิ๊งแอนจี้อยู่ แต่แอนจี้โกรธแดร์ว่าเป็นคู่แข่งทำให้เธอเจ๊ง พระเอกนางเอกยืนเถียงกันตอนต้นเล่มฉากนึงในเมือง แล้วหลังจากนั้นก็เข้าป่ายาว กว่าพระเอกนางเอกจะได้เจอกันอีกทีไปครึ่งเล่มแล้ว ในป่าก็ไม่มีเนื้อเรื่องอะไรมาก นางเอกหนีผู้ร้าย หนีหมีดำกินคน ไปหลบพายุฝนอยู่ที่เคบินกลางป่ากับพระเอก ก็เลยได้ปรับความเข้าใจกัน แล้วก็ต้องพยายามเอาตัวรอดออกจากป่าโดยไม่ให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของคนร้ายกับสัตว์ร้าย
ก็เป็นเรื่องที่อ่านได้เพลินๆ ไปเรื่อยๆ เล่มนี้คล้ายๆ เรื่อง Ice มั้ง เนื้อเรื่องน้อย ตัวละครน้อย เวลาในเรื่องสั้น ตอนอ่านไม่มีช่วงเบื่อ แต่จบเล่มแล้วก็ไม่ได้มีจุดที่ชอบอะไรเป็นพิเศษ คือ พระเอกนางเอกเรื่องนี้ก็โอเคแหละ แต่ไม่มีพัฒนาการอะไร และเพราะทั้งคู่ถูกจับโยนใส่สถานการณ์คับขัน ก็เห็นใจกันเร็ว แต่เวลาเจอเรื่องที่ความสัมพันธ์ไปไวแบบนี้ บางทีก็อดไพล่ไปนึกถึงคำพูดนางเอกหนังเรื่อง Speed ที่ว่า "'relationships that start under intense circumstances, they never last." ไม่ได้แฮะ
เล่มนี้หน้าปกกับเนื้อหาข้างในไปคนละทาง ตอนแรกก่อนอ่านเห็นปกแล้วก็เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร พออ่านจบแล้วมาเขียนบล็อก แปะรูปเสร็จ สิ่งแรกที่นึกทันทีก็คือ รูปนี้ไม่สื่ออะไรถึงเนื้อเรื่องเลยนะเนี่ย เกิดใครไม่เคยอ่าน Linda Howard แล้วหลงซื้อเล่มนี้เพราะหน้าปก อ่านจบก็คงงงๆ เหมือนกัน บุคลิกนางเอกไม่เหมือนผู้หญิงในรูปเลย ในเล่มมีตอนไหนใส่ขาสั้นนอนเล่นอยู่หวา แล้วในหนังสือฉากอยู่ในป่าทั้งเรื่อง ไม่เห็นมีใบไม้บนปกสักใบ
แอนจี้ พาวเวล รับช่วงธุรกิจต่อจากพ่อ เป็นไกด์นำทางเดินป่า แต่เพราะสภาพเศรษฐกิจซบเซา แถมมีไกด์หนุ่มมาดเข้มอย่าง แดร์ คัลลาแฮน เป็นคู่แข่ง ทำให้ลูกค้าหดหาย สถานการณ์ของเธอย่ำแย่ จนแอนจี้ต้องตัดสินใจเลิกกิจการ งานครั้งสุดท้ายของเธอ คือการพาลูกค้าสองคนเข้าป่าไปล่าหมี โดยไม่รู้เลยว่า หนึ่งในนั้นตั้งใจใช้ทริปนี้ดำเนินแผนการฆาตกรรม!
เนื้อเรื่องเล่มนี้น้อยมากๆ เน้นฉากแอกชั่นอย่างเดียว เรื่องลุ้นสืบสวนก็ไม่เท่าไหร่ แผนการซับซ้อนอะไรก็ไม่มี ตัวร้ายก็เห็นๆ ชัดว่าใคร โรแมนซ์ก็น้อย แดร์ปิ๊งแอนจี้อยู่ แต่แอนจี้โกรธแดร์ว่าเป็นคู่แข่งทำให้เธอเจ๊ง พระเอกนางเอกยืนเถียงกันตอนต้นเล่มฉากนึงในเมือง แล้วหลังจากนั้นก็เข้าป่ายาว กว่าพระเอกนางเอกจะได้เจอกันอีกทีไปครึ่งเล่มแล้ว ในป่าก็ไม่มีเนื้อเรื่องอะไรมาก นางเอกหนีผู้ร้าย หนีหมีดำกินคน ไปหลบพายุฝนอยู่ที่เคบินกลางป่ากับพระเอก ก็เลยได้ปรับความเข้าใจกัน แล้วก็ต้องพยายามเอาตัวรอดออกจากป่าโดยไม่ให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของคนร้ายกับสัตว์ร้าย
ก็เป็นเรื่องที่อ่านได้เพลินๆ ไปเรื่อยๆ เล่มนี้คล้ายๆ เรื่อง Ice มั้ง เนื้อเรื่องน้อย ตัวละครน้อย เวลาในเรื่องสั้น ตอนอ่านไม่มีช่วงเบื่อ แต่จบเล่มแล้วก็ไม่ได้มีจุดที่ชอบอะไรเป็นพิเศษ คือ พระเอกนางเอกเรื่องนี้ก็โอเคแหละ แต่ไม่มีพัฒนาการอะไร และเพราะทั้งคู่ถูกจับโยนใส่สถานการณ์คับขัน ก็เห็นใจกันเร็ว แต่เวลาเจอเรื่องที่ความสัมพันธ์ไปไวแบบนี้ บางทีก็อดไพล่ไปนึกถึงคำพูดนางเอกหนังเรื่อง Speed ที่ว่า "'relationships that start under intense circumstances, they never last." ไม่ได้แฮะ
วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554
Legends of Shannara 1 & 2 - Terry Brooks
คะแนน : 7.5
นิยายทวิภาคแฟนตาซีนี้เป็นชุดที่ 6 ในโลกแห่งแชนนาร่า แต่ใน Legends of Shannara มีเล่มน้อยกว่าชุดอื่นๆ แค่สองเล่มจบ ถ้าบวกไตรภาค Word & Void ด้วย นี่เป็นเล่มที่ 21-22 ในซีรีส์แล้ว
เริ่มต้นที่ Bearers of the Black Staff จับใจความหลังจากเหตุการณ์ล้างโลกใน The Genesis of Shannara นับจากที่ฮอว์คช่วยนำกลุ่มคนมาหาที่หลบภัยในหุบเขา เพื่อปกป้องอนาคตของมนุษย์ ให้รอดจากการไล่ล่าของเหล่าปิศาจ และหายนภัยนิวเคลียร์ เวลาผ่านไป 500 ปี ชื่อฮอว์คเหลือเป็นแค่ตำนาน แถมชื่อโดนเอาไปแอบอ้างเป็นลัทธิซะอีก บัดนี้ กำแพงเวทมนตร์ได้พังทลายลงแล้ว ลูกหลานของมนุษย์ และเผ่าเอลฟ์ที่เหลืออยู่ ต้องเผชิญกับอันตรายจากโลกภายนอก
ตำนานแชนนาร่าบทนี้ ก็จะเชื่อมโยงต่อจากไตรภาค Genesis แล้วนำไปสู่โลกของแชนนาร่าดั้งเดิม บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมในเรื่องเริ่มใกล้เคียงกับของเดิมมากขึ้น จาก Knight of the Word ก็คงจะมีพัฒนาการต่อไป อนาคตก็จะกลายเป็น Druid ที่เราคุ้นล่ะ โดยส่งผ่านสัญลักษณ์กันด้วยไม้เท้านิล ตัวละครเด่นภาคนี้เป็นเด็กหนุ่มชื่อ แพนเทอร่า มีคู่หูเป็นหญิงชื่อ พรู กับเจ้าหญิงเอลฟ์ชื่อไฟรน์ โดยมีผู้ถือไม้เท้านิลคนปัจจุบันชื่อ ไซเดอร์ เป็นคนคอยให้คำแนะนำแก่แพน
ภาคนี้มันสนุกเป็นช่วงๆ ตอนต้นเล่มเปิดเรื่องดีมาก เพราะ Terry Brooks เป็นคนที่เขียนฉากแอกชั่นสนุก และการทิ้งจังหวะการเล่าเรื่องทำได้ดีมีให้ลุ้น แต่มันสร้างความน่าสนใจได้ไม่ตลอด เพราะเหตุการณ์ในเรื่องจริงๆ มีไม่เยอะเท่าไหร่ เส้นเรื่องไม่เนียน ศัตรูในเรื่องยังถือว่าน้อย และไม่ได้จี้ติดฝั่งตัวเอกในเรื่องซะเท่าไหร่ พวกชาวบ้านในเรื่องไม่ค่อยเครียดกันเลย กองทัพศัตรูมาจ่อแล้ว เฉยกันจัง และเดิมพันในเรื่องไม่สูงระดับชี้ชะตามนุษยชาติอย่างภาคอื่นๆ ก็เลยขาดอารมณ์ลุ้นๆ เร่งๆ ไป พอเชื่อมโยงต่อมาถึงเล่มสอง The Measure of the Magic ก็ประมาณกัน เรื่องราวเน้นมาที่ไอเทมสำคัญประจำซีรีส์อย่างบลูเอลฟ์สโตนที่แฟนๆ คงคุ้นกันดี มีปิศาจมาร demon โผล่มาตัวหนึ่ง ตอนต้นเล่มลุ้นสนุกอยู่ แต่พอสักพัก จังหวะก็เอื่อยหายไปอีก มามันส์ตอนท้ายๆ อีกที
เรื่องความรักในภาคนี้ถูกกลบสนิทมิดชิด มีแบบเสียไม่ได้ยังไงไม่รู้ ภาคก่อนๆ เรื่องความรักของตัวเอกในเรื่องก็ไม่ได้สำคัญมากหรอก แต่ก็ยังมีบ้างเหมือนเป็นถ้วยรางวัลตอนจบ แต่ภาคนี้ไม่เวิร์กเลย เหล่าตัวละครแบนเป็นกระดาษแข็งมาก เลยไม่ทำให้เชียร์เท่าไหร่ แล้วเพราะความที่มันเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้า ก็เหมือนรู้อยู่แล้วว่าอนาคตเนื้อเรื่องจะไปในทางไหน ก็เลยยิ่งไม่ลุ้น
รวมๆ แล้วภาคนี้เหมือนเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์แทรกให้รู้เส้นเวลาของโลกแชนนาร่าดีขึ้นเฉยๆ ถ้าใครไม่เคยอ่านแชนนาร่า ก็ไม่ควรเริ่มที่ชุดนี้ ไปเริ่มที่ไตรภาคชุดก่อนๆ The Original Shannara, The Heritage of Shannara ที่สนุกมาก หรือ The Voyage of the Jerle Shannara ที่เคยมีแปลไทยดีกว่า แต่ไตรภาคหน้าที่จะออกต่อจากชุดนี้ เนื้อเรื่องจะจับใจความต่อจากชุด High Druid of Shannara อยากอ่านชุดนั้นมากกว่า ดูซิว่าอนาคตข้างหน้าของโลกในเรื่องจะไปยังไง ก็คงต้องรออีกสามปีให้ออกครบก่อนค่อยอ่านรวดเดียว
นิยายทวิภาคแฟนตาซีนี้เป็นชุดที่ 6 ในโลกแห่งแชนนาร่า แต่ใน Legends of Shannara มีเล่มน้อยกว่าชุดอื่นๆ แค่สองเล่มจบ ถ้าบวกไตรภาค Word & Void ด้วย นี่เป็นเล่มที่ 21-22 ในซีรีส์แล้ว
เริ่มต้นที่ Bearers of the Black Staff จับใจความหลังจากเหตุการณ์ล้างโลกใน The Genesis of Shannara นับจากที่ฮอว์คช่วยนำกลุ่มคนมาหาที่หลบภัยในหุบเขา เพื่อปกป้องอนาคตของมนุษย์ ให้รอดจากการไล่ล่าของเหล่าปิศาจ และหายนภัยนิวเคลียร์ เวลาผ่านไป 500 ปี ชื่อฮอว์คเหลือเป็นแค่ตำนาน แถมชื่อโดนเอาไปแอบอ้างเป็นลัทธิซะอีก บัดนี้ กำแพงเวทมนตร์ได้พังทลายลงแล้ว ลูกหลานของมนุษย์ และเผ่าเอลฟ์ที่เหลืออยู่ ต้องเผชิญกับอันตรายจากโลกภายนอก
ตำนานแชนนาร่าบทนี้ ก็จะเชื่อมโยงต่อจากไตรภาค Genesis แล้วนำไปสู่โลกของแชนนาร่าดั้งเดิม บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมในเรื่องเริ่มใกล้เคียงกับของเดิมมากขึ้น จาก Knight of the Word ก็คงจะมีพัฒนาการต่อไป อนาคตก็จะกลายเป็น Druid ที่เราคุ้นล่ะ โดยส่งผ่านสัญลักษณ์กันด้วยไม้เท้านิล ตัวละครเด่นภาคนี้เป็นเด็กหนุ่มชื่อ แพนเทอร่า มีคู่หูเป็นหญิงชื่อ พรู กับเจ้าหญิงเอลฟ์ชื่อไฟรน์ โดยมีผู้ถือไม้เท้านิลคนปัจจุบันชื่อ ไซเดอร์ เป็นคนคอยให้คำแนะนำแก่แพน
ภาคนี้มันสนุกเป็นช่วงๆ ตอนต้นเล่มเปิดเรื่องดีมาก เพราะ Terry Brooks เป็นคนที่เขียนฉากแอกชั่นสนุก และการทิ้งจังหวะการเล่าเรื่องทำได้ดีมีให้ลุ้น แต่มันสร้างความน่าสนใจได้ไม่ตลอด เพราะเหตุการณ์ในเรื่องจริงๆ มีไม่เยอะเท่าไหร่ เส้นเรื่องไม่เนียน ศัตรูในเรื่องยังถือว่าน้อย และไม่ได้จี้ติดฝั่งตัวเอกในเรื่องซะเท่าไหร่ พวกชาวบ้านในเรื่องไม่ค่อยเครียดกันเลย กองทัพศัตรูมาจ่อแล้ว เฉยกันจัง และเดิมพันในเรื่องไม่สูงระดับชี้ชะตามนุษยชาติอย่างภาคอื่นๆ ก็เลยขาดอารมณ์ลุ้นๆ เร่งๆ ไป พอเชื่อมโยงต่อมาถึงเล่มสอง The Measure of the Magic ก็ประมาณกัน เรื่องราวเน้นมาที่ไอเทมสำคัญประจำซีรีส์อย่างบลูเอลฟ์สโตนที่แฟนๆ คงคุ้นกันดี มีปิศาจมาร demon โผล่มาตัวหนึ่ง ตอนต้นเล่มลุ้นสนุกอยู่ แต่พอสักพัก จังหวะก็เอื่อยหายไปอีก มามันส์ตอนท้ายๆ อีกที
เรื่องความรักในภาคนี้ถูกกลบสนิทมิดชิด มีแบบเสียไม่ได้ยังไงไม่รู้ ภาคก่อนๆ เรื่องความรักของตัวเอกในเรื่องก็ไม่ได้สำคัญมากหรอก แต่ก็ยังมีบ้างเหมือนเป็นถ้วยรางวัลตอนจบ แต่ภาคนี้ไม่เวิร์กเลย เหล่าตัวละครแบนเป็นกระดาษแข็งมาก เลยไม่ทำให้เชียร์เท่าไหร่ แล้วเพราะความที่มันเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้า ก็เหมือนรู้อยู่แล้วว่าอนาคตเนื้อเรื่องจะไปในทางไหน ก็เลยยิ่งไม่ลุ้น
รวมๆ แล้วภาคนี้เหมือนเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์แทรกให้รู้เส้นเวลาของโลกแชนนาร่าดีขึ้นเฉยๆ ถ้าใครไม่เคยอ่านแชนนาร่า ก็ไม่ควรเริ่มที่ชุดนี้ ไปเริ่มที่ไตรภาคชุดก่อนๆ The Original Shannara, The Heritage of Shannara ที่สนุกมาก หรือ The Voyage of the Jerle Shannara ที่เคยมีแปลไทยดีกว่า แต่ไตรภาคหน้าที่จะออกต่อจากชุดนี้ เนื้อเรื่องจะจับใจความต่อจากชุด High Druid of Shannara อยากอ่านชุดนั้นมากกว่า ดูซิว่าอนาคตข้างหน้าของโลกในเรื่องจะไปยังไง ก็คงต้องรออีกสามปีให้ออกครบก่อนค่อยอ่านรวดเดียว
วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554
รวมมิตร Georgette Heyer
ช่วงนี้ไม่ยุ่งเท่าไหร่ ก็ไม่ได้ว่างหรอกแค่กลับมาอยู่ระดับปรกติ ชีวิตลั้ลลาดีพอควร ทำโน่นทำนี่ตามสบาย หนังสือก็อ่านจบไปหลายเล่มนะ แต่ขี้เกียจเขียนบล็อกมากๆ เลย อ่านสะเปะสะปะไปหลายแนว อ่านเล่มที่มีเรื่องเกี่ยวกับ spacetime แล้วสงสัยว่า ตรงอาณาบริเวณรอบๆ ตัวเรานี่เวลามันเดินทางเร็วกว่าที่อื่นหรือเปล่าเนี่ย 55 ทำไมนาฬิกาหมุนไวจัง ทำอะไรเพลินๆ หน่อยเงยหน้ามาก็ผ่านไปหลายชั่วโมง แป๊บๆ ไม่ทันไรก็จะหมดเดือนอีกแล้ว
สัปดาห์ที่ผ่านมาลุยอ่านเรื่องของ Georgette Heyer ไป 4 เล่ม คงต้องจดไว้ซะหน่อย เดี๋ยวลืมอีกว่าเล่มไหนอ่านแล้วบ้าง ทั้งสี่เรื่องเป็นแนวที่ไม่ค่อยโรแมนซ์ ออกแนว Comedy หมดทุกเรื่อง
The Unknown Ajax
คะแนน : 8.25
เริ่มจาก The Unknown Ajax เพราะมีคนที่ชอบ Cotillion บอกว่าเรื่องนี้สนุก เปิดมาอ่านไป 2-3 หน้า นี่มัน "ทายาทป๋องแป๋ง" นี่นา เคยอ่านฉบับแปลงแล้ว แต่อ่านแล้วก็อ่านอีกได้ เพราะเป็นเรื่องที่สนุกดี ชอบพระเอก มาแบบเนียนๆ แกล้งทำเป็นบ้านนอก ตลกมาก นางเอกเรื่องนี้ก็ดี แต่เรื่องมันวุ่นวายกับญาติๆ ซะเยอะ อยากให้มีฉากพระเอกคุยกับนางเอกมากกว่านี้หน่อย
ถือว่าเล่มนี้ติด 1 ใน 5 อันดับเรื่องของ GH ที่เราชอบที่สุดเลย
1. Cotillion = 9
2. Faro's Daughter = 9
3. Devil's Cub = 8.5
4. These Old Shades = 8.5
5. The Unknown Ajax = 8.25
The Convenient Marriage
คะแนน : 7
เล่มนี้เราอ่านแล้วไม่ตลกอ่ะ นางเอกเด็กมากเกินไป อายุห่างจากพระเอกเยอะมาก (เรื่องอายุพระเอกนางเอกของ GH นี่เป็นประเด็นถกกันในหมู่แฟนเลยนะ จนมีคนทำสรุปเรื่องความต่างของอายุตัวเอกแต่ละเรื่องให้ดูด้วย) อายุตัวช่างมันเหอะ แต่อายุสมองไกลกันเกิน โฮเรเชียเป็นเด็กกะโปโลก่อเรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อนทั้งเรื่อง รูลก็ตามใจไปเรื่อยๆ ออกแนวเอ็นดูเด็ก จนรู้สึกว่า พระเอกโลลิค่อน นางเอกติดอ่างทั้งเรื่องไม่หายด้วย นึกว่าจะเป็นแค่แรกๆ ถ้าแนวนี้ เราชอบ Friday's Child มากกว่า นางเอกเด็ก พระเอกก็เด็กด้วย ค่อยๆ โตด้วยกัน
April Lady
คะแนน : 6.5
นี่ก็คู่สามีภรรยาที่อายุต่างกันมากอีกเรื่อง แต่เล่มนี้ไม่ชอบเลย หรือเพราะทนนางเอกมาจากเรื่องที่แล้ว เจอผู้หญิงไม่เอาไหนอีกคนก็รับไม่ไหวแล้ว นางเอกโกหกพระเอกไปเรื่อยๆ จากเรื่องไม่มีอะไรตอนแรกๆ ก็ลุกลามไปใหญ่โต เนื้อเรื่องวุ่นวายอยู่กับพี่ชายนางเอก แล้วก็น้องสาวพระเอก พระเอกโผล่มานับฉากได้ จริงๆ ถ้าชอบตัวละครก็อาจจะตลก แต่พอไม่ชอบ ก็เลยรู้สึกงี่เง่า พออ่านเรื่องนี้จบโดยไม่หลุดปากสบถใส่นางเอกเลยสักครั้งได้ รู้สึกเหมือนบำเพ็ญขันติบารมีบรรลุไปอีกขั้นเลย
The Talisman Ring
คะแนน : 8
นี่แหละ! มันต้องอย่างนี้สิถึงจะขำ เรื่องนี้ทำเราหัวเราะก๊ากหลายทีมาก ถ้าตัวละครพระเอกนางเอกฉลาดทันกันทำอะไรบ๊องๆ มันก็ตลกดี โอ๊ย ตอนนางเอกแกล้งเป็นลม แล้วพระเอกบอกว่า อาการนี้ต้องเอาน้ำเย็นสาด นางเอกก็แอบขมุบขมิบขู่ว่ากล้าเหรอ ฮามั่กมาก จริงๆ เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ก็วุ่นวายกับตัวละครเยอะแยะ หาแหวน ซ้อนกลคนร้าย พระเอกนางเอกไม่ค่อยได้คุยกันหรอก แต่ชอบคู่นี้มาก น่ารักจริงๆ เลย พวกตัวละครอื่นก็รู้สึกโอเค หลุดๆ รั่วๆ แล้วขำทุกคน
วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554
The Wild Rose - Jennifer Donnelly
คะแนน : 7
เล่มจบของไตรภาคกุหลาบ เรื่องราวต่อเนื่องจาก The Tea Rose และ The Winter Rose ใครยังไม่ได้อ่านก็หยุดตรงนี้เลยค่ะ เพราะโพสต์นี้ถ้าไม่ได้ระบายความหงุดหงิดคงไม่สบายใจ จะสปอยล์ทั้งซีรีส์ เนื้อเรื่องเล่มนี้และเล่มก่อนๆ ด้วย
จากการอ่านภาคที่แล้ว เรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยชอบเชมี่และวิลล่า พระเอกนางเอกภาคนี้เลย พอเล่มนี้ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อ่านจากรีวิวเห็นท่าไม่ค่อยดี ก็ยั้งมือยังไม่อยากซื้อ โหลดตัวอย่างจาก Amazon มาดูก่อน แค่ 2 บทแรก ก็ทำให้เราปิดหน้าจอทิ้งด้วยความอารมณ์เสียแล้ว เล่มนี้เวลาผ่านมาจากเหตุการณ์เล่มที่แล้ว 8 ปี ขึ้นต้นเรื่องก็เปิดฉากด้วยการที่ทั้งนางเอกและพระเอก ต่างก็ไปนอนกับตัวละครอื่นที่ตัวเองไม่ได้รัก ในขณะที่นึกในใจว่ายังคิดถึงเจ็บปวดถึงกันและกันอยู่ โอ๊ย เราเกลียดตัวละครแบบนี้มากๆ จะคร่ำครวญหวนไห้พิร่ำพิไรพิลาปรำพันโศกศัลย์วิปโยคอะไรนักหนา ก็ทำตัวเองแท้ๆ โดยเฉพาะวิลล่าที่เป็นตัวต้นเหตุนี่แย่มากๆ เลย จากที่ไม่ค่อยชอบหน้า กลายเป็นเกลียดนางเอกตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มอ่านจริงเลย แล้วมันจะไปรอดมั้ย ชั่งใจอยู่หลายวัน แต่ความอยากอ่านก็มากกว่า ยังไงเราก็ยังอยากรู้เรื่องครอบครัวนี้ว่า คนอื่นๆ จะเป็นยังไง จะพยายามทำใจทนตัวเอกแล้วกัน
จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตอนไปปีนเขาด้วยกันกับเชมี่ที่แอฟริกา จนทำให้วิลล่าถูกตัดเท้าทิ้งไปข้างหนึ่ง เธอไม่อภัยให้เชมี่ที่ยอมให้หมอผ่าตัด ทำให้ความฝันเรื่องการพิชิตยอดเขาของเธอจบสิ้นลง แล้วก็หนีหายไปไม่กลับอังกฤษ แต่ไปร่อนเร่เป็นนักถ่ายภาพอยู่แถวหิมาลัยแทน ส่วนเชมี่ ก็กลายเป็นนักสำรวจขั้วโลกที่มีชื่อเสียง ถึงแม้จะพรั่งพร้อมความสำเร็จ แต่กลับไม่มีความสุข เขาเปลี่ยนคู่ขาไปเรื่อยๆ แต่ยังถวิลหาวิลล่าไม่วาย จนวันหนึ่งเขาได้เจอหญิงสาวสวยนิสัยดีคนหนึ่งชื่อเจนนี่ เชมี่จึงตัดสินใจจะตัดใจจากอดีต และแต่งงานกับเธอ แต่แล้วพ่อของวิลล่าเสียชีวิต วิลล่ารู้ข่าวจึงเดินทางกลับมา ทั้งสองจึงได้พบกันอีกครั้ง
ทำไมพระเอกนางเอกเรื่องนี้เลวอย่างนี้ ที่ผ่านมาทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตแบบนึกถึงแต่ตัวเองมาตลอด ไม่มีความสุขก็สมน้ำหน้าแล้วทำตัวเอง แค่เห็นแก่ตัวนี่ยังพอรับได้ แต่ทำไมต้องลากคนดีๆ ให้มารับกรรมไปด้วย วิลล่ากลับมาปุ๊บก็เพ้อใส่เชมี่ทันที ฉันยังรักคุณ ที่หายไป 8 ปีเพราะกลัวคุณไม่ยกโทษให้ฉัน ตกลงมันไม่ได้มีประเด็นอะไรที่จะต้องจากกันเลยใช่มั้ย แค่บ้าทำใจไม่ได้ก็นั่งทรมานตัวเองกับคนที่รัก ส่วนเชมี่ก็พอกัน เมียตัวเองก็อยู่แถวนั้น ลูกในท้องก็อีกล่ะ นัดผู้หญิงอื่นเข้าโรงแรม ไม่ต้องอ้างเลยทั้งสิ้นว่ารักกันมาก่อน ตอนอ่านถึงตรงนี้เราสงสารเจนนี่มากๆ จากตัวละครที่เป็นคนดีตอนแรก เดี๋ยวคงจะต้องแย่ แล้วสุดท้ายเธอคงต้องตายแน่ๆ เพื่อเปิดทางให้ชายโฉดหญิงชั่ว ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเอกนางเอกเล่มนี้ได้เสวยสุขกัน
ที่จริงเนื้อเรื่องส่วนใหญ่มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นเท่าไหร่ เพราะจริงๆ มันมีเรื่องราวอย่างอื่นเยอะมาก ข้างบนนั่นยังแค่ต้นเรื่องเอง ฉากของเรื่องอยู่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 พล็อตเรื่องสำคัญของเล่มเป็นเรื่องสายลับเยอรมัน พอสงครามเกิด เชมี่ก็ไปรบ ส่วนวิลล่าก็ไปช่วยงานสปายในทะเลทรายอารเบีย เรื่องราวมันก็ดราม่าผจญภัย สลับซับซ้อนย้อนแย้งไปมากับตัวละครต่างๆ โดยเฉพาะจากตัวร้ายของเรื่อง แม็กซ์ ที่เป็นหัวหน้าจารชนเยอรมัน เป็นตัวละครที่น่าทึ่งทีเดียว เวลาตัวละครอื่นโผล่มา เราตั้งใจอ่านมากกว่าตอนกล่าวถึงพระเอกนางเอกซะอีก ชอบอินเดียกับซิดมาก แต่บทส่วนใหญ่อยู่ที่เชมี่กับวิลล่าซะ 80% เพราะฉะนั้นตั้งแต่เจอพฤติกรรมสามานย์เมื่อตอน 1/3 เรื่อง ก็ทำให้เราหัวเสียกับสองคนนี้มากๆ เลย ทำให้หลังจากนั้นอ่านเนื้อเรื่องอื่นๆ ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ เสียดายเนื้อเรื่อง ถ้าได้ตัวละครที่ชอบ ก็คงจะอ่านสนุกกว่านี้ นี่ขนาดไม่แคร์ ยังอ่านไม่อยากวางเลย ให้ภาพรายละเอียดทางประวัติศาสตร์แบบมีสีสันดี ไม่ค่อยได้อ่านนิยายที่ใช้ฉากยุคนี้ อ่านเล่มนี้ก็ได้บรรยากาศแปลกไปอีกแบบ
แต่พระเอกนางเอกนี่ไม่ไหวจริงๆ จนท้ายเรื่องก็ยังแย่ วิลล่านี่ทั้งเรื่องมีอะไรกับผู้ชายตั้งหลายคนไม่กลัวท้องบ้างเหรอ จะมีเซ็กส์กับกี่คนก็ตามใจถ้าคิดว่าทำแล้วพอใจ แต่การปล่อยตัวทำลายตัวเองนี่ช่างโง่เง่าสุดแสน เชมี่ก็ไม่ได้สำนึกตัวเองเท่าไหร่ ยังอุตส่าห์คิดว่าที่เจนนี่ทำนั้นผิด นั่นก็เพราะใครล่ะ รับไม่ได้จริงๆ ดูกรรมมันก็ต้องดูเจตนาด้วย โกหกเพื่อรั้งสามีให้อยู่กับตัว กับโกหกเพื่อนอกใจภรรยา นี่มันต่างกันไกลนะ อันที่จริงเจนนี่พ้นทางไปง่ายมาก แต่เราก็ยังรู้สึกดีที่ผู้แต่งไม่ทำลายแคแรกเตอร์ แค่รักจนตาบอดโง่ถูกหลอกใช้ ไม่ได้หาความชอบธรรมให้เชมี่ ด้วยการทำให้เธอเลวร้ายมากมายอะไรจนขัดกับบุคลิกตอนแรกสิ้นเชิง อย่างนี้ดีแล้วทำให้เราเกลียดพระเอกนางเอกเรื่องนี้ได้อย่างสบายใจเต็มที่ตั้งแต่ต้นจนจบ
รวมๆ แล้ว เล่มนี้เป็นการจบไตรภาคที่ไม่สวยเลย มีบางคนบอกว่า อยากให้เขียนเรื่องของลูกๆ บ้านนี้ต่อ แต่เราว่าอย่าดีกว่า เล่มนี้โจก็อายุ 50 กว่าแล้ว เราไม่ชอบเห็นพระเอกนางเอกภาคก่อนๆ แก่เลย แล้วไม่อยากให้ครอบครัวนี้เจอเรื่องรันทดอีก เล่มนี้ก็สงสารตัวละครจากภาคที่แล้ว มีเรื่องเสียใจกันหลายที ถ้ามีเล่มใหม่ก็คงดราม่าไปมาอีก ลำบากลำบนเหลือเกิน พอเหอะ เขียนเรื่องใหม่ดีกว่า ฝีมือระดับ Jennifer Donnelly ทำได้ดีกว่านี้
เล่มจบของไตรภาคกุหลาบ เรื่องราวต่อเนื่องจาก The Tea Rose และ The Winter Rose ใครยังไม่ได้อ่านก็หยุดตรงนี้เลยค่ะ เพราะโพสต์นี้ถ้าไม่ได้ระบายความหงุดหงิดคงไม่สบายใจ จะสปอยล์ทั้งซีรีส์ เนื้อเรื่องเล่มนี้และเล่มก่อนๆ ด้วย
เตือนสปอยล์
จากการอ่านภาคที่แล้ว เรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยชอบเชมี่และวิลล่า พระเอกนางเอกภาคนี้เลย พอเล่มนี้ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อ่านจากรีวิวเห็นท่าไม่ค่อยดี ก็ยั้งมือยังไม่อยากซื้อ โหลดตัวอย่างจาก Amazon มาดูก่อน แค่ 2 บทแรก ก็ทำให้เราปิดหน้าจอทิ้งด้วยความอารมณ์เสียแล้ว เล่มนี้เวลาผ่านมาจากเหตุการณ์เล่มที่แล้ว 8 ปี ขึ้นต้นเรื่องก็เปิดฉากด้วยการที่ทั้งนางเอกและพระเอก ต่างก็ไปนอนกับตัวละครอื่นที่ตัวเองไม่ได้รัก ในขณะที่นึกในใจว่ายังคิดถึงเจ็บปวดถึงกันและกันอยู่ โอ๊ย เราเกลียดตัวละครแบบนี้มากๆ จะคร่ำครวญหวนไห้พิร่ำพิไรพิลาปรำพันโศกศัลย์วิปโยคอะไรนักหนา ก็ทำตัวเองแท้ๆ โดยเฉพาะวิลล่าที่เป็นตัวต้นเหตุนี่แย่มากๆ เลย จากที่ไม่ค่อยชอบหน้า กลายเป็นเกลียดนางเอกตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มอ่านจริงเลย แล้วมันจะไปรอดมั้ย ชั่งใจอยู่หลายวัน แต่ความอยากอ่านก็มากกว่า ยังไงเราก็ยังอยากรู้เรื่องครอบครัวนี้ว่า คนอื่นๆ จะเป็นยังไง จะพยายามทำใจทนตัวเอกแล้วกัน
จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตอนไปปีนเขาด้วยกันกับเชมี่ที่แอฟริกา จนทำให้วิลล่าถูกตัดเท้าทิ้งไปข้างหนึ่ง เธอไม่อภัยให้เชมี่ที่ยอมให้หมอผ่าตัด ทำให้ความฝันเรื่องการพิชิตยอดเขาของเธอจบสิ้นลง แล้วก็หนีหายไปไม่กลับอังกฤษ แต่ไปร่อนเร่เป็นนักถ่ายภาพอยู่แถวหิมาลัยแทน ส่วนเชมี่ ก็กลายเป็นนักสำรวจขั้วโลกที่มีชื่อเสียง ถึงแม้จะพรั่งพร้อมความสำเร็จ แต่กลับไม่มีความสุข เขาเปลี่ยนคู่ขาไปเรื่อยๆ แต่ยังถวิลหาวิลล่าไม่วาย จนวันหนึ่งเขาได้เจอหญิงสาวสวยนิสัยดีคนหนึ่งชื่อเจนนี่ เชมี่จึงตัดสินใจจะตัดใจจากอดีต และแต่งงานกับเธอ แต่แล้วพ่อของวิลล่าเสียชีวิต วิลล่ารู้ข่าวจึงเดินทางกลับมา ทั้งสองจึงได้พบกันอีกครั้ง
ทำไมพระเอกนางเอกเรื่องนี้เลวอย่างนี้ ที่ผ่านมาทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตแบบนึกถึงแต่ตัวเองมาตลอด ไม่มีความสุขก็สมน้ำหน้าแล้วทำตัวเอง แค่เห็นแก่ตัวนี่ยังพอรับได้ แต่ทำไมต้องลากคนดีๆ ให้มารับกรรมไปด้วย วิลล่ากลับมาปุ๊บก็เพ้อใส่เชมี่ทันที ฉันยังรักคุณ ที่หายไป 8 ปีเพราะกลัวคุณไม่ยกโทษให้ฉัน ตกลงมันไม่ได้มีประเด็นอะไรที่จะต้องจากกันเลยใช่มั้ย แค่บ้าทำใจไม่ได้ก็นั่งทรมานตัวเองกับคนที่รัก ส่วนเชมี่ก็พอกัน เมียตัวเองก็อยู่แถวนั้น ลูกในท้องก็อีกล่ะ นัดผู้หญิงอื่นเข้าโรงแรม ไม่ต้องอ้างเลยทั้งสิ้นว่ารักกันมาก่อน ตอนอ่านถึงตรงนี้เราสงสารเจนนี่มากๆ จากตัวละครที่เป็นคนดีตอนแรก เดี๋ยวคงจะต้องแย่ แล้วสุดท้ายเธอคงต้องตายแน่ๆ เพื่อเปิดทางให้ชายโฉดหญิงชั่ว ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเอกนางเอกเล่มนี้ได้เสวยสุขกัน
ที่จริงเนื้อเรื่องส่วนใหญ่มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นเท่าไหร่ เพราะจริงๆ มันมีเรื่องราวอย่างอื่นเยอะมาก ข้างบนนั่นยังแค่ต้นเรื่องเอง ฉากของเรื่องอยู่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 พล็อตเรื่องสำคัญของเล่มเป็นเรื่องสายลับเยอรมัน พอสงครามเกิด เชมี่ก็ไปรบ ส่วนวิลล่าก็ไปช่วยงานสปายในทะเลทรายอารเบีย เรื่องราวมันก็ดราม่าผจญภัย สลับซับซ้อนย้อนแย้งไปมากับตัวละครต่างๆ โดยเฉพาะจากตัวร้ายของเรื่อง แม็กซ์ ที่เป็นหัวหน้าจารชนเยอรมัน เป็นตัวละครที่น่าทึ่งทีเดียว เวลาตัวละครอื่นโผล่มา เราตั้งใจอ่านมากกว่าตอนกล่าวถึงพระเอกนางเอกซะอีก ชอบอินเดียกับซิดมาก แต่บทส่วนใหญ่อยู่ที่เชมี่กับวิลล่าซะ 80% เพราะฉะนั้นตั้งแต่เจอพฤติกรรมสามานย์เมื่อตอน 1/3 เรื่อง ก็ทำให้เราหัวเสียกับสองคนนี้มากๆ เลย ทำให้หลังจากนั้นอ่านเนื้อเรื่องอื่นๆ ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ เสียดายเนื้อเรื่อง ถ้าได้ตัวละครที่ชอบ ก็คงจะอ่านสนุกกว่านี้ นี่ขนาดไม่แคร์ ยังอ่านไม่อยากวางเลย ให้ภาพรายละเอียดทางประวัติศาสตร์แบบมีสีสันดี ไม่ค่อยได้อ่านนิยายที่ใช้ฉากยุคนี้ อ่านเล่มนี้ก็ได้บรรยากาศแปลกไปอีกแบบ
แต่พระเอกนางเอกนี่ไม่ไหวจริงๆ จนท้ายเรื่องก็ยังแย่ วิลล่านี่ทั้งเรื่องมีอะไรกับผู้ชายตั้งหลายคนไม่กลัวท้องบ้างเหรอ จะมีเซ็กส์กับกี่คนก็ตามใจถ้าคิดว่าทำแล้วพอใจ แต่การปล่อยตัวทำลายตัวเองนี่ช่างโง่เง่าสุดแสน เชมี่ก็ไม่ได้สำนึกตัวเองเท่าไหร่ ยังอุตส่าห์คิดว่าที่เจนนี่ทำนั้นผิด นั่นก็เพราะใครล่ะ รับไม่ได้จริงๆ ดูกรรมมันก็ต้องดูเจตนาด้วย โกหกเพื่อรั้งสามีให้อยู่กับตัว กับโกหกเพื่อนอกใจภรรยา นี่มันต่างกันไกลนะ อันที่จริงเจนนี่พ้นทางไปง่ายมาก แต่เราก็ยังรู้สึกดีที่ผู้แต่งไม่ทำลายแคแรกเตอร์ แค่รักจนตาบอดโง่ถูกหลอกใช้ ไม่ได้หาความชอบธรรมให้เชมี่ ด้วยการทำให้เธอเลวร้ายมากมายอะไรจนขัดกับบุคลิกตอนแรกสิ้นเชิง อย่างนี้ดีแล้วทำให้เราเกลียดพระเอกนางเอกเรื่องนี้ได้อย่างสบายใจเต็มที่ตั้งแต่ต้นจนจบ
รวมๆ แล้ว เล่มนี้เป็นการจบไตรภาคที่ไม่สวยเลย มีบางคนบอกว่า อยากให้เขียนเรื่องของลูกๆ บ้านนี้ต่อ แต่เราว่าอย่าดีกว่า เล่มนี้โจก็อายุ 50 กว่าแล้ว เราไม่ชอบเห็นพระเอกนางเอกภาคก่อนๆ แก่เลย แล้วไม่อยากให้ครอบครัวนี้เจอเรื่องรันทดอีก เล่มนี้ก็สงสารตัวละครจากภาคที่แล้ว มีเรื่องเสียใจกันหลายที ถ้ามีเล่มใหม่ก็คงดราม่าไปมาอีก ลำบากลำบนเหลือเกิน พอเหอะ เขียนเรื่องใหม่ดีกว่า ฝีมือระดับ Jennifer Donnelly ทำได้ดีกว่านี้
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
Lady Elizabeth's Comet - Sheila Simonson
คะแนน : 8
กำลังยุ่งๆ อยู่จนกว่างานโครงการนี้จะเสร็จก็ยังอีกหลายวัน แต่ก็ขอเบรกหน่อยเหอะ เวลาอยากอ่านเพื่อพักสมองนี่ นิยายรีเจนซี่ก็ดูเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยดี แถมเรื่องไม่ยาวอ่านจบได้เร็ว
เลดี้เอลิซาเบธ คอนเวย์ เป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนใครในยุคของเธอ สนใจใฝ่ฝันกับเรื่องดาราศาสตร์จนไม่อยากแต่งงานใช้ชีวิตครอบครัว เธอเป็นลูกคนโตในบรรดาลูกสาว 8 คนของท่านเอิร์ล พอพ่อตาย บรรดาศักดิ์เลยตกไปอยู่กับญาติห่างๆ ที่รุ่นพ่อไม่ถูกกัน ก็เลยไม่เคยเห็นกันมาก่อน เมื่อเอิร์ลแห่งแคลนรอสคนใหม่เดินทางมายังบ้านประจำตระกูล จึงได้พบกับการต้อนรับที่ติดจะเย็นชา แต่เมื่อเธอได้รู้จักเขามากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ความรู้สึกของเธอเปลี่ยนแปลงไป
อ่านครึ่งแรกของเล่มด้วยความรู้สึกว่า เฮ้อ ไม่น่าเชื่อรีวิว AAR เลย คือบางทีรีวิวจากคนเดียว อ่านตามแล้วความรู้สึกอาจจะออกมาคนละทางกับเขาเลยก็เป็นได้ แล้วไม่เคยจำชื่อคนรีวิวซะที เลยไม่ค่อยรู้ว่าแนวตรงกันรึเปล่า ถ้าเป็น Amazon จะได้ความเห็นหลากหลายกว่า แต่ AAR ก็ดี ตรงที่คนรีวิวเป็นนักอ่านโรแมนซ์ขนานแท้ ก็ช่วยการตัดสินใจได้เยอะ แล้วผลสุดท้ายของเรื่องนี้ก็ออกมาดีอย่างเขาว่าจริงซะด้วย
ช่วงแรกเราไม่ชอบนางเอกเลย แล้วก็รู้สึกสงสารพระเอก มีฉากเดียวที่ปิ๊งนิดนึง คือตอนเล่นหมากรุก นอกนั้นอ่านไปแบบงั้นๆ เพราะคุณนางเอกเธอก็ยังไม่มีท่าทีอะไรกับพระเอกซะที แถมตกปากรับคำจะแต่งงานกับเพื่อนสนิทพระเอก คนที่เธอคุ้นเคยดีมาก่อนไปอีกต่างหาก จน 2/3 เรื่องแล้วเราก็ยังไม่เห็นเลยว่า พระเอกนางเอกจะมาลงเอยกันด้วยดี เรื่องมันจะขึ้นมาถึงเกรด A ได้ยังไง
แต่พอถึงฉากที่เอลิซาเบธขอถอนหมั้น ก็ทำเราตื่นเลย เป็นคำพูดบอกเลิกกับผู้ชายที่ฟังแล้วประทับใจมาก ช่างฟังดูมีเหตุมีผล ให้น่าเห็นใจเข้าใจสถานการณ์และความรู้สึกของผู้หญิงสมัยนั้น จนทำให้แว้บขึ้นมาในหัวว่า ยามที่ Jane Austen ยังมีชีวิต ตกลงแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง แล้วเปลี่ยนใจปฏิเสธวันถัดมา เธอก็อาจจะพูดอะไรทำนองนี้ก็เป็นได้
หลังจากนั้นพอนางเอกรู้ใจตัวเองแล้ว เรื่องก็อ่านสนุกขึ้นมากๆ กราฟความชอบพุ่งกระฉูด ท้ายเรื่องน่ารักจริงอะไรจริง นางเอกทำคะแนนคืนจากที่เคยขัดใจตอนต้นเรื่องได้หมด แล้วก็ชอบตอนใกล้จบ คำบอกรักหน้าตาเฉยของพระเอกเรียกรอยยิ้มได้อีก อ่านจบแล้วอารมณ์ดีสมใจ
กำลังยุ่งๆ อยู่จนกว่างานโครงการนี้จะเสร็จก็ยังอีกหลายวัน แต่ก็ขอเบรกหน่อยเหอะ เวลาอยากอ่านเพื่อพักสมองนี่ นิยายรีเจนซี่ก็ดูเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยดี แถมเรื่องไม่ยาวอ่านจบได้เร็ว
เลดี้เอลิซาเบธ คอนเวย์ เป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนใครในยุคของเธอ สนใจใฝ่ฝันกับเรื่องดาราศาสตร์จนไม่อยากแต่งงานใช้ชีวิตครอบครัว เธอเป็นลูกคนโตในบรรดาลูกสาว 8 คนของท่านเอิร์ล พอพ่อตาย บรรดาศักดิ์เลยตกไปอยู่กับญาติห่างๆ ที่รุ่นพ่อไม่ถูกกัน ก็เลยไม่เคยเห็นกันมาก่อน เมื่อเอิร์ลแห่งแคลนรอสคนใหม่เดินทางมายังบ้านประจำตระกูล จึงได้พบกับการต้อนรับที่ติดจะเย็นชา แต่เมื่อเธอได้รู้จักเขามากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ความรู้สึกของเธอเปลี่ยนแปลงไป
อ่านครึ่งแรกของเล่มด้วยความรู้สึกว่า เฮ้อ ไม่น่าเชื่อรีวิว AAR เลย คือบางทีรีวิวจากคนเดียว อ่านตามแล้วความรู้สึกอาจจะออกมาคนละทางกับเขาเลยก็เป็นได้ แล้วไม่เคยจำชื่อคนรีวิวซะที เลยไม่ค่อยรู้ว่าแนวตรงกันรึเปล่า ถ้าเป็น Amazon จะได้ความเห็นหลากหลายกว่า แต่ AAR ก็ดี ตรงที่คนรีวิวเป็นนักอ่านโรแมนซ์ขนานแท้ ก็ช่วยการตัดสินใจได้เยอะ แล้วผลสุดท้ายของเรื่องนี้ก็ออกมาดีอย่างเขาว่าจริงซะด้วย
ช่วงแรกเราไม่ชอบนางเอกเลย แล้วก็รู้สึกสงสารพระเอก มีฉากเดียวที่ปิ๊งนิดนึง คือตอนเล่นหมากรุก นอกนั้นอ่านไปแบบงั้นๆ เพราะคุณนางเอกเธอก็ยังไม่มีท่าทีอะไรกับพระเอกซะที แถมตกปากรับคำจะแต่งงานกับเพื่อนสนิทพระเอก คนที่เธอคุ้นเคยดีมาก่อนไปอีกต่างหาก จน 2/3 เรื่องแล้วเราก็ยังไม่เห็นเลยว่า พระเอกนางเอกจะมาลงเอยกันด้วยดี เรื่องมันจะขึ้นมาถึงเกรด A ได้ยังไง
แต่พอถึงฉากที่เอลิซาเบธขอถอนหมั้น ก็ทำเราตื่นเลย เป็นคำพูดบอกเลิกกับผู้ชายที่ฟังแล้วประทับใจมาก ช่างฟังดูมีเหตุมีผล ให้น่าเห็นใจเข้าใจสถานการณ์และความรู้สึกของผู้หญิงสมัยนั้น จนทำให้แว้บขึ้นมาในหัวว่า ยามที่ Jane Austen ยังมีชีวิต ตกลงแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง แล้วเปลี่ยนใจปฏิเสธวันถัดมา เธอก็อาจจะพูดอะไรทำนองนี้ก็เป็นได้
หลังจากนั้นพอนางเอกรู้ใจตัวเองแล้ว เรื่องก็อ่านสนุกขึ้นมากๆ กราฟความชอบพุ่งกระฉูด ท้ายเรื่องน่ารักจริงอะไรจริง นางเอกทำคะแนนคืนจากที่เคยขัดใจตอนต้นเรื่องได้หมด แล้วก็ชอบตอนใกล้จบ คำบอกรักหน้าตาเฉยของพระเอกเรียกรอยยิ้มได้อีก อ่านจบแล้วอารมณ์ดีสมใจ
วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
The Secret Mistress - Mary Balogh
คะแนน : 7.5
แว้บอ่านนิยายได้เล่มนึง เป็นชุด Mistress เล่มใหม่ ในชุดนี้เราชอบ More Than a Mistress (คะแนน 8) แต่ไม่ชอบ No Man's Mistress (คะแนน 6) เอาซะเลย ไม่ใช่เพราะว่านางเอกเคยเป็นหญิงงามเมืองมาก่อนด้วย เพราะเราชอบเรื่อง A Precious Jewel ได้ แปลว่าอดีตไม่ใช่สาเหตุ แต่เราไม่ชอบนิสัยนางเอก รู้สึกไม่น่าเห็นใจยังไงไม่รู้ ทำให้คิดว่า เรื่องของ MB มีความหลากหลายสูง บางทีพล็อตเรื่องดูเหมือนจะคล้ายกัน แต่พระเอกนางเอกไม่เหมือนกัน อารมณ์ก็ออกมาคนละเรื่องกันเลย แล้วในเรื่องชุดเดียวกัน แต่ละเล่มก็อาจจะออกคนละแนวได้อีก เวลาบอกว่าชอบชุดไหน บางทีก็ไม่ได้ชอบทุกเล่มในชุด ตอนที่เราจัดอันดับนักเขียนคนโปรดของตัวเอง เราอยากใส่ชื่อ Mary Balogh นะ แต่เพราะความที่มีเรื่องของ MB ที่เราไม่ชอบอยู่หลายเรื่อง ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนเลยออกมาสูงไปหน่อย ทำให้หลุดโผ
The Secret Mistress เป็นเล่ม 3 ในชุด แต่เป็นเหตุการณ์ก่อนหน้าเล่ม 1-2 ตอนแรกพอเห็นเล่มนี้ ชะงักนิดนึงเพราะนึกถึงเล่มที่แล้ว ช่วงนี้ไม่อยากอ่านอะไรมีประเด็น แต่พอนึกถึงนางเอกที่บอกว่าเป็นน้องสาวคนเล็กของพระเอกทั้งสองเล่มก่อน เท่าที่จำได้ เป็นผู้หญิงพูดจาเรื่อยเจื้อย แล้วก็แต่งตัวแปลกๆ บุคลิกแบบนั้น เรื่องคงไม่ออกมาเครียดหรอกมั้ง น่าจะเบาๆ สบายใจได้ ก็อ่านเลยไม่ต้องรอเช็ครีวิวเยอะ
เล่มนี้เล่าย้อนเรื่องราวของ เลดี้แอนเจลีน ดัดลีย์ ตอนพบรักและแต่งงานกับเอิร์ลแห่งเฮย์เวิร์ด เล่นประเด็นเรื่องแรงดึงดูดของคู่ตรงข้าม แอนจี้ออกแนวโก๊ะๆ หน่อย ร่าเริง จิตใจดี คุยจ้อไปเรื่อยๆ เวลาอ่านไปๆ ก็มีขำหน่อย เวลานางเอกพูด บางทีกว่าจะเจอเครื่องหมายอัญประกาศปิดก็ยาวเลย ส่วนเอ็ดเวิร์ด เป็นพวกเคร่งครัดเจ้าระเบียบ ตรงเป๊ะอยู่บนเส้น ถึงแม้บุคลิกภายนอกของทั้งคู่จะดูไม่น่าเข้ากันได้ แต่ก็เหมือนทั้งคู่มีสิ่งที่จะมาเติมเต็มซึ่งกันและกัน ถือเป็นการแสดงฝีมือของ MB อีกครั้งที่ทำให้ตัวละครดาดๆ ภาคก่อนกลายเป็นตัวละครที่น่าสนใจสมเป็นพระเอกนางเอกได้
ถึงเรื่องนี้จะไม่เครียด แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องตลกอ่านเอาฮา แอนจี้โตมากับครอบครัวที่ไม่อบอุ่น พ่อแม่ที่ตายไปแล้วต่างก็เหลวแหลก พี่ชายสองคนก็แสบใช่ย่อย ถือว่าแอนจี้ยังโชคดี ส่วนใหญ่โตมาแบบถูกทิ้งให้เหงาคนเดียว แผลใจยังไม่มากเท่าพี่ๆ แต่เพราะความที่โตมากับคนรอบข้างแบบนั้น ทำให้เธออยากได้คนที่มั่นคงเป็นหลักยึด ก็เลยปิ๊งเอ็ดเวิร์ดตั้งแต่แรกที่เจอ เพราะความเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดของเขา
พระเอกเรื่องนี้ออกจะแข็งทื่อมาก เขาเคร่งกับตัวเองไม่พอ แต่ใครไม่เคร่งด้วย เขาก็จะตำหนิวิจารณ์ไม่พอใจ เพราะมีปมนิดหน่อยเรื่องพี่ชายที่ตายไปเป็นคนเสเพล ซึ่งจะว่าไปมันก็เป็นบุคลิกพระเอกที่น่ารำคาญอยู่ แต่โชคดีเราไม่รู้สึกมากเท่าไหร่ เพราะมันมีคำพูดตอนหนึ่งที่เขาพูดกับแอนจี้ตอนต้นๆ เรื่อง เกี่ยวกับการแต่งตัวของเธอ ที่ชอบใส่หมวกแต่ละใบที่คนอื่นว่าน่าเกลียด เขาพูดยาวน่าประทับใจ แต่สรุปใจความได้ประมาณว่า "สำคัญที่คุณชอบ อย่าเปลี่ยนตัวเอง เป็นผู้นำแฟชั่นดีกว่าเป็นผู้ตามไปอย่างนั้น แม้จะเป็นผู้นำที่ไม่มีใครตามก็ตาม" ถ้าเราเป็นแอนจี้ ได้ยินอย่างนี้ต่อให้ไม่ได้แอบรักอยู่ก่อนแล้ว ก็ต้องหลงรักเอ็ดเวิร์ดตอนนั้นแน่ๆ ฉากนี้ทำให้เรารู้สึกดีกับเขามาก จนไม่ถือสาหาความพฤติกรรมของเขาที่ตามมา อีตอนที่วุ่นวายวิ่งไปขอแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ที่เขาคิดว่าเหมาะสมกับตัวเองมากกว่า
เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรมาก อ่านสบายๆ ไปเรื่อยๆ มีแต่เหตุการณ์ธรรมดา เจอกันคุยกันตามงานเลี้ยง ตอนแรกจากชื่อเรื่อง เราก็นึกสงสัยเหมือนกันว่า หรือแอนจี้จะต้องมีปลอมตัวไปเป็นนางบำเรออะไรซะอีก แต่ไม่มีแบบนั้นหรอก เพราะมันเป็นเรื่องในชุดเลยต้องตั้งชื่อแบบนี้ อีตอนอธิบายว่า Secret Mistress หมายความว่าไง ยังหัวเราะเลย เล่นง่ายงี้เลยเหรอ แต่ก็เอาค่ะ แบบนี้เรื่องเป็นธรรมชาติดีแล้ว ถือว่าอ่านเล่มนี้รู้สึกโอเคตั้งแต่ต้นจนจบล่ะ บทส่งท้ายเล่มนี้ก็น่าประทับใจดี
ในเล่มนี้ เราเห็นพระเอกเล่มก่อนๆ นิดหน่อย แต่พอมองผ่านสายตาแอนจี้ จะเห็นว่า จอซลีน พี่ชายคนโต ยังดูเป็นดยุคเพลย์บอยอยู่ ราศีไม่ค่อยจับ ส่วนเฟอร์ดินานด์ พี่ชายคนรอง เธอก็คิดว่าคงจะเจริญรอยตามพี่ชาย ทำให้รู้สึกว่า พี่น้องบ้านนี้รักกันดีนะ แต่กลับไม่เข้าใจนิสัยและตัวตนที่แท้จริงของกันและกันเลย ก็เป็นมุมกลับที่ดี เพราะในเล่มก่อนๆ พวกพี่ชายก็ไม่เข้าใจน้องสาวน้องเขยตัวเองเลยสักนิดเหมือนกัน มันก็จริงนะ บางทีเราก็อยากแสดงตัวตนลึกๆ ของเราให้คนที่รักและจะเข้าใจเราดีที่สุดเพียงคนเดียวรู้เท่านั้น
ปิดท้ายด้วยการอ่านเรื่องสั้น Now a Bride ที่เอา deleted scenes ฉากแต่งงาน ฉากกลับบ้าน ของเรื่อง More Than a Mistress + No Man's Mistress มารวมกัน บวก Epilogue ของทั้งซีรีส์ เป็นงานรวมญาติเฉยๆ ไม่มีอะไรเลย
หมายเหตุ: ผ่านมาหลายวันแล้ว ยังรู้สึกชอบพระเอกนางเอกคู่นี้ไม่หาย เพราะงั้นก็เลยเพิ่มคะแนนให้เรื่องนี้อีก 0.5 แล้วกัน
แว้บอ่านนิยายได้เล่มนึง เป็นชุด Mistress เล่มใหม่ ในชุดนี้เราชอบ More Than a Mistress (คะแนน 8) แต่ไม่ชอบ No Man's Mistress (คะแนน 6) เอาซะเลย ไม่ใช่เพราะว่านางเอกเคยเป็นหญิงงามเมืองมาก่อนด้วย เพราะเราชอบเรื่อง A Precious Jewel ได้ แปลว่าอดีตไม่ใช่สาเหตุ แต่เราไม่ชอบนิสัยนางเอก รู้สึกไม่น่าเห็นใจยังไงไม่รู้ ทำให้คิดว่า เรื่องของ MB มีความหลากหลายสูง บางทีพล็อตเรื่องดูเหมือนจะคล้ายกัน แต่พระเอกนางเอกไม่เหมือนกัน อารมณ์ก็ออกมาคนละเรื่องกันเลย แล้วในเรื่องชุดเดียวกัน แต่ละเล่มก็อาจจะออกคนละแนวได้อีก เวลาบอกว่าชอบชุดไหน บางทีก็ไม่ได้ชอบทุกเล่มในชุด ตอนที่เราจัดอันดับนักเขียนคนโปรดของตัวเอง เราอยากใส่ชื่อ Mary Balogh นะ แต่เพราะความที่มีเรื่องของ MB ที่เราไม่ชอบอยู่หลายเรื่อง ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนเลยออกมาสูงไปหน่อย ทำให้หลุดโผ
The Secret Mistress เป็นเล่ม 3 ในชุด แต่เป็นเหตุการณ์ก่อนหน้าเล่ม 1-2 ตอนแรกพอเห็นเล่มนี้ ชะงักนิดนึงเพราะนึกถึงเล่มที่แล้ว ช่วงนี้ไม่อยากอ่านอะไรมีประเด็น แต่พอนึกถึงนางเอกที่บอกว่าเป็นน้องสาวคนเล็กของพระเอกทั้งสองเล่มก่อน เท่าที่จำได้ เป็นผู้หญิงพูดจาเรื่อยเจื้อย แล้วก็แต่งตัวแปลกๆ บุคลิกแบบนั้น เรื่องคงไม่ออกมาเครียดหรอกมั้ง น่าจะเบาๆ สบายใจได้ ก็อ่านเลยไม่ต้องรอเช็ครีวิวเยอะ
เล่มนี้เล่าย้อนเรื่องราวของ เลดี้แอนเจลีน ดัดลีย์ ตอนพบรักและแต่งงานกับเอิร์ลแห่งเฮย์เวิร์ด เล่นประเด็นเรื่องแรงดึงดูดของคู่ตรงข้าม แอนจี้ออกแนวโก๊ะๆ หน่อย ร่าเริง จิตใจดี คุยจ้อไปเรื่อยๆ เวลาอ่านไปๆ ก็มีขำหน่อย เวลานางเอกพูด บางทีกว่าจะเจอเครื่องหมายอัญประกาศปิดก็ยาวเลย ส่วนเอ็ดเวิร์ด เป็นพวกเคร่งครัดเจ้าระเบียบ ตรงเป๊ะอยู่บนเส้น ถึงแม้บุคลิกภายนอกของทั้งคู่จะดูไม่น่าเข้ากันได้ แต่ก็เหมือนทั้งคู่มีสิ่งที่จะมาเติมเต็มซึ่งกันและกัน ถือเป็นการแสดงฝีมือของ MB อีกครั้งที่ทำให้ตัวละครดาดๆ ภาคก่อนกลายเป็นตัวละครที่น่าสนใจสมเป็นพระเอกนางเอกได้
ถึงเรื่องนี้จะไม่เครียด แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องตลกอ่านเอาฮา แอนจี้โตมากับครอบครัวที่ไม่อบอุ่น พ่อแม่ที่ตายไปแล้วต่างก็เหลวแหลก พี่ชายสองคนก็แสบใช่ย่อย ถือว่าแอนจี้ยังโชคดี ส่วนใหญ่โตมาแบบถูกทิ้งให้เหงาคนเดียว แผลใจยังไม่มากเท่าพี่ๆ แต่เพราะความที่โตมากับคนรอบข้างแบบนั้น ทำให้เธออยากได้คนที่มั่นคงเป็นหลักยึด ก็เลยปิ๊งเอ็ดเวิร์ดตั้งแต่แรกที่เจอ เพราะความเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดของเขา
พระเอกเรื่องนี้ออกจะแข็งทื่อมาก เขาเคร่งกับตัวเองไม่พอ แต่ใครไม่เคร่งด้วย เขาก็จะตำหนิวิจารณ์ไม่พอใจ เพราะมีปมนิดหน่อยเรื่องพี่ชายที่ตายไปเป็นคนเสเพล ซึ่งจะว่าไปมันก็เป็นบุคลิกพระเอกที่น่ารำคาญอยู่ แต่โชคดีเราไม่รู้สึกมากเท่าไหร่ เพราะมันมีคำพูดตอนหนึ่งที่เขาพูดกับแอนจี้ตอนต้นๆ เรื่อง เกี่ยวกับการแต่งตัวของเธอ ที่ชอบใส่หมวกแต่ละใบที่คนอื่นว่าน่าเกลียด เขาพูดยาวน่าประทับใจ แต่สรุปใจความได้ประมาณว่า "สำคัญที่คุณชอบ อย่าเปลี่ยนตัวเอง เป็นผู้นำแฟชั่นดีกว่าเป็นผู้ตามไปอย่างนั้น แม้จะเป็นผู้นำที่ไม่มีใครตามก็ตาม" ถ้าเราเป็นแอนจี้ ได้ยินอย่างนี้ต่อให้ไม่ได้แอบรักอยู่ก่อนแล้ว ก็ต้องหลงรักเอ็ดเวิร์ดตอนนั้นแน่ๆ ฉากนี้ทำให้เรารู้สึกดีกับเขามาก จนไม่ถือสาหาความพฤติกรรมของเขาที่ตามมา อีตอนที่วุ่นวายวิ่งไปขอแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ที่เขาคิดว่าเหมาะสมกับตัวเองมากกว่า
เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรมาก อ่านสบายๆ ไปเรื่อยๆ มีแต่เหตุการณ์ธรรมดา เจอกันคุยกันตามงานเลี้ยง ตอนแรกจากชื่อเรื่อง เราก็นึกสงสัยเหมือนกันว่า หรือแอนจี้จะต้องมีปลอมตัวไปเป็นนางบำเรออะไรซะอีก แต่ไม่มีแบบนั้นหรอก เพราะมันเป็นเรื่องในชุดเลยต้องตั้งชื่อแบบนี้ อีตอนอธิบายว่า Secret Mistress หมายความว่าไง ยังหัวเราะเลย เล่นง่ายงี้เลยเหรอ แต่ก็เอาค่ะ แบบนี้เรื่องเป็นธรรมชาติดีแล้ว ถือว่าอ่านเล่มนี้รู้สึกโอเคตั้งแต่ต้นจนจบล่ะ บทส่งท้ายเล่มนี้ก็น่าประทับใจดี
ในเล่มนี้ เราเห็นพระเอกเล่มก่อนๆ นิดหน่อย แต่พอมองผ่านสายตาแอนจี้ จะเห็นว่า จอซลีน พี่ชายคนโต ยังดูเป็นดยุคเพลย์บอยอยู่ ราศีไม่ค่อยจับ ส่วนเฟอร์ดินานด์ พี่ชายคนรอง เธอก็คิดว่าคงจะเจริญรอยตามพี่ชาย ทำให้รู้สึกว่า พี่น้องบ้านนี้รักกันดีนะ แต่กลับไม่เข้าใจนิสัยและตัวตนที่แท้จริงของกันและกันเลย ก็เป็นมุมกลับที่ดี เพราะในเล่มก่อนๆ พวกพี่ชายก็ไม่เข้าใจน้องสาวน้องเขยตัวเองเลยสักนิดเหมือนกัน มันก็จริงนะ บางทีเราก็อยากแสดงตัวตนลึกๆ ของเราให้คนที่รักและจะเข้าใจเราดีที่สุดเพียงคนเดียวรู้เท่านั้น
ปิดท้ายด้วยการอ่านเรื่องสั้น Now a Bride ที่เอา deleted scenes ฉากแต่งงาน ฉากกลับบ้าน ของเรื่อง More Than a Mistress + No Man's Mistress มารวมกัน บวก Epilogue ของทั้งซีรีส์ เป็นงานรวมญาติเฉยๆ ไม่มีอะไรเลย
หมายเหตุ: ผ่านมาหลายวันแล้ว ยังรู้สึกชอบพระเอกนางเอกคู่นี้ไม่หาย เพราะงั้นก็เลยเพิ่มคะแนนให้เรื่องนี้อีก 0.5 แล้วกัน
วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554
The Winter Sea - Susanna Kearsley
คะแนน : 7
แคโรลีน แมคเคลลแลนด์ นักเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์ กำลังแต่งนิยายเรื่องใหม่ของเธอ เป็นเรื่องราวของขบวนการจาโคไบท์ในช่วงปี ค.ศ. 1708 ที่ต้องการฟื้นฟูราชวงศ์สจวตให้กลับมาครองบัลลังก์ เพื่อหาข้อมูลและแรงบันดาลใจในการเขียนนิยาย เธอจึงมาเช่ากระท่อมเล็กๆ อยู่ใกล้ๆ กับซากปราสาทในสกอตแลนด์ที่เป็นฉากตามท้องเรื่อง แครี่ตั้งชื่อนางเอกของเรื่องตามชื่อบรรพบุรุษของเธอคนหนึ่ง คือ โซเฟีย แพเตอร์สัน และในระหว่างที่แต่งนิยาย ภาพและเรื่องราวของตัวละครในเรื่องก็แจ่มชัดในหัวของแครี่มากขึ้นทุกที แล้วเธอก็ได้รู้ว่า เรื่องราวและบทสนทนาในนิยายที่เธอเขียนขึ้นมา ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ทุกอย่าง
เล่มนี้เป็นนิยายรักอิงประวัติศาสตร์ที่จะว่าไปก็ถือว่าแต่งได้ดี สำนวนการเขียนของผู้แต่งสละสลวย การใช้ภาษาละเมียดละไม อย่างเช่น การเปรียบเปรยสีตาของตัวละครว่าราวกับสีของทะเลเหมันต์ ฉากและบรรยากาศถูกถ่ายทอดอย่างดี และอ่านดูก็รู้ว่า ผู้เขียนค้นคว้าข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์มาเต็มที่ เหตุผลการระลึกอดีตได้ด้วยการถ่ายทอดความทรงจำผ่าน DNA ก็อธิบายได้ดีพอใช้เลย แต่โอ้ว่า อนิจจา สำหรับเรา มันเป็นนิยายที่น่าเบื่อมาก อ่านแล้วเกือบจะหลับ
ช่วงแรกของเล่มยังน่าสนใจอยู่ เรื่องเริ่มจากยุคปัจจุบัน และสลับกลับไปเล่าเรื่องราวในอดีต ผ่านนิยายที่นางเอกกำลังเขียน ในรูปแบบนิยายซ้อนนิยาย แล้วก็ตัดมาปัจจุบันกลับไปกลับมา จนในที่สุดเส้นแบ่งช่วงเวลาทั้งสองก็แทบจะเลือนลางหายไป ให้ผู้อ่านติดตามเรื่องไปพร้อมๆ กัน ถือว่าเป็นแนวคิดการนำเสนอที่ดีทีเดียว
แต่พอเซตฉากกับตัวละครทั้งสองยุคเสร็จแล้ว หลังจาก 1/4 ของเรื่องไป มันดำเนินเรื่องเนิบนาบมาก เราก็ไม่ได้คิดว่าในนิยายจะต้องมีแอกชั่นลุ้นตลอด หรือโรคจิตขนาดว่าต้องเห็นตัวละครตายทุกบทหรืออะไร แต่นิยายเรื่องนี้มันไปช้ามากๆ และแทบไม่ได้มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นเท่าไหร่เลย มีแต่ฉากตัวละครสนทนาที่โต๊ะอาหารเรื่องแผนการทางการเมือง กับนางเอกไปเดินเล่นริมทะเล คิดถึงพระเอก ซ้ำๆ อย่างนี้ทั้งเรื่อง ที่ผ่านมานิยายบางเล่มที่เราชอบ มันก็มีแบบที่ไม่ค่อยมีเหตุการณ์ในเนื้อเรื่อง แต่มันก็จะดำเนินเรื่องด้วยการเดินทางทางความคิดของตัวละคร มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของพระเอกหรือนางเอก แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แบบนั้นเลย
มีปัญหาสามข้อใหญ่ที่เป็นอุปสรรคต่อการอ่านเล่มนี้ ซึ่งก็อาจไม่ใช่ความผิดของนิยาย แต่มันเกิดจากสาเหตุส่วนตัวของเราเอง
1. เรื่องราวยุคอดีตของเรื่องนี้ นำมาจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ตอนที่เราไม่รู้จัก และคิดว่ามันไม่สำคัญ ไม่น่าสนใจ อย่าว่าแต่เราคนไทยเลย ขนาดตัวละครบางคนในเรื่องที่เป็นคนสกอตเอง ยังไม่รู้เรื่องเลย ต้องให้พระเอกนางเอกนั่งเลคเชอร์ให้ตัวละครในเรื่อง (และคนอ่าน) ฟัง ขนาดที่ในเรื่องยังบอกเองเลยว่า เรื่องตอนนี้มีค่าอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์แค่ประมาณสองบรรทัด
2. นางเอกกับพระเอกเรื่องนี้เป็นตัวละครคนดีที่แสนน่าเบื่อ ทั้งสองคู่ในสองยุคเลย เราคิดว่าถ้าพวกนี้เป็นคนในชีวิตจริง เราคงชอบนะ เป็นคนดี มีเหตุผล บุคลิกเงียบๆ เรียบๆ เก็บอารมณ์ความรู้สึก ไม่แสดงออก แต่พอเป็นตัวละครในนิยาย เธอและเขาไม่มีเสน่ห์น่าติดตามเลยสักนิด และมีบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เรารู้สึกไม่ถูกชะตากับนางเอกทั้งสองคน บอกไม่ถูก รู้สึกว่าเป็นคนถือดี ที่ไม่ใช่แค่ถือดีในตัวเอง แต่ถือว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น พอเราไม่เกิดแรงดึงดูดกับตัวละคร ก็เลยไปทำให้เกิดแรงต้านทานกับเนื้อเรื่องแทน
3. ข้อนี้เป็นความงี่เง่าของเราเอง ที่ตอนต้นเรื่องดันสำคัญตัวพระเอกผิดคน ก็โธ่ มีอย่างที่ไหน นางเอกบังเอิญเจอหนุ่มหล่อนั่งข้างกันบนเครื่องบิน ดูจะคุยกันถูกคอ บังเอิญพ่อหนุ่มเลือกชื่อนางเอกนิยายให้สาวเจ้าได้ถูกใจอีก ลงจากเครื่องก็ยังบังเอิญต่อ หนุ่มนายนั้นเป็นลูกชายเจ้าของบ้านเช่าที่นางเอกจะไปพัก ปรกติในนิยาย บังเอิญครั้งแรกเรียกว่าบังเอิญ บังเอิญครั้งที่สองเรียกว่าโชคชะตา บังเอิญครั้งที่สามก็ต้องเรียกว่าฟ้าบันดาล คนแต่งลิขิตมาแล้วให้คู่กันแน่ๆ แต่ปรากฏว่า สจ๊วต หนุ่มเจ้าเสน่ห์รายนั้นกลับเป็นน้องชายพระเอก แป่ว เราพลาดฉากเปิดตัวแกรห์ม คนพี่ที่เป็นพระเอกตัวจริง ที่โผล่มาก่อนแล้วด้วยซ้ำไปเลย แต่เราหลงคนน้องไปแล้วอ่ะ ตอนเขาลงจากเครื่องบินแล้วขอเบอร์นางเอก เจ้าชู้ขี้เล่นอย่างน่ารักเลย พอต่อเรื่องออกมาสักพัก รู้ว่าสจ๊วตไม่ใช่พระเอกยังไม่เท่าไหร่ แต่เขาถูกแต่งเรื่องให้เป็นผู้ชายที่ค่อนข้างหลงตัวเอง และมาตามเกาะแกะนางเอกโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยอยู่ทั้งเรื่อง เราไม่ชอบพฤติกรรมที่พระเอกกับนางเอกปฏิบัติต่อสจ๊วต แทนที่จะปฏิเสธตรงๆ กลับปล่อยไปเรื่อยๆ แล้วแอบหยันเขาอยู่ลึกๆ ทำให้เป็นประเด็นที่ย้อนกลับไปที่ข้อ 2 ที่ทำให้เราไม่ชอบพระเอกนางเอกเรื่องนี้
อ่านเล่มนี้จบแล้วไปอ่านรีวิวใน Amazon แปลกดีที่เราอ่านความเห็นพวกนั้นแล้วคิดว่า เราเห็นด้วยกับทั้งพวกคนที่ให้ 5 ดาว และ 4 3 2 1 ดาว ตรงที่คนเขาชม เราก็เข้าใจ ตรงที่เขาติมันก็ถูกอีก โดยเฉพาะ Bored Girl คนที่ให้ 1 ดาวนี่อ่านแล้วฮาสุดๆ เป็นรีวิวที่เขียนสนุกกว่าตัวนิยายเองซะอีก เห็นด้วยทุกคำเลย แต่เราคงไม่ใจร้ายให้ 1 ดาวแบบเขา ถ้าต้องโหวตเรื่องนี้จริงๆ คงใส่ 3 ดาวล่ะ
แคโรลีน แมคเคลลแลนด์ นักเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์ กำลังแต่งนิยายเรื่องใหม่ของเธอ เป็นเรื่องราวของขบวนการจาโคไบท์ในช่วงปี ค.ศ. 1708 ที่ต้องการฟื้นฟูราชวงศ์สจวตให้กลับมาครองบัลลังก์ เพื่อหาข้อมูลและแรงบันดาลใจในการเขียนนิยาย เธอจึงมาเช่ากระท่อมเล็กๆ อยู่ใกล้ๆ กับซากปราสาทในสกอตแลนด์ที่เป็นฉากตามท้องเรื่อง แครี่ตั้งชื่อนางเอกของเรื่องตามชื่อบรรพบุรุษของเธอคนหนึ่ง คือ โซเฟีย แพเตอร์สัน และในระหว่างที่แต่งนิยาย ภาพและเรื่องราวของตัวละครในเรื่องก็แจ่มชัดในหัวของแครี่มากขึ้นทุกที แล้วเธอก็ได้รู้ว่า เรื่องราวและบทสนทนาในนิยายที่เธอเขียนขึ้นมา ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ทุกอย่าง
เล่มนี้เป็นนิยายรักอิงประวัติศาสตร์ที่จะว่าไปก็ถือว่าแต่งได้ดี สำนวนการเขียนของผู้แต่งสละสลวย การใช้ภาษาละเมียดละไม อย่างเช่น การเปรียบเปรยสีตาของตัวละครว่าราวกับสีของทะเลเหมันต์ ฉากและบรรยากาศถูกถ่ายทอดอย่างดี และอ่านดูก็รู้ว่า ผู้เขียนค้นคว้าข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์มาเต็มที่ เหตุผลการระลึกอดีตได้ด้วยการถ่ายทอดความทรงจำผ่าน DNA ก็อธิบายได้ดีพอใช้เลย แต่โอ้ว่า อนิจจา สำหรับเรา มันเป็นนิยายที่น่าเบื่อมาก อ่านแล้วเกือบจะหลับ
ช่วงแรกของเล่มยังน่าสนใจอยู่ เรื่องเริ่มจากยุคปัจจุบัน และสลับกลับไปเล่าเรื่องราวในอดีต ผ่านนิยายที่นางเอกกำลังเขียน ในรูปแบบนิยายซ้อนนิยาย แล้วก็ตัดมาปัจจุบันกลับไปกลับมา จนในที่สุดเส้นแบ่งช่วงเวลาทั้งสองก็แทบจะเลือนลางหายไป ให้ผู้อ่านติดตามเรื่องไปพร้อมๆ กัน ถือว่าเป็นแนวคิดการนำเสนอที่ดีทีเดียว
แต่พอเซตฉากกับตัวละครทั้งสองยุคเสร็จแล้ว หลังจาก 1/4 ของเรื่องไป มันดำเนินเรื่องเนิบนาบมาก เราก็ไม่ได้คิดว่าในนิยายจะต้องมีแอกชั่นลุ้นตลอด หรือโรคจิตขนาดว่าต้องเห็นตัวละครตายทุกบทหรืออะไร แต่นิยายเรื่องนี้มันไปช้ามากๆ และแทบไม่ได้มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นเท่าไหร่เลย มีแต่ฉากตัวละครสนทนาที่โต๊ะอาหารเรื่องแผนการทางการเมือง กับนางเอกไปเดินเล่นริมทะเล คิดถึงพระเอก ซ้ำๆ อย่างนี้ทั้งเรื่อง ที่ผ่านมานิยายบางเล่มที่เราชอบ มันก็มีแบบที่ไม่ค่อยมีเหตุการณ์ในเนื้อเรื่อง แต่มันก็จะดำเนินเรื่องด้วยการเดินทางทางความคิดของตัวละคร มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของพระเอกหรือนางเอก แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แบบนั้นเลย
มีปัญหาสามข้อใหญ่ที่เป็นอุปสรรคต่อการอ่านเล่มนี้ ซึ่งก็อาจไม่ใช่ความผิดของนิยาย แต่มันเกิดจากสาเหตุส่วนตัวของเราเอง
1. เรื่องราวยุคอดีตของเรื่องนี้ นำมาจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ตอนที่เราไม่รู้จัก และคิดว่ามันไม่สำคัญ ไม่น่าสนใจ อย่าว่าแต่เราคนไทยเลย ขนาดตัวละครบางคนในเรื่องที่เป็นคนสกอตเอง ยังไม่รู้เรื่องเลย ต้องให้พระเอกนางเอกนั่งเลคเชอร์ให้ตัวละครในเรื่อง (และคนอ่าน) ฟัง ขนาดที่ในเรื่องยังบอกเองเลยว่า เรื่องตอนนี้มีค่าอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์แค่ประมาณสองบรรทัด
2. นางเอกกับพระเอกเรื่องนี้เป็นตัวละครคนดีที่แสนน่าเบื่อ ทั้งสองคู่ในสองยุคเลย เราคิดว่าถ้าพวกนี้เป็นคนในชีวิตจริง เราคงชอบนะ เป็นคนดี มีเหตุผล บุคลิกเงียบๆ เรียบๆ เก็บอารมณ์ความรู้สึก ไม่แสดงออก แต่พอเป็นตัวละครในนิยาย เธอและเขาไม่มีเสน่ห์น่าติดตามเลยสักนิด และมีบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เรารู้สึกไม่ถูกชะตากับนางเอกทั้งสองคน บอกไม่ถูก รู้สึกว่าเป็นคนถือดี ที่ไม่ใช่แค่ถือดีในตัวเอง แต่ถือว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น พอเราไม่เกิดแรงดึงดูดกับตัวละคร ก็เลยไปทำให้เกิดแรงต้านทานกับเนื้อเรื่องแทน
3. ข้อนี้เป็นความงี่เง่าของเราเอง ที่ตอนต้นเรื่องดันสำคัญตัวพระเอกผิดคน ก็โธ่ มีอย่างที่ไหน นางเอกบังเอิญเจอหนุ่มหล่อนั่งข้างกันบนเครื่องบิน ดูจะคุยกันถูกคอ บังเอิญพ่อหนุ่มเลือกชื่อนางเอกนิยายให้สาวเจ้าได้ถูกใจอีก ลงจากเครื่องก็ยังบังเอิญต่อ หนุ่มนายนั้นเป็นลูกชายเจ้าของบ้านเช่าที่นางเอกจะไปพัก ปรกติในนิยาย บังเอิญครั้งแรกเรียกว่าบังเอิญ บังเอิญครั้งที่สองเรียกว่าโชคชะตา บังเอิญครั้งที่สามก็ต้องเรียกว่าฟ้าบันดาล คนแต่งลิขิตมาแล้วให้คู่กันแน่ๆ แต่ปรากฏว่า สจ๊วต หนุ่มเจ้าเสน่ห์รายนั้นกลับเป็นน้องชายพระเอก แป่ว เราพลาดฉากเปิดตัวแกรห์ม คนพี่ที่เป็นพระเอกตัวจริง ที่โผล่มาก่อนแล้วด้วยซ้ำไปเลย แต่เราหลงคนน้องไปแล้วอ่ะ ตอนเขาลงจากเครื่องบินแล้วขอเบอร์นางเอก เจ้าชู้ขี้เล่นอย่างน่ารักเลย พอต่อเรื่องออกมาสักพัก รู้ว่าสจ๊วตไม่ใช่พระเอกยังไม่เท่าไหร่ แต่เขาถูกแต่งเรื่องให้เป็นผู้ชายที่ค่อนข้างหลงตัวเอง และมาตามเกาะแกะนางเอกโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยอยู่ทั้งเรื่อง เราไม่ชอบพฤติกรรมที่พระเอกกับนางเอกปฏิบัติต่อสจ๊วต แทนที่จะปฏิเสธตรงๆ กลับปล่อยไปเรื่อยๆ แล้วแอบหยันเขาอยู่ลึกๆ ทำให้เป็นประเด็นที่ย้อนกลับไปที่ข้อ 2 ที่ทำให้เราไม่ชอบพระเอกนางเอกเรื่องนี้
อ่านเล่มนี้จบแล้วไปอ่านรีวิวใน Amazon แปลกดีที่เราอ่านความเห็นพวกนั้นแล้วคิดว่า เราเห็นด้วยกับทั้งพวกคนที่ให้ 5 ดาว และ 4 3 2 1 ดาว ตรงที่คนเขาชม เราก็เข้าใจ ตรงที่เขาติมันก็ถูกอีก โดยเฉพาะ Bored Girl คนที่ให้ 1 ดาวนี่อ่านแล้วฮาสุดๆ เป็นรีวิวที่เขียนสนุกกว่าตัวนิยายเองซะอีก เห็นด้วยทุกคำเลย แต่เราคงไม่ใจร้ายให้ 1 ดาวแบบเขา ถ้าต้องโหวตเรื่องนี้จริงๆ คงใส่ 3 ดาวล่ะ
วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554
When Passion Rules - Johanna Lindsey
คะแนน : 7
เรื่องใหม่ของ JL ที่ไม่อยู่ในชุดไหนเลย ใช้ฉากในประเทศใหม่คือ ลูบิเนีย เป็นประเทศสมมุติเล็กๆ ในยุโรป นางเอกคือ อลาน่า เจ้าหญิงที่ถูกนักฆ่าลักพาตัวออกจากวังตอนเป็นทารก นำไปเลี้ยงดูอย่างดีจนโตเป็นสาวที่อังกฤษ โดยไม่รู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิด แต่แล้วเมื่อประเทศบ้านเกิดของเธอเกิดเรื่องวุ่นวาย จากข่าวลือเรื่องความไม่แน่นอนในการสืบทอดบัลลังก์ อดีตนักฆ่ากลับใจก็จำต้องบอกความจริงอลาน่า แล้วพาเธอกลับมาบ้านเกิด แต่เมื่อหญิงสาวเข้าไปในวังเพื่อขอพบราชา กลับพบอุปสรรคขวางทาง เป็นทหารราชองครักษ์หนุ่มรูปงาม ลอร์ดคริสตอฟ เบคเกอร์ ที่กล่าวหาว่า เธอเป็นตัวปลอมสวมรอยมา
ตอนแรกเห็นรีวิวใน Amazon แล้วใจแป้ว ดูเหมือนแฟนๆ JL ตัดใจจากเธอไปหมดแล้ว เล่มนี้เสียงวิจารณ์ก็ไม่ค่อยดี ตอนเริ่มอ่านเล่มนี้ก็หวั่นๆ หน่อย แต่พออ่านจบแล้วก็คิดว่า ถึงมันจะไม่มีอะไรโดดเด่นแบบงานสมัยก่อนจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็ไม่แย่อย่างที่กลัว อาจเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว มันก็อ่านได้เพลินๆ ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก พล็อตเรื่องหลวมๆ ไปบ้างก็ปล่อยๆ ทำใจ อ่านไปเรื่อยๆ ดีที่แต่ละบทมันสั้นๆ แป๊บเดียวจบบท เลยยังไม่รู้สึกเบื่อ ทำให้อ่านทั้งเล่มจบได้เร็วดี ตัวละครเบาๆ แต่แอบขวางพระเอกหน่อยที่วางอำนาจกับนางเอกเยอะไปนิด แต่ฉากจบสุดท้ายน่ารักดี
เรื่องใหม่ของ JL ที่ไม่อยู่ในชุดไหนเลย ใช้ฉากในประเทศใหม่คือ ลูบิเนีย เป็นประเทศสมมุติเล็กๆ ในยุโรป นางเอกคือ อลาน่า เจ้าหญิงที่ถูกนักฆ่าลักพาตัวออกจากวังตอนเป็นทารก นำไปเลี้ยงดูอย่างดีจนโตเป็นสาวที่อังกฤษ โดยไม่รู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิด แต่แล้วเมื่อประเทศบ้านเกิดของเธอเกิดเรื่องวุ่นวาย จากข่าวลือเรื่องความไม่แน่นอนในการสืบทอดบัลลังก์ อดีตนักฆ่ากลับใจก็จำต้องบอกความจริงอลาน่า แล้วพาเธอกลับมาบ้านเกิด แต่เมื่อหญิงสาวเข้าไปในวังเพื่อขอพบราชา กลับพบอุปสรรคขวางทาง เป็นทหารราชองครักษ์หนุ่มรูปงาม ลอร์ดคริสตอฟ เบคเกอร์ ที่กล่าวหาว่า เธอเป็นตัวปลอมสวมรอยมา
ตอนแรกเห็นรีวิวใน Amazon แล้วใจแป้ว ดูเหมือนแฟนๆ JL ตัดใจจากเธอไปหมดแล้ว เล่มนี้เสียงวิจารณ์ก็ไม่ค่อยดี ตอนเริ่มอ่านเล่มนี้ก็หวั่นๆ หน่อย แต่พออ่านจบแล้วก็คิดว่า ถึงมันจะไม่มีอะไรโดดเด่นแบบงานสมัยก่อนจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็ไม่แย่อย่างที่กลัว อาจเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว มันก็อ่านได้เพลินๆ ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก พล็อตเรื่องหลวมๆ ไปบ้างก็ปล่อยๆ ทำใจ อ่านไปเรื่อยๆ ดีที่แต่ละบทมันสั้นๆ แป๊บเดียวจบบท เลยยังไม่รู้สึกเบื่อ ทำให้อ่านทั้งเล่มจบได้เร็วดี ตัวละครเบาๆ แต่แอบขวางพระเอกหน่อยที่วางอำนาจกับนางเอกเยอะไปนิด แต่ฉากจบสุดท้ายน่ารักดี
วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554
Die Trying (Jack Reacher #2) - Lee Child
คะแนน : 7
เล่มนี้เป็นแอกชั่นบู๊ล้างผลาญอย่างเดียวเลย เปิดเรื่องมาด้วยความบังเอิญอันสุดแสนจะเหลือเชื่ออีกแล้ว แจ็ค รีชเชอร์ จับพลัดจับผลูถูกลักพาตัวไปพร้อมกับเอฟบีไอสาวสวย ลูกนายพลใหญ่ประธานคณะเสนาธิการทหาร ตำแหน่งบิ๊กสูงสุดของกองทัพสหรัฐฯ ถูกพาตัวไปอยู่ในค่ายลับ ซึ่งเดิมพันครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ชีวิตของพวกเขา แต่เกี่ยวพันถึงความมั่นคงของประเทศ และชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก
แจ็คนี่มันไปไหนก็เป็นตัวซวย เหมือนที่เขาแซวโคนันกับคินดะอิจิรุ่นหลานใช่มั้ย คือถ้าพระเอกมีอาชีพตำรวจหรือนักสืบ มีเรื่องเข้ามาหาบ่อยๆ ก็ไม่แปลก แต่นี่พี่ท่านเป็นแค่อดีตสารวัตรทหารนอกราชการ มาเดินทางร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ โผล่เข้าไปจ๊ะเอ๋กลางวงแผนการใหญ่พอดี จะแต่งเรื่องให้บังเอิญไปถึงไหน
เนื้อเรื่องเล่มนี้ไม่ค่อยมีอะไร แอกชั่นอย่างเดียว ช่วงแรกก็สนุกนะ ฝ่ายเอฟบีไอก็ต้องพยายามตามรอยคนร้ายเพื่อช่วยคนของตัวกลับมา รายละเอียดเรื่องการสืบบางอย่างก็น่าสนใจดี อย่างสืบจากเศษดินหินที่ติดรอยล้อรถ เป็นต้น แต่พอถึงฉากที่อยู่ในค่ายนี่ก็ไม่มีเนื้อเรื่องแล้ว บู๊โลด แต่หนังสือเล่มหนา เขียนซะยืดยาว ยิงปืนนัดเดียว กินหน้ากระดาษ 3 หน้า บรรยายฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ของการยิงปืน บางอย่างถ้าแน่ใจได้ว่ามันจริงก็คงน่าสนใจ อย่างเรื่องระบบ IFF ของมิสไซล์ แต่หลายอย่างก็ไม่แน่ใจว่ามันโม้รึเปล่า
พระเอกเก่งเว่อร์ ความสามารถด้านการต่อสู้นี่ไม่มีใครเทียบ ยิงปืนโคตรแม่น แต่มันก็ขัดๆ ตรงบางทีก็ฉลาดมาก บางทีก็พลาดโง่ๆ ส่วนตัวร้ายนี่เหมือนพวกบ้าบอคลั่งทฤษฎีสมคบคิดธรรมดา ดูไม่ค่อยมีมิติ ไม่เจ๋งเลย บอสกะหลั่วก็ทำฝ่ายพระเอกดูกระจอกตาม ทั้งกองทัพฯ ทั้งเอฟบีไอ ทำไมเสียท่าง่ายอย่างนี้
อ่านเล่มนี้ด้วยการต่อสู้กับจิตใจตัวเองมากๆ สมองซีกซ้ายพยายามทำงานตลอด ไอ้นี่โคตรบังเอิญ ไอ้นี่ไม่สมเหตุสมผล แบบตอนพระเอกจัดการคนร้ายโป้งเดียวจอดตายสนิท แต่ตอนคนร้ายมีโอกาสเล่นงานพระเอกตั้งไม่รู้กี่ที ก็ดันบ้าน้ำลายไม่ยิงซะที แล้วหนีออกมาได้แล้วก็ดันงี่เง่าเดินกลับไปให้เค้าจับใหม่ แบบนี้ตั้งหลายที อ่านไปกลอกตาไปเป็นระยะๆ ความจริงถ้าปิดสวิตช์ตรรกะของตัวเองไปได้ มันก็อ่านสนุกแหละ แต่บังเอิญตอนนี้ทำไม่ได้
เท่าที่อ่านมาสองเล่ม คิดว่าซีรีส์นี้เนื้อเรื่องแต่ละเล่มไม่สัมพันธ์กัน และตัวละครไม่ค่อยมีพัฒนาการเรื่องชีวิตส่วนตัว เพราะนอกจากพระเอกจะเป็นลัคกี้แมนแล้ว ก็เป็นหมาป่าเดียวดายแมนด้วย ไม่เห็นมีใครเป็นเดอะแก๊งแอนด์ผองเพื่อน คงเหมือนเจมส์ บอนด์ มั้ง ตอนใหม่เนื้อเรื่องใหม่ แล้วนายแจ็คก็ฟันสาวคนใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคงไม่ต้องอ่านเรียงครบทุกตอนก็ได้มั้ง เดี๋ยวเลือกอ่านแค่ตอนที่คนบอกว่าสนุกๆ ก็พอ
เล่มนี้เป็นแอกชั่นบู๊ล้างผลาญอย่างเดียวเลย เปิดเรื่องมาด้วยความบังเอิญอันสุดแสนจะเหลือเชื่ออีกแล้ว แจ็ค รีชเชอร์ จับพลัดจับผลูถูกลักพาตัวไปพร้อมกับเอฟบีไอสาวสวย ลูกนายพลใหญ่ประธานคณะเสนาธิการทหาร ตำแหน่งบิ๊กสูงสุดของกองทัพสหรัฐฯ ถูกพาตัวไปอยู่ในค่ายลับ ซึ่งเดิมพันครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ชีวิตของพวกเขา แต่เกี่ยวพันถึงความมั่นคงของประเทศ และชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก
แจ็คนี่มันไปไหนก็เป็นตัวซวย เหมือนที่เขาแซวโคนันกับคินดะอิจิรุ่นหลานใช่มั้ย คือถ้าพระเอกมีอาชีพตำรวจหรือนักสืบ มีเรื่องเข้ามาหาบ่อยๆ ก็ไม่แปลก แต่นี่พี่ท่านเป็นแค่อดีตสารวัตรทหารนอกราชการ มาเดินทางร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ โผล่เข้าไปจ๊ะเอ๋กลางวงแผนการใหญ่พอดี จะแต่งเรื่องให้บังเอิญไปถึงไหน
เนื้อเรื่องเล่มนี้ไม่ค่อยมีอะไร แอกชั่นอย่างเดียว ช่วงแรกก็สนุกนะ ฝ่ายเอฟบีไอก็ต้องพยายามตามรอยคนร้ายเพื่อช่วยคนของตัวกลับมา รายละเอียดเรื่องการสืบบางอย่างก็น่าสนใจดี อย่างสืบจากเศษดินหินที่ติดรอยล้อรถ เป็นต้น แต่พอถึงฉากที่อยู่ในค่ายนี่ก็ไม่มีเนื้อเรื่องแล้ว บู๊โลด แต่หนังสือเล่มหนา เขียนซะยืดยาว ยิงปืนนัดเดียว กินหน้ากระดาษ 3 หน้า บรรยายฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ของการยิงปืน บางอย่างถ้าแน่ใจได้ว่ามันจริงก็คงน่าสนใจ อย่างเรื่องระบบ IFF ของมิสไซล์ แต่หลายอย่างก็ไม่แน่ใจว่ามันโม้รึเปล่า
พระเอกเก่งเว่อร์ ความสามารถด้านการต่อสู้นี่ไม่มีใครเทียบ ยิงปืนโคตรแม่น แต่มันก็ขัดๆ ตรงบางทีก็ฉลาดมาก บางทีก็พลาดโง่ๆ ส่วนตัวร้ายนี่เหมือนพวกบ้าบอคลั่งทฤษฎีสมคบคิดธรรมดา ดูไม่ค่อยมีมิติ ไม่เจ๋งเลย บอสกะหลั่วก็ทำฝ่ายพระเอกดูกระจอกตาม ทั้งกองทัพฯ ทั้งเอฟบีไอ ทำไมเสียท่าง่ายอย่างนี้
อ่านเล่มนี้ด้วยการต่อสู้กับจิตใจตัวเองมากๆ สมองซีกซ้ายพยายามทำงานตลอด ไอ้นี่โคตรบังเอิญ ไอ้นี่ไม่สมเหตุสมผล แบบตอนพระเอกจัดการคนร้ายโป้งเดียวจอดตายสนิท แต่ตอนคนร้ายมีโอกาสเล่นงานพระเอกตั้งไม่รู้กี่ที ก็ดันบ้าน้ำลายไม่ยิงซะที แล้วหนีออกมาได้แล้วก็ดันงี่เง่าเดินกลับไปให้เค้าจับใหม่ แบบนี้ตั้งหลายที อ่านไปกลอกตาไปเป็นระยะๆ ความจริงถ้าปิดสวิตช์ตรรกะของตัวเองไปได้ มันก็อ่านสนุกแหละ แต่บังเอิญตอนนี้ทำไม่ได้
เท่าที่อ่านมาสองเล่ม คิดว่าซีรีส์นี้เนื้อเรื่องแต่ละเล่มไม่สัมพันธ์กัน และตัวละครไม่ค่อยมีพัฒนาการเรื่องชีวิตส่วนตัว เพราะนอกจากพระเอกจะเป็นลัคกี้แมนแล้ว ก็เป็นหมาป่าเดียวดายแมนด้วย ไม่เห็นมีใครเป็นเดอะแก๊งแอนด์ผองเพื่อน คงเหมือนเจมส์ บอนด์ มั้ง ตอนใหม่เนื้อเรื่องใหม่ แล้วนายแจ็คก็ฟันสาวคนใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคงไม่ต้องอ่านเรียงครบทุกตอนก็ได้มั้ง เดี๋ยวเลือกอ่านแค่ตอนที่คนบอกว่าสนุกๆ ก็พอ
วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554
Killing Floor (Jack Reacher #1) - Lee Child
คะแนน : 8
เห็น Lee Child เพิ่งเข้า Kindle Million Club เลยสนใจ ยังไม่เคยอ่านงานเขาเลย นี่เป็นเล่มแรกของเรื่องชุด Jack Reacher ที่มีออกมาตั้ง 15 เล่มแล้ว เป็นเรื่องสืบสวนตื่นเต้นแต่จะออกแนว Action Thriller มากกว่า Detective นะ มีฆ่ากันเยอะ สมชื่อเรื่องภาษาไทยที่บังเอิญเพิ่งออกมาพอดี "ลานละเลงเลือด"
ตัวเอกเรื่องนี้เป็นพวกพระเอกพันธุ์ดุขาโหด คิดดู พอเล่นงานคนที่มาหาเรื่องจนตาย เสร็จแล้วก็เฉยๆ มาก พี่แกนึกในใจว่า จะให้รู้สึกอะไร ก็เหมือนจัดการแมลงสาบแค่นั้นเอง เวลาสู้คนร้ายก็ไม่มีการพูดพร่ำทำเพลง ยิงเลยไม่มีคุย เนื้อเรื่องคือ แจ็ค รีชเชอร์ บังเอิญผ่านมาในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง จู่ๆ ก็โดนจับเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าคนตาย พอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้จะออกจากเมือง ก็พอดีรู้ตัวตนคนที่ตาย เขาก็ไปเฉยๆ ไม่ได้แล้ว ต้องสืบให้รู้ความจริง และทวงถามความยุติธรรม
ช่วงเปิดเรื่องอ่านสนุกดีมาก พระเอกโหดๆ ก็เท่ดี และเล่าเรื่องได้น่าติดตาม ถึงจะโคตรบังเอิญเรื่องพระเอกกับคนที่ตายก็เถอะ แต่พอกลางๆ เรื่องจะมีช่วงให้เสียอารมณ์นิดหน่อย ตรงที่แต่งเรื่องให้จวนจะรู้ความจริงอยู่ตั้งหลายครั้ง แต่กลับปล่อยโอกาสไปเองง่ายๆ แล้วคนร้ายหรือพยานก็จะโดนฆ่าปิดปาก หรือถูกตัดหน้าทำลายหลักฐาน มันบ่อยเกินไปเลยเซ็ง เหมือนโดนผู้แต่งจูงจมูก คลาดไปคลาดมา พยายามให้เรื่องมันฉิวเฉียดเกินไปจนไม่เป็นธรรมชาติ รู้สึกว่าดูถูกคนอ่าน ทั้งที่การสืบสวนเรื่องขบวนการมันเดาได้ไม่ค่อยยาก หลายจุดก็ไม่สมเหตุสมผล ช่วงกลางนี่ให้คะแนนแค่ 7 แต่พอเข้าช่วงท้ายเรื่อง ทีนี้บู๊ยาวเลย สนุกดีมาก ก็เลยดึงความรู้สึกกลับขึ้นมาที่ 8
เห็น Lee Child เพิ่งเข้า Kindle Million Club เลยสนใจ ยังไม่เคยอ่านงานเขาเลย นี่เป็นเล่มแรกของเรื่องชุด Jack Reacher ที่มีออกมาตั้ง 15 เล่มแล้ว เป็นเรื่องสืบสวนตื่นเต้นแต่จะออกแนว Action Thriller มากกว่า Detective นะ มีฆ่ากันเยอะ สมชื่อเรื่องภาษาไทยที่บังเอิญเพิ่งออกมาพอดี "ลานละเลงเลือด"
ตัวเอกเรื่องนี้เป็นพวกพระเอกพันธุ์ดุขาโหด คิดดู พอเล่นงานคนที่มาหาเรื่องจนตาย เสร็จแล้วก็เฉยๆ มาก พี่แกนึกในใจว่า จะให้รู้สึกอะไร ก็เหมือนจัดการแมลงสาบแค่นั้นเอง เวลาสู้คนร้ายก็ไม่มีการพูดพร่ำทำเพลง ยิงเลยไม่มีคุย เนื้อเรื่องคือ แจ็ค รีชเชอร์ บังเอิญผ่านมาในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง จู่ๆ ก็โดนจับเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าคนตาย พอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้จะออกจากเมือง ก็พอดีรู้ตัวตนคนที่ตาย เขาก็ไปเฉยๆ ไม่ได้แล้ว ต้องสืบให้รู้ความจริง และทวงถามความยุติธรรม
ช่วงเปิดเรื่องอ่านสนุกดีมาก พระเอกโหดๆ ก็เท่ดี และเล่าเรื่องได้น่าติดตาม ถึงจะโคตรบังเอิญเรื่องพระเอกกับคนที่ตายก็เถอะ แต่พอกลางๆ เรื่องจะมีช่วงให้เสียอารมณ์นิดหน่อย ตรงที่แต่งเรื่องให้จวนจะรู้ความจริงอยู่ตั้งหลายครั้ง แต่กลับปล่อยโอกาสไปเองง่ายๆ แล้วคนร้ายหรือพยานก็จะโดนฆ่าปิดปาก หรือถูกตัดหน้าทำลายหลักฐาน มันบ่อยเกินไปเลยเซ็ง เหมือนโดนผู้แต่งจูงจมูก คลาดไปคลาดมา พยายามให้เรื่องมันฉิวเฉียดเกินไปจนไม่เป็นธรรมชาติ รู้สึกว่าดูถูกคนอ่าน ทั้งที่การสืบสวนเรื่องขบวนการมันเดาได้ไม่ค่อยยาก หลายจุดก็ไม่สมเหตุสมผล ช่วงกลางนี่ให้คะแนนแค่ 7 แต่พอเข้าช่วงท้ายเรื่อง ทีนี้บู๊ยาวเลย สนุกดีมาก ก็เลยดึงความรู้สึกกลับขึ้นมาที่ 8
วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554
To Kill a Mockingbird - Harper Lee
คะแนน : 7.5
นิยายคลาสสิครางวัลพูลิตเซอร์ ปี 1961 ที่เห็นติดอันดับหนังสือในดวงใจตลอดกาลของนักอ่านฝรั่งตามโพลล์ต่างๆ บ่อยๆ แต่ที่เราหยิบเรื่องนี้มาอ่าน มาจากเรื่องที่เล็กน้อยกว่าเหตุผลข้างต้นมาก เรื่องของเรื่องคือ มีนักแสดงคนหนึ่งที่เรากำลังสนใจติดตามผลงาน ให้สัมภาษณ์ว่า นี่เป็นหนังสือเล่มโปรดของเธอ มีคนบอกว่า เราจะรู้จักคนคนหนึ่งมากขึ้นจากสิ่งที่เขาอ่านใช่ไหม เรากำลังอยากรู้จักเธอ ก็เลยอยากอ่านเล่มนี้
To Kill a Mockingbird เป็นเรื่องแนว coming-of-age เห็นมีคนใช้ภาษาไทยว่า การก้าวผ่านวัย ก็ฟังเข้าท่าดีนะ ตกลงใช้คำนี้แล้วกัน เป็นเรื่องที่มีตัวเอกเป็นเด็กหญิงชื่อสเกาท์ ที่อาศัยอยู่กับครอบครัวในเมืองเล็กๆ ทางรัฐตอนใต้ของอเมริกา ในยุค 1930s บอกเล่าเรื่องราว 2-3 ปีในชีวิตของสเกาท์ จนถึงอายุประมาณ 8-9 ปี เธอมีพี่ชายที่อายุมากกว่า 4 ปีชื่อเจม และพ่อที่เป็นทนายความชื่อแอตติคัส พ่อเลี้ยงดูลูกๆ อย่างให้อิสระ สเกาท์จึงเป็นเด็กหญิงทอมบอยที่เล่นสนุกอยู่กับพี่และเพื่อนผู้ชาย เหตุการณ์สำคัญในเรื่องคือ พ่อของเธอไปรับว่าความให้ชายผิวดำคนหนึ่ง ที่ถูกกล่าวหาว่าข่มขืนหญิงผิวขาว
ตอนเริ่มต้นอ่านเรื่องนี้ อ่านแบบไม่รู้อะไรเลยนอกจากที่พูดข้างบนย่อหน้าแรก เป็นเรื่องแนวไหนก็ยังไม่รู้ ก็ไม่รู้จะคาดหวังอะไร ช่วงแรกไปเรื่อยๆ มาก ชีวิตเด็กบ้านนอกฝรั่ง แต่สเกาท์เป็นเด็กฉลาด น่ารักดี เล่าเรื่องที่บ้าน เล่าเรื่องไปโรงเรียน เล่นสนุกตอนปิดเทอมฤดูร้อน ขำมากตอนดิลขอแต่งงานเสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นก็ลืม เล่นกันประสาเด็กจริงๆ แล้วเราก็จะค่อยๆ ได้เห็นภาพชีวิต ผู้คน และค่านิยมของสังคมเมืองเล็กสมัยนั้น ผ่านสายตาของสเกาท์ เห็นวิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กที่ต่างกัน การประพฤติตัว การแบ่งชนชั้น และโดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเหยียดผิว
ชอบตัวละครพ่อ เป็นคนดีมีอุดมการณ์ และเข้าใจคนอื่นมาก ชอบฉากที่สเกาท์บอกอาว่า ไม่ยุติธรรมที่มาตีโดยไม่ฟังเหตุผล ชอบฉากที่ดิลเล่าสาเหตุที่หนีออกจากบ้าน ชอบตอนที่สเกาท์นึกว่าทำไมคุณครูติเตียนสิ่งที่ฮิตเลอร์ทำกับยิว แต่กลับดูถูกคนดำเสียเอง
นิยายเรื่องนี้ใช้สัญลักษณ์หลายอย่างเป็นตัวแทนความคิด โดยเฉพาะนกม็อคกิ้งเบิร์ด พ่อยอมให้สเกาท์กับพี่เล่นปืนลม แต่สั่งห้ามว่า ยิงนกอื่นได้ แต่ห้ามยิงนกม็อคกิ้งเบิร์ดเป็นอันขาดเพราะมันบาป มันเป็นนกที่มีแต่ร้องเพลง ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้คน สื่อความหมายถึงการลงโทษทอม ชายผิวดำที่ไม่เคยทำร้ายใคร ในโทษที่เขาไม่ได้ก่อ ว่าเป็นบาปมหันต์ดุจเดียวกัน เช่นเดียวกับถ้าจะมีการเอาโทษบูในตอนท้ายเรื่อง และม็อคกิ้งเบิร์ดอาจหมายรวมไปถึง ผลที่เกิดกับสเกาท์และเจมด้วยก็ได้ เด็กๆ ที่ต้องสูญเสียความไร้เดียงสาในการมองโลกอย่างบริสุทธิ์ไป โลกช่างมีความอยุติธรรมหลายอย่างเหลือเกิน
การเติบโตของสเกาท์ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนต้นไม้ที่ค่อยๆ เติบโต จนบางครั้งคนอ่านไม่สังเกต พอรู้สึกตัวอีกที เธอก็ไม่ใช่เด็กไม่รู้ความอีกแล้ว โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่สเกาท์เดินออกมาจากบ้านของบู แล้วเห็นโลกจากมุมมองใหม่ เธอลองนึกทบทวน วันคืนที่ผันผ่าน ฤดูกาลที่เปลี่ยนแปร ตัวเธอกับพี่ชายที่เดินผ่านบ้านของเขาทุกวัน บูมองเห็นผู้คน เพื่อนบ้าน ชีวิตที่อยู่เบื้องหน้าเขาอย่างไร การรู้จักมองสิ่งต่างๆ ผ่านสายตาผู้อื่นเป็น แสดงให้เห็นชัดเจนถึงการเติบโตทางความคิดของเด็กหญิงคนนี้
อันที่จริง เราไม่ใช่แฟนเรื่องแนวการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อย่างหนัง Stand by Me ที่เป็นเรื่องในดวงใจหลายคน ก็เฉยๆ มาก แล้วไม่รู้ทำไม ที่การโตมักถูกนำเสนอว่าคือการเจอประสบการณ์ชีวิตที่สะเทือนใจ ผู้ใหญ่ชอบเอาเรื่องเศร้ามาให้เด็กอ่านเป็นหนังสือนอกเวลา ตอนอ่านเล่มนี้กลางๆ เรื่องก็เริ่มหวั่นๆ กลัวพ่อหรือพี่ชายหรือเพื่อนของสเกาท์ตาย นึกถึงน้ำตาเป็นปี๊บๆ ที่เสียไปสมัยเด็ก ตอนอ่านต้นส้มแสนรักอย่างนี้ ฉันอยู่นี่ ศัตรูที่รัก ตอนเรือรบจำลอง ก็อีก เพื่อนรักของจุลลดา ภักดีภูมินทร์ ด้วย รักแล้วก็ประทับใจเรื่องเหล่านั้นนะ แต่ตอนนี้ไม่อยากร้องไห้น่ะ โชคดีที่เรื่องนี้ไม่เศร้า การก้าวย่างพ้นวัยเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากเหตุการณ์หลายอย่าง และการสูญเสียมุมมองที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรถ้าเรายังมีศรัทธาในความดีหลงเหลืออยู่
เรื่องมันเรียบ และประเด็นของเรื่องห่างไกลตัวไปหน่อย ถ้าอ่านตอนอายุน้อยอาจจะประทับใจกว่านี้ ตอนนี้คะแนนความชอบอาจจะไม่สูง เพราะเพิ่งอ่านจบวันเดียว แต่ไม่แน่ เรื่องแนวนี้ เวลาผ่านไปทีหลัง อาจจะเกิดชอบขึ้นมามากๆ ก็ได้
นิยายคลาสสิครางวัลพูลิตเซอร์ ปี 1961 ที่เห็นติดอันดับหนังสือในดวงใจตลอดกาลของนักอ่านฝรั่งตามโพลล์ต่างๆ บ่อยๆ แต่ที่เราหยิบเรื่องนี้มาอ่าน มาจากเรื่องที่เล็กน้อยกว่าเหตุผลข้างต้นมาก เรื่องของเรื่องคือ มีนักแสดงคนหนึ่งที่เรากำลังสนใจติดตามผลงาน ให้สัมภาษณ์ว่า นี่เป็นหนังสือเล่มโปรดของเธอ มีคนบอกว่า เราจะรู้จักคนคนหนึ่งมากขึ้นจากสิ่งที่เขาอ่านใช่ไหม เรากำลังอยากรู้จักเธอ ก็เลยอยากอ่านเล่มนี้
To Kill a Mockingbird เป็นเรื่องแนว coming-of-age เห็นมีคนใช้ภาษาไทยว่า การก้าวผ่านวัย ก็ฟังเข้าท่าดีนะ ตกลงใช้คำนี้แล้วกัน เป็นเรื่องที่มีตัวเอกเป็นเด็กหญิงชื่อสเกาท์ ที่อาศัยอยู่กับครอบครัวในเมืองเล็กๆ ทางรัฐตอนใต้ของอเมริกา ในยุค 1930s บอกเล่าเรื่องราว 2-3 ปีในชีวิตของสเกาท์ จนถึงอายุประมาณ 8-9 ปี เธอมีพี่ชายที่อายุมากกว่า 4 ปีชื่อเจม และพ่อที่เป็นทนายความชื่อแอตติคัส พ่อเลี้ยงดูลูกๆ อย่างให้อิสระ สเกาท์จึงเป็นเด็กหญิงทอมบอยที่เล่นสนุกอยู่กับพี่และเพื่อนผู้ชาย เหตุการณ์สำคัญในเรื่องคือ พ่อของเธอไปรับว่าความให้ชายผิวดำคนหนึ่ง ที่ถูกกล่าวหาว่าข่มขืนหญิงผิวขาว
ตอนเริ่มต้นอ่านเรื่องนี้ อ่านแบบไม่รู้อะไรเลยนอกจากที่พูดข้างบนย่อหน้าแรก เป็นเรื่องแนวไหนก็ยังไม่รู้ ก็ไม่รู้จะคาดหวังอะไร ช่วงแรกไปเรื่อยๆ มาก ชีวิตเด็กบ้านนอกฝรั่ง แต่สเกาท์เป็นเด็กฉลาด น่ารักดี เล่าเรื่องที่บ้าน เล่าเรื่องไปโรงเรียน เล่นสนุกตอนปิดเทอมฤดูร้อน ขำมากตอนดิลขอแต่งงานเสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นก็ลืม เล่นกันประสาเด็กจริงๆ แล้วเราก็จะค่อยๆ ได้เห็นภาพชีวิต ผู้คน และค่านิยมของสังคมเมืองเล็กสมัยนั้น ผ่านสายตาของสเกาท์ เห็นวิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กที่ต่างกัน การประพฤติตัว การแบ่งชนชั้น และโดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเหยียดผิว
ชอบตัวละครพ่อ เป็นคนดีมีอุดมการณ์ และเข้าใจคนอื่นมาก ชอบฉากที่สเกาท์บอกอาว่า ไม่ยุติธรรมที่มาตีโดยไม่ฟังเหตุผล ชอบฉากที่ดิลเล่าสาเหตุที่หนีออกจากบ้าน ชอบตอนที่สเกาท์นึกว่าทำไมคุณครูติเตียนสิ่งที่ฮิตเลอร์ทำกับยิว แต่กลับดูถูกคนดำเสียเอง
นิยายเรื่องนี้ใช้สัญลักษณ์หลายอย่างเป็นตัวแทนความคิด โดยเฉพาะนกม็อคกิ้งเบิร์ด พ่อยอมให้สเกาท์กับพี่เล่นปืนลม แต่สั่งห้ามว่า ยิงนกอื่นได้ แต่ห้ามยิงนกม็อคกิ้งเบิร์ดเป็นอันขาดเพราะมันบาป มันเป็นนกที่มีแต่ร้องเพลง ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้คน สื่อความหมายถึงการลงโทษทอม ชายผิวดำที่ไม่เคยทำร้ายใคร ในโทษที่เขาไม่ได้ก่อ ว่าเป็นบาปมหันต์ดุจเดียวกัน เช่นเดียวกับถ้าจะมีการเอาโทษบูในตอนท้ายเรื่อง และม็อคกิ้งเบิร์ดอาจหมายรวมไปถึง ผลที่เกิดกับสเกาท์และเจมด้วยก็ได้ เด็กๆ ที่ต้องสูญเสียความไร้เดียงสาในการมองโลกอย่างบริสุทธิ์ไป โลกช่างมีความอยุติธรรมหลายอย่างเหลือเกิน
การเติบโตของสเกาท์ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนต้นไม้ที่ค่อยๆ เติบโต จนบางครั้งคนอ่านไม่สังเกต พอรู้สึกตัวอีกที เธอก็ไม่ใช่เด็กไม่รู้ความอีกแล้ว โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่สเกาท์เดินออกมาจากบ้านของบู แล้วเห็นโลกจากมุมมองใหม่ เธอลองนึกทบทวน วันคืนที่ผันผ่าน ฤดูกาลที่เปลี่ยนแปร ตัวเธอกับพี่ชายที่เดินผ่านบ้านของเขาทุกวัน บูมองเห็นผู้คน เพื่อนบ้าน ชีวิตที่อยู่เบื้องหน้าเขาอย่างไร การรู้จักมองสิ่งต่างๆ ผ่านสายตาผู้อื่นเป็น แสดงให้เห็นชัดเจนถึงการเติบโตทางความคิดของเด็กหญิงคนนี้
อันที่จริง เราไม่ใช่แฟนเรื่องแนวการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อย่างหนัง Stand by Me ที่เป็นเรื่องในดวงใจหลายคน ก็เฉยๆ มาก แล้วไม่รู้ทำไม ที่การโตมักถูกนำเสนอว่าคือการเจอประสบการณ์ชีวิตที่สะเทือนใจ ผู้ใหญ่ชอบเอาเรื่องเศร้ามาให้เด็กอ่านเป็นหนังสือนอกเวลา ตอนอ่านเล่มนี้กลางๆ เรื่องก็เริ่มหวั่นๆ กลัวพ่อหรือพี่ชายหรือเพื่อนของสเกาท์ตาย นึกถึงน้ำตาเป็นปี๊บๆ ที่เสียไปสมัยเด็ก ตอนอ่านต้นส้มแสนรักอย่างนี้ ฉันอยู่นี่ ศัตรูที่รัก ตอนเรือรบจำลอง ก็อีก เพื่อนรักของจุลลดา ภักดีภูมินทร์ ด้วย รักแล้วก็ประทับใจเรื่องเหล่านั้นนะ แต่ตอนนี้ไม่อยากร้องไห้น่ะ โชคดีที่เรื่องนี้ไม่เศร้า การก้าวย่างพ้นวัยเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากเหตุการณ์หลายอย่าง และการสูญเสียมุมมองที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรถ้าเรายังมีศรัทธาในความดีหลงเหลืออยู่
เรื่องมันเรียบ และประเด็นของเรื่องห่างไกลตัวไปหน่อย ถ้าอ่านตอนอายุน้อยอาจจะประทับใจกว่านี้ ตอนนี้คะแนนความชอบอาจจะไม่สูง เพราะเพิ่งอ่านจบวันเดียว แต่ไม่แน่ เรื่องแนวนี้ เวลาผ่านไปทีหลัง อาจจะเกิดชอบขึ้นมามากๆ ก็ได้
วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554
Just Like Heaven - Julia Quinn
คะแนน : 6.5
อุตส่าห์เว้นวรรคหลายวัน เพราะไม่อยากให้เรื่องที่อ่านต่อจาก Kiss of Snow ต้องปีนกำแพงสูงไป แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็เข็นไม่ขึ้นจริงๆ เล่มใหม่ของ Julia Quinn นี้เป็นเล่มเปิดตัวซีรีส์ใหม่ที่มีตัวเอกมาจากตระกูลสมิธ-สมิธ เป็นชื่อที่ได้ยินบ่อยๆ จากนิยายเรื่องก่อนๆ ของเธอ กับงานแสดงดนตรีประจำปีที่ทรมานรูหูเหล่าตัวละคร ตอนสมัยที่อ่านเรื่องชุด Bridgerton เราเคยอยากให้เจ้าสาวของเกรกอรีเป็นเด็กบ้านนี้สักคน กะว่าคนที่เล่นเชลโลนั่นแหละ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สมหวัง เรื่องของเกรกอรีออกมาห่วยมาก ผ่านมาหลายปี ในที่สุด สาวๆ นักดนตรีสมิธ-สมิธ ก็ได้บทเด่นแยกเป็นซีรีส์ของตัวเองเลย
เลดี้ออนเนอเรีย สมิธ-สมิธ รู้จักสนิทสนมกับมาร์คัส ฮอลรอยด์ เอิร์ลแห่งแชตเทอริส มาตั้งแต่เด็ก เพราะมาร์คัสเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายออนเนอเรีย และเป็นแขกมาพักที่บ้านบ่อยๆ แต่เมื่อโตขึ้น หลังจากพี่ชายเกิดเหตุต้องหลบไปอยู่ต่างประเทศ เลยห่างกันไป แต่มาร์คัสก็ยังแอบดูแลอยู่ห่างๆ
เริ่มต้นก็ยังโอเคอยู่ ตลกดีเหมือนกัน ทั้งพระเอกนางเอก นิสัยดี สบายๆ ไม่ใช่คนมีปมหลังฝังลึกอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีเนื้อใน แต่พอถึงเนื้อเรื่องตอนที่พระเอกไม่สบาย เรื่องก็เริ่มกร่อย มันอืดและก็เยิ่นเย้อมากเลย เสียเวลากับช่วงนี้ไปเกือบครึ่งเล่ม ก็รู้อยู่หรอกว่า JQ เคยเรียนหมอ แต่เราว่า จำนวนหน้าที่บรรยายฉากการผ่าตัดแผลสมัยโบราณในเรื่องนี้ มันยาวเกินความจำเป็นสำหรับนิยายโรแมนซ์นะ แล้วสาเหตุที่เกือบตายมาจากเรื่องที่ฟังแล้วโง่ๆ ยังไงไม่รู้ ทำให้ปล่อยใจกับเนื้อเรื่องลำบาก พระเอกสะดุดตกหลุมพรางที่นางเอกขุด (ความหมายตรงตัวไม่ได้เล่นคำ) จนข้อเท้าแพลง ขาโดนมีดบาดตอนตัดรองเท้าออก แผลติดเชื้อเลยเกือบตาย ถ้าตายขึ้นมาจริง ก็คงเป็นพระเอกที่ตายอนาถที่สุดในประวัติศาสตร์นิยายโรแมนซ์ ตายเพราะเดินตกหลุม เฮ้อ บ่นนิยายแล้วก็ต้องบ่นตัวเอง คิดมากเดี๋ยวฉี่เหลืองนะ
เรื่องของ JQ มีหลายเรื่องมากที่ตัวเอกเป็นคนที่รู้จักกันดีมาก่อน ความรักค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากมิตรภาพ แต่เราก็อยากให้เธอเขียนเรื่องรักแรกพบที่น่าประทับใจ แบบเรื่องของเบเนดิกต์+โซฟี อีกทีบ้าง แล้วไม่เอาแบบหลงรักที่ต้นคอบ้าๆ นั่นด้วย เรื่องนี้เราไม่รู้สึกถึงสปาร์กของตัวละครเลย อ่านไปตั้งนาน คุยกันแบบพี่ชายน้องสาว แบบเพื่อนมาก จนครั้งแรกที่พระเอกเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาว่ารักนางเอก เหลือบตาลงไปมองที่มุมหน้าจอ Kindle มันอยู่ที่ 64% ของเรื่องแล้ว
เวลาที่เหลือก็กลายเป็นฉากเตรียมงานแสดงดนตรี สี่สาวลูกพี่ลูกน้องสมิธ-สมิธ คุยกันตลกน่ารักดี แต่ไหนล่ะพระเอก พอมาถึงในงานซึ่งเป็นเหตุการณ์เดียวกับใน Romancing Mister Bridgerton เราได้เห็นคอลิน เห็นเพนเนโลปี เห็นเลดี้แดนเบอรี ตอนแรกก็ดีใจขึ้นมาหน่อยที่ได้เจอตัวละครที่คิดถึง แต่ออกมาก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ใครไม่เคยอ่านมาก่อนก็อาจจะไม่สังเกตไม่สนใจด้วยซ้ำว่านี่เป็นใคร น่าผิดหวัง แล้วเลิฟซีนนั่นมายังไง เหมือน JQ ตกใจว่า เรื่องมาถึง 90% แล้ว ทั้งคู่ยังไม่มีอะไรกันเลย พระเอกก็ลากนางเอกเข้าหลังงานเลี้ยงดื้อๆ อะไรกันเนี่ย!?
นึกว่า JQ จะเริ่มกลับมาแล้วซะอีก ถึงเวลารึยังที่เราต้องตัดใจจากเธอจริงๆ ซะที แต่มันก็ทำใจไม่ได้ง่ายๆ ถ้าอ่านมาแค่ 1-2 เล่ม มันก็เบรกง่าย แต่นี่เคยตามอ่านกันมาตลอด
อุตส่าห์เว้นวรรคหลายวัน เพราะไม่อยากให้เรื่องที่อ่านต่อจาก Kiss of Snow ต้องปีนกำแพงสูงไป แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็เข็นไม่ขึ้นจริงๆ เล่มใหม่ของ Julia Quinn นี้เป็นเล่มเปิดตัวซีรีส์ใหม่ที่มีตัวเอกมาจากตระกูลสมิธ-สมิธ เป็นชื่อที่ได้ยินบ่อยๆ จากนิยายเรื่องก่อนๆ ของเธอ กับงานแสดงดนตรีประจำปีที่ทรมานรูหูเหล่าตัวละคร ตอนสมัยที่อ่านเรื่องชุด Bridgerton เราเคยอยากให้เจ้าสาวของเกรกอรีเป็นเด็กบ้านนี้สักคน กะว่าคนที่เล่นเชลโลนั่นแหละ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สมหวัง เรื่องของเกรกอรีออกมาห่วยมาก ผ่านมาหลายปี ในที่สุด สาวๆ นักดนตรีสมิธ-สมิธ ก็ได้บทเด่นแยกเป็นซีรีส์ของตัวเองเลย
เลดี้ออนเนอเรีย สมิธ-สมิธ รู้จักสนิทสนมกับมาร์คัส ฮอลรอยด์ เอิร์ลแห่งแชตเทอริส มาตั้งแต่เด็ก เพราะมาร์คัสเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายออนเนอเรีย และเป็นแขกมาพักที่บ้านบ่อยๆ แต่เมื่อโตขึ้น หลังจากพี่ชายเกิดเหตุต้องหลบไปอยู่ต่างประเทศ เลยห่างกันไป แต่มาร์คัสก็ยังแอบดูแลอยู่ห่างๆ
เตือนสปอยล์
เริ่มต้นก็ยังโอเคอยู่ ตลกดีเหมือนกัน ทั้งพระเอกนางเอก นิสัยดี สบายๆ ไม่ใช่คนมีปมหลังฝังลึกอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีเนื้อใน แต่พอถึงเนื้อเรื่องตอนที่พระเอกไม่สบาย เรื่องก็เริ่มกร่อย มันอืดและก็เยิ่นเย้อมากเลย เสียเวลากับช่วงนี้ไปเกือบครึ่งเล่ม ก็รู้อยู่หรอกว่า JQ เคยเรียนหมอ แต่เราว่า จำนวนหน้าที่บรรยายฉากการผ่าตัดแผลสมัยโบราณในเรื่องนี้ มันยาวเกินความจำเป็นสำหรับนิยายโรแมนซ์นะ แล้วสาเหตุที่เกือบตายมาจากเรื่องที่ฟังแล้วโง่ๆ ยังไงไม่รู้ ทำให้ปล่อยใจกับเนื้อเรื่องลำบาก พระเอกสะดุดตกหลุมพรางที่นางเอกขุด (ความหมายตรงตัวไม่ได้เล่นคำ) จนข้อเท้าแพลง ขาโดนมีดบาดตอนตัดรองเท้าออก แผลติดเชื้อเลยเกือบตาย ถ้าตายขึ้นมาจริง ก็คงเป็นพระเอกที่ตายอนาถที่สุดในประวัติศาสตร์นิยายโรแมนซ์ ตายเพราะเดินตกหลุม เฮ้อ บ่นนิยายแล้วก็ต้องบ่นตัวเอง คิดมากเดี๋ยวฉี่เหลืองนะ
เรื่องของ JQ มีหลายเรื่องมากที่ตัวเอกเป็นคนที่รู้จักกันดีมาก่อน ความรักค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากมิตรภาพ แต่เราก็อยากให้เธอเขียนเรื่องรักแรกพบที่น่าประทับใจ แบบเรื่องของเบเนดิกต์+โซฟี อีกทีบ้าง แล้วไม่เอาแบบหลงรักที่ต้นคอบ้าๆ นั่นด้วย เรื่องนี้เราไม่รู้สึกถึงสปาร์กของตัวละครเลย อ่านไปตั้งนาน คุยกันแบบพี่ชายน้องสาว แบบเพื่อนมาก จนครั้งแรกที่พระเอกเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาว่ารักนางเอก เหลือบตาลงไปมองที่มุมหน้าจอ Kindle มันอยู่ที่ 64% ของเรื่องแล้ว
เวลาที่เหลือก็กลายเป็นฉากเตรียมงานแสดงดนตรี สี่สาวลูกพี่ลูกน้องสมิธ-สมิธ คุยกันตลกน่ารักดี แต่ไหนล่ะพระเอก พอมาถึงในงานซึ่งเป็นเหตุการณ์เดียวกับใน Romancing Mister Bridgerton เราได้เห็นคอลิน เห็นเพนเนโลปี เห็นเลดี้แดนเบอรี ตอนแรกก็ดีใจขึ้นมาหน่อยที่ได้เจอตัวละครที่คิดถึง แต่ออกมาก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ใครไม่เคยอ่านมาก่อนก็อาจจะไม่สังเกตไม่สนใจด้วยซ้ำว่านี่เป็นใคร น่าผิดหวัง แล้วเลิฟซีนนั่นมายังไง เหมือน JQ ตกใจว่า เรื่องมาถึง 90% แล้ว ทั้งคู่ยังไม่มีอะไรกันเลย พระเอกก็ลากนางเอกเข้าหลังงานเลี้ยงดื้อๆ อะไรกันเนี่ย!?
นึกว่า JQ จะเริ่มกลับมาแล้วซะอีก ถึงเวลารึยังที่เราต้องตัดใจจากเธอจริงๆ ซะที แต่มันก็ทำใจไม่ได้ง่ายๆ ถ้าอ่านมาแค่ 1-2 เล่ม มันก็เบรกง่าย แต่นี่เคยตามอ่านกันมาตลอด
วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554
Kiss of Snow - Nalini Singh
คะแนน : 8.75
เมื่อวานว่าจะมาเขียนบล็อกถึงเรื่องนี้ ปรากฏว่า หลังจากอยู่ทำงานทั้งวันได้ด้วยกาแฟสามเวลา พอกลับมาก็ไม่เอาอะไรแล้ว นอนยาว 12 ชั่วโมง ทดแทนคืนก่อนที่อดนอนครึ่งคืนอ่านเล่มนี้ แต่มันก็คุ้มจริงๆ เลยนะ อารมณ์ดีมีความสุขทั้งวันจนมาถึงตอนนี้เลย
เข้าเรื่อง จะเริ่มพูดจากตรงไหนก่อนดีล่ะ ยินดีด้วยกับสมาชิกใหม่ตัวน้อยของซีรีส์แล้วกัน ซาช่าคลอดแล้วจ้า เป็นฉากคลอดที่โกลาหลอลหม่าน ตลกวุ่นวายดี แล้วก็ทำให้เห็นสายสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครในเรื่องชัดดี อยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ ประทับใจ
Kiss of Snow เป็นเล่ม 10 ในซีรีส์ Psy-Changeling ทั้งที่เราเพิ่งเริ่มอ่านเรื่องชุดนี้แค่ปีเดียวเอง แต่เรารู้สึกว่า เรารออ่านเรื่องนี้มาน้านนาน เรื่องของฮอว์ค เพราะเป็นตัวละครที่ชอบมากตั้งแต่เล่มหนึ่งเลย และยิ่งอยากอ่านแบบยกกำลังสอง เพราะมันเป็นเรื่องของเซียนน่าด้วย ตัวละครโปรดอีกหนึ่งคน
ปรกติ เราไม่ชอบเรื่องที่พระเอกนางเอกมีอายุห่างกันเยอะนะ ห่างเกินสิบปี จะรู้สึกว่าพระเอกแก่อ่ะ ไม่ชอบ หลอกเด็ก มียกเว้นอยู่ไม่กี่เรื่องเองที่พระเอกอายุมากกว่าเยอะแล้วเราชอบ แต่สำหรับเรื่องนี้ เพราะเราชอบฮอว์คอยู่แล้ว และเราก็ถูกชะตาเซียนน่าตั้งแต่แรก แรกๆ ก็คงไม่ได้มองว่าสองคนนี้จะเป็นคู่หรอก แต่พอครั้งแรกที่อ่านเจอว่า เซียนน่าเป็นคนที่ทำให้ฮอว์คนอตหลุดฟิวส์ขาดได้เร็วที่สุด ก็เริ่มเอ๊ะ ยังไง พอเห็นชัดว่า เซียนน่าแอบปลื้มฮอว์คอยู่ เราก็เชียร์ทันที แบบว่า เราชอบเด็กที่รักจริง แอบรักเฝ้ารอตั้งหลายปี อยากให้สมหวัง ตอนไปแว้บๆ กับคิทนิดนึง ก็จ๋อยไปหน่อย แต่ไม่เป็นไรทำใจ เด็กคู่เด็กอาจจะเหมาะกว่า พอเล่มที่แล้ว ชัวร์ล่ะว่าคู่นี้ไม่แคล้วกันแน่ ก็ดีใจมากเลย ลุ้นมาตั้งหลายเล่ม สำเร็จ เชียร์ขึ้น
ฮอว์คเป็นคนที่โดดเด่นมาก ราศีอัลฟ่าจับตา ทั้งเก่ง ทั้งเท่ ตอนล้อซาช่าก็น่ารักสุดๆ (เอ่อ หน้าปกฉบับภาษาอังกฤษน่าเกลียดมาก โชว์แต่กล้าม ไม่ใช่ฮอว์คในจินตนาการของเราเลย) ในเล่มนี้ เราก็ได้ใกล้ชิดฮอว์คมากขึ้น แต่ก็ไม่ต่างจากภาพที่ผ่านมาเท่าไหร่ แต่เซียนน่านี่สิ จากเล่มก่อนๆ ที่ยังรู้สึกว่าเป็นเด็กๆ วัยรุ่น เล่มนี้เราจะได้เห็นว่า เธอเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ไม่นับความสามารถของ X-Psy ระดับคาร์ดินัล พลังสุดยอด โรงงานปรมาณูเดินได้ดีๆ นี่เอง เก่งที่สุดในเรื่องแล้วมั้ง อ่านแล้วทั้งปลื้มทั้งภูมิใจ (แบบประมาณเหมือนเห็นเด็กสร้าง นักเตะเยาวชนเลื่อนขึ้นชุดใหญ่ เจอร์ราร์ดตอนแรกหัวเกรียนเปลี่ยนตัวลงมารับใบแดง แต่ก็เห็นแววรุ่ง ไม่กี่ปีพัฒนามาเป็นกัปตันพาทีมรับถ้วย)
แล้วสองคนที่ชอบทั้งคู่ แยกกันอยู่ก็รักอยู่แล้ว มาเข้าคู่กันมันก็เยี่ยมที่สุดเลย ความรักความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ไม่ทำให้เราตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อยว่า พระเอกหัวงู อายุที่ต่างกัน ฮอว์คนี่ประมาณ 30 กลางๆ เซียนน่า 19 ย่าง 20 ปี แต่เหมือนทั้งคู่เสมอกันมาก อายุที่น้อยกว่า ไม่ได้ทำให้เธอด้อยกว่า แบบตอนที่ฮอว์คถามว่า "You sure you want to play with the wolf, baby?" แล้วเซียนน่าตอบกลับว่า "Sure you're ready to handle an X, wolf?" ฮ่าฮ่า สมกันจริงๆ
เรื่องอ่านสนุกตั้งแต่แรกเลย แล้วเวลาอ่านๆ ไป ก็จะเจอพวกประโยคที่ Nalini Singh เอามาเป็น teaser ยั่วน้ำลายให้อ่านบนเว็บทีละหน่อยทุกๆ วันก่อนหนังสือใกล้ออก พออ่านเจอในเรื่องก็จะกรี๊ด เป็นอย่างนี้นี่เอง
เตือนสปอยล์เนื้อหาต่อจากนี้
เมื่อวานว่าจะมาเขียนบล็อกถึงเรื่องนี้ ปรากฏว่า หลังจากอยู่ทำงานทั้งวันได้ด้วยกาแฟสามเวลา พอกลับมาก็ไม่เอาอะไรแล้ว นอนยาว 12 ชั่วโมง ทดแทนคืนก่อนที่อดนอนครึ่งคืนอ่านเล่มนี้ แต่มันก็คุ้มจริงๆ เลยนะ อารมณ์ดีมีความสุขทั้งวันจนมาถึงตอนนี้เลย
เข้าเรื่อง จะเริ่มพูดจากตรงไหนก่อนดีล่ะ ยินดีด้วยกับสมาชิกใหม่ตัวน้อยของซีรีส์แล้วกัน ซาช่าคลอดแล้วจ้า เป็นฉากคลอดที่โกลาหลอลหม่าน ตลกวุ่นวายดี แล้วก็ทำให้เห็นสายสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครในเรื่องชัดดี อยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ ประทับใจ
Kiss of Snow เป็นเล่ม 10 ในซีรีส์ Psy-Changeling ทั้งที่เราเพิ่งเริ่มอ่านเรื่องชุดนี้แค่ปีเดียวเอง แต่เรารู้สึกว่า เรารออ่านเรื่องนี้มาน้านนาน เรื่องของฮอว์ค เพราะเป็นตัวละครที่ชอบมากตั้งแต่เล่มหนึ่งเลย และยิ่งอยากอ่านแบบยกกำลังสอง เพราะมันเป็นเรื่องของเซียนน่าด้วย ตัวละครโปรดอีกหนึ่งคน
ปรกติ เราไม่ชอบเรื่องที่พระเอกนางเอกมีอายุห่างกันเยอะนะ ห่างเกินสิบปี จะรู้สึกว่าพระเอกแก่อ่ะ ไม่ชอบ หลอกเด็ก มียกเว้นอยู่ไม่กี่เรื่องเองที่พระเอกอายุมากกว่าเยอะแล้วเราชอบ แต่สำหรับเรื่องนี้ เพราะเราชอบฮอว์คอยู่แล้ว และเราก็ถูกชะตาเซียนน่าตั้งแต่แรก แรกๆ ก็คงไม่ได้มองว่าสองคนนี้จะเป็นคู่หรอก แต่พอครั้งแรกที่อ่านเจอว่า เซียนน่าเป็นคนที่ทำให้ฮอว์คนอตหลุดฟิวส์ขาดได้เร็วที่สุด ก็เริ่มเอ๊ะ ยังไง พอเห็นชัดว่า เซียนน่าแอบปลื้มฮอว์คอยู่ เราก็เชียร์ทันที แบบว่า เราชอบเด็กที่รักจริง แอบรักเฝ้ารอตั้งหลายปี อยากให้สมหวัง ตอนไปแว้บๆ กับคิทนิดนึง ก็จ๋อยไปหน่อย แต่ไม่เป็นไรทำใจ เด็กคู่เด็กอาจจะเหมาะกว่า พอเล่มที่แล้ว ชัวร์ล่ะว่าคู่นี้ไม่แคล้วกันแน่ ก็ดีใจมากเลย ลุ้นมาตั้งหลายเล่ม สำเร็จ เชียร์ขึ้น
ฮอว์คเป็นคนที่โดดเด่นมาก ราศีอัลฟ่าจับตา ทั้งเก่ง ทั้งเท่ ตอนล้อซาช่าก็น่ารักสุดๆ (เอ่อ หน้าปกฉบับภาษาอังกฤษน่าเกลียดมาก โชว์แต่กล้าม ไม่ใช่ฮอว์คในจินตนาการของเราเลย) ในเล่มนี้ เราก็ได้ใกล้ชิดฮอว์คมากขึ้น แต่ก็ไม่ต่างจากภาพที่ผ่านมาเท่าไหร่ แต่เซียนน่านี่สิ จากเล่มก่อนๆ ที่ยังรู้สึกว่าเป็นเด็กๆ วัยรุ่น เล่มนี้เราจะได้เห็นว่า เธอเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ไม่นับความสามารถของ X-Psy ระดับคาร์ดินัล พลังสุดยอด โรงงานปรมาณูเดินได้ดีๆ นี่เอง เก่งที่สุดในเรื่องแล้วมั้ง อ่านแล้วทั้งปลื้มทั้งภูมิใจ (แบบประมาณเหมือนเห็นเด็กสร้าง นักเตะเยาวชนเลื่อนขึ้นชุดใหญ่ เจอร์ราร์ดตอนแรกหัวเกรียนเปลี่ยนตัวลงมารับใบแดง แต่ก็เห็นแววรุ่ง ไม่กี่ปีพัฒนามาเป็นกัปตันพาทีมรับถ้วย)
แล้วสองคนที่ชอบทั้งคู่ แยกกันอยู่ก็รักอยู่แล้ว มาเข้าคู่กันมันก็เยี่ยมที่สุดเลย ความรักความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ไม่ทำให้เราตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อยว่า พระเอกหัวงู อายุที่ต่างกัน ฮอว์คนี่ประมาณ 30 กลางๆ เซียนน่า 19 ย่าง 20 ปี แต่เหมือนทั้งคู่เสมอกันมาก อายุที่น้อยกว่า ไม่ได้ทำให้เธอด้อยกว่า แบบตอนที่ฮอว์คถามว่า "You sure you want to play with the wolf, baby?" แล้วเซียนน่าตอบกลับว่า "Sure you're ready to handle an X, wolf?" ฮ่าฮ่า สมกันจริงๆ
เรื่องอ่านสนุกตั้งแต่แรกเลย แล้วเวลาอ่านๆ ไป ก็จะเจอพวกประโยคที่ Nalini Singh เอามาเป็น teaser ยั่วน้ำลายให้อ่านบนเว็บทีละหน่อยทุกๆ วันก่อนหนังสือใกล้ออก พออ่านเจอในเรื่องก็จะกรี๊ด เป็นอย่างนี้นี่เอง
เตือนสปอยล์เนื้อหาต่อจากนี้
When Beauty Tamed the Beast - Eloisa James
คะแนน : 7.75
เรื่องนี้ชอบพระเอกและนางเอกตั้งแต่แรกเลย ตลกน่ารักดีทั้งคู่ อ่านสนุกตั้งแต่เริ่มเรื่อง ยิ่งพระเอกนางเอกมาเจอกันแล้วก็ยิ่งสนุก เวลาคุยกันมีจิก กัด ยั่ว แหย่ ให้ได้หัวเราะพรืดเกือบทุกบทเลย การอ่านเรื่องของคนที่ฉลาด มีเสน่ห์ มีอารมณ์ขัน สองคนจีบกัน มันก็เพลินจริงๆ
แต่พอเข้าช่วงที่มีประเด็นขัดแย้งกัน คำพูดพระเอกนี่เราว่าแรงไปนะ ถึงจะปากร้ายสมกับฉายาว่าบีสต์ก็เถอะ แต่ฟังแล้วโกรธแทนนางเอกค่ะ จะทำตัวงี่เง่าไม่กล้ารักเขา จะตัดเขา ก็พูดดีๆ ก็ได้ แบบนี้ดูถูกกันเกินไป อ่านถึงตรงนี้แล้ว เราหมายหัวพระเอกไว้เลยว่า นายต้องง้อนานหน่อยล่ะ ฉันถึงจะยอมยกโทษให้ แต่ปรากฏว่า รอดตัวง่ายไปค่ะ ถ้าพระเอกงี่เง่าแล้วได้บทเรียนแบบจัดหนัก เราจะไม่ติดใจ ถ้ารู้สึกว่าเขาชดใช้ได้ความทุกข์ทรมานตอนที่แยกกันอย่างสาสมแล้ว แต่ในเรื่อง พระเอกมัวแต่รับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ จนแทบไม่มีเวลาเศร้าเสียใจ พอนางเอกปฏิเสธเขาบ้าง ก็ดันไม่ค่อยมีบทบรรยายความทุกข์ใจของเขาเลย เลยรู้สึกว่ามันยังไม่หนำใจ
เรื่องนี้อาจจะโชคร้ายที่เราเอามาอ่านตอนจังหวะไม่ดีค่ะ เพราะว่าพออ่านถึงช่วงท้ายตอนเฝ้าไข้กัน เรื่อง Kiss of Snow ก็มาพอดี สมาธิแตกกระเจิง เลยเจออ่านแบบเร่งสปีดเอาให้จบ เพราะใจมันไปเรื่องโน้นแล้ว
เรื่องนี้ชอบพระเอกและนางเอกตั้งแต่แรกเลย ตลกน่ารักดีทั้งคู่ อ่านสนุกตั้งแต่เริ่มเรื่อง ยิ่งพระเอกนางเอกมาเจอกันแล้วก็ยิ่งสนุก เวลาคุยกันมีจิก กัด ยั่ว แหย่ ให้ได้หัวเราะพรืดเกือบทุกบทเลย การอ่านเรื่องของคนที่ฉลาด มีเสน่ห์ มีอารมณ์ขัน สองคนจีบกัน มันก็เพลินจริงๆ
แต่พอเข้าช่วงที่มีประเด็นขัดแย้งกัน คำพูดพระเอกนี่เราว่าแรงไปนะ ถึงจะปากร้ายสมกับฉายาว่าบีสต์ก็เถอะ แต่ฟังแล้วโกรธแทนนางเอกค่ะ จะทำตัวงี่เง่าไม่กล้ารักเขา จะตัดเขา ก็พูดดีๆ ก็ได้ แบบนี้ดูถูกกันเกินไป อ่านถึงตรงนี้แล้ว เราหมายหัวพระเอกไว้เลยว่า นายต้องง้อนานหน่อยล่ะ ฉันถึงจะยอมยกโทษให้ แต่ปรากฏว่า รอดตัวง่ายไปค่ะ ถ้าพระเอกงี่เง่าแล้วได้บทเรียนแบบจัดหนัก เราจะไม่ติดใจ ถ้ารู้สึกว่าเขาชดใช้ได้ความทุกข์ทรมานตอนที่แยกกันอย่างสาสมแล้ว แต่ในเรื่อง พระเอกมัวแต่รับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ จนแทบไม่มีเวลาเศร้าเสียใจ พอนางเอกปฏิเสธเขาบ้าง ก็ดันไม่ค่อยมีบทบรรยายความทุกข์ใจของเขาเลย เลยรู้สึกว่ามันยังไม่หนำใจ
เรื่องนี้อาจจะโชคร้ายที่เราเอามาอ่านตอนจังหวะไม่ดีค่ะ เพราะว่าพออ่านถึงช่วงท้ายตอนเฝ้าไข้กัน เรื่อง Kiss of Snow ก็มาพอดี สมาธิแตกกระเจิง เลยเจออ่านแบบเร่งสปีดเอาให้จบ เพราะใจมันไปเรื่องโน้นแล้ว
The Throne of Fire (Kane Chronicles #2) - Rick Riordan
คะแนน : 7.5
เล่มนี้เป็นเรื่องของ Rick Riordan เล่มแรกที่อ่านแล้วรู้สึกว่ามีช่วงที่ตัวเองเบื่อ ในด้านเนื้อเรื่องมันก็ยังอ่านสนุกอยู่ มีการผจญภัย มีการต่อสู้ด้วยเวทมนตร์คาถากับการใช้พลังเทพแปลงร่าง มีเนื้อเรื่องประเด็นของการฟื้นอำนาจมืดของเทพอโพฟิส การพยายามปลุกชีพเทพเรมาต่อกร แต่จุดที่ทำให้รู้สึกสะดุดคือตัวละคร เล่มนี้ทำตัวน่ารำคาญกันหลายคนเลย
โฮรัสที่เราชอบเพราะดูรั่วๆ ฮาๆ ดีเวลาคุยกับคาร์เตอร์ เล่มนี้เก๊กขึ้นมาซะทำให้ไม่ปลื้มเลย บทน้อยด้วย บาสต์ก็หายไปซะนาน เทพตัวใหม่ที่เด่นเล่มนี้ก็เฉยๆ และตัวละครสำคัญที่สุดในเรื่องอย่างคาร์เตอร์ก็ดร็อปลงไป ที่จริงในระหว่างตัวเอกสองคน คาร์เตอร์ก็ดูด้อยกว่าแซดี้อยู่แล้ว เพราะแซดี้จี๊ดกว่า แต่เล่มนี้คาร์เตอร์ทำตัวน่ารำคาญมากๆ ตอนกลางเรื่อง ตอนที่เขาพร่ำเพ้อเรื่องเซีย
ตามธรรมดาเวลาอ่านเรื่อง YA ก็ไม่ติดใจอะไรถ้าพระเอกนางเอกจะมีโรแมนติกบ้าง ปิ๊งปั๊งกันนิดหน่อย puppy love ก็ถือว่าเป็นสีสันของเรื่องให้อ่านสนุก แต่คาร์เตอร์ นายอายุ 14 อย่ามาคร่ำครวญจะเป็นจะตายเพราะเรื่องความรักให้มันมากไปนัก กำลังต่อสู้โดยมีชะตากรรมของโลกเป็นเดิมพันอยู่เชียวนะ แต่นายทิ้งทุกอย่างเพื่อวิ่งไปช่วยหญิง โฟกัสหน่อยเดะว้า เจอบทนั้นบทเดียวทำเอาหยุดอ่านไปวันหนึ่งเลย รู้สึกเหมือนกำลังคบเด็กสร้างบ้าน เล่มนี้ผู้เขียนแต่งเอาใจกระแสสุดๆ มีตัวละครใหม่มาให้มีประเด็นรักสามเส้ากับแซดี้ (ซึ่งเพิ่งฉลองวันเกิดอายุ 13 ในเล่มนี้) จะให้มีทีมอนูบิส กับทีมวอลท์ ขึ้นมาใช่มั้ย
เล่มนี้เป็นการตอกย้ำอีกครั้งถึงความสำคัญของตัวละคร ทั้งๆ ที่การดำเนินเรื่องมันก็สไตล์เดียวกันแท้ๆ แต่พอตัวละครเริ่มไม่ได้ดั่งใจปุ๊บ อารมณ์ก็เปลี่ยนเลย ในพระเอกสามคน เพอร์ซีย์จะมีบุคลิกลงตัวที่สุด ค่าสเตตัสต่างๆ อยู่ในระดับดีหมด พลังความสามารถ ไหวพริบ นิสัย บุคลิก เป็นแบบฉบับพระเอกที่เด็กกำลังชอบ พอมาเป็นเจสัน ก็เอาเพอร์ซีย์มาเป็นแบบแล้วตัดโน่นเติมนี่ เพื่อไม่ให้ซ้ำ ก็จะดูเครียดขึ้น ตลกน้อยลง แต่คาร์เตอร์นี่ ห่วยเลย ยังไงโดยรวมเรื่องยังอ่านสนุกอยู่ ตอนท้ายลุ้นดีมาก เวลาอ่านซีรีส์นี้ต่อ คงต้องทำใจเรื่องตัวละครเด็กๆ หน่อยแล้วกัน
เล่มนี้เป็นเรื่องของ Rick Riordan เล่มแรกที่อ่านแล้วรู้สึกว่ามีช่วงที่ตัวเองเบื่อ ในด้านเนื้อเรื่องมันก็ยังอ่านสนุกอยู่ มีการผจญภัย มีการต่อสู้ด้วยเวทมนตร์คาถากับการใช้พลังเทพแปลงร่าง มีเนื้อเรื่องประเด็นของการฟื้นอำนาจมืดของเทพอโพฟิส การพยายามปลุกชีพเทพเรมาต่อกร แต่จุดที่ทำให้รู้สึกสะดุดคือตัวละคร เล่มนี้ทำตัวน่ารำคาญกันหลายคนเลย
โฮรัสที่เราชอบเพราะดูรั่วๆ ฮาๆ ดีเวลาคุยกับคาร์เตอร์ เล่มนี้เก๊กขึ้นมาซะทำให้ไม่ปลื้มเลย บทน้อยด้วย บาสต์ก็หายไปซะนาน เทพตัวใหม่ที่เด่นเล่มนี้ก็เฉยๆ และตัวละครสำคัญที่สุดในเรื่องอย่างคาร์เตอร์ก็ดร็อปลงไป ที่จริงในระหว่างตัวเอกสองคน คาร์เตอร์ก็ดูด้อยกว่าแซดี้อยู่แล้ว เพราะแซดี้จี๊ดกว่า แต่เล่มนี้คาร์เตอร์ทำตัวน่ารำคาญมากๆ ตอนกลางเรื่อง ตอนที่เขาพร่ำเพ้อเรื่องเซีย
ตามธรรมดาเวลาอ่านเรื่อง YA ก็ไม่ติดใจอะไรถ้าพระเอกนางเอกจะมีโรแมนติกบ้าง ปิ๊งปั๊งกันนิดหน่อย puppy love ก็ถือว่าเป็นสีสันของเรื่องให้อ่านสนุก แต่คาร์เตอร์ นายอายุ 14 อย่ามาคร่ำครวญจะเป็นจะตายเพราะเรื่องความรักให้มันมากไปนัก กำลังต่อสู้โดยมีชะตากรรมของโลกเป็นเดิมพันอยู่เชียวนะ แต่นายทิ้งทุกอย่างเพื่อวิ่งไปช่วยหญิง โฟกัสหน่อยเดะว้า เจอบทนั้นบทเดียวทำเอาหยุดอ่านไปวันหนึ่งเลย รู้สึกเหมือนกำลังคบเด็กสร้างบ้าน เล่มนี้ผู้เขียนแต่งเอาใจกระแสสุดๆ มีตัวละครใหม่มาให้มีประเด็นรักสามเส้ากับแซดี้ (ซึ่งเพิ่งฉลองวันเกิดอายุ 13 ในเล่มนี้) จะให้มีทีมอนูบิส กับทีมวอลท์ ขึ้นมาใช่มั้ย
เล่มนี้เป็นการตอกย้ำอีกครั้งถึงความสำคัญของตัวละคร ทั้งๆ ที่การดำเนินเรื่องมันก็สไตล์เดียวกันแท้ๆ แต่พอตัวละครเริ่มไม่ได้ดั่งใจปุ๊บ อารมณ์ก็เปลี่ยนเลย ในพระเอกสามคน เพอร์ซีย์จะมีบุคลิกลงตัวที่สุด ค่าสเตตัสต่างๆ อยู่ในระดับดีหมด พลังความสามารถ ไหวพริบ นิสัย บุคลิก เป็นแบบฉบับพระเอกที่เด็กกำลังชอบ พอมาเป็นเจสัน ก็เอาเพอร์ซีย์มาเป็นแบบแล้วตัดโน่นเติมนี่ เพื่อไม่ให้ซ้ำ ก็จะดูเครียดขึ้น ตลกน้อยลง แต่คาร์เตอร์นี่ ห่วยเลย ยังไงโดยรวมเรื่องยังอ่านสนุกอยู่ ตอนท้ายลุ้นดีมาก เวลาอ่านซีรีส์นี้ต่อ คงต้องทำใจเรื่องตัวละครเด็กๆ หน่อยแล้วกัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)