คะแนน : 7
เล่มนี้คือหนังสือชุด
Inheritance ลำดับ 4 หรือว่า เอรากอน เล่มจบ นั่นเอง จากที่ตอนแรกบอกจะเป็นไตรภาค เขียนไปเขียนมาดังก็ยืดมาอีกเล่ม จาก Inheritance Trilogy ก็กลายเป็น Inheritance Cycle ไป
ถ้าใครชอบเรื่องเอรากอน ขอความกรุณาอย่าอ่านโพสต์นี้เลยค่ะ เพราะมันอาจมีข้อความกระทบกระเทือนจิตใจคุณได้ ขออนุญาตออกตัวแรงนิดนึง เพราะจำได้ว่าเคยอ่านบล็อกวิจารณ์เรื่องนี้ (ลองกูเกิลดู ยังหาเจอด้วย
ที่นี่ ) เราไม่ได้คิดตรงกันกับคุณเจ้าของบล็อกโน้นหมดนะ แต่อ่านแล้วนั่งขำที่เขียน บางอย่างก็จริงของเขานะ พอมาเจอความเห็นตอนท้าย โห แฟนๆ เอรากอนที่มาตอบคอมเมนต์น่ากลัวมาก ตอนจะเริ่มเขียนถึงเรื่องนี้นึกถึงเคสนั้นขึ้นมาได้ เลยรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ นั่นเป็นกรณีฝังใจที่ทำให้เราเกิดอาการไม่เข้าใจอยู่ตั้งนาน คือ ความเห็นต่างกันก็เรื่องหนึ่ง แต่มารยาทในสังคมก็เป็นอีกเรื่อง เว็บเป็นพื้นที่สาธารณะก็จริง แต่บล็อกมันมีความเป็นส่วนตัวอยู่ในระดับนึง มันไม่ใช่เว็บบอร์ด เป็นแขกแต่ไประรานบอกเจ้าของบ้านให้ปรับทัศนคตินี่ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรยอมรับกันได้นะคะ เพราะฉะนั้น หนูๆ เอ๋ย ถ้ารู้ตัวว่าเป็นแฟนเทพของซีรีส์นี้แบบใครแตะไม่ได้ ก็อย่าอ่านบล็อกนี้ อย่ามายุ่งกับพี่เลย ขอร้อง
คำเตือน : เนื้อหาต่อไปนี้คือสปอยล์สุดสามโลก ที่พูดถึงเล่มก่อนๆ จนถึงฉากจบเล่มนี้ด้วย การคลิกปุ่มข้างล่าง ถือเป็นการตกลงว่า ยินดีรับความเสี่ยง และถ้าอ่านแล้วไม่ชอบใจ จะไปแอบด่าเจ้าของบล็อกนี้ที่ไหนก็ได้ แต่จะไม่มาต่อความยาวสาวความยืดกันที่นี่
ก่อนพูดถึงเล่มใหม่ ขอเท้าความเดิมหน่อย ตอนที่อ่านเล่ม 1
Eragon (คะแนน 8) เรายังชอบเรื่องนี้อยู่เลย ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนอ่านเราก็นึกถึงเนื้อเรื่อง Star Wars ในฉากบรรยากาศแบบ LOTR เหมือนกัน แต่ก็คิดแค่ช่วงแรกในส่วนของโครงเรื่อง พอถึงหลังๆ มันก็มีรายละเอียดเยอะแยะที่อ่านแล้วก็รู้สึกว่าน่าติดตามดีเหมือนกัน เพราะจะว่าไป พล็อตเรื่องของนิยายมันก็ไม่ได้มีมากมายนักหรอก ถึงจะไม่ค่อยออริจินอล แต่ถ้าเขียนแล้วอ่านสนุกได้ เราก็โอเค
พอถึงเล่ม 2
Eldest (คะแนน 7) เล่มนี้เลือนๆ จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว แต่รู้สึกจะเริ่มเบื่อความยืดของมัน ฝึกวิชากันนานมาก มีแต่น้ำ มีเนื้อเรื่องสำคัญจริงๆ ในเล่มก็ตรงเรื่องของเมอร์ทักห์แค่นั้นเอง (I am your brother ทำเสียงเหมือนดาร์ธเวเดอร์นะ ^_^) จนมาเจอเล่ม 3
Brisingr (คะแนน 6) ทำให้เราเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้อย่างแรง จุดที่เราไม่ไหวคือ เรื่องชาติกำเนิดของเอรากอน ดูท่าข้อกล่าวหาเรื่องก๊อบสตาร์วอร์สคงจะกระเทือนซางคนเขียน Christopher Paolini ไม่น้อย น้องเปา (ชอบคำนี้ ขอยืมใช้) ก็เลยพลิกเรื่องซะ เผื่อคนไม่ได้อ่านเรื่องนี้ เราก็จะใช้ตัวละครสตาร์วอร์สเปรียบเทียบให้ฟังว่ามันเป็นยังไง คือ จริงๆ แล้ว เอรากอน (ลุค) ไม่ใช่ลูกของมอร์ซาน (อนาคิน) ที่ทรยศไปเข้ากับกัลบาทอริกซ์ (จักรพรรดิ) อย่างที่ตัวเองเข้าใจตามที่เมอร์ทักห์บอก แต่เซเลน่า (แพดเม่) คบชู้กับบรอม (โอบีวัน) จนมีลูกออกมาเป็นเอรากอนต่างหาก เห็นมั้ย ไม่เหมือนสตาร์วอร์สแล้ว แต่อ่านตอนนั้นนี่เราแทบอยากจะหาอะไรเขวี้ยงมากเลย แม่มเอ๊ย ถ้าเป็นงั้น ตอนบรอมสอนวิชาทำไมไม่บอกเอรากอนวะ ศักดิ์ศรีไม่มีแล้ว นอกจากตีท้ายครัวเพื่อนแล้วกับลูกก็ยังไม่กล้าบอกความจริงต่อหน้าอีก ว้อย
เจอเนื้อเรื่องอุบาทว์ในเล่ม 3 ไป ทำให้เรารู้สึกลบกับเรื่องนี้มากๆ แล้ว แต่พอเล่ม 4 ออกก็ต้องอ่าน คือ ไม่ชอบค้างคาน่ะ ยังไงก็อยากรู้ตอนจบ เล่มอวสานของชุดนี้หนามากๆ ปาเข้าไป 880 หน้า (ยืดขึ้นเรื่อยๆ จำนวนหน้าของฉบับภาษาอังกฤษตามลำดับ 528 -> 704 -> 785 -> 880) เริ่มต้นเล่มมีเรื่องย่อ 3 เล่มแรกให้อ่านก่อนก็ค่อยยังชั่ว อ่านนานชักลืมแล้ว เปิดฉากต่อมาจากเล่มเดิม เอรากอนกับพวกพ้องเตรียมตัวยกกองทัพจะไปลุยกับราชากัลบาทอริกซ์ แรกๆ เราก็ตั้งใจอ่านดีอยู่ เอ๊ะ แต่ไปเรื่อยๆ ทำไมมันอืดอย่างนี้ น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงจริงๆ สำนวนของน้องเปานี่เยิ่นเย้อสุดๆ เดี๋ยวจะหาว่าพูดลอยๆ ยกตัวอย่างให้ดู แค่จะบอกว่า ฝูงมังกรเรียกว่า A thunder of dragons ต้องเขียนยาวขนาดนี้
“That is the proper term for a flock of dragons. If ever you had heard one in full flight, you would understand. When ten, twelve, or more dragons flew past overhead, the very air would reverberate around you, as if you were sitting inside a giant drum. Besides, what else could you call a group of dragons? You have your murder of ravens, your convocation of eagles, your gaggle of geese, your raft of ducks, your band of jays, your parliament of owls, and so on, but what about dragons? A hunger of dragons? That doesn’t sound quite right. Nor does referring to them as a blaze or a terror, although I’m rather fond of terror, all things considered: a terror of dragons.… But no, a flock of dragons is called a thunder. Which you would know if your education had consisted of more than just learning how to swing a sword and conjugate a few verbs in the ancient language.”
แม่เจ้า! ตอนนี้เจอมหาอุทกภัยในชีวิตจริงแล้ว ยังต้องมาลุยน้ำท่วมอาลาเกเซียในนิยายอีกด้วยหรือนี่ ไม่ใช่แค่คำบรรยายเพ้อเจ้อ แต่เนื้อเรื่องก็เต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยไร้สาระเต็มไปหมด อย่างมีบทที่เอรากอนไปนั่งลุ้นชาวบ้านคลอดลูกทั้งบท แล้วพอคลอดออกมาเอรากอนก็ต้องไปนั่งรักษาเด็กที่เกิดมาพิการอีกทั้งบท เพื่ออะไร !? สำคัญตรงไหนกับเนื้อเรื่อง โธ่ ท่านนักบุญเอรากอน เราพยายามตั้งใจอ่านอยู่ได้แค่ตอนต้นประมาณ 200 กว่าหน้า (ถ้าเป็นเรื่องอื่นนี่จะจบเล่มแล้วนะ) หลังจากนั้นก็เริ่มไม่ไหวล่ะ เปิดเสียงให้ Kindle อ่านให้ฟังแทน ตอนไหนมีอะไรเกิดขึ้นค่อยสลับกลับมาอ่าน
พอมาตรงกลาง เนื้อเรื่องตรงที่ไปหาเอลดูนารีของมังกรนี่ จริงๆ ไอเดียดี ถ้ารวบรัดหน่อยจะสนุกกว่านี้ และพอถึงตอนท้าย ฉากที่ลุยด่านไปเผชิญหน้ากับกัลบาทอริกซ์ก็สนุกดีทีเดียว แต่วิธีปราบบอสใหญ่นี่ทำให้นึกถึงเรื่อง The Sword of Shannara นะ เอรากอนนี่มันรวมฮิตนิยายแฟนตาซีจริงๆ ไอ้แนวคิดเรื่องนามจริงของสรรพสิ่ง นี่ก็เอามาจากพ่อมดแห่งเอิร์ธซี แล้วพอโค่นตัวร้ายเสร็จ เรื่องก็ยังไม่จบ ยังเหลืออีกเกินร้อยหน้า นั่งแจกแจงชีวิตแต่ละคนกันอีก ว่าใครเป็นยังไง จะทำอะไรต่อ พวกตัวละครดาดๆ อย่างโรแรนกับแคทริน่านี่จะมีบทเยอะแยะอะไรนักหนา อีตรงที่ไม่สำคัญล่ะเล่าเยอะ ทีไอ้เจ้ามังกรเขียวบนหน้าปกเนี่ย โผล่มาตอนจะจบเรื่องอยู่แล้ว ตอนอ่านฉากมังกรผสมพันธุ์กันนี่ กุมหัวเลย จำเป็นต้องมีด้วยเรอะ
ส่วนฉากจบ เอรากอนกับซาเฟียร่าเดินทางออกจากดินแดนอาลาเกเซีย ไปหาที่ฟูมฟักไข่มังกร และจะเป็นผู้ฝึกสอนพวกอัศวินมังกรรุ่นใหม่ ก่อนไปก็เสียเวลาร่ำลากับตัวละครที่เหลือเกือบทุกคนในเรื่อง (เฮ้อ) เมอร์ทักห์ (ตัวละครที่ดูมีพัฒนาการที่สุดคนเดียวในเรื่อง) กับธอร์นก็ไปตามทางตัวเอง ส่วนอาเรียก็ไปเป็นราชินีเอลฟ์ ถ้าเราชอบนางเอกเรื่องนี้คงแอบเศร้านิดนึงที่พระเอกไม่ได้คู่ ดีที่เฉยๆ กับอาเรียเลยไม่รู้สึกอะไร แบบอาเรียนี่เหมือนที่เพลงเขาว่า สวยแล้วหยิ่งที่จริงไม่ผิด แต่รำคาญเหมือนกัน เวลาเอรากอนมองอาเรียตาปรอยเหมือนลูกหมาหาเจ้าของทั้งเรื่อง เพราะเรื่องมันเล่าจากฝั่งเอรากอนเป็นหลัก ก็จะรู้สึกถึงแต่ความเฉยเมยเย็นชาของอาเรีย คนอ่านเลยเข้าไม่ถึง เพราะฉะนั้นจบแบบนี้ก็คงโอเคแล้วมั้ง ก็ตามสไตล์ฮีโร่ ชะตาวีรบุรุษ สู้จบแล้วต้องปลีกวิเวก เป็นคนดีต้องเสียสละ ครองบัลลังก์เองไม่ได้ เดี๋ยวเขาหาว่าหวังผล
ความจริงตอนอ่านช่วงเบื่อนี่อยากให้คะแนน 6.5 เท่านั้น แต่พอบางช่วงมันก็สนุกดี เสียดายถ้าตัดน้ำๆ ออกสักครึ่งเล่ม อาจจะให้ถึง 7.5 เลย ตกลงใจจิ้มไปที่ 7 แล้วกัน แต่ถ้ามีไทม์แมชชีน เราจะย้อนเวลาไปเตือนตัวเองก่อนเริ่มอ่านเรื่องชุดนี้ตามกระแสว่า ที่จริงเรื่องนี้มันก็อ่านได้ แต่เพราะมันยาวเกิน ไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไปเท่าไหร่นักหรอก
9 ความคิดเห็น:
เอา ภาษาไทย มาอ่าน มั่ง จิ
เอ่อ ไม่ค่อยเข้าใจ comment น่ะค่ะ
แต่คิดว่าฉบับภาษาไทยของเล่มนี้ ตอนนี้ยังไม่มีออกมามั้งคะ
นั่นสิ ไม่รู้เมื่อไหร่ภาษาไทยจะออกซะที ที่จริงรู้สึกไม่ต่างจากเม้นท์นะ แต่ไหนๆก็ซื้อมาอ่านตั้ง 3 เล่มแล้ว ควรจะมีเล่ม 4 มาอ่านซะทีจะได้ครบชุดซะ
ฮ่าฮ่า เข้าใจดีเลยค่ะ ไหนๆ อ่านจนเหลือเล่มสุดท้ายแล้ว ก็ต้องอ่านให้จบ
อ่านแล้วเหมือนกันเลย แต่เรากลับคิดอีกแบบนะ
ว่ามันเป็นความสวยงามในภาษาอ่ะ ไอ้พวกรายละเอียดที่ใส่มา
บางครั้งอาจจะดูน่ารำคาญก็จริง แต่มันก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้เราประทับใจด้วยเหมือนกัน คือนอกจากจะแสดงอุปนิสัย จิตใจ ของตัวละครแล้ว
มันก็เหมือนการเกริ่นแสดงประสบการณ์ด้วยนะ ถ้าขาดพวกนี้ไป
ก็เหมือนขาดไปอารมณ์นึงเลยอ่ะ
(แถมยังทำให้หนังสือบางลงด้วย+55 เป็นพวกชอบหนังสือหนา)
อย่างที่สังเกตุได้ทั่วไปนะ เราจะเห็นได้ว่าหนังสือแปลไทยบางกว่านิยายต้นฉบับกว่าครึ่งเล่มแน่ะ(แถมถูกกว่าด้วย) มันเป็นเพราะการใช้คำนี่แหล่ะ
ต้นฉบับเปาโลเขาเขียนด้วยภาษาที่ค่อนข้างโบราณแล้วก็ลึกซึ้งมาก
ขนาดเราที่เรียนเฉพาะทาง บางประโยคก็ยังไม่เก็ต
ว่าน้องแกต้องการจะสื่ออะไรกันแน่เนี่ย แต่พอเรียบเรียงมาแล้วมันทำให้
ได้อารมณ์มากกว่าอ่ะ แต่มันก็แล้วแต่คนด้วยอ่ะ บางคนเค้าก็รำคาญที่มันเยิ่นเย้อ แต่เราเข่้าใจนะ ส่วนด้านพล็อตของภาคสาม เรื่องความคล้ายคลึงกับStar WarและThe Lord of The ring อะไรพวกนี้ เราก็งงเหมือนกัน
ตอนแรก แต่ก็ไม่ได้คิดถึงการลอกเลียนแบบพล็อตอะไรหรอก คนเรามันก็ต้องมีบ้างอ่ะ บทที่เป็นแรงบันดาลใจอะไรประมาณนี้ ไม่งั้นนิยายไทยดังๆ
หลายเล่มคงไม่ได้เกิด ลองคิดดูดิ(พลั่ก!!/โดนเตะ)
จ้า ยังไงก็อย่าไปซีเรียสเลย น้องเค้าอายุยังน้อย เขียนได้แบบนี้ก็โอเคแล้ว
ถือซะว่าอุดหนุนละกัน สะสมใ้ห้ครบเซ็ต (เวลาขายต่อจะได้มีราคา+55)
ช่วงนี้เราก็กำลัง(พยายาม)อ่าน Heroes of Olympus อยู่นะ ที่เป็นภาคต่อของเพอร์ซี่ แจ็กสันอ่า ไม่รู้ว่าเคยอ่านรึยัง เราว่าสำนวนเรื่องนี้มึนกว่าซะอีก
ก็เล่นใช้Slang Word ต้องเข้าใจ ให้ความเป็นสมัยใหม่มา่ก คนละอารมณ์กับเอรากอนเลยล่ะ แต่ก็สนุกอยู่เหมือนกันนะ ถ้าสนใจก็ลองหาอ่านดู แก้เซ็งจ้า
จริงเหรอคะ เรากลับรู้สึกว่าส่วนใหญ่ฉบับแปลไทยมักจะยาวกว่าต้นฉบับ เพราะคนแปลต้องขยายความถึงจะได้ความหมายครบ แต่ก็คงขึ้นอยู่กับการเลือกใช้คำของคนแปลจริงๆ น่ะแหละค่ะ
Heroes of Olympus ตามอ่านอยู่ค่ะ สนุกค่ะ ตลกดี ชอบมากกว่าเอรากอนเยอะ
ดีแล้ว หนังสือจะได้หนาๆ อุตส่าห์รอมาตั้งนานก็จะได้อ่านให้สมใจอยาก หนังสือจาเข้าซีเอ็ดประมาณวันที่ 25-26กค.นี้แลัว ตื่นเต้นๆ
ดีใจด้วยค่า อ่านให้สนุกนะคะ เข้าใจอารมณ์คนรออ่านเล่มจบของเรื่องที่ติดตามมานานหลายปีค่ะ
ดิฉันคิดว่าเนื้อเรื่องนี้ใช้ภาษาที่สละสลวยดีนะคะ ไม่รู้สึกรำคาญเลยเวลาอ่าน เพราะความที่ตัวคนเขียนเองเขียนอธิบายได้ครอบคลุม อ่านแล้วไม่รู้สึกงงเลยสักนิด ทุกปมปัญหาในเรื่องมีที่ไปที่มาบรรยายได้ชัดเจนมากๆ ส่วนตัวในเรื่องชาติกำเนิดจะมองว่าชู้ก็พูดได้ไม่เต็มปากนะคะ เพราะตัวมอร์ซานกับเซเลน่าเองก็ไม่ได้ผูกมัดอะไรขนาดนั้น เหมือนสัมพันแบบนายบ่าวอะไรมากว่า ชอบเรื่องนี้ตรงที่มีการบรรยายความเป็นไปของเรื่องได้สอดคล้องกันนะคะ อ่านแล้วไม่งง ดิฉันอายุยังน้อยแต่เป็นคนชอบอ่านหนังสือ ดังนั้นหนังสือบางเรื่องที่เนื้อหาซับซ้อนก็มักจะอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เรื่องนี้ยกให้จริงๆค่ะ ส่วนตัวอ่านหนังสือมาเยอะนะคะ โดนเฉพาะนวนิยายต่างประเทศ ชอบเรื่องนี้ที่ค่อยข้างจะเป็นการเน้นมิตรภาพของแต่ละตัวละครที่ร่วมชะตากรรมลำบากมาด้วยกัน โดยแต่ละคนก็มีปมปัญหาของตัวเองเป็นแรงผลักดันให้ทำสิ่งต่างๆ ส่วนตัวเคยอ่านเดอะ ลอร์ด แต่ไม่รู้สึกชอบเท่าไหร่ เพราะแอบคิดว่าเนื้อหาบรรยายค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนนะคะ ส่วนสตาร์วอร์ เนื้อเรื่องนี้จะค่อนข้างคล้ายคลึงกันก็จริงแต่พออ่านออกมาแล้วก็พออนุโลมได้เพราะในตัวเรื่องเองก็ชวนติดตาม ชอบอ่านเพอร์ซีเช่นกันค่ะ แต่เนื้อเรื่องกับภาษาเขียนจะคนละแนวกันสนุกไปคนละแบบ
แสดงความคิดเห็น