บางวันเรานั่งเรือพายเอาสิ่งของบริจาคไปให้ชาวบ้าน บางคนก็ยิ้มสู้ บางคนก็ยิ้มแห้ง แต่ที่ติดตาคือสายตาของบางคนที่เอื้อมมือมารับถุงสิ่งของ แววตาเขาช่างว่างเปล่า เห็นแล้วใจหาย พวกเขาน้ำท่วมถึงอกมาสองเดือนแล้ว ทำให้รู้สึกว่า ความช่วยเหลือที่ให้ไปมันน้อยนิดมากเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย ลำบากกันมากจริงๆ
พอหันมาเวลาจะติดตามข่าวสาร ก็ยังเจอน้ำลายท่วมจอ ท่วมบอร์ด ท่วมเว็บอีก เฮ้อ ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาทะเลาะกันนะ สถานการณ์เป็นแบบนี้ ที่จริงเราพยายามชิลนะ แต่รอบตัวเครียดๆ กันหมด ก็พาประสาทเสียไปเหมือนกัน ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีใจอ่านหนังสือ ไม่ค่อยมีอารมณ์เขียนบล็อกด้วย แต่กับเรื่องนี้อ่านจบแล้วมีอะไรอยากพูดถึงนิดหน่อย ก็สักนิดแล้วกัน
The Black Hawk - Joanna Bourne
คะแนน : 8
สามคำก่อน ปกเห่ยมาก!!! นั่นไม่ใช่เอเดรียนในใจเราเลยสักนิด
เล่มนี้คือชุด Spymaster เล่ม 4 ถึงจะผิดหวังจาก My Lord and Spymaster มา แต่ในเมื่อนี่เป็นเรื่องของเอเดรียนกับจัสตีน ที่เราถูกใจมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กใน The Forbidden Rose ยังไงก็คงต้องอ่านล่ะนะ กับการติดตามเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ยี่สิบกว่าปีของหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับหนุ่มชาวอังกฤษกับอดีตสายลับสาวสวยชาวฝรั่งเศส
เตือนสปอยล์
ถึงเราจะพอเดาออกว่า ชีวิตพระเอกนางเอกเรื่องนี้คงจะต้องผ่านอะไรเลวร้ายมาเยอะ โดยเฉพาะจัสตีน สภาพแวดล้อมจากเล่มก่อนก็ส่ออยู่แล้ว แต่เมื่อได้รับรู้เรื่องราวของเธอจริงๆ ในเล่มนี้ ตอนอ่านหน้านั้นก็ทำให้รู้ตัวว่า ตลอดเวลาที่รอเล่มนี้มา เรายังแอบหวังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจว่า เด็กโตในซ่องแต่รอดปากเหยี่ยวปากกาได้หมดอย่างดาวพระศุกร์นี่มันมีได้จริง แต่ถ้าแต่งเรื่องอย่างนั้นเราก็อาจจะหัวเราะความไม่สมจริงก็ได้นะ เฮ้อ ถอนหายใจทีนึง โลกไม่สวยทุกอย่าง ก็ต้องทำใจ แต่จุดนี้ไม่ทำให้เราชอบจัสตีนน้อยลงนะ ถ้าจะมีความรู้สึกอะไรพอกพูนขึ้นมา ก็เป็นแค่ความสงสารตัวละครเพิ่มมาเท่านั้น
ครึ่งเล่มแรกสนุกดีมาก เราชอบฉากที่เล่าย้อนความหลังสลับไปมากับปัจจุบัน ฉากรักครั้งแรกของเอเดรียนกับจัสตีน เขียนได้ดีมากจริงๆ แสดงพัฒนาการทางจิตใจของตัวละครได้ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดาย ที่พอจัสตีนโตเป็นสาวเต็มตัว กลับทำให้เรารู้สึกชอบเธอน้อยลง ช่วงที่ตัดสัมพันธ์ ถึงจะพอเข้าใจเหตุผล แต่เราไม่ชอบวิธีการ แล้วก็รู้สึกว่า นางเอกดึงดันดื้อด้านมากไป
พอถึงครึ่งเรื่องหลังกลับไม่สนุกเท่าช่วงแรก เพราะเมื่อผ่านมาถึงเหตุการณ์ปัจจุบันในเรื่อง ในหลายๆ ฉากที่จัสตีนทำและพูด ก็ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า นางเอกเรื่องนี้เป็นผู้หญิงกร้านโลกเกินไปแล้วสำหรับเรา เราเพิ่งเบื่อนางเอกเรื่อง Angel's Wolf (Nalini Singh) ที่นั่งเจ็บปวดฝังใจกับคนรักเก่ามาเป็นร้อยปี แต่พอมาเจอแบบจัสตีนที่ดูชาด้านไม่ค่อยแสดงอาการเจ็บปวดรวดร้าวอะไรมากนักตลอดเวลาที่ต้องแยกจากเอเดรียน เราก็ขัดใจอีก (จู้จี้จังแฮะ) จะเทียบว่าไงดี เธอเป็นฟักทองที่มีเปลือกหนา แต่ข้างในเนื้อนิ่มช้ำง่าย เหมือนคนที่ข้างในบอบบางเลยต้องสร้างเปลือกหนาไว้คุ้มครอง หรือเป็นหัวมันที่เปลือกบ๊างบาง แต่ข้างในแข็งโป๊ก หรือประสบการณ์ชีวิตของจัสตีนสูบความชุ่มชื่นออกจากตัวเธอหมด กลายเป็นแตงกวาที่เปลือกแข็ง แต่ข้างในแห้งหมดไม่มีน้ำ กินไม่ไหวแล้ว (อาจจะอุปมาตลกๆ หน่อย เพราะวันนี้ไปนั่งหั่นผักมา แบบเก้ๆ กังๆ สุดขีด เพราะตัวเองยังไม่เคยทำให้ตัวเองกินเลยนะเนี่ย)
เพราะเนื้อเรื่องช่วงหลังมันหันไปสนใจกับงานสายลับที่ต้องสืบหาว่าใครอยู่เบื้องหลังการลอบทำร้ายจัสตีนและจ้องป้ายสีให้เอเดรียน ส่วนของความเป็นโรแมนซ์เลยดูเหมือนไม่ได้พัฒนาเต็มที่ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในปัจจุบัน มันขาดความหวานความซึ้ง อย่างฉากรักครั้งที่ทั้งคู่กลับมาดีกัน มันน่าจะสร้างความประทับใจได้มากกว่านี้นะ แม้แต่คำว่า I love you ของจัสตีน ก็จืดชืดธรรมดามากเลย อีกอย่างเราไม่ชอบเวลาที่จัสตีนชอบพูดตอกย้ำอดีตตัวเองกับเอเดรียน ไม่รู้คิดมากไปมั้ย แต่เหมือนเธอพูดเพื่อลองใจ ให้เขารู้สึกเจ็บร้อนแทน เราว่า จัสตีนน่าจะรู้ตัวว่า ที่เธอทำที่เธอเป็น เกิดได้ยังไง ทำเพื่ออะไร ถ้ารู้เหตุผลของตัวเองในใจ ก็ไม่เห็นจะต้องรู้สึกดูถูกตัวเอง แต่เพราะเป็นอย่างนี้ ความรู้สึกชอบนางเอกเลยไม่พีค โดยเฉพาะถ้าเทียบกับเรื่อง The Spymaster's Lady ถ้าลองให้คะแนนความชอบตัวละครดูคงได้ประมาณนี้ เกรย์ 8 + แอนนีค 10, เอเดรียน 8.5 + จัสตีน 8
อาจจะดูเหมือนติเยอะ แต่จริงๆ เราชอบเรื่องนี้นะ เพียงแต่คิดว่า มันน่าจะดีกว่านี้ได้ หรือไม่ก็เพราะมันมืดมนไปสำหรับเรา ถึงไม่ชอบเล่มนี้มากกว่านี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น