วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Somewhere in Time - Richard Matheson

คะแนน : 8

เรารู้จักชื่อ Somewhere in Time ครั้งแรก ตอนที่อ่านนิยายเรื่อง "จากฝัน...สู่นิรันดร" แล้วมีคนบอกว่าพล็อตเรื่องเหมือนหนังเรื่องนี้ ก็จำชื่อไว้แต่ตอนนั้นยังไม่มีโอกาสได้ดู พอในที่สุดได้ดูที่เอามาฉายทางโทรทัศน์ ก็ปลื้มเรื่องนี้มาก ต้องหาแผ่นมาเก็บ เป็นหนังรักสุดซึ้งที่น่าประทับใจที่สุดเรื่องหนึ่งเลย โดยเฉพาะฉากคลาสสิคตอนถ่ายรูปที่ใครๆ ก็ชอบพูดถึง นางเอก เจน ซีมัวร์ นี่แบบหยาดฟ้ามาดิน และดนตรีประกอบติดหูเหลือเกิน

เรื่องนี้มาจากนิยายที่แต่งโดย Richard Matheson ตอนพิมพ์ครั้งแรกใช้ชื่อ Bid Time Return แต่ฉบับพิมพ์ครั้งหลังๆ ก็เห็นใช้ชื่อตามหนังหมดแล้ว พออ่านจบแล้ว เรารู้สึกว่าชอบแบบหนังมากกว่า มีไม่บ่อยนะที่คิดแบบนี้ ทุกทีถ้าชอบหนังแล้วมาอ่านหนังสือจะยิ่งชอบ ถ้าอ่านหนังสือก่อนดูหนังก็จะคิดว่า หนังสู้ไม่ได้ แต่ยังไงก็อยากจะบันทึกความรู้สึกตอนอ่านเรื่องนี้เก็บไว้สักหน่อย

คำเตือน : สปอยล์แบบหมดเปลือก



ในหนังสือมีหลายจุดที่ต่างจากหนัง ฉากเปิดเรื่องไม่มีตอนที่นางเอกในวัยชรานำนาฬิกามามอบให้พระเอก ประเด็นนี้ Richard Matheson ที่รับหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์เอง เป็นคนคิดเพิ่มขึ้นมา พอนำเสนอไอเดียไปแล้ว เขาก็รู้ตัวนะว่า ฉากนี้มันจะทำให้เกิดลูปวนว่านาฬิกามาจากไหน แต่ทีมงานสร้างชอบมาก บอกให้คงไว้ ในนิยาย พระเอก ริชาร์ด คอลลิเออร์ เป็นเนื้องอกในสมอง กำลังจะตาย ก็เลยออกเดินทางขับรถตระเวนไปเรื่อยๆ หาสถานที่ใช้ชีวิตช่วงสุดท้าย จนมาเจอโรงแรมหนึ่งที่เขาเกิดความรู้สึกดึงดูดจนต้องเข้ามาพัก

โรงแรมในนิยายคือ Hotel del Coronado ในหนังคือ Grand Hotel (Mackinac Island)


ในหอประวัติของโรงแรม เขาก็ได้พบภาพถ่ายของหญิงสาวผู้หนึ่ง ฉากนี้เขียนได้ฟินสุดๆ เลย ตอนอ่านรู้สึกเหมือนเส้นเลือดสูบฉีดวาบไปทั้งตัว เชื่อในพลังดึงดูดรักแรกพบของพระเอกที่มีต่อคนในภาพถ่ายได้จริงๆ คงเป็นเพราะดูหนังมาก่อนเลยรู้แล้วว่า ผลลงเอยมันเป็นยังไง ความรู้สึกที่แล่นไปทั้งตัวมันถึง bittersweet อย่างนี้ ว้าว ต้องลุกมาตั้งสติ ประทับใจว่า ตัวหนังสือทำให้เกิดอาการทางกายอย่างนี้ได้ด้วย มาเจาะอ่านทีละคำทีละประโยคตอนนี้อีกที ก็ไม่มีคำไหนพิเศษอะไรนี่นา อาจจะเพราะนึกภาพตามฉากในหนังมั้ง แต่แค่ตอนนี้ตอนเดียวที่ทำให้รู้สึกอย่างนี้ได้ก็ถือว่าคุ้มกับการอ่านเล่มนี้แล้ว (เวิ่นเว้อไปมั้ยเรา เวลาเขียนอะไรแบบนี้กลัวใครมาอ่านแล้วว่าเยอะเกิน แต่มันก็เป็นความรู้สึกจริงตอนอ่านนี่นา อืมม์ ปิดบล็อกเป็น Private ดีมั้ยเนี่ย)

ภาพถ่ายนางเอกในเรื่อง ผู้แต่งได้แรงบันดาลใจมาจากภาพถ่ายของนักแสดงละครตัวจริงยุคนั้น ชื่อ Maude Adams 

จากนั้น ริชาร์ดก็เริ่มค้นหาข้อมูลของหญิงสาวสวยในภาพ จนรู้ว่าเธอคือ เอลีส แมคเคนน่า ดาราละครเวทีที่เสียชีวิตไปแล้ว เขาจำขึ้นมาได้ว่า เขาเคยพบเธอในวัย 80 กว่า เมื่อตอนที่เขายังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และค้นประวัติต่อไปจนรู้ว่า เธอเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในคืนที่ทั้งสองได้พบกันนั่นเอง ทิ้งคำพูดก่อนตายไว้ว่า "And love, most sweet" ช่วงนี้ก็อ่านสนุกนะ ทำให้เราได้รู้รายละเอียดชีวิตของนางเอกมากขึ้นกว่าในหนัง โดยเฉพาะได้รู้ว่าเอลีสใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร หลังจากที่ได้มาพักที่โรงแรมนี้ จากแต่ก่อนที่ดูหนังแล้วเรารู้สึกสงสารนางเอกมากกว่าพระเอก ที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการสูญเสียนานมาก พอมาอ่านนิยายแล้วกลับทำให้เรารู้สึกว่า พระเอกน่าสงสารกว่าที่มีเวลาได้รักนางเอกรวมๆ แค่ไม่กี่วัน ยังไงถึงนางเอกจะเศร้าเสียใจนานกว่า แต่ก็ได้ใช้ช่วงเวลาที่เหลือทั้งชีวิตรักพระเอกนะ และวันสุดท้ายนั่น เธอก็คงได้สมหวังในการพบชายที่รักอีกครั้ง และจากไปอย่างสงบ

ริชาร์ดหาทางสะกดจิตตัวเองจนย้อนเวลากลับมาอดีตได้สำเร็จ ตอนไปพบกันที่ชายหาดก็เหมือนในหนังเลย แต่เราชอบเหตุผลของนางเอกในนิยายมากกว่านะ รอพระเอกจากคำทำนายของยิปซี ดูโรแมนติกกว่าในหนังหน่อย ทำให้รู้สึกว่า ทั้งคู่เป็นเนื้อคู่กัน แต่อยู่กันคนละช่วงเวลา จนพระเอกต้องพยายามย้อนเวลามาเพื่อนางเอกจริงๆ ในหนังสือแอบคิดว่า พระเอกพร่ำเพ้อเยอะไปหน่อย ความที่พระเอกดูมีด้านที่อ่อนแอในตัวอยู่ บุคลิกเลยดูต่างจากในหนังที่ซูเปอร์แมน คริสโตเฟอร์ รีฟส์ เล่น (ในนิยาย พระเอกหน้าเหมือนพอล นิวแมน) แต่เราชอบบทของนางเอกในนิยายมากๆ เลย เป็นผู้หญิงมั่นคงในความรักสุดๆ พวกประโยคที่เธอพูดก็โดนหลายที

"Women like myself, who are constitutionally incapable of being devoted to more than one man in a lifetime, are either the happiest of women or the most miserable."

"From this day forth, I am a true believer in miracles."

เหตุการณ์หลักๆ หลังจากนี้ก็เหมือนในหนังเกือบหมด แต่ก็มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในนิยายที่เราชอบ แบบอ่านตอนนางเอกชายตา หรือบางทีเขินอาย นี่ต้องอมยิ้ม แต่ผิดหวังสุดๆ ก็ตอนไม่มีฉากถ่ายรูปนั่นแหละ เราก็อุตส่าห์อ่านไปลุ้นไปว่า ฉากนั้นจะทำให้เราสปาร์กอีกทีได้รึเปล่า ดันไม่มีในนิยายแฮะ พอถึงฉากเลิฟซีนท้ายเรื่อง เอ่อ แอบเขินแทน ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้ (มันไม่ได้มากไปกว่านิยายโรแมนซ์หรอก แต่พอเรื่องคนละแนว ความรู้สึกตอนอ่านก็จะอยู่คนละโหมด) เป็นฉากรักที่สวยงามนะ แต่ไม่กล้านึกหน้านักแสดงตามในหนังเลย เดี๋ยวจิ้นได้ชัดไป เกรงใจตัวจริง

แต่ตอนจบในหนังดีกว่าในหนังสือเยอะมาก ในนิยายพระเอกถูกดึงกลับยุคปัจจุบันตอนที่นางเอกยังนอนหลับอยู่เลย อ้าว งี้ตื่นมาก็งงสิว่าพระเอกหายไปไหน เกิดเข้าใจผิดว่าถูกทิ้งล่ะแย่เลย แล้วก็จบห้วนๆ พระเอกนอนตายเพราะเนื้องอกในสมอง ที่หมอบอกว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เห็นภาพหลอน ไม่เอานะ ต้องจบแบบในหนังสิ ยังไงต้องตอบแทนแฟนๆ ด้วยการยืนยันว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง จะได้รู้สึกตราตรึงในรักแท้ข้ามกาลเวลาของคู่นี้


สรุปว่า ดูหนังซึ้งกว่า อ่านหนังสือก็ไม่เสียหลาย ได้รายละเอียดมาเพิ่มพอควร แต่ถ้าคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ ที่หยิบขึ้นมาคงเป็นแผ่น DVD ล่ะ ไม่ใช่หนังสือ

4 ความคิดเห็น:

Chihaya กล่าวว่า...

ไม่เคยอ่านหนังสือ แต่ปลื้มกับหนังค่ะ เจน ซีมัวร์ กับ คริสโตเฟอร์ รีฟ สวยหล่อชวนฝันจริงๆ ^^

Nas กล่าวว่า...

ชอบหน้า คริสโตเฟอร์ รีฟส์ ตอนเป็นซูเปอร์แมนมากกว่าค่ะ แต่เจน ซีมัวร์ เรื่องนี้สวยจริงๆ ได้ดูอีกเรื่องที่เธอเล่นคือ The Scarlet Pimpernel ที่ UBC เคยเอามาฉาย จำแทบไม่ได้ค่ะ ไม่ชอบลุคนั้นเลย

Chihaya กล่าวว่า...

เราชอบเจน ซีมัวร์ ทั้งตอนเล่นเรื่องนี้และ TSP เลยค่ะ รู้สึกว่าเธอเป็นคนเครื่องหน้าพริ้งเพราคมคายดีจริงๆ คริสโตเฟอร์ รีฟ ตอนเล่นซูเปอร์แมนคือที่สุดของที่สุดแล้ว XD

ลืมไปจะบอกว่าประโยคของนางเอกที่คุณ nas ยกมา ทำให้นึกถึงเรื่อง ข้างหลังภาพ เลยค่ะ

Nas กล่าวว่า...

ฮ่าฮ่่า หน้ายังเป๊ะอยู่ค่ะ สงสัยจะไม่ชอบที่หัวโต ^^

เออ จริงด้วยค่ะ คล้ายที่คุณหญิงกีรติพูด

แสดงความคิดเห็น