วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

The Light Between Oceans - M. L. Stedman

คะแนน : 8
ช่วงนี้ทำไมไม่ค่อยมีเรื่องที่นึกอยากอ่านไม่รู้ บางทีจะหานิยายสักเล่มเสียเวลานั่งเช็ครีวิวไปเยอะซะจนคิดว่าถ้าไม่คิดมากเอามาอ่านเลยก็อ่านจบไปแล้วล่ะ ใช้เวลาน้อยกว่าการพยายามหาข้อมูลเพื่อตัดสินใจซะอีก ชักจะรำคาญตัวเองเล่มนี้เราเลยไม่คิดเยอะเห็นเรื่องย่อพอน่าสนใจดาวดีพอควรก็ลองเลย แล้วก็คุ้ม

ทอม เชอร์บอร์น กลับมาบ้านเกิดออสเตรเลียหลังจากไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้จะกลับมาพร้อมเหรียญกล้าหาญแต่เขาก็ไม่มีความสงบใจ จึงไปขอรับงานเป็นผู้ดูแลประภาคารบนเกาะเล็กนอกชายฝั่ง เขาพบรักและแต่งงานกับหญิงสาวชื่ออิซาเบล และพาไปอยู่ด้วยกันบนเกาะเพียงสองคน ผ่านไปหลายปีหลังจากการสูญเสียลูกในท้องหลายครั้ง วันหนึ่งก็มีเรือลำหนึ่งลอยมาติดเกาะ บนเรือมีศพชายคนหนึ่งพร้อมเด็กทารกหนึ่งคน ทอมและอิซาเบลตัดสินใจเลี้ยงเด็กคนนั้นขึ้นมาในฐานะลูกสาวของตนเอง ผลที่ตามมาคือการต่อสู้ระหว่างความรักในครอบครัวกับสำนึกเรื่องความถูกต้องในจิตใจ

เนื้อเรื่องของนิยายเล่มนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ประเด็นหลักของเล่มนี้เป็นสิ่งที่เกิดในจิตใจของตัวละครมากกว่า เป็นความท้าทายมโนธรรม ถ้าต้องอยู่ระหว่างการกระทำที่จะทำร้ายครอบครัวตัวเองไปทั้งชีวิต กับการมีความสุขที่เกิดบนความทุกข์ของผู้อื่นต่อไป เวลาอ่านแล้วจะเกิดคำถามว่าถ้าสมมุติเราเจอแบบนั้นเราจะทำยังไง คงจะลำบากใจน่าดู แต่โชคดีในชีวิตจริงคงไม่เจอเรื่องแบบนั้นกันง่ายๆ หรอก แต่มันก็เป็นการทดสอบจิตใจคนอ่านเหมือนกันนะ บอกไม่ได้หรอกว่าใครถูกใครผิด บอกได้แต่ว่าเข้าใจและเห็นใจตัวละครในเรื่องทุกคน

เราชอบสำนวนการเขียนของนิยายเล่มนี้ อย่างประโยคที่ว่า "เมื่อภรรยาสูญเสียสามี จะมีศัพท์ใหม่มาใช้แทนสถานะ เธอกลายเป็นแม่ม่าย เมื่อสามีเสียภรรยาเขากลายเป็นพ่อม่าย แต่ถ้าพ่อแม่สูญเสียลูก ไม่มีคำพิเศษมาช่วยตีตราความทุกข์โศกนั้นเลย" หรือว่า "ให้อภัยและลืมมันไป ไม่ใช่ง่าย แต่เหนื่อยน้อยกว่ามาก การให้อภัยนั้นทำครั้งเดียว แต่ถ้าจะคับแค้นใจ ต้องทำตลอดวันตลอดไป" ผู้แต่งบรรยายสภาพความคิดจิตใจตัวละครได้ดีมากๆ ฉากที่อิซาเบลวิ่งออกไปนอกบ้านหลังเพิ่งเสียลูกไปนี่อ่านแล้วหัวใจขาดเป็นริ้วๆ เลย จดหมายที่ทอมเขียนถึงอิซาเบลจากในคุกก็ทำเราน้ำตาร่วง

ถึงแม้จะมีความในใจตัวละครเยอะ แต่ก็ยังสามารถรักษาระดับความเร็วของการดำเนินเรื่องได้ดี ไม่มีตอนที่รู้สึกว่าเอื่อย บอกเล่าเนื้อเรื่องได้น่าสนใจ มีเหตุการณ์ที่ค่อยๆ เกิดขึ้นต่อๆ มาเป็นลูกโซ่ ดึงดูดให้อยากรู้ความเป็นไปของตัวละครได้ตลอดเรื่อง ตอนเล่าจากมุมอิซาเบลบางทีเราก็เข้าใจที่เธอโกรธแค้นทอม แต่พอเห็นฮันน่าห์เราก็โคตรสงสารเลย เข้าใจทอมเหมือนกันแล้วก็คิดว่าอิซาเบลเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมคืนลูก ตอนจบเศร้าไปหน่อยแต่ทำไงได้  สถานการณ์แบบนั้นคงยากที่ทุกคนจะทำใจให้มีความสุขหมดทุกคนได้

อ่านจบแล้วเรารู้สึกว่ามันเศร้า แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากให้เรื่องนี้จบดีกว่านี้ยังไง ไม่รู้จะเปลี่ยนเหตุการณ์ตรงไหนในเรื่อง สุดท้ายต้องทำใจแล้วก็ยอมรับกับการกระทำ เสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วมันไม่มีประโยชน์ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่ คนเราคงมองภาพใหญ่ทั้งหมดของชีวิตตนเองไม่ออก เราไม่รู้หรอกว่าการกระทำแต่ละครั้งอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปยังไง อะไรจะดีกับชีวิตเราโดยรวมมากกว่า ได้แค่พยายามทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด ที่เหลือก็แล้วแต่เบื้องบน ตัวเอกในเรื่องคงคิดอย่างนี้

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

The Twilight Saga: Breaking Dawn - Part 2

คะแนน : 8 เตือนสปอยล์ 

ขอพูดถึงหนังเรื่องนี้ตามกระแสหน่อยเหอะ ไปดูภาคนี้เพราะอยากรู้ว่าที่บอกว่าไม่เหมือนหนังสือนี่เป็นยังไงเหรอ โดยเฉพาะฉากเผชิญหน้ากับพวกโวลตูรีตอนสุดท้าย เราก็สงสัยมาตั้งนานแล้วล่ะว่าในหนังจะสร้างยังไง เพราะในนิยายนี่มันมีแค่การต่อสู้ด้วยพลังจิตนิดหน่อยเอง ถ้าสร้างหนังตามนั้นมันก็เหมือนมามองหน้ากันเฉยๆ แล้วก็ปิดวิกเลิกแยกย้ายกลับ คนดูคงจะรู้สึกกร่อยน่าดูเลยนะ

แต่หนังทำฉากนี้ออกมาได้ดีมากเลยแฮะ ดูสนุกดี ตอนเริ่มแอกชั่นเราก็พยักหน้า ต้องอย่างงี้สิมีออกกำลังกันบ้าง แต่ตอนคาร์ไลส์หัวหลุดคนแรก เราก็เฮ้ยๆ ในใจ แบบนี้ไม่ค่อยดีนะ สู้ไปอีก แจสเปอร์หัวหลุดอีกคน แล้วพวกหมาป่าร่วงไปอีก ชักไม่ไหว เปลี่ยนเรื่องเยอะไปรึเปล่า พอเฉลยเรื่อง ฮือกันทั้งโรงเลย ประทับใจเหมือนกันนะ ขำที่ตัวเองเงิบแล้วก็โล่งใจด้วยที่ไม่มีใครตาย สุดท้ายก็กลับมาจบเหมือนในหนังสือ

เราไปดูกับคนที่ไม่เคยอ่านไม่เคยดูทไวไลท์เลยสักภาคก็ดูสนุกนะ แต่เราเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้ฟังก่อนแล้ว แล้วพอออกมาก็ต้องช่วยชี้บางจุดให้รู้เรื่องเพิ่มอีกหน่อย อย่างหนังสือที่อลิซเขียนข้อความทิ้งไว้ให้เบลล่าคือ The Merchant of Venice นี่มันมีความหมายนะ เพราะฉากจบนี่ก็เป็นไปตามเจตนาคนแต่งที่เอาการสู้ด้วยคารมมาจากเรื่องเวนิสวาณิช  ที่นางเอกแถจนชนะได้ในศาล

เรามารู้ทีหลังจากตอนอ่านจบทั้ง 4 เล่มแล้วว่าทไวไลท์ทุกภาคมีเนื้อเรื่องบางส่วนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมคลาสสิค ภาคแรกคือ Pride and Prejudice เราหัวเราะเลย นั่งจินตนาการเอ็ดเวิร์ดเป็นมิสเตอร์ดาร์ซีแล้วขำ ภาคสองคือ Romeo and Juliet เข้าใจผิดว่าตายก็เลยจะฆ่าตัวตายตาม ส่วนภาคสามคือ Wuthering Heights ใน Eclipse เบลล่าก็เลยสองใจ แต่เราแอบเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของเอ็ดเวิร์ดที่พูดในเรื่องนะ เรื่อง Wuthering Heights นี่มัน hate story มากกว่า love story ทั้งแคธีกับฮีธคลิฟนี่ไม่มีดีเลย เราชอบเรื่องของรุ่นลูกมากกว่า (เอ็ดเวิร์ดกับเบลล่าชอบคุยเรื่องวรรณกรรมใช่ป่ะ อนากับคริสเตียน Fifty Shades ก็ไม่น้อยหน้า คู่นั้นสนทนากันถึงเรื่องเทสส์ ผู้บริสุทธิ์) ^_^

สรุปว่า BD2 เป็นหนังที่ชอบมากที่สุดในบรรดาเรื่องที่ดูไปช่วงนี้เลย

Argo = 8 ดูสนุกแล้วก็ชอบ แต่เราคงจะผิดหวังน่าดูถ้าเรื่องนี้ได้ออสการ์
Looper = 7.5
ยักษ์ = 7
The Perks of Being a Wallflower = 7.5 หนังก็ดีนะ แต่หม่นไปนิดสำหรับเรา แล้วเราคงติดภาพเก่านักแสดงมากไป ตอนดูในใจมันคิดว่า เฮอร์ไมโอนี่จูบกับเพอร์ซีย์ แจ็คสัน
Skyfall = 8
House at the End of The Street = 6.5 (แต่ถ้านึกว่าไปดูเพราะนางเอก = 7)

เรื่องที่อยากดู
The Master
Cloud Atlas
The Impossible
Life of Pi
Silver Linings Playbook
Zero Dark Thirty
Les Miserables
Lincoln


วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

The Mark of Athena (Heroes of Olympus #3) - Rick Riordan

คะแนน : 8.5

Heroes of Olympus เล่มใหม่ เล่มที่แล้วว่าสนุกมากแล้วนะ เล่มนี้สนุกขึ้นได้อีก เวลาอ่านเรื่องแฟนตาซีที่ออกโทนใสๆ นี่มันสบายใจดีจัง ผจญภัย มิตรภาพ ความรัก กอบกู้โลก เล่มนี้ก็ทั้งมันส์ทั้งขำตามสไตล์ของเรื่องนี้ นี่ถ้าอัดเสียงตัวเองตอนอ่านเรื่องนี้แล้วเอามาฟังคงขำตัวเองเหมือนกันนะ เดี๋ยวก็ คึคึกคึก วะฮะฮ่า ทั้งเล่มล่ะ

สนุกตั้งแต่เริ่ม เล่มที่แล้วค้างไว้ที่เรืออาร์โกทูมาถึงแคมป์จูปิเตอร์ ในที่สุดตัวละครฝั่งกรีกกับโรมันได้มาเจอกันแล้วพร้อมหน้า 7 คนตามคำพยากรณ์ เจอหน้ากันไม่ทันไรก็มีเหตุให้ต้องเร่งออกเดินทางไปกรุงโรมอย่างกะทันหัน เพราะนี่เป็นเล่ม 3 แล้ว รู้จักความเป็นมาตัวละครเรียบร้อยไม่ต้องเสียเวลาปูเรื่อง มาเล่มนี้ก็ได้เห็นปฏิสัมพันธ์ของตัวละคร การรวมพลของเหล่าฮีโร่ ตอนอ่านเล่มนี้ความรู้สึกเหมือนตอนดู The Avengers เลย ชอบมากๆ ทั้งๆ ที่เหมือนตัวละครจะเยอะ และต้องสลับหมุนเวียนการคุยกันไป-มา แต่ชอบทุกคน ชอบทุกฉากที่พวกนี้คุยกัน

สาวๆ ทั้งสามคนดูเข้ากันได้ดีมาก ชอบตอนที่เฮเซลมีเศษคุกกี้เปื้อนคาง แล้วแอนนาเบ็ธนึกชอบที่เฮเซลดูจะไม่รู้ตัวและไม่แคร์ กับตอนที่เจสันอึน แล้วแอนนาเบ็ธกับเฮเซลส่งสายตาเห็นใจให้ไพเพอร์ ส่วนพวกผู้ชาย ลีโอกับแฟรงค์มีปีนเกลียวกันเล็กน้อยแต่อย่างฮา เพอร์ซีย์เหมือนโทนี่ เจสันเหมือนแคป แต่ก็ดูไปกันได้ดี ฉากดวลกันระหว่างเพอร์ซีย์กับเจสันมันส์มาก (พูดแค่นี้คงไม่สปอยล์ใช่ป่าว เพราะมันอยู่บนหน้าปก)

ตัวละครภาคนี้เก่งทุกคน และมีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวช่วยในการผจญภัยได้เยอะ แต่เล่มนี้ชื่อตอนว่า The Mark of Athena เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าแอนนาเบ็ธต้องเด่นหน่อย หลังจากที่สองเล่มก่อนแทบไม่มีบท การพบหน้ากันอีกครั้งของเพอร์ซีย์กับแอนนาเบ็ธนี่อ่านแล้วต้องยิ้มเลย สองคนนี้น่ารักมากทั้งเล่ม ความรักความเข้าใจความผูกพันพัฒนาขึ้น นายสมองสาหร่ายนี่ก็พูดซึ้งๆ เป็นนะ หวานกำลังดียังไม่เลี่ยน

เล่มนี้พวกตัวละครจากตำนานกรีก-โรมันมาปรากฏหลายตัว ฮาทุกตัว นาร์ซิสซัส เอคโค่ เฮอร์คิวลิส ฯลฯ พวกเทพกับเทพีไม่ค่อยกล่าวถึง แต่ก็มาขโมยซีนเหมือนกัน เราชอบความฉลาดในการเล่าเรื่องของ Rick Riordan ที่เล่นกับบุคลิกที่แปลกแยกของเทพสองฝั่ง แต่อโฟรไดตี/วีนัสกลับมีบุคลิกเหมือนเดิม เพราะความงามเป็นสากล ส่วนพวกตัวร้าย บอสของเล่มนี้ตลกดีอ่ะ บอกชื่อคงไม่ดีเพราะอาจจะสปอยล์มากไป วิธีการปราบก็ฉลาดมาก อ่านสนุกเพลินจนมาถึงบทสุดท้าย โอ๊ย ทิ้งท้ายให้ไปลุ้นเล่มหน้าอีกแล้ว คงสนุกมากแน่ๆ เลย ก็ต้องรอลุ้นกันไปอีกปีเต็มๆ

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

The Casual Vacancy - J. K. Rowling

คะแนน : 6.5
เพิ่งวางตะกี๊ความรู้สึกยังดิบๆ อยู่เลย

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

Delusion in Death - J. D. Robb

คะแนน : 7.5 นิยายชุด In Death เล่มที่ 35 เมื่อจู่ๆ คนเกือบร้อยในบาร์แห่งหนึ่งลุกขึ้นมาฆ่ากันเอง ผู้รอดชีวิตให้การว่า อยู่ดีๆ ก็ปวดหัวขึ้นมา เห็นภาพหลอนว่าจะถูกทำร้าย เป็นหน้าที่ของอีฟ ดัลลัส อีกครั้งที่ต้องมารับผิดชอบคลี่คลายคดีสังหารหมู่ครั้งนี้ 

เปิดเรื่องมาได้ดีน่าสนใจ ครึ่งเล่มแรกสนุกดีมาก ปูให้เห็นภาพรวมของคดี แต่พอกลางเล่มที่รู้ตัวผู้ก่อเหตุแล้วเรื่องก็จะเนือยลง เล่มนี้ไม่ค่อยมีฉากแอกชั่นเลยไม่ลุ้นเท่าไหร่ มีแค่รวบรวมข้อมูล สัมภาษณ์พยาน จัดฉากล่อผู้ร้าย แล้วค่อยมีฉากไคลแม็กซ์ช่วงใกล้จบอีกที โดยรวมเรื่องชุดนี้ก็ยังปึ้กอยู่ จริงๆ ก็ชอบเกือบๆ 8 นะ เพียงแต่เล่มนี้ไม่มีฉากที่ประทับใจเป็นพิเศษเท่านั้นเอง

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

Archangel's Storm (Guild Hunter #5) - Nalini Singh

คะแนน : 7.5 เราว่าการเขียนบล็อกนี่มันเหมือนการออกกำลังกายนะคะ ถ้าทำเป็นกิจวัตรมันก็จะชินทำไปเรื่อยๆ แต่พอไม่ยอมทำเป็นประจำ เริ่มข้าม เริ่มทิ้งช่วง มันก็จะยิ่งขี้เกียจสันหลังยืด ทีนี้ก็ยาวเลย จะกลับมาทำอีกก็อาจจะเข็นตัวเองไม่ขึ้นแล้ว

Guild Hunter เล่มใหม่ เป็นเรื่องของเจสัน ที่เป็นหัวหน้าสายลับของราฟาเอล เขาต้องเดินทางไปยังเขตของเนฮา มหาเทพผู้ปกครองอินเดีย เนื่องจากสวามีของนางถูกใครฆ่าไม่รู้ ราฟาเอลเลยส่งเจสันไปช่วยสืบ แต่มีข้อแม้ว่าเขาต้องยอมทำปฏิญาณโลหิตกับเจ้าหญิงมหิยาว่าจะไม่ทรยศ แล้วเจสันกับมหิยาก็ร่วมมือกันเพื่อรวบรวมข้อมูลเพื่อค้นหาเบื้องหลังของเหตุการณ์ครั้งนี้

พล็อตเรื่องเหมือนจะเป็นการสืบสวน แต่มันไม่ใช่น่ะ มีตาย 3-4 ศพ แล้วก็เฉลยตูม ไม่ได้ลุ้นอะไร เนื้อเรื่องหลักเล่มนี้มันเป็นภูมิหลังกับการเมืองของพวกเทพๆ ของโลกในเรื่อง ซึ่งเราก็ยังไม่ค่อยอิน เล่มนี้เลยอ่านแบบเฉยๆ ไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ได้น่าเบื่อนะ แต่ชอบเล่มที่แล้วมากกว่า

เรื่องรักของพระเอกนางเอกเล่มนี้ก็ไม่ค่อยมีประเด็นขัดแย้งอะไรเท่าไหร่ แค่ต่างคนต่างมีอดีตที่ต้องเติบโตมาแบบโดดเดี่ยว บุคลิกของเจสันกับมหิยาโอเค แต่เราว่าก็ยังไม่เด่น ซึ่งมันอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยชอบเรื่องชุดนี้เท่าไหร่ เลยไม่จำตัวละคร เจสันเราก็เพิ่งมาจำได้เอาเล่มนี้ ตอนนี้ไล่ชื่อแก๊งเจ็ดคนของราฟาเอลได้ 5 คนแล้ว แต่อีก 2 คนยังนึกไม่ออกเลย


วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

(=_=) Zzzz

จนสิ้นเดือนแล้ว ก็ยังไม่หายยุ่งยังไม่หายขี้เกียจ แปะรูปไว้ก่อนแล้วกัน

 

คะแนน : 7.5



คะแนน : 8



คะแนน : 8



คะแนน : 7

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Artemis Fowl and The Last Guardian - Eoin Colfer

คะแนน : 8.5 ไฟกระชากทำอุปกรณ์เสีย เน็ตมือถือมันง่อยมาก 3g ก็ยังไม่มีใช้ เสียอารมณ์จนพาลไม่อยากเขียนเลย สั้นๆ แล้วกัน อาร์ทิมิส ฟาวล์ #8 เล่มอวสาน (มั้ง) ออกมาแล้ว ตามอ่านกันมาเกินสิบปี จบลงแล้วในเล่มนี้ สนุกมากๆ

สปอยล์ถึงฉากจบ เฉพาะคนที่อ่านแล้วมาแชร์ความรู้สึกกันเท่านั้นนะ

สนุกตั้งแต่เริ่ม แอกชั่นลุ้นทั้งเล่ม ไม่มีเนื้อเรื่องช่วงอืดเลย บอสก็ยังเป็นโอปอลจอมแสบตามเคย เล่มนี้ยัยนี่โหดสุดๆ ขนาดตัวเองยังทำได้ลง จินตนาการไซไฟ+แฟนตาซีของเล่มนี้ก็น่าสนใจ เนื้อเรื่องตอนท้ายยอดเยี่ยมมาก ปรกติเรื่องชุดนี้ ความชอบของเราจะอยู่ในระดับ 8 มาตลอดเกือบทุกเล่ม แต่เล่มนี้บวกพิเศษให้เพราะ 3 บทสุดท้ายนั่นเลย เป็นฉากไคลแม็กซ์ที่ยิ่งใหญ่อลังการมาก ตอนที่อาร์ทิมิสตาย ทั้งที่เห็นตายกันต่อหน้าต่อตา มีศพให้ฝัง แต่เราก็แค่เฮ้ยในใจนิดหน่อย แต่ไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องนี้จะจบแบบพระเอกตาย ไม่งั้นแฟนๆ โวยวายกันทั่วโลกแน่ ยังไงก็ต้องรอด และในที่สุดก็หาทางออกได้ดีแสดงถึงมันสมองอัจฉริยะของอาร์ทิมิส

ขอเพ้อเรื่องนึงเถอะ อาร์ทิมิสกับฮอลลี่ ความจริงเราก็ไม่ได้อยากให้มีความรักในนิยายกันทุกเรื่องนะ เล่มแรกๆ ของชุดนี้ตอนที่อาร์ทิมิสยังเป็นเด็ก เราไม่สนใจประเด็นนี้เลย ไม่เห็นจำเป็นต้องมีนางเอก ถ้าจะมีเราก็ไม่คิดถึงฮอลลี่ เพราะคนละเผ่าพันธุ์ แล้วฮอลลี่ก็อายุร้อยกว่า คนละรุ่นกันเลย แต่เพราะในเล่ม 6 ตอน The Time Paradox นั่นล่ะ ที่อาร์ทิมิสจูบกับฮอลลี่ มันก็เหมือนคนเขียนเพาะเมล็ดพันธุ์ทิ้งไว้ให้เราคิด พอเล่มที่แล้วปิดประเด็นไปเราก็หยุดเพ้อ แต่มาเล่มนี้อาร์ตี้กับฮอลลี่ก็ทำซึ้งกันเหลือเกิน ต่างฝ่ายต่างจะยอมเป็นผู้เสียสละ มุ่งมั่นห่วงใยกันขนาดนั้น จะไม่ให้จิ้นยังไงไหว แต่คนเขียนก็ย้ำจัง เพื่อนคนสำคัญของฉัน คำก็เพื่อน สองคำก็เพื่อน โธ่ อย่าขัดคอสิ ถ้าไม่อยากให้คิดไกล ก็อย่าแต่งให้สองคนนี้เขานึกถึงกันเยอะนัก เราว่าถ้าดูเฉพาะบุคลิกนิสัยใจคอ อาร์ทิมิสกับฮอลลี่โคตรจะสมกันเลย เติมเต็มกันได้พอดี แต่มนุษย์กับแฟรี่มันก็ยากน่ะนะ อ้ะ เพื่อนก็เพื่อน

เล่มนี้คนแต่งบอกว่าจะเป็นเล่มสุดท้าย ไม่เขียนต่อแล้ว เราคิดว่าฉากอวสานของเรื่องนี้ก็จบได้ดีแล้ว วนไปถึงเล่ม 1 ได้พอดี แต่เพราะการที่เขียนให้จบลงแค่ตรงนี้ โดยไม่มีการเขียนบทส่งท้ายบอกเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นไปของตัวละครหลังจากนี้ให้คนอ่านรู้ มันก็เหมือนผู้แต่งยังกั๊ก เปิดทางให้กลับมาเขียนต่อได้อีก วันไหนเปลี่ยนใจก็หาบอสใหม่มาแต่งเล่มใหม่ได้ ขออย่าให้มีเลย จบอย่างนี้ดีแล้วกำลังสวย ถ้ายืดกว่านี้จะหมดมุก

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The Great Escape - Susan Elizabeth Phillips

คะแนน : 8 ตั้งแต่ที่เห็น AAR ให้เรื่องนี้มา C+ เมื่อเดือนที่แล้ว ก็ทำให้เราต้องรีบขยับลดระดับความคาดหวังของตัวเองลงทันที อย่ารอลุ้นมากจะได้ไม่กดดันตอนอ่านจริง ยังไม่ได้อ่านรีวิวอันนั้นเลย เดี๋ยวจะกลับไปดูอีกทีว่าทำไมเกรดต่ำจัง เพราะเมื่อได้อ่านเองแล้วเราว่าเล่มนี้มันก็สนุกดีนี่นา แค่ขึ้นหน้าที่ 4 เท่านั้นก็เรียกเสียงหัวเราะพรืดแรกของเราได้แล้ว ตลอดเรื่องก็ขำกิ๊กกั๊กไปเกินสิบ มีหนนึงเราฮาก๊ากนาน 30 วินาทีเลย

ตอนต้นเรื่องเหมือน Hot Shot ลูซี่หนีออกจากงานแต่งงานของตัวเองใน Call Me Irresistible ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์หนีหายไป แต่หลังจากนั้นเรื่องจะไปคล้ายๆ พวก Breathing Room, This Heart of Mine, Natural Born Charmer มากกว่า ตัวละครที่กำลังเสียศูนย์กับชีวิตมาอยู่ด้วยกันในบ้านพักริมทะเลสาบ บวกกับคู่รองที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน เป็นเรื่องที่เดินตามสูตรประจำของ SEP ทุกอย่าง ไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่เราชอบสูตรนี้น่ะ แล้วเราชอบตัวละครของ SEP จริงๆ

ทั้งเรื่องมีตัวละครแค่ไม่กี่คนหรอก หลักๆ แค่ 5-6 คนเอง เพี้ยนๆ สติแตกกันนิดหน่อยแต่ก็น่ารัก ทุกคนมีปัญหาชีวิตของตัวแต่ก็พยายามจะจัดการตั้งศูนย์ตัวเองอยู่ เป็นกลุ่มคนที่ทำให้การได้รู้จักกันเป็นสิ่งที่มีความหมาย ไม่ใช่แค่เดินผ่านไปผ่านมาในชีวิต ลูซี่หนีออกมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แล้วก็มาใช้เวลาตั้งหลักค้นหาตัวเอง (ในคราบของ the girl with the fake dragon tattoo) ^_^ คุณพี่หมีแพนด้าก็เป็นพระเอกที่โอเคนะ ส่วนบรีก็แทบจะเป็นนางเอกอีกคนได้เลย ฉากตอนที่กอดกับเด็กชายโทบี้ซึ้งมาก มีช่วงท้ายเรื่องเท่านั้นที่รู้สึกว่าเรื่องยืดไปหน่อย แต่โดยรวมๆ เล่มนี้ก็น่าพอใจมาก

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Insurgent (Divergent #2) - Veronica Roth

คะแนน : 7.5 เล่มนี้เหมือนเนื้อเรื่องจะสนุกขึ้น มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตลอด และตัวละครก็ดูมีชีวิตจิตใจมากขึ้น แต่ก็ยังมีอะไรขัดความรู้สึกอยู่บ้างเป็นระยะๆ ลองไล่เหตุผลพวกนั้นในหัวตัวเองดูก็พบว่า แต่ละข้อก็เหมือนจะเป็นสาเหตุเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น พูดออกมาก็เหมือนหาเรื่องจับผิด สงสัยจะจริงที่เขาบอกว่า คนเราจะมีทัศนคติก่อนแล้วค่อยหาเหตุผลสนับสนุนทีหลัง สำหรับเล่มนี้มีจุดที่เราชอบจริงๆ ข้อเดียวคือ สำนวนการเขียน ส่วนนอกนั้นทั้งที่เหมือนจะดีเกือบทุกอย่าง แต่ก็มีอะไรไม่รู้มาฉุดรั้งไว้ทำให้ไม่อิน สุดท้ายไปๆ มาๆ คงต้องโทษที่ตัวละครนั่นแหละ

คำเตือน สปอยล์มากเป็นระยะๆ

เล่มที่แล้วเราคิดว่าคนเขียนยังสื่ออารมณ์ของนางเอก ทริส (/บีเอทริซ) ออกมาไม่ดีพอ ในฉากสำคัญท้ายเล่ม 2-3 ฉากนี้ สปอยล์มาก ตอนที่เห็นแม่ตายต่อหน้าต่อตา ถัดมาตอนรู้ว่าพ่อตายก็เฉยมากอีก และอีกฉากก็คือตอนที่เธอต้องต้องตัดสินใจยิงเพื่อนสนิทที่ถูกควบคุมสมองอยู่ พอมาเล่มนี้ทริสก็เลยเวิ่นเว้ออยู่กับเหตุการณ์สองเรื่องนั้นตลอดเรื่อง แบบจะคิดจะทำอะไรก็ต้องจิตประหวัดไปนึกถึงแม่กับเพื่อน ย้ำกันบ่อยๆ ก็กลายเป็นน่ารำคาญนา

อีกอย่างก็คือเรายังรู้สึกว่าทริสเป็นเด็กกะโปโล ทำอะไรไม่เคยคิดหน้าคิดหลัง ดุ่มๆ ไปเรื่อยๆ ในเรื่องพยายามบอกว่า ทริสเป็น Divergent ที่มีความถนัด 3 อย่าง รวมทั้งแบบ Erudite ด้วย เพราะฉะนั้นเธอเป็นคนฉลาด แต่ไม่เห็นมีตอนไหนที่เรานึกว่าเธอฉลาดเลย อย่างเช่นตอนที่เผชิญหน้าตัวร้ายของเรื่อง ตัวเองเป็นฝ่ายถืออาวุธเล็งเขาอยู่ แต่แล้วกลับยอมปล่อยให้หนีไปได้ เพราะได้ยินเสียงกรีดร้องเลยต้องวิ่งไปช่วย ยังไม่รู้เลยว่าทางโน้นเกิดอะไรขึ้น รีบวิ่งไปดูเขาแล้วตัวเองจะทำอะไรได้ ไม่ใช่ว่าจะมีพลังพิเศษไปช่วยรักษาถ้าเขาโดนยิงสักหน่อย รีบจับตัวบอสฝ่ายตรงข้ามไว้ก่อนแล้วค่อยไปดูสถานการณ์เพื่อนก็ยังไม่สาย บางทีเหมือนอยากจะดึงเนื้อเรื่องให้มันมีฉากลุ้นฉากเผชิญหน้ามากขึ้นแต่กลายเป็นว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผลที่ตัวละครจะทำอย่างนั้น

พูดถึงพระเอกของเรื่องบ้าง โฟร์/(โทเบียส) นายนี่เป็นเหมือนพวกพระเอกที่เป็นรุ่นพี่นางเอกในการ์ตูนน่ะ ตอนอ่านเรื่องนี้เหมือนดูอนิเมะที่ได้ยินเสียงแหลมๆ เรียก "เซมไป เซมไป" ตอนแรกก็เป็นครูฝึกให้นางเอก อายุมากกว่าแค่ 2 ปีแต่ทำเป็นวางมาด ตอนหลังก็เป็นแฟนกัน นายโฟร์ก็ทำตัวไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย งี่เง่ามากตอนที่มาโกรธทริสที่ไม่ยอมปรับทุกข์กับเขา แต่ตัวเองก็ไม่เคยยอมเล่าเรื่องส่วนตัวให้ทริสฟังเลยสักเรื่อง เป็นตัวละครพระเอกวัยรุ่นที่ไม่มีเสน่ห์เอาซะเล้ย แต่อาจเป็นเพราะไม่ใช่สเปกเราก็ได้

ความสัมพันธ์ของทริสกับคนอื่นๆ ก็เป็นในรูปแบบเดียวกัน กับเพื่อนสนิท กับพี่ชาย อยากจะแต่งเนื้อเรื่องให้ขัดแย้งกันก็เปิดประเด็นมาเลย ไม่ค่อยนึกถึงว่ามันจะสมเหตุสมผลมั้ย แค่อยากจะหักเหเรื่องไปมาแค่นั้น แล้วตัวละครเพื่อนๆ คนอื่นในกลุ่มมีหลายคนมาก แต่ว่าทุกคนไม่ค่อยมีจุดเด่นให้จดจำเลย เหมือนเป็นตัวประกอบฉาก ทริสไม่ได้แคร์พวกเพื่อนเหล่านั้นจริงหรอก เรื่องเล่าจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งนะ ถ้าทริสใส่ใจพวกตัวละครอื่นๆ จริง คนอ่านก็น่าจะจำได้สิว่าใครเป็นใคร

นิยายเรื่องนี้เป็นไซไฟ หาข้อมูลมาเยอะพอสมควร บางย่อหน้าเหมือนมาจากตำราเลย อืมม์ แต่บางอันก็ขัดกับที่เราเคยอ่านมาแฮะ ในเรื่องบอกว่าน้ำตาไม่มีประโยชน์อะไรทางชีวภาพ ตอนอ่านประโยคนั้นที่ความจริงเป็นซีนอารมณ์ที่เขียนดีทีเดียว เราเลยดันสะดุดไปซะ ต้องหยุดอ่านมาหาข้อมูล เพราะเราเคยอ่านบทความที่มีนักวิจัยบอกว่า เวลาคนเราน้ำตาไหล จะมีฮอร์โมนหลั่งออกมา ช่วยลดความเครียด หลังร้องไห้เราถึงรู้สึกดีขึ้น คือปรกติคนอ่านก็คงไม่มายึดถือสิ่งที่เขียนในนิยายว่าเป็นข้อเท็จจริงหรอก แต่ถ้าไม่ต้องมานั่งสงสัยเลยจะดีกว่านี้

กลายเป็นติมากกว่าชมอีกแล้ว ความจริงเรื่องสนุกนะ แต่ต้องอย่าไปคิดหาเหตุผลมาก เหมือนเล่นวิดีโอเกมส์ เดี๋ยวก็ถูกตัดเข้าฉาก เคลียร์ไปทีละสเตจ ฉากแอกชั่นเรื่องนี้จะเป็นซิมูเลชั่นอยู่ในจิตใจ โดนฉีดยาแล้วฝันกันอยู่หลายครั้งในเรื่อง ถ้าสร้างเป็นหนังแล้วอาจออกมาเทพแบบ Inception หรือไม่ก็อาจจะดับแบบ Sucker Punch ก็เป็นได้ (เราชอบ Sucker Punch นะ มารู้ทีหลังว่าหนังเจ๊งยังงงเลย มันก็สนุกดีนี่นา แต่คะแนนวิจารณ์ในเว็บมะเขืออย่างต่ำเตี้ยเลย มิน่า ในโรงมันว่างจัง เห็นมีคนที่นั่งแถวเดียวกันลุกออกไปกลางคันแล้วไม่กลับมาดูต่อด้วย ตอนโน้นนึกว่าเขามีธุระด่วนซะอีก)

เนื้อเรื่องฉากสุดท้ายตอนจบเล่ม เหมือนจะดี แต่เราเดาเรื่องได้ตั้งแต่กลางเล่ม ปล่อยเงื่อนงำมาเร็วไปหน่อยทำให้จับไต๋ได้ก่อน เพราะย้ำเนื้อเรื่องที่จะนำไปสู่จุดนั้นบ่อยมาก แต่ถ้าเดาไม่ได้ก็อาจจะรู้สึกว่ามันเจ๋งมากก็ได้ แต่ขอวิจารณ์เป็นคำสุดท้ายถึงแนวคิดอย่างในเรื่องเนี้ยหน่อยเหอะ โคตรสปอยล์แบบเฉลยเรื่อง ทุกคนในเรื่องนี้อยู่ในเมืองทดลองที่ออกแบบมาเพื่อหารูปแบบสังคมที่จะนำกลับไปใช้ในโลกจริงที่ฟอนเฟะ คนที่คิดไอเดียทดลองนี้อาจจะไม่บ้าหรอก แต่ตัวละครทุกคนในเรื่องที่ยอมรับไอเดียนี้มาทำตามน่ะโง่

วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Divergent - Veronica Roth

คะแนน : 7.5 ตอนนี้เราชักไม่ค่อยไว้ใจนิยาย YA แนวดิสโทเปียเท่าไหร่ เบื่อไอ้พวกที่บอกว่าจะเป็น next-Hunger Games แล้ว และที่จริงก็ยังไม่อยากอ่านเรื่องนี้เลย อยากรอให้มันออกมาจบชุดก่อน แต่หลังๆ บนหน้าจอแดชบอร์ดของเราเห็นเรื่องนี้หลุดเข้ามาบ่อยมาก บางรีวิวก็ชมเรื่องนี้เลิศลอย ก็เลยชักจะสนใจ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือชอบนิยายปกสวยๆ ก็เลยหยิบมาอ่านจนได้

เรื่องนี้เกิดขึ้นในโลกอนาคต สังคมแบ่งคนออกเป็น 5 จำพวก คือ
  • Abnegation เป็นกลุ่มที่ยึดมั่นในเรื่องการเสียสละตน
  • Erudite ยึดถือความรู้และสติปัญญา
  • Amity ยึดถือความสมานฉันท์
  • Candor ยึดมั่นการพูดความจริง
  • Dauntless ยึดมั่นความกล้าหาญไม่ครั่นคร้าม

แต่ละกลุ่มจะแบ่งแยกกันรับผิดชอบหน้าที่ในสังคม และแยกตัวออกห่างไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกันข้ามกลุ่ม คนในกลุ่มจะอยู่ด้วยกันเป็นคอมมูน ตอนแรกเด็กแต่ละคนจะอยู่กับครอบครัวของตนเอง แต่เมื่ออายุครบ 16 จะต้องเข้ารับการทดสอบวัดลักษณะนิสัยว่าตรงกับพวกใด แล้วก็จะมีการจัดพิธีเลือกกลุ่มโดยให้เจ้าตัวเลือกเองได้ว่าจะไปอยู่กับกลุ่มไหน ถ้าเลือกไม่เหมือนพ่อแม่ก็จะไปอยู่กับกลุ่มที่เลือกแล้วตัดขาดจากครอบครัวไปโดยปริยาย

บีเอทริซเป็นเด็กสาวจากกลุ่ม Abnegation แต่เธอรู้สึกมาตลอดว่าเธอไม่ใช่คนดีผู้เสียสละที่จะไม่นึกถึงตัวเองเลย ใช้ชีวิตด้วยความกดดันอยู่ลึกๆ เพราะต้องอดทนอดกลั้นมาตลอด แต่เมื่อบีเอทริซเข้าซิมูเลชั่นทดสอบบุคลิกภาพ ผลปรากฏว่า เธอเป็นคนที่มีความโน้มเอียงเท่าเทียมกันถึง 3 กลุ่ม เป็นคนที่จัดเข้าพวกไม่ได้ หรือเรียกว่าพวก Divergent นั่นเอง และนี่เป็นความลับยิ่งยวดที่ต้องปกปิด เพราะพวก Divergent ถือเป็นตัวอันตรายต่อสังคมรูปแบบนี้ แล้วสุดท้ายเธอจะตัดสินใจเลือกไปอยู่กลุ่มใด แล้วผลการเลือกนั้นจะส่งปฏิกิริยาลูกโซ่ไปสู่อะไรบ้าง

ความรู้สึกหลังอ่านจบเล่มนี้ก็คือเหมือนจะดีแต่ยังไม่โดน ข้อดีที่เห็นคือมีสไตล์การเขียนค่อนข้างดี อ่านลื่น มีไอเดียที่เหมือนจะน่าสนใจหลายอย่าง แต่จะว่าสนุกมั้ย มันก็พูดยาก ความสนุกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สำหรับเรา สนุกก็คือว่าอยากติดตามเนื้อเรื่อง อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และอ่านแล้วไม่อยากวาง เล่มนี้มันไม่ถึงขนาดนั้น ช่วงต้นเรื่องก็ยังพอน่าสนใจ แต่ช่วงกลางๆ เรื่องนี่ชีวิตประจำวันมาก วันๆ นางเอกก็ไปฝึกต่อสู้ ไม่ค่อยมีอะไร จนท้ายๆ เรื่องค่อยเกิดฉากแอกชั่นใหญ่ที่จะนำไปสู่เล่มถัดไป

ความจริงเรื่องนี้เขียนได้โอเคมากๆ ฉากแอกชั่นและตัวละครก็พอไปไหว แต่ที่ขัดๆ ในใจเราก็คงเป็นเพราะสังคมแบบในเรื่องมั้ง เราไม่ได้ขัดแย้งว่าเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ แต่ปรกติดิสโทเปียเรื่องอื่นมักจะเห็นที่มาของแนวคิดได้ชัดเจนว่าจะประชดเสียดสีวิจารณ์หรือตักเตือนสังคมเรื่องอะไร แต่เล่มนี้แบ่งคนตามนิสัยเนี่ยนะ เพื่ออะไร เราคิดว่าเหตุผลที่บอกในเรื่องยังไม่ค่อยหนักแน่นสมเหตุสมผล

ในสังคมเรามีการแบ่งคนเป็นพวกๆ ตามนิสัยอยู่แล้วถมเถ เช่น แบ่งตามจักรราศี 12 ราศี ตามกรุ๊ปเลือด 4 กรุ๊ป คน Type-A, Type-B หรือตามจริต ก็ได้ 6 จริต (จากหนังสือจริต ๖ พิมพ์ครั้งที่ 28) หรือฮอกวอตส์แบ่งนักเรียน 4 บ้าน คือมันก็อาจใช้ประโยชน์ได้ตอนคบคน คัดคนเข้าเรียนหรือจัดคนเข้ากับงาน แต่การจับคนทั้งเมืองเป็นพวกแยกตามนิสัยเพื่อป้องกันความขัดแย้งเพื่อจะได้ไม่เกิดสงคราม ฟังไม่เข้าท่าแม้แต่น้อย ในสังคมรวมเอาคนนิสัยเหมือนกันมากๆ มาอยู่ด้วยกันจะยิ่งเละเทะน่ะสิไม่ว่า ในกลุ่มเดียวกันถ้าเฉื่อยกันหมดก็ไม่พัฒนา ถ้าห้าวกันหมดก็คงตีกันตาย แถมการแบ่งเป็นก๊กๆ แบบนี้รับรองรบกันชัวร์

เพราะรู้สึกว่าไอเดียในเรื่องนี้ยังผ่านกระบวนการตกผลึกทางความคิดมาไม่มากพอ สงสัยขนาดว่าอ่านจบแล้วต้องไปเช็คเว็บเลย อ๋อ แล้วก็เข้าใจ คนแต่งคิดเรื่องนี้ขึ้นได้ตอนเป็นเด็กมหาวิทยาลัยปี 1 มิน่าล่ะ ยังไม่พ้นระบบโรงเรียนหรือระบบคัดคนเข้าคณะ เลยคิดอะไรที่มันไม่ได้สะท้อนสังคมผู้ใหญ่จริงๆ แต่พอรู้ว่าคนเขียนเพิ่งเรียนจบเพิ่งทำงาน ก็ทำให้นึกชมขึ้นมาเหมือนกันว่า อ่านดูไม่รู้ว่านี่เป็นงานเขียนนิยายเล่มแรก เพราะภาษาเขาเป็นธรรมชาติดี

แต่ก็อีกแหละ พอคนแต่งอายุยังไม่มาก ตัวละครที่ปั้นขึ้นมาก็เลยดูยังไม่ค่อยมีจิตวิญญาณเท่าไหร่ เราไม่ค่อยชอบฉากที่นางเอกเห็นแม่ถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ช็อคไปแป๊บหนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งต่อโดยบอกตัวเองว่า I am brave อืมม์ มันน่าจะเขียนได้อารมณ์กว่านั้นนะ แล้วเรารู้สึกว่าเนื้อเรื่องช่วงท้ายๆ ดูจงใจและไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ แม่มาช่วยพาลูกหนี แต่แม่ตายเอง มาเพื่อส่งบทให้นางเอกเท่านั้นเองเหรอ

เหมือนจะติเยอะ แต่จริงๆ เรื่องนี้ใช้ได้นะ สนุกพอๆ กับเรื่องชุด Uglies ตอนอ่านเรื่องนี้เรานึกถึงเรื่องนั้น อารมณ์ตอนอ่านเหมือนกันเลย เนื้อเรื่องใช้ได้ จินตนาการไซไฟ/แอกชั่นดี แต่ตัวละครไม่ดึงดูด

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Fifty Shades Freed - E L James

คะแนน : 7 มาว่ากันต่อให้จบ อ่านจบตั้งแต่อาทิตย์ก่อนโน้นแต่ลีลาไม่ยอมเขียนสักที ทั้งที่คิดว่ามีอะไรอัดอั้นเต็มหัว แต่พอจะเขียนทีไรก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงทุกที คงเพราะรู้สึกว่าเราคงจะไม่ชอบตัวเองตอนเขียนโพสต์นี้ซะเท่าไหร่ก็เลยขี้เกียจ คือว่าถ้าเรานั่งคุยกับใครแล้วเขาพูดอะไรแบบที่เรากำลังจะพูดนี้ เราคงนึกในใจว่าปล่อยวางบ้างเหอะ แต่ถ้าจะซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง ยังไงก็ต้องเขียนแบบนี้ล่ะ

แน่ะ ไม่ทันไรก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพล่ามอะไรอยู่ก็ไม่รู้แล้ว หลายครั้งที่เราเห็นใจคนที่หลงเข้ามาในบล็อกของเราเพราะกูเกิล พักนี้ก็หลงกันเข้ามาเพราะชื่อนิยายเรื่องนี้หลายคน บล็อกนี้ไม่ได้ตั้งใจเป็นบล็อกรีวิวหนังสือนะ แค่เป็นบล็อกระบายอารมณ์ของนักอ่านคนหนึ่ง ถ้าไม่ชอบฟังคนขี้บ่นก็อย่าอ่านต่อเลยนะคะ 

คำเตือน เนื้อหาต่อไปนี้มีสปอยล์เนื้อเรื่องทั้งสามเล่มแบบไม่เกรงใจ ตั้งใจจะสปอยล์แบบให้คนที่ยังไม่ได้อ่านจะไปอ่านเองก็ไม่สนุกอีกต่อไป ลดจำนวนคนอยากอ่านเรื่องนี้ได้หนึ่งคนก็ยังดี แล้วก็นี่ไม่ใช่เรื่องสำหรับเด็ก ใครยังเรียนไม่จบ ไม่ได้ทำงานทำการ ห้ามอ่าน

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Let Love Find You - Johanna Lindsey

คะแนน : 7 Reid Family #4 นางเอกเรื่องนี้คือ เลดี้อแมนด้า ปรากฏตัวครั้งแรกในเรื่อง The Heir และก็เป็นน้องสาวของพระเอกเรื่อง The Devil Who Tamed Her

หลังจากเปิดตัวออกงานสังคมเมื่อสองปีก่อน อแมนด้าก็ยังหาคู่ที่ถูกใจไม่ได้ซะที ปีนี้เธอจึงตั้งใจเป็นพิเศษ โอฟีเลียที่เป็นพี่สะใภ้จึงขอความช่วยเหลือจากเดวิน  เจ้าของฟาร์มม้าที่พ่วงฐานะพ่อสื่อมือสมัครเล่นที่กำลังดังจนได้ฉายาว่าคิวปิดให้มาช่วย เมื่ออแมนด้าไปเจอหนุ่มถูกใจคนหนึ่ง เขาเป็นพวกที่คลั่งไคล้การขี่ม้ามากๆ แต่แมนดี้กลัวการขี่ม้าเพราะอุบัติเหตุตอนเด็ก จึงต้องยอมไปเรียนขี่ม้ากับเดวิน แต่สอนกันไปสอนกันมา สงสัยว่าลูกค้ากับคิวปิดจะรักกันซะเอง

เป็นเล่มที่เรียกว่าเอาไว้อ่านเล่นจริงๆ เกือบๆ จะไม่มีเนื้อเรื่อง พระเอกนางเอกคุยกันไปเรื่อยๆ คุยกันเองแล้วก็คุยกับตัวละครที่มาจากเล่มก่อนๆ คู่ของโอฟีเลียกับราฟที่เราเคยชอบ พอมาอยู่ในเรื่องนี้เป็นตัวประกอบแบบจืดๆ ประเด็นขัดแย้งในเรื่องนี้มีน้อยมาก แค่เดวินเป็นลูกนอกสมรส ทำให้ถูกปองร้าย แต่ถ้าไม่คิดมาก ก็อ่านไปได้เรื่อยๆ เพลินๆ แต่ต้องไม่คิดอะไรจริงๆ นะ เพราะถ้าคิดจะรู้สึกว่ามันอ่อนทันที เอาน่า ไม่ได้เลวร้ายอะไร ก็คิดอยู่แล้วว่าคงประมาณนี้ แต่มานึกดู สำหรับ JL เราคงเป็นตาชั่งที่ถูกโกงน้ำหนัก ถ้าชื่อบนปกเป็นคนอื่น พวกเรื่องยุคหลังๆ คงต้อง -1 ออกจากคะแนนที่ให้ไปเกือบทุกเรื่อง

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Tangle of Need (Psy-Changeling #11) - Nalini Singh

คะแนน : 8
อ่าน Fifty Shades #3 ไปได้ 1/3 เล่ม ยิ่งอ่านยิ่งขัดใจ เปลี่ยนมาอ่านชุด Psy-Changeling เล่มใหม่แทนดีกว่า ตอนแรกไม่ค่อยรอลุ้นเล่มนี้เท่าไหร่ เพราะหลังจบเรื่อง Kiss of Snow ที่เรารู้สึกว่ามันพีคมาก เล่มถัดมาก็คงจะดร็อปลง พวกตัวละครอื่นก็เป็นตัวรองๆ ถ้ายังไม่ใช่เรื่องของคาเล็บ ก็คิดไปเองว่ามันยังไม่น่าติดตามเท่าไหร่ พระเอกก็เป็นคนที่เราไม่ค่อยชอบหน้าเพราะเป็นกิ๊กเก่าอินดิโก้ แล้วตั้งแต่ได้เห็นหน้าปกอันแสนเสล่อของเล่มนี้บนเว็บผู้แต่ง ก็ยิ่งทำให้พาลไม่อยากอ่านเข้าไปใหญ่ แต่ดีนะที่เนื้อเรื่องกับหน้าปกมันคนละระดับกันเลย เล่มนี้สนุกมาก

เตือนสปอยล์
ตัวเอกเล่มนี้เป็นหมาป่าสโนว์แดนเซอร์ทั้งสองคน คือ รีอาซ อดีตเพื่อนแถมโปรโมชั่นของอินดิโก้ที่เพิ่งย้ายกลับมาจากยุโรป กับ เอเดรีย น้าสาวที่อายุมากกว่าอินดิโก้ไม่กี่ปี คนที่เคยมีปัญหาชีวิตคู่อันเนื่องมาจากมี dominance เหนือกว่าฝ่ายชาย ต่างคนต่างมีความหลังช้ำรักมาทั้งคู่ รีอาซนี่หนักเพราะว่าดันไปเจอผู้หญิงที่จะเป็นคู่ตอนที่ฝ่ายนั้นแต่งงานมีความสุขไปแล้ว ความสัมพันธ์ของตัวเอกเล่มนี้ก็มีอุปสรรคใหญ่ที่รีอาซมี mating bond กับคนอื่นนี่ล่ะ เป็นภูมิหลังของตัวละครแบบที่ไม่เข้าสเปกเราซะเลย แต่ปรากฏว่ากลายเป็นดี เพราะเล่มนี้คู่หลักไม่น่าสนใจก็ไม่ต้องเน้นบทที่สองคนนี้ ไปเน้นการดำเนินเรื่องอย่างอื่นแทน

เราไม่ค่อยได้ตามข่าวคราวของเล่มนี้มาก่อนเลยเซอร์ไพรส์มากที่เล่มนี้มีบทของฮอว์คกับเซียนน่าเยอะ  อ่านแล้วก็ปลื้ม ฉากหวานเพียบ มีฉากงานแต่งงานที่น่าประทับใจด้วย แล้วฉากช่วยกันทำคุกกี้ก็น่ารักม้ากมาก ได้เห็นชีวิตหลังแต่งงานของคู่โปรดจุใจเลย อ่านไปยิ้มไป คู่อื่นๆ ที่กล่าวถึงก็น่ารักหมด แล้วก็มีคู่ที่ได้ข่าวดีเล่มนี้ด้วย เสียดายที่ไม่ค่อยกล่าวถึงพวกดาร์คริเวอร์ แต่ฝั่งเสือนั้นตัวละครน้อยกว่า มีคู่ไปหมดแล้วด้วย แต่ฝั่งหมาป่ายังเหลือพวกลูกน้องฮอว์คอีกตั้งหลายคน

เนื้อเรื่องเล่มนี้ทำให้ซีรีส์เดินหน้าไปเยอะมาก นอกจากเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครกับสายสัมพันธ์ในฝูงแล้ว ก็มีเหตุการณ์เยอะแยะที่เกี่ยวกับการเมืองของโลกในเรื่อง มีการตัดไปกล่าวถึงตัวละครจากฝ่ายต่างๆ ทั้งพวกไซ แอร์โรว์ แล้วก็กลุ่ม Human Alliance กับกลุ่มพันธมิตรเชนจลิงก์อื่นๆ แปลกดีที่ซีรีส์นี้มีตัวละครเยอะมาก แต่เราดันจำได้ ในขณะที่ตอนเราอ่าน Angel's Dance เราจำเจสซามีกับแกเล็นไม่ได้เฉยเลย นึกว่าตัวละครใหม่

อ่านสนุกมากทั้งเล่ม เรื่องของรีอาซกับเอเดรียก็ไม่น่าเบื่อหรอก ได้ทางออกที่ค่อนข้างสวยงามพอสมควร ชีวิตขึ้นอยู่กับตนเองมากกว่าชะตาลิขิต แล้วก็ลุ้นกับตัวละครลับที่หยอดมาจากเล่มก่อน มีการต่อยอดสถานการณ์ออกมา ท้ายเรื่องแอกชั่นเยอะนะ สนุกดี และเล่มนี้บทคาเล็บเยอะกว่าแต่ก่อนมาก ใกล้จะถึงเล่มของเขาแล้วใช่มั้ย ชักจะตื่นเต้น แล้วหน้าสุดท้าย ว้าว ใครอ่ะ

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Fifty Shades Darker - E L James

คะแนน : 7.5
วันนี้เพิ่งเป็นวันแรกในรอบสองสัปดาห์ที่เราได้หยุด ก็กะว่าจะอ่านเรื่องนี้ต่อ เพราะถ้าทิ้งช่วงนานกว่านี้ อาจจะลืมเล่ม 1 หมด อ่านจบแล้วมีความรู้สึกปนเปกันหลายอย่าง สรุปค่อนข้างยาก

แต่อย่างน้อยคิดถูกเรื่องหนึ่งว่า มันไม่ได้ขายดีเพราะมีแต่ฉากอย่างว่า มีจังหวะที่อ่านแล้วนึกในใจว่า 'บ๊ะ มันก็สนุกนะ' อยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่เรื่องนี้ก็มีปัญหาใหญ่มากอยู่ประเด็นหนึ่งที่ระคายใจเรามากจนทำใจให้ชอบเรื่องนี้ไม่ได้

สงสัยอาจจะต้องเขียนยาว รอให้อ่านเล่ม 3 จบก่อนดีกว่าค่อยเขียนทีเดียว เฮ้อ แล้วก็ดันไปเอาเล่มกลางของไตรภาคมาอ่านตอนกำลังยุ่งนี่นะ

Update
อ่านที่เขียนต่อที่โพสต์นี้ค่ะ

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

The Great Gatsby - F. Scott Fitzgerald

คะแนน : 8 นิยายคลาสสิคนี่มันก็มีเหตุผลที่เขายกให้เป็นนิยายคลาสสิคนะ นานๆ ทีสลับเอาเรื่องบนหิ้ง (หมายถึงเรื่องคลาสสิคที่ให้โหลดฟรีใน Public Domain) มาอ่านบ้างก็ไม่ค่อยผิดหวัง

คนที่ขึ้นต้นเรื่องเล่าของเขาด้วยการบอกว่าจะไม่ตัดสินใคร ก็เป็นที่แน่นอนว่าชีวิตมนุษย์ในเรื่องที่เล่าคงไม่สวยงามเท่าไหร่ โทนเสียงของนิคนี่เยาะหยันเหยียดหยามโลกมากเลยนะ  แต่ชอบอ่ะ เวลาอ่านภาษาอังกฤษเก่าๆ หน่อยแบบนี้ เรานึกถึงภาษาไทยแบบของหลวงวิจิตรวาทการ

แกตสบี้เป็นตัวละครที่ larger than life มาก แบบที่ตัวละครหญิงในเรื่องบอกว่า สายตาแกตสบี้ที่มองเดซี่ เป็นสายตาแบบที่หญิงสาวทุกคนอยากถูกมองแบบนี้บ้างบางครั้ง เราอ่านฉากที่แกตสบี้ขอร้องนิคให้เชิญเดซี่มาที่บ้าน เรายังอิจฉาวูบนึงเลย ว่าแต่ผู้หญิงคนนี้มีอะไรดีเหรอ เหตุผลที่แกตสบี้งมงายกับเดซี่นี่ cynical สุดๆ

เรานึกไม่ออกว่าฉบับหนังจะถ่ายทอดออกมาเท่าในหนังสือได้ไง เพราะนี่ไม่ใช่หนังสือที่รับรสได้จากเนื้อเรื่อง แต่ต้องรับรสจากภาษาและการเล่าเรื่อง ดีที่สุดที่ภาพยนตร์จะเทียบเคียงนิยายได้ หนังต้องออกมาแล้วคนดูประทับใจระดับที่ดู Casablanca ถึงจะเรียกว่าไม่ทำให้เรื่องต้นฉบับขายหน้า บารมีลีโอจะถึงบทแกตสบี้รึเปล่าเนี่ย

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

The Scorpio Races - Maggie Stiefvater

คะแนน : 6
นี่เป็นนิยายที่อ่านแล้วเสียดายเวลาจริงๆ มันไม่ใช่หนังสือที่เลวร้ายอะไร ความผิดของมันคงมีข้อเดียวคือ มันน่าเบื่อที่สุด แทบไม่มีเนื้อเรื่อง กล่าวถึงการแข่งม้าบนเกาะแห่งหนึ่ง แต่มันเป็นม้าในตำนาน อาชาสมุทรที่ผุดมาจากทะเล เป็นม้าอันตรายที่กินเนื้อคน ฟังน่าสนใจเหรอ ถูกหลอกแล้วล่ะ

เราถูกดาวของอเมซอนล่อลวง ตอนเริ่มอ่านแรกๆ ก็ยังโอเคอยู่ มันก็ดูแปลกๆ ดี จุดเด่นของนิยายเล่มนี้คงอยู่ที่สำนวนภาษา เวลาจะบอกอะไรให้คนอ่านรู้ เหมือนคนเขียนจะวนเป็นครึ่งวงกลม อ่านเจอแรกๆ จะอมยิ้ม ภาษาเขาเก๋ดีแฮะ  แต่พออ่านไปสักสิบบท เจอบ่อยๆ เข้า กลับกลายเป็นรู้สึกสะดุดและน่ารำคาญ อย่างเช่นแบบนี้

There are moments that you’ll remember for the rest of your life and there are moments that you think you’ll remember for the rest of your life, and it’s not often they turn out to be the same moments.
หรือแบบนี้

My vision explodes into one thousand colors, not one of them the sky.
เรื่องเล่าสลับกันระหว่างตัวเอกสองคน คือ ฌอน เคนดริก กับ พัค (เคท) คอนนอลลี เล่าจากมุมมองบุคคลที่หนึ่ง แต่เราไม่เคยรู้สึกว่าได้เข้าไปอยู่กับสองคนนั้นเลย ช่างชืดชา กระด้าง ไร้เนื้อใน เราอ่านแล้ว เราแยกสองคนนี้ไม่ออก บางครั้งที่เราอ่านกลางบทแล้วสะดุดเสียสมาธิไปนิดนึง พอจะกลับมาอ่านต่อ เราไม่รู้ว่า I ที่กำลังพูดอยู่นี่คือใคร ฌอนหรือพัค เมื่อเทียบกับเรื่อง The Kane Chronicles เราไม่เป็นอย่างนี้สักครั้ง เพราะบุคลิกคาร์เตอร์กับแซดี้แตกต่างกันมาก แค่อ่านคำพูดก็รู้ว่าใคร

ทั้งเรื่องมีแต่การเตรียมตัวฝึกม้าเพื่อจะไปแข่งตอนจบ อ่านจบเรื่องเรายังไม่รู้เลยว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน รู้แต่เป็นเกาะ ไม่ไกลจากแผ่นดินใหญ่ ยุคไหนก็ไม่รู้ เป็นนิยายที่เลื่อนลอย ไร้เป้าหมาย ไร้เหตุผล

เราพลาดเองล่ะ ดูแต่ดาว ไม่ได้อ่านรีวิว เพราะอยากจะอ่านแบบไม่รู้อะไร ยังไงถ้าใครสนใจ อยากบอกว่า ควรหาตัวอย่างสักบทสองบทมาอ่านก่อนนะคะ ว่าชอบสไตล์การเขียนแบบนี้มั้ย คนที่ชอบก็คงจะว่าเขียนดีมาก แต่ถ้าไม่ชอบแนวนี้ก็อาจจะรู้สึกแบบเรา

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

The Proposal - Mary Balogh

คะแนน : 8 นี่เป็นเรื่องของเกว็น ตัวละครรองที่รู้จักมานาน ปรากฏตัวในเรื่องก่อนๆ ของ Mary Balogh มาไม่รู้กี่เรื่องแล้ว ทุกครั้งที่กล่าวถึง ก็มีใบ้ตลอดนะว่า เดี๋ยวคงจะมีเล่มที่เป็นเรื่องของเธอเอง แต่ก็ข้ามมาตั้งหลายซีรีส์แล้วนะเนี่ย ตั้งแต่ One Night For Love, ชุด Slightly, ชุด Simply รวมไปสิบกว่าเล่ม ในที่สุดพอได้เป็นนางเอก ก็กลายมาเป็นเล่มเปิดตัวซีรีส์ใหม่ ที่กล่าวถึงสมาชิก The Survivors Club ที่เป็นการรวมกลุ่มของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทางกายหรือทางใจมาจากสงครามนโปเลียน หลังจากสมาชิกพักฟื้นรักษาตัวหายแล้วก็แยกย้ายกันไป แต่ทุกปีจะมารวมตัวกันอีกครั้งที่บ้านดยุคหัวหน้ากลุ่ม

ตอนแรกแอบกลัวเรื่องนี้นะเลยไม่กล้ารีบอ่าน ภูมิหลังคร่าวๆ ของตัวละครเหมือนจะหนักแล้วก็เครียดน่าดู เกว็นเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว และมีอาการเดินเขยกจากอุบัติเหตุที่เคยตกม้า ตอนแต่งงานครั้งแรกเจออะไรมาบ้างก็ไม่รู้ ถึงมีท่าทีเศร้าลึกๆ อยู่ตลอด ส่วนพระเอก ฮิวโก้ ก็เป็นฮีโร่สงคราม แต่ถูกส่งตัวกลับบ้านเพราะมีอาการฟั่นเฟือน เพราะความเป็นมาของพระนางเรื่องนี้ดูรันทด ทำให้หวั่นนิดหน่อยว่าจะเจอพวกตัวเอกอมทุกข์แบบที่เราไม่ชอบอ่าน

เริ่มต้นเล่มด้วยการเกริ่นนำความเป็นมาของคลับ ดูสภาพสมาชิกแต่ละคนคงผ่านมาหนักหนาสาหัส แต่ไม่นานเราก็เริ่มสบายใจได้ ทุกคนดูท่าทางโอเคทีเดียว คุยกันขำขำได้ (แต่เยอะอ่ะ ตัวละครโผล่มาทีเดียวตั้ง 7 คน จำชื่อไม่ได้) ส่วนทางเกว็นนั้นมาพักกับเพื่อนที่อยู่ใกล้แถวนี้ มาเดินเล่นแล้วล้มขาแพลง ฮิวโก้เลยต้องช่วยพากลับมาดูอาการที่บ้านดยุค แต่ถ้าเป็นพวกเพื่อนพระเอกในเรื่องก็คงฮานะ พระเอกเพิ่งโจ๊กหยกๆ ว่าเดี๋ยวไปเดินเล่นชายหาดแล้วถ้าเจอผู้หญิงจะขอแต่งงาน แล้วพอกลับมาก็อุ้มผู้หญิงกลับมาจริงๆ

เราชอบเกว็นนะ ชอบมาตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่านในเรื่องของลอเรน (A Summer To Remember) พอเข้าเล่มนี้ แค่ฉากคุยกันครั้งแรกระหว่างพระเอกนางเอก เราก็โล่งใจ รู้สึกว่าชอบตัวละครสองคนนี้ เพราะฉะนั้นก็หายห่วงได้ ด้วยฝีมือการเขียนของ MB แค่ได้ตัวละครถูกใจก็พอแล้ว ไม่ว่าเนื้อเรื่องจะเป็นไง อ่านจบแล้วก็ต้องชอบแน่

เรื่องอ่านเพลินตั้งแต่บทที่หนึ่ง เราชอบสไตล์การเขียนของ MB จริงๆ นะ อธิบายไม่ถูกว่ายังไง รู้แต่ว่าแต่ละประโยคมันลื่นไหล เหมือนเนยละลาย รู้สึกอ่านแล้วละมุนดี ทั้งบทสนทนา การบรรยายบุคลิก และการพรรณนาความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ทำได้ดีไปหมดเลย ทำให้เข้าถึงตัวละครได้ลึกซึ้ง อ่านแล้วมีทั้งยิ้ม หัวเราะ ทั้งเห็นใจเข้าใจ และเอาใจช่วย เกว็นกับฮิวโก้เจอเรื่องหนักมา แต่ไม่ใช่พวกพร่ำเพ้อ ทั้งคู่มีเหตุผลและก็พยายามที่จะใช้ชีวิตตัวเองให้ดีที่สุด แล้วก็ Choose with both your head and your heart

ประเด็นหลักในเรื่องนี้คือการจัดการกับความรู้สึกผิด และการเยียวยาบาดแผลทางใจ ทำให้เราย้อนนึกถึงสิ่งที่เราเคยอ่านมาว่า ความเจ็บปวดเป็นกลไกการป้องกันตัวของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการระบบประสาทรับความเจ็บปวดมาเพื่อเป็นเครื่องเตือนภัยกระตุ้นให้ร่างกายหลบเลี่ยงอันตราย แล้วถ้างั้นความเจ็บปวดใจล่ะ ธรรมชาติมอบให้คนเรามีความเจ็บปวดใจไปเพื่อประโยชน์อะไร เราก็พยายามนึกหาคำตอบ ยังไม่ได้ข้อสรุปหรอก แต่ก็เป็นได้ว่า จิตใจคนเราต้องรู้จักความเจ็บปวด เพื่อเป็นประสบการณ์สำหรับคราวหน้า ช่วยให้เราเลือกที่จะดำเนินชีวิตได้ดีขึ้น เข้มแข็งขึ้น อยู่ต่อไปได้

เหมือนเรื่องจะหดหู่ แต่ไม่เลย มีฉากตลกน่ารักที่ทำให้ขำหลายฉากมาก บุคลิกฮิวโก้ที่ดูเคร่งเครียด อดีตทหาร พูดน้อย ยืนตัวแข็งทื่อ หน้าตาถมึงทึงตลอด แต่จริงๆ น่ารักผิดคาดมาก ไอ้ที่พูดโผงผางกับนางเอกมาแต่ละครั้งนี่ฮาตลอด นอกจากฉากที่แอบขำแล้วเรื่องนี้ก็ยังมีอีกหลายฉากที่เราชอบ ตอนขอแต่งงานกลางเรื่องก็ดี ที่ซึ้งสุดๆ ก็ฉากที่หลบออกมาคุยกันตอนงานบอลล์ และฉากที่งานเลี้ยงในสวน กรี๊ดในใจ วูล์ฟริค! วูล์ฟริค! มาพูดแค่ประโยคเดียวแหละค่ะ แต่เป็นหมัดอัปเปอร์คัตชนะน็อค ช่วยจบฉากการเผชิญหน้าตรงนั้นได้อย่างสวยงามทรงพลังมาก แล้วก็ตอนที่ฮิวโก้ยิ้มตอนสุดท้าย อ๊ายย (คงเหมือนฮัลค์ยิ้มเลยนะ) ชอบมากเลยเล่มนี้ อ่านสนุกทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ

The Proposal ถือเป็นเล่มเปิดตัวเรื่องชุดใหม่ที่ดีมาก แต่ก็มีฐานะเป็นเรื่องปิดไตรภาคของ One Night for Love กับ A Summer to Remember ด้วย ไหนๆ ในเล่มนี้ก็มีตัวละครเชื่อมโยงมาจากเรื่องเก่า เอาคะแนนที่เราให้เล่มก่อนๆ ไว้มาให้ดูค่ะ พระเอกนางเอกในเรื่องก่อนๆ ก็รับเชิญมาปรากฏตัวในเล่มนี้บ้าง ไม่ได้มีบทเยอะมาก ถ้าไม่เคยอ่านก็ไม่งง แต่ก็ถือเป็นโบนัสให้แฟนๆ ที่เคยติดตามกันมา

The Bedwyn Prequels One Night for Love
6.5
เรื่องพี่ชายของเกว็น ไม่ชอบทั้งพระเอกและนางเอกเรื่องนี้
A Summer to Remember
7
ลอเรนสนิทกับเกว็นมาก เป็นเล่มที่เราอ่านเรื่องแรกในชุด ชอบพี่น้องเบดวินในเรื่องนี้
The Proposal
8
The Bedwyn Saga Slightly Married
6
Slightly Wicked
8
Slightly Scandalous
8
เลดี้อารมณ์ร้าย กับ มาร์ควิสเจ้าเสน่ห์
Slightly Tempted
5.5
ผู้ชายเฮงซวย กับ ตุ๊กตาบลายธ์
Slightly Sinful
7
Slightly Dangerous
8.5
เรื่องของวูล์ฟริค ท่านดยุคผู้สยบสามโลก
The Simply Quartet Simply Unforgettable
6.5
Simply Love
7.5
Simply Magic
6.5
Simply Perfect
6.5
พระเอกเป็นญาติๆ กับเกว็น

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อัศจรรย์…วันที่สมองประทับใจ - Kenichiro MOGI

เรายกให้เล่มนี้เป็นแชมป์ ชอบที่สุดในบรรดาหนังสือ non-fic ทั้งหมดที่อ่านไปในช่วงนี้ อ่านจบแล้วปลื้มมาก และเพราะว่า หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยการส่งเสริมให้แสดงออกเรื่องความประทับใจ เพราะฉะนั้นบันทึกความรู้สึกเก็บไว้ซะหน่อยก็ดี

ปรกติเราไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือฮาวทูหรือแนวพัฒนาตนเองเท่าไหร่ แต่เล่มนี้แค่ชื่อเรื่องกับคำโปรยบนหน้าปกก็แทบจะขายให้เราได้แล้ว พลิกอ่านได้ 3 หน้าก็ซื้อเลย หนังสือเล่มบางๆ แค่เกือบๆ 200 หน้า แต่ถ้านึกภาพว่า ทุกครั้งที่อ่านเจอข้อความโดนใจ เหมือนโดนลูกศรยิงใส่ดอกนึง พออ่านจบเล่ม เราก็คงเหมือนตัวเม่นเลย

หลังๆ บางครั้งเราเริ่มเบื่อว่า เหตุผลดีกว่าอารมณ์เสมอหรือ ที่คนชอบพูดว่า ทำไมต้องเอาตัวเองไปผูกกับอะไร (... แล้วแต่จะใส่ เช่นนิยาย+หนัง) มากขนาดนั้น อืมม์ ก็จริงแหละ แต่ถ้าไม่ยอมปล่อยใจเข้าไปอิน แล้วมันจะประทับใจหรือสนุกสุดๆ ได้ไงล่ะ เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ก็เลยมีส่วนที่โดนเรามากเลยว่า การใช้ประโยชน์จากความรู้สึกที่หลากหลาย และการมีความรู้สึกเป็นลักษณะเฉพาะและแสดงคุณสมบัติของมนุษย์ได้ดีที่สุด ทำให้เราสบายใจดีว่า เราไม่ต้องมีเหตุผลตลอดเวลา มีอารมณ์ความรู้สึกเยอะๆ ก็ได้ไม่เป็นไร การมีขอบเขตความรู้สึกที่กว้าง ทำให้เหมือนได้ใช้ชีวิตเต็มที่ดี แค่ต้องพยายามรักษาไว้ในเชิงบวกเท่านั้น สับสวิชต์สมองให้ดีๆ การมีฐานที่มั่นคง ให้สมองหลุดจากวังวนเชิงลบ

ในหนังสือเล่มนี้จะมีส่วนผสมของวิชาการด้านสมอง จิตวิทยา การเปรียบเทียบวิธีคิดและวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นกับตะวันตก และบวกข้อคิดในการดำรงชีวิต ถ้าพูดจริงๆ ก็คือว่า เล่มนี้ไม่มีเนื้อหาตรงไหนเป็นการค้นพบใหม่เอี่ยมอะไร ทุกเรื่องในนี้คล้ายกับว่าเป็นสิ่งที่รู้อยู่แล้ว เคยผ่านหูผ่านตามาก่อนทั้งนั้น แต่ด้วยการเขียนที่อ่านง่าย มีข้อความไฮไลต์ในหนังสือแทรกเป็นระยะ ไล่เรียงเป็นจังหวะจะโคน มีเหตุมีผลแบบมีชีวิตจิตใจ มีตัวอย่างที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ตรงของทุกคนได้ ทำให้รู้สึกว่ามันสร้างสรรค์ จริงแฮะ ใช่เนอะ เออว่ะ ทำไมเราไม่นึกอย่างนี้มาก่อนนะ อ่านแล้วรู้สึกใช่มากๆ เลย

อีกเรื่องที่ชอบก็คือ สไตล์การเขียนแบบถ่อมตนของคนญี่ปุ่น ขอยกความดีให้ทั้งผู้เขียนและผู้แปล เหมือนคนเขียนเขาสอนไปโค้งไป หนังสือแนวนี้บางเล่มที่ฝรั่งเขียนบางทีอ่านแล้วรู้สึกว่าคนเขียนอีโก้จัด บอกให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ ของไทยบางทีก็เหมือนเขียนมาจากบนธรรมาสน์ บางครั้งอ่านแล้วรู้สึกจิตตกไปก็มี เหมือนเหนื่อยที่จะต้องพยายามฝืนตัวเองเพื่อเป็นคนดี เราก็เลยชอบเล่มนี้มากๆ เพราะอ่านแล้วสบายๆ ดี

ถ้ายกข้อความที่ชอบจากในหนังสือมา คงจะต้องพิมพ์จนเมื่อยมือ ขอจดแค่ตรงนี้เก็บไว้แล้วกัน
“เราไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของคนอื่นได้ แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วย อาจจะดูเหมือนเป็นคนเย็นชาไปบ้าง แต่ในการคบหาสมาคมกับคนอื่น บางครั้งก็จำเป็นต้องเย็นชา ... เมื่อเราได้ขว้างลูกบอลที่แสดงความรู้สึกของเราออกไปแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งจะรับหรือไม่รับก็เป็นเรื่องของเขา”

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

The Serpent's Shadow (Kane Chronicles #3) - Rick Riordan

คะแนน : 8 เล่มนี้สนุก ลุยตั้งแต่เริ่ม เนื้อเรื่องตามสูตรทุกอย่าง มีเส้นตายหายนะที่ต้องแก้ไขสถานการณ์ให้ทันเวลา เทพอสรพิษอโพฟิสกำลังจะคืนอำนาจ เกินกำลังที่สองพี่น้องเคนจะต่อกรได้ แซดี้กับคาร์เตอร์จึงต้องออกไปตามหาเงาวิญญาณของอโพฟิสมาเป็นเครื่องมือต่อสู้

การดำเนินเรื่องดูเหมือนจะเทน้ำหนักให้ฝั่งแซดี้มากขึ้นนิดนึง ประมาณ 55-45 กลับกันกับสองเล่มก่อนที่เน้นคาร์เตอร์เยอะกว่า ซึ่งดี เพราะเราชอบแซดี้มากกว่า ฮากว่า ในเรื่องเวลาอยู่ในวงเล็บ พี่น้องกัดกัน ตลกดีทุกครั้ง ที่จริงแซดี้ก็เป็นเด็กแสบ ปากเก่งแสนงอน แต่ยังไม่เกินลิมิต ยังไม่เข้าขั้นติ่ง ถ้าพวกพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์โตเป็นวัยรุ่นก็อาจจะประมาณนี้ เนื้อเรื่องของวอล์ทกับอนูบิสก็เคลียร์จบแล้วในเล่มนี้ ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ หน่อย แต่แบบนี้ก็โอเคมั้ง คาร์เตอร์ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เนื้อเรื่องด้านเซียก็ลงเอยแล้วเหมือนกัน

เล่มนี้สนุกและมีขำหลายฉาก เทพอียิปต์มักจะมีรูปร่างเป็นสัตว์ เวลาอ่านในเรื่อง นึกภาพเทพฮิปโปก็ขำแล้วอ่ะนะ แต่ก็ยังเสียดายนิดหน่อยว่า ไม่ค่อยคุ้นกับตำนานเทพอียิปต์เท่าตำนานกรีก-โรมัน เวลาอ่านซีรีส์นี้ไปบางทีจะมีคิดว่า ตรงนี้มันต้องเป็นแก๊กอะไรบางอย่างที่ผู้แต่งล้อเลียนพวกเทพอยู่แน่ๆ ถ้าเชี่ยวตำนานอียิปต์มามากกว่านี้คงจะตลกขึ้นไปอีก อ่านชุดนี้เลยเหมือนได้อารมณ์สนุกไม่สุดเท่าชุดเพอร์ซีย์ เอ๊ะ แต่เล่มนี้ทิ้งท้ายตอนจบเป็นปริศนาแปลกๆ นะ ไม่แน่เล่มต่อๆ ไปอาจมีการรวมตัวละครจากเรื่องนี้กับ Heroes of Olympus เข้าด้วยกัน เหมือนจักรวาลมาร์เวล เดาเอานะ

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Deadlocked (Sookie Stackhouse #12) - Charlaine Harris

คะแนน : 7.5 ไม่รู้จะเขียนถึงความรู้สึกตอนอ่านเล่มนี้จบยังไง ด้วยอารมณ์ตอนนี้ถ้าเขียนระบายจริงก็คงสปอยล์แหลกราญแน่ ถึงจะเหลือเล่มอวสานอีกเล่ม แต่ตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่า เราจะจัดให้เรื่องนี้เข้าประเภทเดียวกับ Peach Girl หรือ Paradise Kiss ดี

เล่มนี้อึมครึมทั้งเรื่อง ช่วงต้นเรื่องนี่น่าเบื่อ ชีวิตประจำวันมาก เริ่มเข้าเนื้อหาจริงก็เกือบ 1/3 เล่มแล้ว หลังจากนั้นเมฆหมอกก็ปกคลุม อ่านไปลุ้นไปแบบหนักใจ ส่วนตอนจบเล่ม จะให้พูดว่าไง อย่าไปโทษนั่นนู่นนี่เลยนะ ซุกกี้ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับใจเธอเองทั้งหมดนั่นแหละ กะไว้แล้วเชียวว่ามันต้องออกมาในรูปนี้

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

Fifty Shades of Grey - E L James

คะแนน : 7


เนื้อหาต่อไปนี้ เจ้าของบล็อกอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไปอ่านเท่านั้น
การคลิกปุ่มด้านล่าง ถือเป็นการตกลงยืนยันตนเองว่า ผู้อ่านมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์แล้ว
(โกหกนั้นตายตกนรกนะ)



ทนกระแสไม่ไหว เห็นเรื่องนี้มาสักพักแล้ว แต่ไม่ค่อยสนใจ นิยายอีโรติกที่มีต้นกำเนิดมาจากแฟนฟิคของ Twilight และมีฉายาว่าเป็น mommy porn เนี่ยนะ ไม่เห็นจะน่าอ่านเลย แต่มันก็ขึ้นอันดับเบสต์เซลเลอร์ 1-2-3 อยู่ตอนนี้ เลยยอมแพ้ความอยากรู้อยากเห็น มันยังไงกันเหรอที่ว่า นี่คือเรื่องที่ทำให้การอ่านนิยายอีโรติกกลายเป็นความเท่ ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อ่าน

มีเรื่องหนึ่งที่พูดลำบาก เพราะพูดแล้วมันเหมือนปากว่าตาขยิบ แต่ความจริงคือว่า เราไม่ได้ชอบอ่านฉากเลิฟซีนในนิยายโรแมนซ์ ไม่ใช่ว่าศีลธรรมจัดหรืออะไร ถ้ามีก็อ่านได้ แต่ถ้าเยอะมากก็อ่านข้าม และจะไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้นถ้าในนิยายโรแมนซ์ไม่มีฉากรักเลย เราเคยข้ามขั้นไปอ่านนิยายอีโรติกเรื่องเดียว และก็คิดว่าไม่ใช่แนว ไม่เคยอยากอ่านอีกเลยจนมาเรื่องนี้แหละ

อ่านแบบไม่นึกถึงศีลธรรมจริยธรรมนะ ว่ากันแต่เนื้อหาของเรื่อง อนาสตาเชีย สตีล กำลังจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ไปสัมภาษณ์มหาเศรษฐีหนุ่ม คริสเตียน เกรย์ และถูกดึงเข้าสู่วังวนสีเทาของความปรารถนาที่ซ่อนเร้น แล้วถ้าเธอต้องการมากกว่าความใคร่ ความรักกับชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยด้านมืดผู้นี้จะเป็นไปได้หรือเปล่า

เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้นตอมันมาจาก Twilight อ่านช่วงแรกๆ เชื่อเลยว่านางเอกเรื่องนี้คือเบลล่า 100% เป็นร่างโคลนมาเลย สาวสวยที่ไม่มั่นใจในตัวเอง ซุ่มซ่าม กัดริมฝีปาก ครั้งแรกตอนอ่านเจอบุคลิกพวกนี้ทำเราหลุดหัวเราะก๊ากไป 3 ที เหมือนอ่าน parody เลย แต่ว่าดีกรีความหื่นของยัยอนาถูกขยายกำลังขับมากกว่าเยอะ แค่มองพระเอกก็คิดไปถึงไหนต่อไหน แต่ก็แค่ไม่กี่บทแรกๆ เท่านั้นแหละที่จะนึกถึง Twilight เพราะไม่ทันไร ก็เปิดฉากความเป็นอีโรติก้า โจ่งแจ้งมาก และมันไม่ใช่เซ็กส์ธรรมดาแต่เป็นแบบ BDSM ซะด้วย มีมัด มีฟาด มีเฆี่ยน

แต่สาบานว่า ตอนอ่านนิยายเรื่องนี้เราเผลอหัวเราะบ่อยมาก ไม่ใช่ว่าตลก แต่แบบรู้สึกว่าอะไรของมันวะ บ้าๆ ดี พระเอกขอให้นางเอกเป็นทาสสวาท มีสัญญาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย ข้อความในสัญญาคือเนื้อหา 1 บทเลย แล้วอีเมล์ที่พระเอกนางเอกโต้ตอบกันก็เพี้ยนๆ ฮาๆ อีตอนที่นับกันว่าซั่มไปกี่ครั้งแล้ว พรืดเลย หัวเราะแล้วก็แอบมองรอบๆ ตัว วันนี้เรานั่งอ่านเรื่องนี้ตอนรอกินข้าวในร้านอาหารคนเยอะแยะ ยังนึกตลกอยู่ในใจเลยว่า Kindle นี้มันก็ดีนะ คงไม่มีใครรู้ว่าที่นั่งอ่านไปขำไปอยู่นี่มันนิยายอีโรติก

ตอนกลางๆ เรื่องเราคิดอย่างเดียวว่า เดี๋ยวมันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิน่า ถ้ามีแต่แบบนี้หมดมันจะขายดีขนาดนี้ได้ไง พระเอกอาจจะไม่ใช่คนธรรมดามีแฟนตาซีพลังพิเศษอะไรเข้ามาในเรื่อง แต่จนจบเรื่อง ก็ไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติทั้งสิ้น เป็นเรื่องของพระเอกนางเอกสองคนแค่นี้ล่ะ พระเอกมีรสนิยมทางเพศผิดปกติเพราะอดีต ถ้าไม่นับเซ็กส์วิตถาร ที่จริงมันก็เป็นเรื่องรักนะ มีการพัฒนาความสัมพันธ์ทางใจด้้วย แต่ถ้าตัดเรื่องเซ็กส์ออกหมด มันก็จะไม่ใช่นิยายเรื่องนี้เลย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นรักปนเซ็กส์พิสดารที่แยกสองสิ่งนี้จากกันไม่ออก

นิยายที่อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่สามารถตัดอะไรออกโดยไม่ทำให้เรื่องเปลี่ยนได้ ก็คงต้องชมว่าแต่งดีแล้วมั้งนะ แต่อ่านจบแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า มันขึ้นถึงเบสต์เซลเลอร์อันดับหนึ่งได้ยังไง เป็นที่กระแสและบริบททางสังคมอะไรที่เราไม่รู้รึเปล่าที่ทำให้มันดัง ไม่ใช่แค่เพราะตัวนิยายเอง

Update
อ่านที่เขียนต่อที่โพสต์นี้ค่ะ

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

Out of Sight, Out of Time (Gallagher Girls #5) - Ally Carter

คะแนน : 7.25

ไม่รู้เป็นไร เราเอือมๆ ขี้เกียจอ่านเล่มนี้ คงเพราะว่าเล่มก่อนหน้านี้ทิ้งท้ายไว้แบบที่ไม่ชอบเท่าไหร่ ถ้าเป็นเรื่องชุด เล่มแรกเฉยๆ แล้วดีขึ้นเรื่อยๆ มันก็จะมีกำลังใจอ่าน แต่ถ้าอ่านไปแล้วเล่มต่อแย่กว่าเล่มแรก กลายเป็นขาลง จะรู้สึกไม่ดีนัก พอเล่มนี้ออกมาแค่เห็นเรื่องย่อคร่าวๆ ก็ยิ่งทำให้หมดความอยากอ่านไปอีกครึ่ง

ท้ายเล่มที่แล้ว แคมมี่หนีออกจากโรงเรียน เพื่อไปเผชิญหน้ากับองค์กรลับ Circle of Craven เพียงตัวคนเดียว เล่มนี้เปิดฉากขึ้นมาด้วยการที่แคมมี่ความจำเสื่อม จำเหตุการณ์ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาไม่ได้เลย แล้วก็ถูกพากลับมาที่โรงเรียนกัลลาเกอร์ พร้อมกับต้องพยายามตามหาชิ้นส่วนความทรงจำของตัวเอง เราว่ามุกความจำเสื่อมมันถูกใช้จนเฝือแล้ว แถมมาใช้กับเรื่องที่เป็นซีรีส์ กลายเป็นทำให้เนื้อเรื่องกับบุคลิกและความสัมพันธ์ของตัวละครดูขาดช่วงไป กับแม่กับน้าก็ไม่ค่อยได้คุย กับเพื่อนก็เข้าหน้าไม่ติด กับแซคนี่ก็ยิ่งเพลีย

แต่ก่อนเล่มแรกๆ เรารู้สึกว่าอ่านเรื่องโรงเรียนกัลลาเกอร์แล้วนึกถึงโรงเรียนฮอกวอตส์ เราหมายความในทางที่ดีนะ แต่พอมาเล่มนี้ เจอประโยคที่บอกว่า โรงเรียนกัลลาเกอร์เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ที่จะช่วยปกป้องแคมมี่จากการปองร้ายขององค์กรลับ เราก็นึกถึงฮอกวอตส์อีก แต่ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกดีต่อเรื่องชุดนี้แล้ว เฮ้อ ผูกเรื่ององค์การนี้มาแล้วหาทางออกไปต่อไม่ค่อยได้ มันก็ดูวนไปมา ขาดเสน่ห์เฉพาะของตัวเองแบบเล่มต้นๆ ไป โชคดีว่านิยายมันไม่ยาว แต่ละบทสั้นๆ ตัดไปเร็วๆ บางฉากก็สนุกใช้ได้ พออ่านจบได้เร็ว มันก็เลยยังไม่ทันเบื่อมาก ไม่งั้นรับรองบ่นยาวกว่านี้ เล่มหน้าน่าจะเป็นเล่มจบแล้ว รีบๆ ออกมาหน่อยก็ดี จะได้เคลียร์เรื่องที่ตามค้างอยู่ให้หมดๆ ไปอีกเรื่อง

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

Re-Reads: The Hunger Games (Part III)


ในบรรดาวรรณกรรมเยาวชนที่กลายเป็นภาพยนตร์ดังแล้วสร้างกระแสได้ในระดับที่เรียกว่าเป็น phenomenon มีอยู่ด้วยกัน 3 เรื่อง แบบที่มีสื่อเมืองนอกหลายแห่งขนานนามว่าเป็นตรีอติภาคแห่งปรากฏการณ์วัฒนธรรมยุคใหม่ หนึ่งคือ Harry Potter สองคือ Twilight และสามก็คือ The Hunger Games นี่แหละ ทั้งที่เนื้อเรื่องและแนวเรื่องของทั้งสามไม่ได้มีความเหมือนกันเลย จนบางครั้งแทบจะรู้สึกว่ามันน่ารำคาญที่มีคนเอามาเปรียบกันอยู่ได้ แต่โดนกรอกหูจนหนีไม่พ้นล่ะ เพราะฉะนั้นก็ลองเทียบดูหน่อย

ที่จริงเราไม่ชอบให้ใครยกอะไรมาเทียบกับ Harry Potter สมัยก่อนเคยใช้ HP เป็นบรรทัดฐานเหมือนกัน แต่พอทุกเรื่องที่อ่านหลังจากนั้นเฟลหมดเลยรู้ตัวเลิกทำ เพราะเอาอะไรไปเปรียบเทียบกับ HP ก็ไม่ยุติธรรมทั้งนั้น คงจะไม่มีเรื่องไหนอีกแล้วที่ทำได้เทียบเคียงแบบนั้น สำหรับเรา HP ไม่ใช่แค่นิยายธรรมดา แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า มนต์ขลังไม่ใช่แค่ถ้อยคำ เหมือนเราหายใจเอาอากาศสดชื่นแล้วรู้สึกได้ว่าออกซิเจนมีอยู่จริง อ่าน HP ทีไรก็ทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมมันทำให้เรารักเรื่องนี้ได้ถึงขนาดนี้นะ เรารู้จัก HP ก่อนที่สำนักพิมพ์เมืองไทยจะพิมพ์เรื่องนี้ และซื้อฉบับแปลภาษาไทยตั้งแต่วันแรกที่มันออกมา แต่พอหนังภาคแรกฉาย ก็โคตรผิดหวังเลยเหมือนกัน หลังจากนั้นตอนหลังก็ทำใจได้ว่าเวลาดูหนังอย่าเอาไปเทียบกับหนังสือ แม้ว่าเวลาดูภาค 3 ทีไร ก็ยังเกลียดตอนจบไม้กวาดบินแบบนั้นทุกที

มาถึง Twilight เราอ่านนิยายจบ 4 เล่มก่อนที่มันจะสร้างเป็นหนัง อ่านแล้วก็ชอบนะ แต่ไม่ถึงขนาดประทับใจ พอไปดูหนังก็รู้สึกว่ามันช่างห่วยเหลือเกิน ดูในโรงแค่ภาคแรกภาคเดียว ภาคอื่นดูในโทรทัศน์แบบเกือบจะหลับ ตอนนี้ภาค 4.1 ก็ยังไม่ได้ดูเลย แต่บางครั้งเวลาเพื่อนด่าเรื่องนี้ให้ฟังก็แก้ตัวอ่อยๆ ให้นิดหน่อยว่า นิยายมันก็สนุกดีนะ บอกตามตรงว่า เราไม่เคยเห็นหนังที่ประสบความสำเร็จมากๆ เรื่องไหนมีจำนวนคนเกลียดมากเท่านี้มาก่อนเลย

ตอนนี้มาถึงยุคของ The Hunger Games กระแสในบ้านเราอาจจะงั้นๆ แต่ที่อเมริกาทุบสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศไปหลายอย่าง ความเห็นคนดูก็แตก คนทั่วไปไม่พูดถึงแล้วกัน ดูเฉพาะตามแฟนฟอรั่มของเรื่องนี้ ส่วนใหญ่พอใจมาก แต่ที่ผิดหวังก็มี บอกหนังสือดีกว่า เพราะฉะนั้นสรุปว่า สำหรับเราทั้งสามมีจุดที่เหมือนกันคือ เป็นเรื่องที่ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ได้ไม่ดีเท่านิยายทั้งสามเรื่อง และขอย้ำว่า ใช้หนังตัดสินคุณค่าของสามเรื่องนี้ไม่ได้

ส่วนหนึ่งที่ทั้งสามเรื่องนี้ถูกจับเทียบกันบ่อย คงเพราะคนอ่านคนดูที่เป็นแกนหลักนั้นเป็นคนกลุ่มเดียวกัน เหมือนว่าเด็กที่อ่าน HP พอโตมาถึงวัยมีความรักก็ชอบ TW ต่อมาก็ชอบ HG แต่กลุ่มนี้ควรจะอายุมากขึ้นหน่อย เพราะต้องรับรู้ว่า หลังจากการต่อสู้ผจญภัย หลังสิบเก้าปีผ่านไป ทุกอย่างอาจไม่เป็นไปด้วยดี ชีวิตแม่งบัดซบว่ะ ทำไมทั้งสามเรื่องที่ดูไม่ค่อยเหมือนกันนี้ถึงทำให้วัยรุ่นชอบมากๆ ได้ขนาดนั้น ถ้าให้หาจุดร่วมจริงๆ นอกจากที่ว่าทั้งสามเรื่องแต่งโดยนักเขียนหญิง ก็คงอยู่ที่ทั้งสามเรื่องมีตัวเอกที่เป็นเด็กวัยรุ่น และมีตัวละครที่ดึงดูดให้คนอ่านเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยได้

ใน HP แม้จะไม่ใช่มุมมองบุคคลที่หนึ่ง แต่ก็เหมือนเราอยู่กับแฮร์รี่ตลอดเวลา ผจญภัยไปกับแฮร์รี่ตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วน TW นี่ก็อยู่ในหัวเบลล่าเลย ฉันอย่างนั้นฉันอย่างนี้ เวลาเป็นหนังอาจจะเซ็งว่าไอ้หมอนี่มันเป็นแวมไพร์ชัดๆ ทำไมนางเอกโง่ไม่รู้ตัวซะที แต่ตอนอ่านนี่กว่าจะรู้ว่าเอ็ดเวิร์ดเป็นแวมไพร์ใช้เวลาครึ่งเล่ม และทั้งๆ ที่เรารู้อยู่แล้วแต่มันก็ยังอ่านสนุกนะ เพราะสมมุติว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดกับเราจริงๆ ที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ใครจะไปคิดว่าจะมีแวมไพร์จริงๆ บ้างล่ะ และใน HG เราก็อยู่กับแคทนิสตลอดเช่นกัน คนที่ชอบทั้งสามเรื่องนี้จะต้องเปิดใจและเชื่อมโยงกับตัวละครหลักของเรื่องได้ในระดับหนึ่ง เพราะถ้าไม่ชอบตัวละครก็จบ ในใจก็จะค้านทุกสิ่งทุกอย่างของโลกในเรื่องที่มองออกมาจากตัวแฮร์รี่ เบลล่า และแคทนิส

อ่าน Part III ต่อ มีบางจุดสปอยล์เลยเถิดถึงจบ Mockingjay เลยนะ

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

About That Night - Julie James

คะแนน : 8
ตอนนี้มีชื่อชุดแล้ว เล่มนี้คือ FBI/US Attorney Series #3 เป็นเรื่องของไคล์ ฝาแฝดของนางเอกเรื่อง A Lot Like Love ไคล์โผล่มาครั้งแรกในเล่มที่แล้ว เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้พระเอกนางเอกเรื่องนั้นเจอกันนั่นเอง เพราะจอร์แดนต้องการช่วยให้ไคล์พ้นโทษออกจากคุกได้เร็วขึ้น มาเล่มนี้ไคล์ก็ได้บทพระเอกเต็มตัว

ไคล์ติดคุกในฐานะนักโทษผู้ก่อการร้ายที่ถล่มเว็บไซต์ทวิตเตอร์ล่มไปสองวัน เขาเป็นนักคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ ลูกชายมหาเศรษฐีพันล้านเจ้าของธุรกิจซอฟต์แวร์ แต่ก่อเรื่องเนื่องมาจากความเมาที่ถูกแฟนเก่าบอกเลิกใน 140 ตัวอักษร ตอนนี้เขาได้ออกจากเรือนจำมาแล้วแต่ยังถูกกักบริเวณในบ้าน ส่วนนางเอกชื่อ ไรแลนน์ (นางเอกของ JJ ชื่อ unisex ทุกคนเลย จอร์แดน, แคเมอรอน, เพย์ตัน, เทย์เลอร์) ไรแลนน์เพิ่งเลิกกับแฟนเลยย้ายมาอยู่เมืองนี้ในตำแหน่งผู้ช่วยอัยการ เป็นลูกน้องของแคเมอรอน (Something About You) งานชิ้นแรกของไรแลนน์คือการขึ้นศาลเพื่อขอลดหย่อนโทษให้ไคล์ แต่ว่านี่ไม่ใช่การพบกันครั้งแรกของทั้งสองคน เพราะเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ทั้งสองเคยพบกันในบาร์ และคืนนั้นไคล์เดินไปส่งไรแลนน์กลับที่พัก แต่โชคชะตาก็ไม่เป็นใจ ณ ตอนนั้น เมื่อมาเจอกันอีกตอนนี้ ทั้งสองจะสานต่อเรื่องราวจากคืนนั้นอย่างไร

ถ้าว่ากันในส่วนของเนื้อเรื่อง เรื่องนี้แทบไม่มีประเด็นอะไรเลย ไม่มีแอกชั่นอย่างสองเรื่องก่อนด้วย แต่ก็ยังอ่านสนุก ก็เพราะตัวละคร พระเอกนางเอกและทุกคนในเรื่องของ JJ น่ะโอเคมากๆ ฉลาด นิสัยดี มีเหตุผล รู้สึกว่าเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมาก ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีข้อเสีย ไม่เคยทำผิด แต่เพราะพวกเขาไม่ perfect ก็เลยรู้สึกว่าเขายิ่ง perfect น่ะ มีการกล่าวถึงตัวละครจากเล่มก่อนๆ บ้าง เรื่องนี้ต้องอ่านคู่กับ ALLL เลย จะได้รู้จักจอร์แดน แล้วจะอินกับฉากที่ไคล์คุยกับจอร์แดนมากขึ้น

พระเอกนางเอกเป็นคนรุ่นใหม่ทำงานทำการ ฉากและบรรยากาศของเรื่องสมัยใหม่มากๆ ชัดเจนอยู่แล้วกับการที่กล่าวถึงทวิตเตอร์ เวลาไคล์จะเช็คประวัตินางเอกก็กูเกิล และมีอยู่บรรทัดหนึ่งในเรื่องที่เราอ่านแล้วยิ้มเลย ไลแรนน์บอกว่ามีนัดจะไปดูหนังเรื่อง The Hunger Games (เดี๋ยวจะมาเขียน Re-Reads ต่อนะ พอดีช่วงที่ผ่านมายุ่งมากเลย) ฮ่าฮ่า คงเช็คไว้แล้วว่าเล่มนี้ออกหลังหนังฉายแค่ประมาณ 10 วัน เวลา JJ แต่งตรงนี้นึกปฏิกิริยาคนอ่านแล้วคงเอาลิ้นดุนแก้มอยู่แน่ๆ

อ่านเพลินเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ บทสนทนาดีมาก ตลกน่ารักแบบไม่ต้องกัดใครให้อาย พอใกล้จบยังงงนิดหน่อยเลยว่า อ้าวจะจบแล้ว แทบจะไม่มีเนื้อเรื่อง ไม่มีความขัดแย้งระหว่างพระ-นางเลย แต่ไม่มีเบื่อเลยนะ ถือว่าไม่ผิดหวัง แต่ยังไม่พีคมากเหมือนเรื่องที่มีแอกชั่น อารมณ์คล้าย Practice Makes Perfect มากกว่าเล่ม 1-2 ในซีรีส์นี้ แต่ซีรีส์นี้ยังมีต่อแน่เลย เล่มนี้เหมือนจะเปิดตัวเคด อัยการหนุ่มอนาคตไกลไว้

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

Re-Reads: The Hunger Games (Part II)


Part I ที่จบไปเน้นหนักที่การแนะนำตัวละครและการดึงคนอ่านให้รู้จักโลกในเรื่องฮังเกอร์เกมส์ ซึ่งเราคิดว่า SC ทำได้ดีมากๆ โดยเฉพาะเรื่องตัวละคร สังเกตว่าเวลาไปถามแฟนๆ HG ว่าชอบเรื่องนี้ตรงไหน บ่อยครั้งที่คนจะตอบมาว่าชอบตัวละครคนนั้นคนนี้ ตอนที่เราอ่านเรื่องนี้จนจบ 3 เล่ม เราไล่ชื่อตัวละครได้เยอะแยะว่าชอบใครบ้าง แต่ถ้าถามว่าแล้วไม่ชอบใครบ้าง คำตอบคือไม่มีเลย แม้แต่คนที่ถือว่าเป็นตัวร้ายของเรื่องก็ไม่ใช่คนเลวแบบที่ต้องเกลียด

ในส่วนของฉากก็น่าสนใจ เป็นโลกอนาคตที่มีเทคโนโลยีแปลกๆ ในเรื่องบ้าง แต่ไม่ถึงกับไฮเทคล้ำยุคแบบอวกาศ การที่ไม่อธิบายเรื่องเทคโนโลยีมากเท่าไหร่ ก็เลยยังไม่รู้สึกว่าไซไฟจ๋า และทำให้เอามาเทียบภาพปัจจุบันง่ายขึ้น

ในสรุป 9 บทแรกของเรา เราเลือกพูดถึงฉากที่ชอบ อ่านเองยังรู้สึกเลยว่าสำแดงอาการแม่ยกพีต้าออกนอกหน้ามาก ตอนที่อ่านรอบแรกเราก็ไม่ได้อารมณ์นี้ และไม่ได้นั่งเชียร์เรื่องความรักขนาดนี้ด้วย สนใจความเป็นไปของโลกในเรื่องและการดำเนินเรื่องมากกว่านี้ แต่เพราะนี่เป็นการอ่านซ้ำ การลุ้นเนื้อเรื่องก็ไม่เน้นแล้ว เราตั้งใจเก็บรายละเอียดในส่วนของตัวละครโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจนะคะว่า ทำไมไม่เห็นเหมือนที่คุณอ่าน คนอื่นไม่รู้แต่เทียบกับที่มาร์คอ่านก็ไม่เหมือนเราอ่าน ส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะเป็นผู้ชายกับผู้หญิงก็เลยเก็บประเด็นไม่เหมือนกัน เรื่อง HG นี่เขาเรียกว่า มี something for everyone เพราะมีประเด็นหลากหลายอยู่ในเรื่องนี้ อ่านให้โรแมนติกก็ได้ แอกชั่นก็ได้ ดราม่าก็ได้ การเมืองแบบเครียดๆ เลยก็ยังได้

เราอยากอ่านรอบนี้โดยสมมุติให้เป็นมุมมองของพีต้า คล้ายๆ กับว่าเราอ่าน Midnight Sun ที่เป็น Twilight ในมุมมองของเอ็ดเวิร์ดน่ะ ซึ่งเราคิดว่า นี่เป็นจุดที่ทำให้การอ่านนิยายได้เปรียบกว่าการดูหนังมาก หนังสือสื่อสารถึงสมองเราโดยตรง และจินตนาการของคนเราก็ขยายขอบเขตออกไปได้กว้าง แต่การดูหนังถูกจำกัดมุมมองจากสิ่งที่ผู้สร้างทำมา เหมือนไปดูจินตนาการคนอื่นซึ่งมันก็คงไม่ได้อย่างใจทุกอย่าง

อ่านต่อ Part II

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

Re-Reads: The Hunger Games (Part I)


ไหนๆ แล้ว เดือนนี้ยกให้เป็น Hunger Games Month เลยแล้วกัน เพราะดูหนังจบแล้วไม่ได้ดังหวัง เราไม่อยากให้หนังทำให้ความรู้สึกที่เรามีต่อเรื่องนี้เสียไป เพราะฉะนั้นมันต้องอ่านนิยายอีกรอบเพื่อปรับอารมณ์ มาถึงตอนนี้แล้ว เรารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ตอนนั้นได้อ่าน Hunger Games เล่มแรก แบบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลย และก็ไม่มีความคาดหวังอะไรมาก่อนทั้งสิ้น เพราะถ้าเพิ่งมาอ่านช่วงนี้ เราคงเจอสปอยล์ไปเยอะแล้ว ซึ่งบล็อกเราเองก็อาจจะเป็นตัวการที่ไปสปอยล์คนอื่นด้วยเหมือนกันแหละ ถ้าโดนสปอยล์มามันก็คงไม่ได้ความสนุกลุ้นตลอดแบบตอนอ่านรอบแรกคราวนั้นก็ได้

ประสบการณ์การอ่าน Hunger Games แบบไม่รู้อะไรมาก่อนเลยเป็นยังไง อยากให้ลองไปดูที่เว็บของนักอ่านฝรั่งคนนี้ค่ะ เราเจอเว็บนี้เมื่อปีที่แล้ว มาร์คเขาจะอ่านไปทีละบท บอกความรู้สึกของเขาไปตลอดแทบทุกพารากราฟ ตอนแรกมาร์คก็ระแวง HG แต่พออ่านไปๆ ความรู้สึกเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยน แค่เราอ่านปฏิกิริยาของมาร์คตอนอ่านเรื่องนี้ เรายังสนุกไปด้วยเลย เห็นที่เขาเขียนแล้วเสียดายเหมือนกันที่ตอนอ่านรอบแรก เราไม่ได้เขียนบล็อกตัวเองให้มันยาวๆ กว่านี้ จะได้เก็บเป็นบันทึกความทรงจำของตัวเอง

อ่านใหม่รอบนี้ก็จดซะหน่อยแล้วกัน แต่เอามาแชร์ในบล็อกด้วยสำหรับคนชอบเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะจากเว็บของมาร์คทำให้เรารู้ว่า แค่การอ่านว่าคนที่ชอบเรื่องนี้เขาชอบตรงไหนบ้าง เหมือนเรามั้ย มันก็เพลินดี แต่เขียนยาวๆ แบบมาร์คไม่ไหว เอาเฉพาะประเด็นที่อยากพูดถึง ยังต้องเตือนอีกมั้ยคะว่าสปอยล์ แถมนี่เป็นการอ่านซ้ำของคนที่อ่านครบ 3 เล่มแล้ว เพราะฉะนั้น มันอาจจะมีการพูดถึงสิ่งที่เกี่ยวพันไปถึงเนื้อเรื่องจนจบด้วย คนที่ยังอ่านไม่ถึง Mockingjay คิดว่าทำคุณแก่ตัวเอง อย่าอ่านต่อเลยนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

The Hunger Games (Movie)



A little hope is effective, a lot of hope is dangerous.

บทพูดของประธานาธิบดีสโนว์ประโยคนี้ในภาพยนตร์ ที่ไม่มีในหนังสือ
ใช้สรุปความคิดของเราหลังดูหนัง The Hunger Games ได้ดีที่สุด
มีความหวังบ้างมันก็ดี แต่หวังมากก็อันตราย
เพราะตอนนี้รู้สึกเหมือนถูกลูกโป่งที่ชื่อความหวังแตกใส่หน้า


Update: 24 ชั่วโมงหลังดูหนังจบ
เมื่อวานออกจากโรงกลับถึงบ้าน เรานั่งพูดระบายความผิดหวังที่หนังทำไม่ได้อย่างใจให้น้องฟังไปครึ่งชั่วโมง หายอัดอั้นไปเยอะล่ะ เผื่อถ้าใครอยากรู้ว่าเราบ่นอะไรไปบ้าง ก็ลองอ่านดูค่ะ

เริ่มแรกคงต้องพูดถึงความคาดหวังก่อนดูของตัวเองก่อน เพราะว่ามันคงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลังดูรู้สึกแบบนี้ เราหวังกับหนังเรื่องนี้มากๆ ตั้งตาเฝ้ารอ แต่ทั้งๆ ที่พยายามบอกตัวเองให้ลดระดับความคาดหวัง ให้สงบใจไว้ แต่ก็คอนโทรลอารมณ์ตื่นเต้นรอคอยไม่ค่อยอยู่ หนึ่งเพราะชอบนิยายเรื่องนี้มาก สองเพราะเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่ปลื้มเป็นการส่วนตัว และสามคือ แผนการโปรโมทของไลอ้อนส์เกตที่บิลท์กระแสได้น่านับถือจริงๆ ปล่อยของออกมายั่วตลอด ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ในแฟนไซต์ต่างๆ ของ HG มีข่าวใหม่ให้ลุ้นทุกวัน ทั้งทีเซอร์ เทรลเลอร์ มิวสิคฯ ภาพนิ่ง เว็บไซต์, fb, tumblr, สัมภาษณ์ และมากระหน่ำกันสุดๆ ช่วง 1-2 วีคนี้ และแต่ละอย่างเท่าที่ปล่อยออกมามันก็ดูดีได้ใจเกือบทั้งนั้น บวกกับทีมนักแสดง เท่าที่ติดตามข่าวมา แต่ละคนนิสัยน่ารักมากๆ ทั้งนั้นเลย และยิ่งหวังไปกันใหญ่เพราะรีวิวจากนักวิจารณ์ที่ออกมาดีมาก

กลับกลายเป็นว่า ทุกอย่างที่เห็นมาว่าน่าดู พอไปอยู่ในตัวหนังจริงๆ แล้ว ดับไปเกือบหมด

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

The Hunger Games: Official Illustrated Movie Companion


เล่มนี้สั่งซื้อล่วงหน้าไปตั้งนานแล้วแต่เพิ่งได้อ่าน สองจิตสองใจอยู่นานเลยนะ ใจนึงก็อยากรู้ทุกเรื่อง อีกใจนึงก็กลัวสปอยล์ แต่มาคิดดูจากการตามข่าวฮังเกอร์เกมส์มาตลอด ยิ่งช่วงนี้ตามแฟนไซต์อัปเดตถี่มากเกือบทุกชั่วโมง สปอยล์ตัวเองไปเยอะแล้วล่ะ นี่ถ้าเกิดไปดูหนังแล้วไม่ปลื้มเท่าที่รอ คงเซ็งเหมือนกัน เหมือนแบบสมัยดู Harry ภาค 1 ที่คาดหวังกับตัวหนังมากเกินไป

เล่มนี้เป็นคู่มือภาพยนตร์ Hunger Games เล่มใหญ่ไซส์นิตยสาร ข้างในมีรูปประกอบกับเรื่องราวเบื้องหลัง ก็มันชื่อ Illustrated เพราะฉะนั้นรูปเพียบ แต่รูปภาพพวกนี้ก็เห็นกระจายกันว่อนใน tumblr นานแล้ว ในด้านเนื้อหา สำหรับคนที่อ่านข่าวฮังเกอร์เกมส์ทุกวันมาเป็นปีก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกใหม่มากมาย แต่การที่นำข้อมูลน่าสนใจต่างๆ มารวบรวมอยู่ในเล่มเดียว ในรูปเล่มสวยๆ แบบนี้ก็รู้สึกว่าคุ้มแล้วล่ะ

สรุปข้อมูลใหม่ที่ได้จากเล่มนี้
- ก่อนลงมือเขียนนิยาย ซูแซนน์ คอลลินส์ ส่งเอาท์ไลน์สามหน้าครึ่งเล่าเนื้อหาสามเล่มให้สำนักพิมพ์ดูก่อน แค่นั้นก็ได้เซ็นสัญญาเลย ก่อนที่จะใช้ชื่อ The Hunger Games ในร่างต้นฉบับใช้ชื่อเรื่องว่า The Tribute of District Twelve (เครื่องบรรณาการจากเขตสิบสอง สังเกตว่าไม่มี s แปลว่าหมายถึงแคทนิสคนเดียว)
- โดนัลด์ ซัทเธอร์แลนด์ บอกให้ตัวแทนของเขาส่งจดหมายไปหาผู้กำกับ แกรี่ รอส บอกว่า เขาได้อ่านสคริปต์แล้ว สนใจบทประธานาธิบดีสโนว์ ตอนแรก ผกก. ก็ไม่แน่ใจว่านักแสดงระดับนี้อยากเล่นจริงเหรอ ภาคแรกมีบทแค่มายืนกล่าวสุนทรพจน์แค่นั้นนะ แต่พอได้อ่านจดหมายที่ซัทเธอร์แลนด์อธิบายมุมมองของเขาที่มีต่อบทสโนว์ รอสก็ประทับใจมาก จนเพิ่มบทที่ไม่มีในหนังสือให้อีกสองฉากเลย

อัปเดตข้อมูลล่าสุดที่รู้ในส่วนของเนื้อหาหนัง Hunger Games ใครไม่กลัวสปอยล์ก็ตามมา

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

Serena - Ron Rash

คะแนน : 7

ถ้าหนึ่งภาพสามารถแทนได้พันคำจริง นี่คือกราฟความรู้สึกของเราตอนอ่านนิยายเรื่องนี้

เรื่องย่อคือ คู่สามีภรรยาแต่งงานใหม่ จอร์จและเซรีน่า เพมเบอร์ตัน เดินทางมาถึงผืนป่าอุดมสมบูรณ์บนภูเขาในมลรัฐนอร์ธแคโรไลน่า เพื่อสร้างชีวิตใหม่ร่วมกัน เซรีน่าเป็นหญิงที่ไม่เหมือนใคร เธอสั่งการคนงานในปางไม้ ล่างูหางกระดิ่ง แม้กระทั่งยิงสัตว์ร้ายเพื่อช่วยชีวิตสามี แต่แล้วเมื่อเซรีน่ารู้ตัวว่า เธอจะไม่มีวันมีลูกได้ กลับกลายเป็นแรงขับเคลื่อนเหตุการณ์ต่างๆ นานาที่เปลี่ยนชีวิตทุกผู้คนในชุมชนนี้

จากเรื่องย่อบนปกหลังกับตามรีวิวต่างๆ ไม่กี่บรรทัด เรานึกว่ามันจะเป็นการเกริ่นนำเข้าเรื่องแค่นั้น เอาเข้าจริง มันกินใจความของเนื้อเรื่องไป 2/3 เล่มเลย ตอนอ่านถึงฉากที่รู้ว่าจะมีลูกไม่ได้ แปลกใจว่าเขาสปอยล์เรื่องมาไกลเหมือนกันนะ แต่มาคิดอีกทีก็เข้าใจ เนื้อเรื่องจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรมาก เป็นดราม่าของตัวละครเอกหญิงชาย กับภาพชีวิตในแคมป์ตัดไม้ยุคเศรษฐกิจตกต่ำช่วงปี 1929

จากรีวิวเขาเปรียบเทียบเรื่องนี้ว่าเป็น Macbeth ในยุคปัจจุบัน ก็พอมองเห็นว่าเรื่องนี้ดำเนินตามรอยแบบนั้น เพมเบอร์ตันกับเซรีน่าเป็นเจ้าของสัมปทานป่าไม้ เซรีน่าก็เป็นเหมือนเลดี้แม็คเบ็ธ ยุสามีให้กำจัดหุ้นส่วนทางธุรกิจ ใครขัดผลประโยชน์ก็ฆ่าทิ้งไปทีละคนสองคน ไม่เคยอ่านนิยายเรื่องไหนที่มีการตายเกิดขึ้นเกือบทุกบท แต่ไม่ทำให้รู้สึกอะไรเลยสักนิดทั้งเรื่องแบบนี้เลย เพราะเราไม่ได้เห็นเวลามีคนตาย คนอ่านรู้ก็จากการที่ตัวละครประกอบสองคนมายืนคุยกัน บอกว่าคนนั้นตายคนนี้ตาย แบบว่าพวกคนที่ตายถูกเอ่ยถึงผ่านๆ โดยเฉพาะพวกคนงาน ราวกับไม่มีหน้า ไม่มีชื่อ เหมือนใบไม้ร่วงปลิวๆ ไป ก็เข้าใจว่าการใช้ตัวประกอบมาบอกบทที่เกิดนอกฉากให้คนรู้เป็นเทคนิคที่เอามาจากบทละครเวที แต่เป็นนิยายแล้วเล่าเรื่องแบบนี้รู้สึกมันแปลกๆ

เซรีน่าเป็นตัวละครที่อยู่บนชื่อเรื่อง แต่คนอ่านจะไม่ได้รู้สึกใกล้ชิดกับเธอเลย เนื้อเรื่องดำเนินไปกับตัวเพมเบอร์ตันมากกว่า แต่เป็นการเดินตามเพมเบอร์ตันที่ส่งสายตามองเซรีน่าอยู่ตลอดเวลา พอเข้าใจนะว่าเมื่อสร้างเป็นหนัง บทเซรีน่าจะเป็นบทเด่นที่ได้โชว์ฝีมือการแสดงเยอะ ถึงได้มีข่าวว่าแอนเจลิน่า โจลี่ เคยสนใจบทนี้ เพราะหยิ่ง โหดเหี้ยม ฉลาดเจ้าเล่ห์ ทะเยอทะยาน ฆ่าไม่ปรานีเพื่อกุมอำนาจ น่าจะต้องเล่นให้เหมือน อัล ปาชิโน ใน God Father II หรือเคต แบลนเชตต์ ใน Elizabeth ตอนใกล้จบเรื่อง

แต่ตอนอ่านเป็นนิยายนี่ เราไม่เคยอินกับเซรีน่าเลย เพราะเป็นนางเอกที่เลวเกิน ถ้าอย่างเรื่องอื่นๆ ที่พระเอกนางเอกออกแนวโฉดหน่อย ตัวเอกจะเริ่มต้นจากการเป็นคนดีก่อนแล้วค่อยๆ ถลำลงสู่ด้านมืด แบบสองเรื่องข้างบน หรืออนาคิน หรือแม้แต่ยางามิ ไลท์ ก็ยังน่าติดตาม รู้สึกว่าเป็นพัฒนาการของตัวละคร แต่เซรีน่าเหมือนเข็มทิศจิตสำนึกหัก เราไม่เข้าใจความคิดของคนแบบนี้ ไม่ปูพื้นหลังให้คนอ่านมีส่วนร่วมกับตัวละครด้วย นอกจากการเขียนที่ไม่ดึงดูดให้ผูกพันกับตัวละครแล้ว อีกอย่างก็คงเป็นที่สำนวน เหมือนภาษาเขาจะสวยนะ แต่เราอ่านแล้วรู้สึกว่ามันเรื่อยเปื่อยไร้อารมณ์มาก

ตกลงว่าตัวละครก็ไม่ชอบ เนื้อเรื่องก็ไม่สนุก แต่อีกสองปีหนังฉายก็ต้องดูแน่ๆ เพราะเหตุผลเดียวคือชื่อเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ตามดูมาตั้งแต่ Winter's Bone แล้ว เข้าใจว่า แบรดลีย์ คูเปอร์ กับ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ คงจะกลัวคนติดภาพการเล่นหนังบล็อคบัสเตอร์ ระหว่างรอเล่นภาคต่อของ Hangover กับ Hunger Games เลยพยายามฉีกตัวมารับบทในเรื่องดราม่าแนวนี้บ้าง ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มันจะถึงระดับ Oscar potential อย่างที่นักวิจารณ์ว่าจริงรึเปล่า แต่คิดว่าในบ็อกซ์ออฟฟิศ ไม่น่าจะทำเงิน

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Celebrity in Death - J. D. Robb

คะแนน : 7.25

นิยาย In Death เล่มที่ 34 เนื้อเรื่องของเล่มนี้คือ คดีใน Origin in Death ที่นาดีนเอาไปเขียนเป็นหนังสือดัง ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เมื่ออีฟได้รับเชิญให้ไปงานเลี้ยงที่ทีมผู้สร้างหนังจัด ก็เกิดเหตุฆาตกรรมนักแสดงในเรื่อง

ช่วงต้นเรื่องอ่านสนุกดีมากเลย แต่พอกลางเรื่องชักแผ่ว พอรู้ตัวคนร้ายก็กร่อย จากเนื้อเรื่องภูมิหลังของคนร้าย ไม่ค่อยน่าเชื่อที่ฆาตกรจะลอยนวลมาได้นานขนาดนี้ เนื้อเรื่องช่วงสุดท้ายจืดสนิท เพราะการกระทำของคนร้ายไม่ค่อยสมเหตุสมผล  แถมอีตอนการพยายามฆ่าครั้งสุดท้ายก็ไม่ฉลาดเลย คนจะฆ่าตัวตายใครเขาจะเอายานอนหลับใส่ในขวดไวน์ก่อนเป็นวัน เวลามีการพิสูจน์หลักฐานก็ต้องเหลือร่องรอยในขวด ไม่ต้องถึงมือตำรวจฉลาดอย่างอีฟ เป็นใครก็ต้องสงสัยอยู่แล้วล่ะ

ในส่วนเรื่องราวอื่นๆ ก็ไม่ค่อยมีอะไรอีก ตอนนี้เป็น In Death ที่เรื่อยๆ ธรรมดามากเลย

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

The Stand - Stephen King

คะแนน : 8

The Stand: The Complete & Uncut Edition ความหนาปาเข้าไป 1,400 กว่าหน้า ถ้าไม่ใช่คนเขาบอกว่า นี่คือเรื่องของคิงที่นักอ่านชอบกันมากที่สุด ก็ไม่กล้าหยิบนะเนี่ย

ในประเทศสหรัฐอเมริกา เกิดอุบัติเหตุในห้องทดลองอาวุธชีวภาพ จนเชื้อโรคร้ายหลุดออกมา ทำให้ประชากรมนุษย์ตายไปเกิน 99% ของคนทั้งโลก บางเมืองตายหมดเหลืออยู่คนเดียว คนที่ยังอยู่ก็ต้องพยายามฟันฝ่า และเดินทางมารวมตัวกัน แต่หายนภัยครั้งนี้ยังไม่จบ เมื่อเหล่าผู้มีชีวิตรอดถูกผลักเข้าสู่สงครามตัดสินระหว่างความดีกับความชั่ว

ตอนอ่านเล่มนี้ ความรู้สึกเหมือนตอนอ่านการ์ตูนเรื่อง 20th Century Boys เนื้อเรื่องไม่เหมือนกัน แต่บรรยากาศและองค์ประกอบต่างๆ ในเรื่องมีส่วนผสมหลายอย่างคล้ายกัน คือฉากเป็นเรื่องยุคอนาคตอันใกล้ (แต่เอามาอ่านตอนนี้มันจะเป็นเรื่องย้อนยุคไปแล้ว) ชอบพูดถึงดนตรี มีกลุ่มตัวละครเยอะๆ เล่าเรื่องกระจัดกระจายตามบทบาทตัวละคร มีอาวุธไวรัส ได้เห็นการจัดระเบียบสังคมโลกยุคใหม่ และมีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติปะปนในเรื่อง เป็นแนวปนๆ กันระหว่าง sci-fi, mystery, thriller, fantasy

เนื้อเรื่อง The Stand แบ่งเป็น 3 ส่วน ช่วงแรกเล่าเรื่องการแพร่ระบาดของโรค ฟังดูธรรมดาไม่ค่อยน่าสนใจเลยนะ แต่จริงๆ เนื้อเรื่องอ่านสนุกดีมาก ทั้งที่พล็อตเหมือนจะตามสูตรเดาได้ แล้วเล่มที่หนาก็ไม่ใช่เพราะเนื้อเรื่องเยอะ ส่วนใหญ่เป็นรายละเอียดจิ๊บจ๊อยซะมากกว่า แต่เพราะวิธีการเล่าเรื่องที่ดี มันก็อ่านแล้วลุ้นดี

เรื่องนี้มีตัวละครเยอะ ตัดสลับไปสลับมาจนแรกๆ งงเหมือนกันว่าใครเป็นใคร แต่พอไปเรื่อยๆ ก็จำได้ และดีที่ยังมีคนที่พอจะยกให้เป็นพระเอกของเรื่องได้ ปรกติไม่ชอบนึกหน้าตัวละครจากนักแสดงคนไหน แต่เวลากล่าวถึงคุณพี่สตู เรดแมน ทีไรนี่ เห็นหน้า ฮิวจ์ แจ็คแมน ลอยมาทุกทีเลย ที่จริงไม่ชอบแฟรนนี่เท่าไหร่ แต่ก็พอรับให้เป็นนางเอกได้ พวกนิคกับแลร์รี่ก็โอเค เรื่องนี้โชคดีที่ยังชอบกลุ่มตัวเอก ถ้าตัวละครเยอะตัดไปตัดมาแล้วไม่มีคนที่เราชอบเลยนี่คงมีปัญหา

แต่พอจบเนื้อเรื่องช่วงแรก จากไซไฟอยู่ดีๆ กลายเป็นแฟนตาซี ทุกคนจะเจอความฝัน แล้วก็จะเลือกเดินทางไปหาหญิงชราหรือเดอะดาร์คแมน ช่วงนี้ใช้แนวคิดจากศาสนาคริสต์เป็นแกนหลัก ศรัทธาพระเจ้า การต่อสู้กับซาตาน แอบคิดว่าเยอะไปหน่อยนึง ไม่ค่อยชอบเรื่องที่อิงศาสนาเท่าไหร่ แต่คิดซะว่ามันคือสัญลักษณ์การต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่วในจิตใจมนุษย์ก็พอไหว ยังไงเนื้อเรื่องก็น่าติดตามดี แต่นิยายนี้เป็นเรื่องเก่า พิมพ์ครั้งแรกก็นานมาแล้วตั้งแต่ยุค 70 ประเด็นแฝงในเรื่องก็อาจจะดูล้าสมัยไปหน่อย กลัวอาวุธเชื้อโรค กลัวระเบิดปรมาณู การแบ่งค่ายระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์ ฯลฯ

เนื้อเรื่องช่วงสุดท้ายนี่ตอนอ่านเรานึกถึงลอร์ดออฟเดอะริงส์มากๆ เลย โดยเฉพาะตอนเดินทางข้ามเขาผ่านหิมะนี่ จนอ่านจบแล้วมาดูข้อมูล อ้อ เพราะคนเขียนตั้งใจจะให้เรื่องนี้เป็น The Lord of the Rings ที่ใช้ฉากแบบอเมริกันนั่นเอง มิน่าล่ะ โดยรวมๆ แล้วนี่เป็นนิยายที่ตอนอ่านน่ะชอบ แต่ถ้าเอามาอ่านใหม่ก็คงไม่สนุกเท่าไหร่แล้ว และความยาวขนาดนี้ก็คงอ่านซ้ำไม่ไหว เพราะฉะนั้นเอาคะแนนไป 8 ถ้วนๆ พอ

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Beastly: Lindy's Diary - Alex Flinn

คะแนน : 7
Beastly: Lindy's Diary เป็นภาคพิเศษของเรื่อง Beastly ที่ใช้เนื้อเรื่องจากใน Beastly มาเขียนใหม่ในรูปแบบไดอารี่ของลินดี้ที่เป็นนางเอก เป็นอีบุ๊คสั้นๆ อ่านแป๊บเดียวจบ เห็นว่าฉบับพิมพ์เป็นเล่มจะไปรวมอยู่ใน Beastly Special Edition ที่พิมพ์ใหม่ เห็นงานของ Alex Flinn (ยกให้เป็นเจ้าแม่นิยายรักโรแมนติคคอมเมดี้เลยเหรอ ขนาดนั้นเชียว) เปลี่ยนปกใหม่ทั้งเซตเลย คงเพื่อให้เข้าชุดกับเรื่องใหม่ Bewitching ที่เป็น spin-off ของเรื่องนี้ ให้แม่มดเคนดร้าเป็นตัวเอก

เหตุการณ์ในเรื่องเหมือนที่เกิดใน Beastly ทุกอย่าง แต่ย่นย่อกว่ามาก การเล่าจากมุมมองของลินดี้ยังไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ เวลาอ่านความคิดลินดี้แล้ว ทำไมรู้สึกว่านางเอกของเรื่องน่ารักน้อยลงกว่าตอนมองผ่านจากสายตาของเอเดรียนนะ ลินดี้ดูไม่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งอ่อนหวานน่ารักเหมือนเบลล์เวอร์ชันดิสนีย์เลย

(นอกเรื่องหน่อย ทำไม Beauty and the Beast 3D ไม่เข้าไทย อยากดูอ่ะ ตอนเวอร์ชัน IMAX จอใหญ่ก็เห็นมีคนดูเยอะนะ ทำไม 3D ไม่มาล่ะ เรื่องนี้เป็นการ์ตูนดิสนีย์อมตะนิรันดร์กาลในใจเรา ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก เพลงก็เพราะที่สุดแล้ว เรื่องอื่นน่ะดูรอบเดียว ยุคหลังปี 2000 ไม่ได้ดูแล้ว แต่ดิสนีย์ยุคกลางๆ นี่เราชอบเรื่องเว้นเรื่อง ถ้าเรื่องไหนตัวเอกเป็นผู้หญิงจะชอบมากกว่า พวกเจ้าหญิงดิสนีย์เธอจะต้องสู้ฝ่าฟันเอาชนะโชคชะตา ต้องพิสูจน์ให้ผู้อื่นยอมรับบทบาทของเธอ อย่างเงือกน้อย มู่หลาน โพคาฮอนทัส ฯลฯ ถ้าตัวเอกเป็นผู้ชายจะชอบน้อยหน่อย เพราะพวกดิสนีย์บอยน่ะอ่อนแอกว่า ต้องหนี ต้องโกหกว่าเป็นอะไรที่ตัวเองไม่ได้เป็น อย่างซิมบ้า อาละดิน เฮอร์คิวลิส ฯลฯ ประเด็นในเรื่องจะเป็นการต้องเอาชนะจิตใจตัวเองมากกว่า เลยรู้สึกว่าเก่งสู้ตัวเอกหญิงไม่ได้ ฮ่าฮ่า สงสัยอาจเพราะเป็นผู้หญิงเลยลำเอียง)

ไม่รู้สึกว่าได้อะไรใหม่จากในเรื่องสั้นนี้มากนัก แต่ก็โอเคแหละ อ่านได้เรื่อยๆ ยังไงนิทานเรื่องนี้มันก็เป็นพล็อตเรื่องโปรดของเราอยู่แล้ว ก็ถือเป็นโบนัสเฉยๆ มั้ง อาจจะเหมาะถ้าอยู่ในเล่มเดียวกัน แล้วพลิกกลับไปกลับมาอ่านเทียบกับฉากเดียวกันในเล่มหลักได้

ป.ล. อ้อ ลืมบอกว่า ชอบชื่อตัวละครเวอร์ชันนี้ เล่นคำดี ในเรื่องบอกว่า ไคล์แปลว่า handsome เอเดรียนแปลว่า the dark one แล้วก็ชอบตอนไคล์คุยกับลินดี้แล้วบอกว่า Lindy is pretty เพราะชื่อลินดาในภาษาสเปนแปลว่าสวย

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

Mayme Angel - Igarashi Yumiko


*หมายเหตุ: มีความจำเป็นต้องแก้ไขข้อความค่ะ รู้สึกว่าคนทำเขาไม่สบายใจ ก็ไม่พูดถึงดีกว่านะ

การ์ตูนเรื่องนี้เป็นผลงานของ อิงาราชิ ยูมิโกะ คนวาดเรื่องแคนดี้จอมแก่น และจอร์จี้ที่รัก แคนดี้นี่เรื่องในตำนาน ความจริงตอนเด็กเราจำอะไรเกี่ยวกับแคนดี้ไม่ค่อยได้ แต่ตอน VBK ทำเวอร์ชันปกแข็งก็ซื้อเก็บนะ มันก็ดีจริงแฮะ ส่วนจอร์จี้นี่อ่านใน Gift Mag แล้วมาตามต่อรวมเล่ม ของสยามสปอร์ตมั้ง โดนชั่งกิโลขายหมด โชคดีที่ Evolution X พิมพ์ใหม่ ฉากที่จอร์จี้ไปหาอาเบลในคุก จำได้ว่าสมัยนั้นอ่านแล้วตาโต ว้ายกรี๊ด ตอนนั้นถือว่าโป๊มากนะ แต่พอมาเจอการ์ตูนผู้หญิงยุคหลัง แบบในจอร์จี้ก็เด็กๆ ไปเลย เราอ่านอยู่จนถึงรุ่น MiMi, LaLa แต่พอเจอแต่แนว ชินโจ มายู ที่เอะอะอะไรก็จับกด ก็เลิกอ่านโชโจไปเกือบหมดก็เพราะช่วงนั้นแหละ

ไมมี่แองเจิล เป็นเรื่องในอเมริกายุคบุกเบิกตะวันตก ตอนที่ไมมี่ยังเด็กได้รู้จักกับจอห์นนี่ เพราะเขาช่วยสุนัขตกน้ำจนตัวเองบาดเจ็บ จอห์นนี่เดินทางตามพ่อที่ไปตั้งรกรากทางตะวันตก ทั้งสองก็เลยต้องแยกกัน ไมมี่ตั้งใจจะเป็นเจ้าสาวของจอห์นนี่ในอนาคต เวลาผ่านไป ในที่สุดครอบครัวของไมมี่ก็ตัดสินใจออกเดินทางร่วมไปกับกองคาราวาน มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางมุ่งสู่ตะวันตก เมื่อมาถึงเขตแดนโอเรกอน ไมมี่ได้พบกับจอห์นนี่ที่แกล้งทำเป็นไม่รู้จักเธอ เขาเปลี่ยนแปลงไปเพราะความแค้นที่พ่อถูกฆ่า และไมมี่ก็ได้เจอกับอัลแมน ลูกพี่ลูกน้องของเธอ ที่พยายามต่อต้านดัลตั้น คนเลวที่ตั้งตัวแผ่อิทธิพลข่มขู่เหล่านักบุกเบิกทั้งหลายให้อยู่ใต้อำนาจ ถึงแม้อัลแมนจะแสนดี แต่ไมมี่ก็หยุดคิดถึงจอห์นนี่ไม่ได้เลย

ไมมี่เป็นเรื่องที่วาดหลังจากแคนดี้ ก่อนจอร์จี้ งานภาพก็ถือว่าเป็นช่วงที่วาดสวยที่สุด วาดเหมือนกันสามเรื่องนี้ ลายเส้นคงที่ตลอดเรื่อง ตาโตวิ้งๆ เนื้อเรื่องก็อ่านสนุกดีนะ พอมาอ่านตอนโต ไมมี่นี่เธอโลกสวยมาก ท่องมนตร์แต่ว่า สันติ อภัย เลิกสู้ เลิกแก้แค้น แล้วก็ยึดติดกับจอห์นนี่จนเว่อร์เลย เคยเจอกันตอนเด็กแป๊บเดียวเอง แต่พอดีเราก็เชียร์จอห์นนี่ เพราะชอบหน้าตาที่หน้าเหมือนอาเธอร์ เลยรอดไปเชียร์ถูกคน ฮ่าฮ่า ไม่งั้นสงสารอัลแมนแย่เลย

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

5 ฉากประทับใจ ตอนประกาศข่าวใหญ่

หลังจากผิดหวังกับ A Tapestry of Spells ไปหาอ่านรีวิวเล่ม 5-6 แบบสปอยล์มาแล้ว คิดว่าถึงไม่อ่านก็คงไม่ได้พลาดอะไรไปนัก งั้นแค่นี้ก็โอเคแล้วมั้ง แก้เซ็งด้วยการกลับไปอ่านบางตอนที่เราชอบในภาคก่อน อ่านแล้วก็ยิ้มได้ ช่วยฟื้นความรู้สึกดีกับเรื่องชุดนี้ขึ้นมาได้เยอะเลย

สปอยล์มากๆ เรื่องไหนยังไม่อ่านก็ข้ามๆ ไป

Princess of the Sword (Nine Kingdoms #3) - Lynn Kurland

นี่เป็นฉาก Epilogue ของเล่ม พระเอกนางเอกแต่งงานกันมา 4 เดือนแล้ว เป็นราชากับราชินีปกครองอาณาจักร พระเอกคือ เมียช (ไม่รู้อ่านถูกรึเปล่า Miach ชื่อเต็มว่า Mochriadhemiach เป็นพระเอกชื่ออ่านยากที่สุดคนหนึ่งที่เคยเห็นมา ตอนอ่านบางทีก็เรียกชื่อในใจแค่ เอ็ม) พระเอกยืนดูนางเอก มอร์แกน ฝึกดาบกับทหารองครักษ์ คือนางเอกเป็นสาวแกร่ง เป็นนักดาบที่เก่งกล้า และเป็นสาวซึน ตลอดเรื่องก็งอนพระเอกไปหลายรอบ ทีนี้มอร์แกนก็หน้าซีด วิงเวียน พอพระเอกรีบเข้าไปดู นางเอกก็บอกว่า ไม่รู้เป็นอะไร พักนี้กินอะไรก็คลื่นเหียนอาเจียน สงสัยฉันอาจจะเป็นโรคร้าย อยู่ได้อีกไม่นาน เราสองคนคงจะมีช่วงเวลาแห่งความสุขกันได้แค่นี้ พระเอกก็เลยบอกว่า อาจจะเพราะว่าเธอกำลังท้องก็ได้นะ แล้วก็โคร้ม พระเอกถูกผลักตกน้ำไปเลย นางเอกตกใจไม่ทันตั้งตัว น่ารักมากกกก

ทีนี้ก็ทำให้นึกถึงฉากแบบนี้ในเรื่องอื่นๆ บ้าง ตอนที่นางเอกบอกข่าวใหญ่เรื่องท้องให้พระเอกรู้ ที่เด่นๆ ประทับใจก็มีประมาณนี้ ไม่ได้เรียงลำดับความชอบนะ

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

A Tapestry of Spells - Lynn Kurland

คะแนน : 7

ช่วงก่อนหน้านี้วุ่นมาก ต้องไปทั้งงานแต่ง งานศพหลายวัน ลางานก็ไม่ได้ ไม่รู้เพราะเล่มนี้ถูกเลือกมาอ่านตอนที่พอดีมีเรื่องเยอะ หรือว่าเพราะมันไม่สนุกเองก็ไม่รู้ อ่านแล้ววาง อ่านแล้ววาง เป็นอาทิตย์เลย

เล่มนี้เป็นเรื่องในชุด Nine Kingdoms เล่ม 4 ซึ่งเราชอบไตรภาคแรกอยู่พอสมควรทีเดียว พอมันมีไตรภาคที่สองก็รอจนมันออกเล่มจบเมื่อต้นเดือนนี้ค่อยเอามาอ่าน เรื่องชุดนี้เป็นแนวโรแมนติกแฟนตาซี คือฉากเป็นโลกแฟนตาซี มีเวทมนตร์ มีเมจ มีเอลฟ์ และก็มีเรื่องความรักระหว่างพระเอกนางเอก ก็อาจจะดีสำหรับคนที่ชอบอ่านทั้งสองแนว แต่พอเอาเข้าจริง มันอาจทำให้กลุ่มคนอ่านมีน้อยก็ได้ เพราะมันไม่สุดไปสักทาง

เนื้อเรื่องเล่มนี้มีแค่ว่า นางเอกชื่อซาร่าห์ มาขอให้รุธ พ่อมดที่เก็บตัวเงียบ ช่วยร่วมเดินทางไปติดตามพี่ชายของเธอ ที่ไปพบเศษกระดาษครึ่งแผ่นที่เป็นคาถาอันตรายของแกร์ จอมเวทย์ที่ตกเข้าสู่ด้านมืด ผู้ก่อให้เกิดหายนะกับทั้งครอบครัวตัวเองเมื่อยี่สิบปีก่อนที่บ่อน้ำมรณะ รุธกับซาร่าห์ก็เดินทางผ่านหมู่บ้าน ผ่านเมือง ผ่านป่า ได้ขบวนผู้ติดตามมาเรื่อยๆ ทีละคนสองคน คุยกับคนนั้นนิดคนนี้หน่อย สู้กับโทรลล์เล็กน้อย ช่วงท้ายเหมือนจะมีอะไรขึ้นมานิดนึง แล้วก็จบ งั้นๆ มากเลย

ไตรภาคแรกเราว่ามันก็ยังผสมกันกำลังดี แฟนตาซีสัก 60 โรแมนติกอีก 40 พระเอกนางเอกน่ารักมาก แต่เล่มนี้มีฉากพระ-นางจีบกันนิดเดียวเอง ไอ้ส่วนที่เป็นแฟนตาซีก็ไม่สนุก เพราะเนื้อเรื่องของเล่มนี้ก็เป็นเหตุการณ์ในช่วงเวลาเดียวกับไตรภาคแรก โดยเปลี่ยนมุมมองของตัวละครแค่นั้นเอง รุธเป็นพี่ชายของนางเอกไตรภาคที่แล้ว เพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องความเป็นไปของตัวละคร ความลับเรื่องอดีตต่างๆ คนอ่านก็รู้อยู่แล้ว ถ้าคนที่ไม่เคยอ่านภาคก่อนมาอ่านเล่มนี้เลยอาจจะโอเคก็ได้ แต่สำหรับเรา ความสนุกในส่วนนี้หายไปครึ่งหนึ่งเลย

รุธไม่มีเสน่ห์ ซาร่าห์ก็ธรรมดามาก แล้วถ้าเนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างนี้ สุดท้ายก็จะไปจบสรุปเหมือนเนื้อเรื่องไตรภาคแรก แล้วจะอ่านไปทำไมล่ะในเมื่อรู้อยู่แล้ว อาจจะไม่อ่านเล่มต่อแล้วล่ะ ปีนี้คิดว่าจะลดละการบันเทิง ดูหนังอ่านนิยายให้น้อยลง ถ้าเรื่องไหนไม่รู้สึกคุ้มค่าเวลาจริงๆ ก็จะไม่ฝืนแล้ว ดีนะยังไม่ได้คลิกซื้อเล่มถัดๆ ไป

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

Silver - Penny Jordan

คะแนน : 7.5

เพิ่งทราบจากเว็บบอร์ดว่า เพนนี จอร์แดน เสียชีวิตเมื่อวันสิ้นปีที่ผ่านมาในวัย 65 ปี ก่อนหน้านี้เราเคยอ่านงานของ เพนนี จอร์แดน มาแค่สองเรื่อง และไม่ได้ติดใจมากมาย เฉยๆ กับ "ตามหัวใจไปสุดหล้า" แต่เคยมีเพื่อนสมัยเรียนสองสามคนที่กรี๊ดเรื่องนั้นเอามากๆ ในฐานะนักอ่าน หนทางที่จะแสดงความคารวะต่อนักเขียน ก็คงเป็นที่การอ่านล่ะนะ ไม่รู้จะเลือกเรื่องไหนดี เขียนไว้เยอะมากเป็นร้อยเรื่อง เอาเรื่อง Silver นี้แล้วกัน เห็นเคยมีแปลไทย แล้วมีเป็นฉบับการ์ตูนที่ฟูจิตะ คาซุโกะ วาดด้วย (VBK ลอยแพ Rising แล้วใช่ม้ายยย) อ่า แต่แบบการ์ตูนอ่านได้แค่ตอนแรกก็เลิกค่ะ มันจั๊กจี้

นางเอกเป็นลูกสาวท่านเอิร์ล เคยเป็นเด็กขี้เหร่ ไปทำศัลยกรรมใบหน้าให้สวยเลิศ และสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า ซิลเวอร์ เพื่อจะกลับไปแก้แค้นญาติหนุ่มผู้พี่ที่เคยหลอกลวงเธอให้หลงรัก และเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อของเธอตาย แต่เพื่อให้แผนการสำเร็จได้เธอต้องรู้จักวิธียั่วยวนผู้ชายซะก่อน เธอจึงจ้างวาน เจค อดีตมือปราบ ปปส. ที่ตาบอดจากเหตุระเบิด ให้ช่วยสอนบทเรียนบนเตียงให้ แล้วเธอก็กลับไปลอนดอนเพื่อดำเนินตามแผน แต่เจคก็ติดตามมาด้วย เพราะเขาก็มีแผนการล่าตัวผู้อยู่เบื้องหลังคนที่ฆ่าภรรยาของเขาเช่นกัน

เตือนสปอยล์
ก็อ่านสนุกดีนะ แต่ว่าทั้งที่เนื้อเรื่องไม่ได้เยอะ หนังสือกลับยาวมากทีเดียว เนื้อหาส่วนแรก เป็นช่วงที่ซิลเวอร์จ้างเจค ในนิยายนี่มันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีฉากติดเรตมากมายอะไร น่าติดตามดี แต่พอส่วนที่สองกลับไปเล่าย้อนถึงความหลังของนางเอก ส่วนที่สามเล่าเรื่องพระเอก ช่วงนี้เรื่องมันอืดไปนิด เล่าเรื่องละเอียดยิบ ตัวละครแต่ละคนนี่บอกความเป็นมาตั้งแต่โคตรเหง้าศักราช ชีวิตวัยเด็ก วัยรุ่น ตอนโต บอกทุกอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร บางทีแค่กินกาแฟหรือเปิดประตูยังมีบรรยายเลยว่ารู้สึกยังไง ไม่ใช่แค่ตัวเอกนะ ตัวร้ายด้วย แทบทุกคนที่โผล่มาก็ว่าได้ อธิบายปมประเด็นปัญหาชีวิตทุกอย่าง ไม่ต้องปวดหัวตีความทั้งสิ้น บอกมาให้รู้เสร็จสรรพหมดแล้ว

อ่านแล้วก็ไม่ได้เบื่อนะ แต่ขำๆ นิดหน่อยว่า แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าเขียนแบบมุมมองของพระเจ้า เล่าได้ทุกอย่างเหมือนมองจากเบื้องบน แต่อีตอนเล่าเรื่องของพระเอกกับภรรยาน่ะ เขียนซะเราชอบเบ็ธมากกว่านางเอกซะอีก แล้วก็คิดขึ้นมาว่าเดี๋ยวตัวนี้ก็ต้องตายอยู่ดีไม่ใช่เหรอ จะหลอกให้เผลอเอาใจช่วยทำไม เล่าความหลังกันยาวจริงๆ

ช่วงที่สี่ค่อยมาดำเนินตามแผนแก้แค้น ช่วงนี้สนุก ตามล่านักค้ายาเสพติดไปด้วย เนื้อเรื่องเดาไม่ยากหรอก ตามสูตร แต่เขียนอ่านเพลินดี ตัวละครก็โอเค เราชอบซิลเวอร์กับเจคนะ แต่เวลาอยู่ด้วยกันน้อยไปหน่อย ส่วนแรกไม่นับ เพราะยังไม่ดีกัน น่าจะตัดๆ ช่วงตรงกลางออกบ้าง แล้วขยายเรื่องช่วงท้าย ซิลเวอร์ตอนเป็นวัยรุ่นดูน่ารำคาญนิดหน่อยที่ทำอะไรไม่เป็นเลย แต่เจคนี่เป็นพระเอกที่ค่อนข้างดีทีเดียว ชอบจุดที่นางเอกทำศัลยกรรมเสริมสวยมา แต่พระเอกตาบอด "ผมเห็นความงามของคุณจากภายใน" ใช้ได้เลยล่ะ

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

The Silver Linings Playbook - Matthew Quick

คะแนน : 7.5

เราไม่ได้อยากอ่านนิยายเล่มนี้เพราะตัวหนังสือเองหรอก แต่อยากรู้ว่ามันเป็นยังไงก่อนที่หนังจะฉายปลายปีนี้ ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่บนปกหลังก็โปรยไว้ว่าเป็นหนังสือฟีลกู๊ด เลยเลือกมาเป็นเล่มแรกของปี

แพต พีเพิลส์ ชายหนุ่มอายุ 35 ถูกปล่อยตัวจากสถาบันประสาทกลับมาอยู่กับพ่อแม่ แพตจดจำเหตุการณ์ช่วง 3-4 ปีก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย เมื่อกลับมาอยู่บ้าน เขาก็พยายามปรับปรุงตัว ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ เชียร์ฟุตบอล ไปพบจิตแพทย์ทุกสัปดาห์ เพื่อเป้าหมายจะกลับไปคืนดีกับภรรยา แล้วก็ได้เจอหญิงสาวเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ที่ผ่านปัญหาชีวิตขนาดหนักมาเช่นกัน จะเป็นยังไงถ้าแพตรู้ว่า ผู้หญิงที่ฝันถึงไม่ใช่คนที่จะอยู่กับเขาในชีวิตจริง

ตอนเราอ่านสรุปย่อเรื่องนี้ใน IMDb นี่ก็ขัดใจนะ สองบรรทัดแค่นี้เหรอ แล้วจะรู้มั้ยว่ามันน่าดูรึเปล่า แนวไหนก็ไม่รู้ แต่พออ่านจบแล้วเราก็เข้าใจ เรื่องนี้มันย่อเรื่องยากจริง เต็มที่ได้ 4 บรรทัดนี้ล่ะ นอกนั้นมันก็เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเรื่อง พูดมากกว่านี้ก็อาจสปอยล์ถึงตอนจบ แต่ความจริงถึงรู้เนื้อเรื่องทั้งหมดก็อาจจะไม่เป็นไร เพราะบางครั้งเนื้อเรื่องของนิยายก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับวิธีการเล่าเรื่อง

เรื่องเล่าจากมุมมองของพระเอก แพตมีอาการทางประสาท แต่เขาไม่ได้บ้านะ คุยรู้เรื่องทุกอย่าง แต่ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวอาละวาด หลอนๆ เพี้ยนๆ บ้างบางครั้ง ที่สำคัญคือปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงเรื่องภรรยา เขาคิดว่า ชีวิตของเขาเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ที่มีพระเจ้าเป็นผู้กำกับ เรื่องของเขาอาจเป็นหนังแนว Romantic Comedy และไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไรก็ตาม จะต้องมีตอนจบ Happy Ending ที่เขาจะได้ภรรยากลับมา

นั่นเป็นมุมมองของแพต แต่ในมุมมองคนอ่าน นี่ไม่ใช่เรื่องตลกโรแมนติกแน่ๆ ไม่มีฉากไหนที่เราหัวเราะเลย ส่วนมากจะเป็นแค่ยิ้มมุมปาก อ่านจบแล้วก็ไม่รู้จะบอกว่าตัวเองรู้สึกยังไง ไม่ตลก ไม่เครียด ไม่เบื่อ แล้วฟีลกู๊ดจริงมั้ย ก็งั้นมั้ง เรื่องฟีลกู๊ดนี่มันคือยังไงล่ะ เราก็ยังงงๆ อยู่ เห็นแต่ละเรื่องที่เขาแนะนำกัน หัวเราะทั้งน้ำตา เศร้าแต่มีหวัง อะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกชีวิตยังมีค่า แบบนั้นเหรอ

ฟังดูเหมือนเรากำลังพล่ามอะไรไม่รู้นะนี่ พระเอกในหนังสือก็ร่ายไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ ในเมื่อเราสรุปความคิดตัวเองจากนิยายเล่มนี้ไม่ได้ ก็ขอยก quote ที่เราชอบจากในหนังสือมาใส่แทนแล้วกัน ชอบประโยคสำคัญที่พระเอกพร่ำพูดอยู่บ่อยๆ ตลอดเรื่อง "I try to be kind, not to be right."

และชอบฉากนี้

แพตอ่านหนังสือตามรายการที่ภรรยาที่เป็นครูสอนวรรณคดีใส่ไว้ในรายวิชา พอเจอเรื่องที่จบเศร้าตัวเอกฆ่าตัวตาย เขาก็ไประบายให้จิตแพทย์ฟังว่า ทำไมต้องบังคับให้เด็กวัยรุ่นอ่านเรื่องรันทดหดหู่ขนาดนี้ ชีวิตมันต้องมีหวังสิ มีประกายแสงสีเงินบนก้อนเมฆ เราควรจะสอนพวกวัยรุ่นว่า -- จิตแพทย์ขัดเขาว่า
"ชีวิตคนเป็นเรื่องยากนะ แพต และเด็กๆ ควรจะได้รู้ว่า ชีวิตคนนั้นยากเย็นแสนเข็ญได้ขนาดไหน"
"ทำไมล่ะ"
"เพื่อพวกเขาจะได้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น พวกเขาจะได้เข้าใจว่า หลายคนลำบากกว่าพวกเขา และในการเดินทางผ่านโลกนี้ของแต่ละคนก็เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างกันได้อย่างไพศาล ขึ้นอยู่กับว่าสารเคมีตัวไหนที่พล่านผ่านจิตใจของแต่ละคน"

การอ่านเรื่องราวของแพต (พ่วงเรื่องของทิฟฟานีนิดหน่อย) ก็เหมือนการได้รับรู้ประสบการณ์ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง เรื่องพวกเขาไม่ใช่พวกเรา ความคิดพวกเราไม่เหมือนพวกเขา แต่ก็ทำให้ได้รู้ว่า มีคนที่คิดแบบนี้อยู่บนโลกน่ะนะ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

The Girl with the Dragon Tattoo (2011) - David Fincher

เราเป็นแฟนหนังสือ Millennium Trilogy น่ะนะคะ ไปดูหนังมาแล้วก็กลับมาอ่านข่าว บทความนิตยสาร ดูคลิปสัมภาษณ์ ย้อนอ่านนิยายบางตอน ยังไม่ได้อ่านอะไรใหม่เป็นชิ้นเป็นอัน ก็ยังไม่เขียนบล็อกถึงหนังสือ แต่ขอพูดถึงหนังหน่อยแล้วกัน วันนี้ฉายเป็นทางการแล้ว ภาพยนตร์ The Girl with the Dragon Tattoo (2011) ฉบับฮอลลีวู้ด ของผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ หรือในชื่อไทยว่า พยัคฆ์สาวรอยสักมังกร (ชื่อเหมือนหนังจีนแฮะ อย่างนี้ภาคสองจะกลายเป็นอะไรล่ะ พยัคฆ์สาวเพลิงอัคคีเหรอ อืมม์) ถึงแม้ตัวเลขรายได้เปิดตัวที่สหรัฐอเมริกาจะไม่เปรี้ยงอย่างที่คิด แต่นี่ก็เป็นหนังที่เราตั้งตารอดูมากที่สุดในช่วงนี้เลย



นี่ไม่ใช่วิจารณ์ภาพยนตร์นะ เพราะเขียนแบบมีหลักการเชิงภาพยนตร์ไม่เป็น ขอให้คิดว่าเป็นเพียงความรู้สึกของแฟน Millennium Trilogy คนหนึ่ง หลังจากที่ไปชมหนังเรื่องนี้มาเท่านั้น แล้วเพราะว่าเราเป็นแฟนเต็มขั้นของเรื่องชุดนี้ ถ้าฟังแล้วรู้สึกว่าเว่อร์ไปหน่อยก็อย่าว่ากัน

เตือนสปอยล์

ขอเตือนว่า เนื้อหาต่อจากนี้จะมีการพูดถึงเนื้อเรื่องและฉากในภาพยนตร์อย่างอิสระ ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้โปรดหลีกเลี่ยง และเนื่องจากเราอ่านทั้งนิยาย กับเคยดูหนังฉบับสวีเดนมาแล้วด้วย ดังนั้นคงจะต้องมีเปรียบเทียบกันบ้าง จึงอาจมีสปอยล์เลยเถิดไปถึงพวกนั้นด้วย



ขึ้นต้นมาด้วยฉากไตเติลที่เป็นภาพกราฟิกส์คอมพิวเตอร์ พร้อมเพลงประกอบแรงๆ มันส์ๆ ชอบภาพช่วงนี้มากๆ เลย ทำให้ตื่นเต้นดึงดูดตั้งแต่แรก จากนั้นก็เข้าสู่เรื่องด้วยฉากกรอบรูปดอกไม้ปริศนาที่มีผู้ส่งมาให้เฮนริก แวงเกอร์ ต่อมาด้วยการเล่าถึงตัวละครเอกฝ่ายชายของเรื่อง คือ มิคาเอล บลอมควิสต์ (หนังฮอลลีวู้ด ออกเสียงแบบอเมริกัน ก็เรียกตามหนังไป) ช่วงนี้ธรรมดาไม่มีอะไรมากนัก อาจจะเน้นอารมณ์ดราม่าน้อยกว่าหนังสวีเดนหน่อย แต่การดำเนินเรื่องตรงตามนิยายต้นฉบับมากกว่า

และคนดูก็ไม่ต้องรอนาน เพราะลิสเบ็ธ ซาลันเดอร์ คนใหม่ ก็ปรากฏตัวในไม่ช้า ลิสเบ็ธเวอร์ชันนี้อาจจะดูออกแนวพังค์มากกว่าที่เคยนึกภาพไว้ในนิยาย แต่รูปร่างหน้าตารูนีย์ มาร่า นี่บอกได้เลยว่า ใช่จริงๆ ตัวเล็กและหน้าอ่อนเหมือนเด็กวัยรุ่น ฉากเคี้ยวหมากฝรั่งตอบคำถามคุณทนายในออฟฟิศนั่น กรี๊ดอยู่ในใจ เป๊ะจริง ละสายตาจากเธอไม่ได้เลย

บลอมควิสต์ตกลงรับงานสืบคดีหลานสาวมหาเศรษฐีเมื่อ 40 ปีก่อน เราชอบบทภาพยนตร์ตรงนี้ที่ไม่ละเลยการย้ำว่า สาเหตุที่แท้จริงที่บลอมควิสต์รับงานเพราะต้องการข้อมูลของเวนเนอร์สตรอม ไม่ใช่เรื่องเงินหรือแค่อยากหลบหน้าผู้คนเท่านั้น สะท้อนตัวตนในมุมที่น่าชื่นชมของพระเอก ไม่งั้นตัวละครนี้ก็จะไม่ค่อยเหลืออะไร

ฉากที่บลอมควิสต์ เดินทางขึ้นเหนือ และย้ายเข้าบ้านพัก ตอนเดินหาสัญญาณมือถือนั่น ให้ทั้งบรรยากาศและการเล่าเรื่อง ยะเยือกกับความหนาวเย็นห่างไกล ถ้าเปรียบกับฉบับสวีเดน ฉากทิวทัศน์อาจจะไม่แตกต่างกัน บ้านในพื้นที่โล่งกว้าง หิมะขาวโพลน แต่ในฉบับ 2011 เราได้สัมผัสถึงอารมณ์ความทึ่งแผ่ซ่านออกมาจากจอ มุมมองที่เดวิด ฟินเชอร์ เลือกนำเสนอผ่านเลนส์กล้อง เหมือนกับว่า ผู้กำกับถ่ายทอดความตื่นตาของเขาออกมาให้เราเห็นด้วย

ในขณะที่ตอนดูเวอร์ชันสวีเดนเราไม่รู้สึกแบบนี้ เป็นได้ว่าคนแถวนั้น (ฉบับ 2009 ผู้กำกับเป็นคนเดนมาร์ก) อาจจะไม่รู้สึกแปลกตาแปลกใจกับภูมิประเทศของตัวเอง คงเหมือนกับที่บางทีเราเห็นรูปที่ฝรั่งถ่ายรูปเมืองไทยสวยกว่าเราคนไทยถ่ายเอง เห็นมุมภาพแล้วเรารู้สึกว่าเขาทึ่งกับอะไรที่มันชินตาของเรา อย่างฉากที่พระเอกไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ฉบับสวีเดนไม่มีหรอก เห็นไม่สำคัญแค่ซื้อของเข้าบ้านเอง แต่เวอร์ชัน 2011 นี้มีถึงแม้จะแว้บเดียว แต่แค่นี้มันก็ดูแปลกตาแล้ว ของที่ขายกับการจัดร้านมันไม่ค่อยเหมือน 7-11 บ้านเรา รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดในสวีเดนจริงๆ ไม่ใช่เนื้อเรื่องที่เกิดที่ไหนก็ได้ สมกับที่ฟินเชอร์เคยบอกว่า ยังไงภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต้องถ่ายทำที่สวีเดน เพราะฉากของเรื่องนี้สำคัญเหมือนเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งเลย

ชอบการแสดงของรูนีย์ มาร่า ในบทลิสเบ็ธ ฉากที่ลิสเบ็ธสู้กับคนที่วิ่งราวในสถานีรถไฟนั่นถึงจะไม่ยาว แต่ชอบมาก สาวรอยสักของเราเท่จริง ส่วนฉากนั่งซุกที่มุมที่นั่งโดยสารในรถไฟใต้ดินนั่น แสดงถึงด้านที่เปราะบางของลิสเบ็ธได้ดีมาก แต่ขนาดนั้นก็ยังแผ่รังสี ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลย

มาถึงฉากสำคัญของเรื่องตอนข่มขืน โอย แรงมาก ขนาดรู้เรื่องอยู่แล้ว เคยดูเวอร์ชันก่อนมาแล้วด้วย ก็ยังคิดว่าภาพในฉบับนี้แรงมากจริงๆ เรต R 18+ เต็มๆ ดูไปหน้าเหยเกไป แอบหลบสายตาจากจอไปตั้งหลายที ต้องพยายามเตือนตัวเองให้แข็งใจดู แต่ก็พร่ำภาวนาในใจไปว่า ผ่านฉากนี้ไปเร็วๆ หน่อยสิ ไม่อยากเห็นอะไรแบบนี้เลย ถึงจะคิดว่ามันแรงมาก แต่ถ้าถามว่า เกินความจำเป็นมั้ยก็พูดได้ไม่เต็มปาก การนำเสนอความรุนแรงที่ผู้หญิงถูกกระทำอย่างตรงไปตรงมา มันก็เป็นการช่วยกระตุ้นตอกย้ำหนักๆ ให้คนดูสำนึกถึงปัญหาเรื่องนี้ แล้วฉากแก้แค้นก็ทำได้สะใจมากกกก

จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่การสืบคดีอย่างจริงจัง ตัวเอกทั้งสองคนได้มาอยู่ร่วมกัน ช่วงนี้ดูสนุกดีมาก การดำเนินเรื่องทำได้น่าติดตาม ค่อยๆ คลี่คลายปริศนาไปเรื่อยๆ จนรู้ตัวคนร้ายในที่สุด อารมณ์ระทึกช่วงนี้ทำได้ยอดเยี่ยม กับการเผชิญหน้าฆาตกร ตอนคนร้ายนั่งไขว่ห้างแล้วสาธยายสั่งสอน จิตกว่าในฉบับสวีเดนมากๆ ในส่วนของเรื่องราวหลังจากนั้น ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Dragon Tattoo ฉบับนี้จะเปลี่ยนตอนจบจากในนิยาย ก็ทำให้เราหวั่นใจอยู่ แต่พอได้ดูจริงๆ จุดที่เปลี่ยนแปลงจากในนิยายมีน้อยมาก ไม่ได้เปลี่ยนสาระสำคัญของเรื่องเลย คงจิตวิญญาณของนิยายต้นฉบับได้ครบถ้วน ถึงแม้เนื้อเรื่องบางจุดอาจไม่เคลียร์ เช่น จะไม่เฉลยให้คนที่ไม่อ่านนิยายรู้หน่อยหรือว่าใครส่งดอกไม้มา

มาพูดเรื่องตัวนักแสดงบ้าง เราไม่รู้จะเอ่ยชมรูนีย์ มาร่า ยังไง ไม่ให้ฟังแล้วรู้สึกว่าการแสดงของนูมี่ ราพาซ ดูด้อยค่าลง เพราะที่จริงเราไม่ได้ตั้งใจให้หมายความอย่างนั้น ลิสเบ็ธของราพาซนั้นถูกถ่ายทอดได้อย่างยอดเยี่ยมและมีพลังมากๆ แล้ว แต่เอาเป็นว่าตอนเราดูหนังเวอร์ชันอเมริกัน เราไม่ได้นึกถึงภาพของราพาซเลยสักครั้งเดียว ความจริงแล้วสำหรับเรา คงไม่มีนักแสดงคนไหนสามารถถ่ายทอดความเป็นลิสเบ็ธออกมาได้สมบูรณ์ 100% เพราะลิสเบ็ธเป็นตัวละครหญิงที่กล่าวได้ว่า โดดเด่นสุดยอดที่สุดตั้งแต่เริ่มศตวรรษนี้มา ความสุดยอดของเธอไม่ใช่สิ่งที่จะแสดงออกมาให้คนเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิด ตัวตนและวิญญาณของตัวละครตัวนี้ แต่เราก็คิดว่า รูนีย์ มาร่า ดูใกล้เคียงกับลิสเบ็ธในฉบับนิยายยิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด มันคงเป็นที่การตีความตัวละครมากกว่าที่ฝีมือการแสดง

เรื่องรูปร่างหน้าตาไม่ต้องพูดซ้ำ แต่รูนีย์ มาร่า มีมิติซับซ้อนกว่า ส่วนหนึ่งเพราะบทภาพยนตร์เอื้อกว่า หลายฉากช่วยถ่ายทอดให้เราเห็นลิสเบ็ธในหลายๆ ด้านมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นฉากการตอบโต้ที่ไม่ปรานีปราศรัย อารมณ์เคว้งไม่รู้จะทำยังไงตอนที่พาล์มเกรน ผู้ปกครองคนเก่า ป่วยหนัก เธอมีช่วงอารมณ์ให้เล่นได้กว้างและหลากหลายกว่า ไหนจะฉากที่รูนีย์ มาร่า เล่นแบบทุ่มสุดตัว ทั้งฉากข่มขืนและฉากที่อยู่กับบลอมควิสต์บนเตียง พูดตามตรง ตอนดูแอบเบือนหน้าหนีอีกแล้ว คิดว่าไม่ต้องลงทุนเปลืองตัวขนาดนี้ ละไว้ในฐานที่เข้าใจหน่อยก็ได้ แต่มันก็สะท้อนตัวตนของลิสเบ็ธให้เห็นมากขึ้นน่ะนะ ลิสเบ็ธนั้นมีรูปแบบความคิดเฉพาะของเธอเอง ที่ไม่ค่อยจะสนใจว่าสังคมหรือคนอื่นจะว่ายังไง มีเซ็กส์ได้โดยไม่แคร์ว่า กับผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นพ่อเขาผัวใคร บทบาททางเพศของเธอก็ไม่ใช่เยี่ยงผู้ถูกกระทำ

ถ้าจะมีอะไรที่ยังไม่ได้ดั่งใจเราก็คงเป็นเรื่องความรักของลิสเบ็ธ เราไม่รู้สึกสักนิดว่าลิสเบ็ธเริ่มเปิดใจ ฉากที่นอนคุยกันเล่าความหลังมันสื่อได้น้อยไป ที่จริงก็ช่วยไม่ได้มันเป็นข้อจำกัดของหนังที่พรรณนาเรื่องได้ไม่เท่าตัวหนังสือ และฉากจบสุดท้ายตอนทิ้งของขวัญนั้น มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายเรื่องราวได้แจ่มแจ้งเหมือนในนิยาย

ในส่วนของแดเนียล เคร็ก ความจริงก็ไม่ได้เล่นแย่ แต่ก็ยังดูขาดเสน่ห์ของบลอมควิสต์ และเมื่อเทียบกับรูนีย์ มาร่า เขาก็แทบดับไปเลย สำหรับคนที่เหลือ คนที่เล่นเป็นฆาตกรนั่นก็ชมไปแล้ว คนอื่นๆ ก็รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่บทมันไม่มีอะไรให้เล่นมากนักหรอก


สรุปในภาพรวมของหนังเวอร์ชันนี้ เรายกให้ฉบับของฮอลลีวู้ดชนะฉบับสวีเดนแบบใสๆ ถ้าเป็นฟุตบอลก็คงประมาณสกอร์ 3-1 เพราะดีกว่าเกือบทุกอย่าง ทั้งด้านภาพ การดำเนินเรื่อง และตัวนักแสดง ตอนนี้ก็คงต้องเอาใจช่วยเรื่องรายได้ของหนังกันหน่อย โซนี่ยืนยันแล้วว่าสร้างภาคต่อแน่นอน แต่เราอยากให้หนังประสบความสำเร็จเต็มที่ คงต้องไปอุดหนุนกันอีกสักรอบ เพราะอยากให้เดวิด ฟินเชอร์ มากำกับภาค 2-3 ต่อ อาจมีแฟนของฟินเชอร์บางคนที่ยังไม่พอใจ Dragon Tattoo แต่แฟน Dragon Tattoo อย่างเราโคตรพอใจฟินเชอร์เลยค่ะ หนังสวีเดนภาค Fire กับ Hornet นี่โปรดักชันไม่ค่อยดี เนื้อเรื่องก็ตัดไปเยอะมาก มีช่องให้พัฒนาได้อีกเยอะ รับรองว่า ฟินเชอร์จะทำได้เหนือกว่าขึ้นไปอีกแน่นอน

และอีกอย่างที่เราต้องขอบคุณ Dragon Tattoo เวอร์ชันนี้ก็คือ มันทำให้คนทั่วไปรู้จักไตรภาคมิลเลนเนียมเยอะขึ้นมาก เมื่อปีก่อนโน้นตอนไปดูที่ House เห็นมีคนดูนับหัวได้เราก็แอบเศร้า แต่นี่ขนาดรอบพิเศษตอนดึกก็ยังมีคนดูพอสมควร อยากให้เรื่องชุดนี้มีคนรู้จักกันในวงกว้าง ได้ความสนใจจากผู้คนในระดับคู่ควรกับที่นิยายเรื่องนี้สมควรได้รับ

ป.ล. รอบพิเศษนี่ซื้อตั๋วดูเองนะ