แน่ะ ไม่ทันไรก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพล่ามอะไรอยู่ก็ไม่รู้แล้ว หลายครั้งที่เราเห็นใจคนที่หลงเข้ามาในบล็อกของเราเพราะกูเกิล พักนี้ก็หลงกันเข้ามาเพราะชื่อนิยายเรื่องนี้หลายคน บล็อกนี้ไม่ได้ตั้งใจเป็นบล็อกรีวิวหนังสือนะ แค่เป็นบล็อกระบายอารมณ์ของนักอ่านคนหนึ่ง ถ้าไม่ชอบฟังคนขี้บ่นก็อย่าอ่านต่อเลยนะคะ
คำเตือน เนื้อหาต่อไปนี้มีสปอยล์เนื้อเรื่องทั้งสามเล่มแบบไม่เกรงใจ ตั้งใจจะสปอยล์แบบให้คนที่ยังไม่ได้อ่านจะไปอ่านเองก็ไม่สนุกอีกต่อไป ลดจำนวนคนอยากอ่านเรื่องนี้ได้หนึ่งคนก็ยังดี แล้วก็นี่ไม่ใช่เรื่องสำหรับเด็ก ใครยังเรียนไม่จบ ไม่ได้ทำงานทำการ ห้ามอ่าน
เราทิ้งช่วงการอ่านจากเล่มแรก Fifty Shades of Grey มานาน ตอนที่เริ่มต้นอ่านเล่มสองเรายังต้องนั่งระลึกชาติอยู่สักพักเลยว่า เรื่องมันถึงไหนแล้ว
หลังจากเข้า Red Room of Pain ห้องเล่นของคริสเตียน แต่พอเจอฤทธิ์เข็มขัดเข้าไป 'เขามีความสุขที่ได้เห็นฉันเจ็บหรือ' อนาสตาเชียก็เพิ่งรู้ตัวว่ารับเซ็กส์ซาดิสต์ไม่ไหว เลยไม่ยอมเซ็นสัญญาทาสสวาท บอกว่า 'ฉันรักคุณ' เพิ่งจะขาดคำแล้วประโยคต่อมาก็ขอเลิกเลย เรื่องจบที่ซมซานกลับมาถึงรังตัวเองทั้งน้ำตา
เข้าเล่มสอง Fifty Shades Darker ตอนต้นๆ เล่มนี่มันก็สนุกทีเดียวนะ เป็นช่วงอกหักรักคุดใหม่ๆ ก็ระทมกันอยู่สักพัก ยังไม่มีฉากเซ็กส์ เราว่าอนาเป็นผู้หญิงตลกดีเหมือนกัน ขำๆ ที่นางเอกชอบสบถตลอด เดี๋ยวก็เอาแล้ว holy s*** เดี๋ยวก็ holy c*** และ holy อื่นๆ รวมทั้ง f*** ด้วย หล่อนเป็นคนที่มีศัพท์เฉพาะตัวเยอะ อ่านแล้วก็หัวเราะหึหึ
อภิธานศัพท์ของอนา
- Fifty Shades หมายถึง คริสเตียน ประมาณว่าเป็นคนซับซ้อนมีด้านมืดสีเทาห้าสิบเฉด เป็นชื่อเล่นที่อนาเธอใช้เรียกอยู่ในใจ แบบ Oh, my Fifty Shades หลังๆ บางทีก็ย่อเหลือแค่ my Fifty
- inner goddess นางเอกจะมีนางพญาอยู่ในใจ เวลาอนาเจอสถานการณ์อะไร ก็ต้องบรรยายด้วยการบอกว่า นาง inner goddess นี่กำลังทำท่าอะไรอยู่ ก็สารพัดแหละ กระโดดตีลังกา แสยะยิ้ม ฯลฯ ยายนี่ออกจะเป็นพวกหื่น บ้าวัตถุ สรุปว่า ร เรือตัวใหญ่ๆ
- subconscious อันนี้เป็นจิตใต้สำนึกของนางเอก นางนี้ก็จะเป็นพวกมีเหตุมีผลหน่อย ทำท่าขยับแว่น เม้มริมฝีปาก ถ้าอนาทำตัวดี ก็จะผงกหัวนิดๆ แต่บางครั้งโผล่มาแล้วถูกอนาตบกระเจิงไปก็มี คุณเธอไม่ค่อยจะเชื่อฟังจิตใต้สำนึกตัวเองหรอก
ลูกโป่งกับไอแพดนี่น่ารักดีนะ เลิกกันแค่ 5 วัน ในที่สุดคริสเตียนก็ต้องเป็นฝ่ายยอมสยบให้อนา เขาสัญญาว่าจะไม่มีฟาดไม่มีโบยอีก เราว่ามันก็โอเคนะที่ทั้งคู่คบกันแบบที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีถึงปัญหาของตนเอง และก็ยอมประนีประนอมเพื่อประคับประคองความสัมพันธ์ให้เดินหน้าต่อไป เลิฟซีนครั้งแรกหลังจากที่กลับมาคืนดีกันก็ประมาณนิยายโรแมนซ์ธรรมดา เป็นแบบที่คริสเตียนเรียกว่าวานิลลาเซ็กส์
ขอกลับคำที่บอกว่าอนาสตาเชีย สตีล คืออิซาเบลล่า สวอน ถ้าเป็นร่างอวตารก็มาแต่ตัว แต่วิญญาณไม่ได้มาด้วยเลย นิสัยใจคอของอนาไม่มีความเหมือนเบลล่าสักนิด เซ็กส์สำหรับเบลล่าคือผลไม้ต้องห้าม สาวพรหมจรรย์อยากรู้อยากลอง แต่แบบอนาเนี่ย รอดมาจนถึงอายุ 20 จนมาเจอคริสเตียนได้ไง ความคิดจิตใจเรื่องอื่นก็ต่างกันลิบลับ อนาเป็นผู้ใหญ่กว่า รู้จักคิดมากกว่า รอบจัดกว่า เจนโลกและเห็นแก่ตัวกว่าเบลล่ามาก สรุปว่าเรื่อง Twilight กับ Fifty Shades นี่ไม่ต้องเอามาเทียบกันเลย นอกจากเนื้อเรื่องไม่คล้ายกันเลยสักนิด ตัวละครที่ยืมมาก็เหมือนคนละสปีชีส์ เพราะฉะนั้นเลิกพูดถึง Twilight ได้
ในเล่มสองถือเป็นเล่มที่มีเนื้อหามากที่สุดในสามเล่ม ระหว่างที่พระเอกนางเอกคบกันไปก็ต้องพยายามเก็บกวาดปัญหาที่มาจากอดีต มีเรื่องกับพวกผู้หญิงที่เคยพัวพันกับคริสเตียนตามมารังควาน ฉากที่เรานึกในใจว่าสนุก ก็ตอนที่อดีตทาสของคริสเตียนแอบเข้ามาในอพาร์ตเมนต์เล็งปืนใส่อนา แล้วฉากที่คริสเตียนกลายบุคลิกเป็น submissive ต่อหน้าต่อตาของอนาก็เขียนดีทีเดียว กับลุ้นตอนที่เฮลิคอปเตอร์ของคริสเตียนตก (ฮ. มีชื่อด้วย ชื่อชาร์ลี แทงโก้)
เมื่อตอนอ่านเล่มหนึ่ง เราอ่านไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอะไร พวกฉากติดเรตทั้งหลาย เราก็อ่านด้วยอารมณ์เซอร์เรียล ประมาณเหมือนตอนที่ทอม ครูซ เดินเข้าไปในคลับลับในเรื่อง Eyes Wide Shut แบบว่า มีแบบนี้ด้วยเนอะคนเรา แต่พวกนิยายอีโรติกมันก็มีของมันตั้งนานแล้วนี่ เราไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่า แค่การที่มีฉากแบบนี้จะทำให้หนังสือเรื่องนี้ดังได้ขนาดนี้ อ่านจบเล่มหนึ่งไปแบบคิดว่าหรือคราวนี้การเชื่อรสนิยมของมหาชนจะทำให้เราผิดหวัง จนตอนอ่านเล่มสองนี้เองที่เราคิดว่าตัวเองเริ่มเข้าใจถึงเหตุผลที่คนชอบเรื่องนี้
เรื่องชุด Fifty Shades มีจุดที่อาจจะโดนใจผู้หญิงหลายคน และสำหรับคนที่โดน มันก็คงทะลุใจไปได้ลึกทีเดียว ถ้ามองข้ามฉากเซ็กส์ไป เรื่องนี้เป็นนิยายรักนะ พระเอกนางเอกต้องฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อให้ได้ตอนจบแฮปปี้ เพียงแต่อุปสรรครักอันใหญ่สุดของเรื่องนี้ดันอยู่ที่ด้านมืดของตัวพระเอกนั้นเอง ตัวละครเอกทั้งสองคนดูมีเสน่ห์พอที่จะดึงให้คนอ่านอินไปด้วยได้ ระดับความรักของทั้งคู่ก็ลึกซึ้ง มีฉากน้ำเน่าที่น่าจะสะเทือนอารมณ์ได้หลายฉากเหมือนกัน
ไอ้ตอนที่เราเริ่มรู้สึกว่านิยายเรื่องนี้ไม่ได้มีแต่ฉากพวกนั้นนั่นล่ะ ที่เราเริ่มจริงจังกับนิยายชุดนี้ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เรารู้สึกว่ามันเป็นนิยายที่เพ้อฝันมาก แต่ปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้ที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับเราไม่ได้อยู่ที่ความเพ้อฝันของมันหรอก แต่เพราะความที่มันมีคนชอบเรื่องนี้เยอะนั่นแหละที่ทำให้เราเกิดวิตกขึ้นมา ทำไมผู้หญิงเราชอบอะไรเพ้อฝันได้ขนาดนี้นะ แล้วคนที่อ่านแล้วชอบเรื่องนี้เขารู้ตัวรึเปล่าน่ะว่ามันเพ้อฝันที่สุด แค่การที่ผู้หญิงเราชอบเรื่องแบบนี้ก็เป็นการดูถูกเพศหญิงได้แล้วรู้มั้ย
นิยายเรื่องนี้ต่างจากนิยายรักหรือนิยายโรแมนซ์เรื่องอื่นๆ ไอ้พวกนั้นก็เรื่องพาฝันเหมือนกัน แต่เรื่อง Fifty Shades นี้มันไม่ได้แค่พาฝันเฉยๆ แต่มันเคลือบพิษร้ายไว้ด้วย ตัวพระเอกคริสเตียนมีปัญหาทางจิตเกิดจากปมในวัยเด็ก เมื่อตอนอายุ 15 เขาถูกเพื่อนของแม่บุญธรรมล่อลวงให้มีเซ็กส์ด้วยแบบ BDSM โดยคริสเตียนเป็นฝ่ายรับบท submissive ด้วย ต่อมาอนาก็ได้รู้ว่า แม่แท้ๆ ของคริสเตียนเป็นโสเภณีขี้ยา คริสเตียนเคยเห็นแม่ถูกผู้ชายกระทำบ่อยๆ คริสเตียนจะไม่ยอมให้ใครแตะตัว แม้แต่เวลามีเซ็กส์กับอนาเมื่อตอนแรกๆ เพราะกลัวฝังใจจากที่แมงดาของแม่เคยทำร้ายร่างกายคริสเตียนตอนเด็กด้วยการเอาบุหรี่จี้รอบตัว แม่ตายตอนที่เขาเป็นเด็กอายุแค่ 4 ขวบ เขาอยู่กับศพแม่ตามลำพังโดยไม่มีใครรู้อยู่หลายวัน และทาสสวาททุกคนของคริสเตียนมีสีผมและลักษณะเหมือนแม่โสเภณีของคริสเตียนนั่นเอง!!
การสร้างตัวตนที่ดาร์คสุดๆ ให้พระเอกโดยใส่เหตุผลรองรับซะขนาดนี้ เพื่อชักจูงคนอ่านให้ยอมรับการที่พระเอกทำร้ายนางเอกได้ สร้างความน่าเห็นอกเห็นใจให้กับการกระทำที่เลวร้าย แล้วปัดความรับผิดชอบออกนอกตัวคริสเตียนโดยอ้างอดีต เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ที่ตัวเองมีรสนิยมและนิสัยแบบนี้ มันอาจทำให้นักอ่านหญิงฝันลมๆ แล้งๆ ถึงผู้ชายที่ไม่มีวันมีตัวตนจริง แล้วไปเพิ่มขีดจำกัดความอดกลั้นให้กับผู้หญิงจนยอมทนกับผู้ชายเลวๆ ต่อไปเรื่อยๆ เพราะหวังว่า เขาจะกลับตัวกลับใจได้ ผู้ชายอยู่ในด้านมืด ฉันก็จะเป็นนางฟ้าที่ฉุดช่วยเขาขึ้นมา ขอโทษนะคะ แต่เราไม่เชื่อว่า คนที่ fucked up ขนาดนี้ (เป็นคำที่คริสเตียนใช้ ไม่ใช่เราเรียกเอง) จะกลับมาใช้ชีวิตคู่แบบปรกติได้
ด้านหนึ่งคริสเตียนมีปมมืดมาก แต่อีกด้านก็สร้างความเป็นเทพบุตรมาชดเชย ชายหนุ่มรูปงามหล่อเลิศอายุแค่ 28 เอง แต่มากความสามารถ เป็นมหาเศรษฐีสร้างธุรกิจพันล้านขึ้นมาด้วยตนเอง บริจาคเพื่อการกุศล ทุ่มเทสนับสนุนโครงการรักษาสิ่งแวดล้อม (ช่างเป็นคนดีแบบอินเทรนด์จริงๆ) ไม่ใช่เท่านั้น คริสเตียนโคตรจะเป็นผู้ชายที่ให้ความสำคัญกับอนาเลย เอาอกเอาใจทุกอย่าง รักล้นท่วมท้นมาก คลั่งไคล้นางเอกที่สุด อนาไม่ยอมทำงานกับคริสเตียน แต่ไปสมัครงานที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง คริสเตียนก็บ้าไปซื้อบริษัทนั้นซะเลย ถึงจะรู้สึกว่าคริสเตียนทำโอเว่อร์ไป(ไม่)หน่อย แต่ถ้าเป็นอนาก็คงจะอดรู้สึกดีใจย่ามใจไม่ได้ที่มีคนให้ความสำคัญกับเราขนาดนี้
ประเด็นสำคัญในเรื่องชุดนี้อยู่ที่ dominant-submissive คริสเตียนชอบเป็น dominant เพราะต้องการอำนาจควบคุม ชีวิตนอกเตียงก็บ้าอำนาจมากด้วย แต่ตามที่เรื่องอธิบายมาก็บอกว่า ฝ่าย submissive ก็มีความสุข เพราะถูกยึดอำนาจควบคุมไป เราก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่พยายามคิดตามก็คือว่า คนบางคนที่จิตใจไม่เข้มแข็งพอก็จะยอมรับการเป็นเหยื่อ ยอมเป็นผู้ถูกกระทำโดยดี เพราะในสถานการณ์ที่ถูกยึดอำนาจไป ก็เป็นการปลดเปลื้องความรับผิดชอบของตนเองไปด้วย มีอะไรก็โทษคนอื่นได้ว่าเขาทำ ไม่ใช่ฉัน ถ้ามีปมที่รู้สึกผิดกับเซ็กส์มา พอสมมุติตัวว่าถูกบังคับ ก็กลายเป็นปลดปล่อยจิตใจตนเอง ทีนี้ก็สามารถมีความสุขได้
รูปแบบความคิดแบบนี้มันเหมือนในชีวิตจริงที่ผู้หญิงยอมทนอยู่กับสามีที่ทุบตีตน ก็จะอ้างว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอด เป็นตอนเฉพาะเมา หรืออ้างว่าไม่มีทางไป ทนเพราะรัก ทนเพราะลูก อะไรก็ว่าไป แต่เรื่องจริงคือ ผู้หญิงกลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าลุกขึ้นมาจัดการชีวิตตนเอง เพราะถ้าไปไม่รอด ตัวเองก็ทนรับตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ความคิดของ loser ดีๆ นี่เอง (คำพูดอวดดีแบบนี้เลยค่ะ ที่เราบอกว่าจะไม่ชอบตัวเองตอนเขียน)
แต่ถ้าอ่านเฉพาะเล่ม 1 แล้วคิดว่าผู้หญิงชอบเป็น submissive ก็อาจจะเข้าใจผิดนะ ที่จริงเรื่องนี้มอบความเป็น dominant ให้ฝ่ายหญิงต่างหาก เหมือนดูภายนอกอนาจะเป็นฝ่ายยอมคริสเตียน แต่ถ้าวัดกันทางใจแล้ว อนามีอิทธิพลเหนือกว่าคริสเตียนเยอะมาก คนที่กุมอำนาจในความสัมพันธ์นี้คืออนา ตอนอนาบอกเลิกนี่คริสเตียนแทบจะด่าวดิ้นไปตรงหน้า มีอะไรเกิดขึ้นกับอนานิดหน่อย คริสเตียนก็จะเป็นจะตาย แล้วถ้าดูจากอีเมล์ที่คุยกันตลอดเรื่องเนี่ย คือสองคนนี้เหมือนไม่ได้ทำงานทำการ วันๆ นั่งส่งข้อความถึงกัน ถ้าเป็นเรื่องจริง ธุรกิจเจ๊งไปนานแล้ว ท่าน CEO ของบริษัทไม่เคยทำอย่างอื่นเลย อนายังมีเว้นช่วงบ้าง แต่คริสเตียนตอบกลับเร็วมาก ไม่เกิน 3 นาที นั่งเฝ้ารอเมสเสจของสาวอยู่ทุกลมหายใจ เวลาเจอกันก็มีการส่งสายตาเว้าวอน เดี๋ยวก็ส่งยิ้มอายๆ ให้ (ในเล่มสอง คริสเตียน smiles his shy smile ประมาณ 10 ครั้ง ในเล่มสามถ้านับไม่ผิดก็อีก 23 ครั้ง) ปลุกสัญชาติญาณปกป้องของผู้หญิงกันเต็มที่
คริสเตียนเป็นผู้ชายที่เกิดจากความเพ้อฝันมีตัวตนแค่ในโลกแฟนตาซี แต่อนาเป็นผู้หญิงที่มีเลือดเนื้อตัวตนชัดเจนอยู่จริงที่สุดบนโลกนี้ ไม่ใช่ว่าเธอนิสัยไม่ดี เธอก็เป็นผู้หญิงปรกติธรรมดานี่ล่ะ จุดที่ทำให้เราไม่สะดวกใจก็คือว่า เธอบอกว่ายอมอดทนเพราะรักคริสเตียน ซึ่งเราเชื่อว่าเธอรักจริง แต่เราก็แน่ใจเต็มที่เหมือนกันว่า ถ้าคริสเตียนไม่หล่อไม่รวย อนาก็ไม่มองคริสเตียนหรอก ทุกครั้งที่คริสเตียนซื้อสิ่งของมาปรนเปรอ อนาก็จะปฏิเสธทุกครั้งว่าไม่ต้องการ เธอคบกับเขาไม่ใช่เพราะเงิน แต่สุดท้ายเธอก็รับทุกครั้งค่ะ ไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ต เสื้อผ้าแบรนด์เนม มือถือรุ่นใหม่ ไอแพดรุ่นล้ำ พาไปล่องเรือสำราญ บ้านพักตากอากาศสุดหรู ไปด้วยเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัว รับทุกอย่างเพราะจะถูกคริสเตียนบังคับยัดเยียดมาจนได้ เฮ้ย ไอ้ที่ปากปฏิเสธไปเนี่ย แค่เป็นข้ออ้างว่าฉันเปล่านะเขาให้เอง กลบเกลื่อนความรู้สึกผิดของตัวเองไปได้อีกแล้ว แค่นั้นก็พอแล้วใช่มั้ย
ความจริงที่เจ็บปวดก็คือว่า สิ่งที่นางเอกเรื่องนี้ทำก็ไม่ได้แตกต่างจากนางเอกนิยายเรื่องอื่นอีกเยอะแยะมากมาย ก็เพราะมันเป็นความฝันของผู้หญิง พล็อตซินเดอเรลล่าก็คงไม่มีทางหมดไป ตอนไปดู Snow White And The Huntsman ก็ยังคุยกันว่า เออ เดี๋ยวนี้พระเอกเป็นพรานป่าก็ได้ไม่ต้องเป็นเจ้าชายแล้ว สโนว์ไวท์ก็ลุยกับแม่มดเอง คนดูสมัยใหม่ชอบอะไรประยุกต์ ไม่ถูกใจกับแนวคิดโบราณแล้ว ไอ้เราก็นึกว่าสังคมพัฒนามาไกล ที่ไหนได้พอวันนั้นกลับมาอ่านนิยาย สุดท้ายแล้วผู้หญิงก็ยังอยากได้เจ้าชายขี่ม้าขาวมาสวมรองเท้าให้เหรอ ตอนจบของเล่ม 2 คือ คริสเตียนคุกเข่าขอแต่งงานและอนาคุกเข่าลงมากอดตอบตกลง "ผู้ชายที่รักฉันดั่งเช่นที่ฉันรักเขา เราเป็นของกันและกัน เกิดมาเพื่อกันและกัน"
อ่านจบเล่มสองไปแบบเงิบเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้เราต้องคิดอะไรเยอะแยะมากมายปานนี้ เราว่านิยายเล่มสองนี้เก่งมากเลยที่ทำให้เราคิดขึ้นมาวูบนึงได้ว่า อยากให้หนังสือเรื่องนี้ถูกแบน ปรกติเราไม่เชื่อเรื่องการเซนเซอร์นะ ใครใคร่อ่านหนังสือเรื่องไหนอ่าน ใครใคร่ดูหนังเรื่องไหนดู (ถ้าอายุถึง) แต่เล่มนี้เราไม่อยากให้คนอ่านกันเยอะเลย ไม่ใช่เหตุผลที่ฉาก xxx ด้วย แต่เพราะไม่อยากให้แนวคิดแบบเรื่องนี้แพร่ระบาดหรือเป็นที่ยอมรับในสังคมมากนัก
รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาเหมือนสมัยโน้นที่เราอ่านเรื่อง "จังหวะร็อคดนตรีรัก" ของชินโจ มายู แล้วคิดว่า บ้าแล้ว เดี๋ยวนี้เด็กผู้หญิงชอบอ่านการ์ตูนแบบนี้เหรอ คือ Fifty Shades น่ะดาร์คกว่า X กว่า 50 เท่า แต่เราว่าพื้นฐานเชิงจิตวิทยาของสองเรื่องนี้เหมือนกัน แล้วคริสเตียนก็พอจะเป็นพี่ชายของซาคุยะได้ แต่วูบถัดมาก็คิดได้ เอาเถอะค่ะ ไม่ต้องแบนกันหรอก ห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่าตัดสินอะไรแทนคนอื่น แล้วปรกติคนเราก็คงแยกแยะจินตนาการกับความจริงได้ เราเองที่เคยเล่นเกมยิงหัวซอมบี้กระจุยเลือดสาดอย่างเมามันส์ ในชีวิตจริงก็ไม่เคยคิดจะแตะปืนเลยสักนิด
แต่ยังไงก็ไม่อยากให้มีการแปลเรื่องนี้เป็นภาษาไทยเลยนะ ไม่อยากดูถูกพวกเรากันเองนะคะ แต่บางทีเราก็คิดว่า สังคมไทยยังมีวุฒิภาวะในการอ่านไม่สูงพอ เรื่อง Fifty Shades นี้ถ้าอ่านไม่คิด ก็จะเห็นแต่เป็นนิยายโป๊ ถ้ามัวแต่วี้ดว้ายกระตู้วู้เรื่องนั้น ก็จะไม่ได้ถกประเด็นสำคัญจริงๆ กัน
มาต่อกันที่เล่ม 3 Fifty Shades Freed เล่มนี้เทียบกับเล่มที่แล้ว ความสนุกน่าติดตามลดลงเยอะเลย ตอนนี้คริสเตียนกับอนาก็แต่งงานกันเรียบร้อยแล้ว เพิ่งกลับจากการไปฮันนีมูนที่ยุโรป ครึ่งเล่มแรกมีแต่เซ็กส์ เซ็กส์ เซ็กส์ เราเองก็วิจารณ์ฉากพวกนี้มากไม่ได้ เพราะยอมรับตามตรงว่า เวลาเจอก็ร้องในใจว่า อีกแล้วเหรอ แล้วก็อ่านผ่านๆ จับใจความได้ว่า ทุกท่าและทุกที่ ตั้งแต่เล่มที่แล้วไปล่องเรือก็ต้องเจิมเตียง บนโต๊ะบิลเลียด บนหลังเปียโนก็ได้หมด เยอะๆ เราก็ขี้เกียจอ่าน บางอย่างแบบพวกของเล่นเราก็นึกภาพตามไม่ค่อยจะถูก
นอกจากเพราะฉากเรตเยอะกว่าแล้ว เหตุที่อ่านไม่สนุกเท่าเล่มที่แล้วส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะจิตใจเราเริ่มต่อต้าน เราคิดว่าตัวเองเริ่มต้นอ่านเรื่องนี้อย่างเปิดใจมากๆ เราอ่านนิยายเพื่อความบันเทิง เรื่องไหนดังก็สนใจและหวังว่าจะชอบ ไม่เคยคิดว่าจะอ่านหนังสือเล่มไหนเพื่อเอามาด่า ก่อนอ่านเราก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้มีแบบนั้นเยอะก็ไม่ค่อยสนใจประเด็นนั้น เราว่าถ้าใครรับฉากพวกนั้นไม่ได้จะวิจารณ์จุดนั้นก็อย่าเอามาอ่านเลยเสียเวลา เล่มแรกเราก็ยังหัวเราะได้ตั้งหลายที แต่ไม่รู้ตอนไหนในเล่มสองที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรื่องนี้ข้ามขอบเขตที่เราจะอ่านเล่นแค่ขำๆ ได้
เราคิดว่าความรักความสัมพันธ์ของคริสเตียนกับอนานั้นเป็นความสัมพันธ์ที่จิตป่วย ความรักของทั้งคู่เป็นเหมือนการต่อรองอำนาจกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ชีวิตหลังแต่งงานใหม่ๆ ของพวกเขาเป็นช่วงที่ต้องปรับตัวกัน สองคนนี้มีปัญหาจุกจิกเยอะมาก แล้วเราก็ไม่ชอบพฤติกรรมของพระเอกนางเอกซะเท่าไหร่
เราเบื่อที่อนาชอบบอกว่าไม่ได้แต่งงานกับคริสเตียนเพราะหวังเงิน คือเราเชื่อค่ะว่าอนารักจริง แต่ก็อย่างที่บอกแล้วว่า ถ้าเขาไม่รวยก็อาจจะไม่หลงรักเขาตั้งแต่แรกอ่ะค่ะ การพยายามย้ำบ่อยๆ บางทีมันก็สะท้อนความไม่มั่นคงของตัวเอง ถ้าผู้หญิงที่ไม่คิดเรื่องเงินจริงๆ ต้องแบบนางเอกเรื่อง About That Night ค่ะ เธอคบกับพระเอกที่เป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน แต่เธอเป็นอัยการที่สวยเก่งฉลาดและมั่นใจในตนเอง จนไม่เคยมีประเด็นเรื่องความแตกต่างทางฐานะผ่านเข้ามาในหัวนางเอกเลยสักครั้ง
ยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งนะ คริสเตียนส่งบอดี้การ์ดตามประกบอนาตลอด เพราะเหตุการณ์ต่อเนื่องจากท้ายเล่มที่แล้วมีทิ้งปมหน้าสุดท้ายที่เจ้านายเก่าของอนาที่ถูกคริสเตียนไล่ออกไปเตรียมวางแผนการแก้แค้นอยู่ ทีนี้มีครั้งนึงคริสเตียนไปทำงานต่างเมือง ก็สั่งห้ามไม่ให้อนาไปไหน บังคับให้สัญญา แต่อนาก็ดื้อไปเที่ยวผับกับเพื่อน แล้วก็กลับมามีปากเสียงกัน คริสเตียนก็บ้าที่ออกอาการเยอะ แล้วทำไมไม่ยอมบอกว่ากำลังมีปัญหาถูกจ้องทำร้าย ส่วนอนาก็แก้ตัวฟังไม่ขึ้นเลย คริสเตียนบอกว่า ทำไมเธอผิดสัญญา อนาบอกว่า "ฉันแค่เปลี่ยนใจ ก็ฉันเป็นผู้หญิง ก็รู้กันอยู่แล้วว่าผู้หญิงก็เป็นแบบนี้" เฮ้ยยยย ในใจเราร้องว่า อย่าอ้างอย่างนี้สิ อย่าเหมารวมฉันกับผู้หญิงทั้งโลกเข้าไปเป็นพวกเดียวกับคนไม่รักษาคำพูดอย่างเธอ
มีฉากที่คริสเตียนฝันร้าย ตื่นขึ้นลุกไปนั่งเล่นเปียโนกลางดึก พออนาไปปลอบ คริสเตียนบอกว่าที่ฝันร้ายนั้นคือเขาฝันว่าอนาตาย โอ้ เห็นภาพนักอ่านสาวน้อยสาวใหญ่กรีดน้ำตาซึ้งสงสารคริสเตียนเลย แต่เรากุมหัวค่ะ ทำไมความรักของคริสเตียนมันช่างเป็นภาระทางใจขนาดนี้นะ แล้วผู้หญิงต้องการได้พันธะทางใจจากผู้ชายในระดับที่ป่วยขนาดนี้เลยเหรอ แล้วช่วงนี้เองที่เราหันไปอ่าน Tangle of Need พอดี พอไปอ่านฉากช่วงเริ่มต้นชีวิตคู่ของฮอว์คกับเซียนน่าที่น่ารักมากๆ แล้ว ยิ่งเป็นจุดเปรียบเทียบให้เรารู้สึกหนักขึ้นว่า สิ่งที่มีระหว่างคริสเตียนกับอนานั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่สมประกอบ
สปอยล์มาจนถึงตอนจะจบแล้วนะ อนาลืมนัดกับหมอหลายครั้ง จนในที่สุดก็พลาดท้อง เรางงกับปฏิกิริยาของคริสเตียนมาก อนาเคยกลัวว่าจะท้องมาก่อนหน้านี้ครั้งนึง ตอนนั้นยังไม่ได้แต่งงานกันด้วยซ้ำไม่เห็นคริสเตียนจะว่าอะไรเท่าไหร่ ทำไมมาตอนนี้ต้องโกรธอะไรกันขนาดนั้น ระหว่างที่ยังไม่เข้าใจกันอยู่นี้เอง คนร้ายจับน้องสาวบุญธรรมของคริสเตียนไปแบล็คเมล์ อนาก็นางเอกฮีโร่ไปถอนเงินจากธนาคาร แล้วซ้อนกลจนจับคนร้ายได้สำเร็จ แต่อนาก็ต้องไปนอนโรงพยาบาล คริสเตียนก็เป็นห่วงแล้วก็รักลูกในท้องขึ้นมา จบอย่างแฮปปี้มีความสุข ในบทส่งท้ายก็มีลูกชายคน และลูกสาวในท้องอีกคน
ไตรภาคเรื่อง Fifty Shades นี้ เล่มแรกมันเหมือนผิวหนัง เล่มสองเหมือนเนื้อ เล่มสามก็เป็นกระดูก ในเล่มแรกจะเห็นเรื่องชุดนี้แบบผิวเผิน พวกฉากเซ็กส์โลดโผนที่คนจะอู้หูอ้าหา แต่เล่มสองนี่ล่ะที่เป็นส่วนเนื้อที่มีอะไรให้จับต้องมากที่สุด เราว่าสนุกน่าอ่านที่สุดก็เล่มนี้ แล้วพอสุดท้ายก็ไม่ค่อยมีอะไรแล้ว เพราะแก่นแท้ของมันก็เป็นนิยายเพ้อฝันที่มีสารพิษตกค้างเข้ากระดูกดำ
ทั้งนี้ทั้งนั้นที่เราบ่นมายืดยาว เราไม่รู้สึกลบกับเรื่องนี้เลยสักนิดนะ สิ่งที่ขัดใจเราก็เป็นเพราะห่วงผลกระทบของมันเท่านั้น เหมือนว่านิยายเล่มนี้เป็นกระจกสะท้อน เที่ยงหรือไม่เที่ยงไม่รู้แต่มันก็สะท้อนภาพได้ เมื่อใช้ส่องจิตใจผู้หญิงแล้ว ภาพที่เห็นมันไม่สวยงามตามแบบอุดมคติ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของกระจกนี่นะ และถึงเราจะไม่อินกับคริสเตียนและอนา เราก็ไม่ได้เกลียดตัวละครสองคนนี้เลยเหมือนกัน และต้องชมด้วยซ้ำว่า ถึงเราจะบอกว่ามันเพ้อฝันที่สุด แต่นิยายที่สามารถจุดประกายให้คนแสดงความคิดเห็นได้ขนาดนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ
40 ความคิดเห็น:
*ยืน ปรบมือ*
ตอบไม่ถูกเลยค่ะ เขิน =^_^=
ขอบคุณค่ะ
สุดยอดค่ะ เราอ่านแบบไม่ได้คิดเลย อ่านได้ถึงเล่ม3ก็เบื่อแล้วเลิกไป 555
เราว่าประเด็นเรื่องเพ้อฝันเนี่ย chic-lit เรื่องไหนๆ ก็เป็น ยิ่งของโซฟี คินเซลลานะ ไม่ต้องพูดถึง เราเบื่อเรื่องราวของผู้หญิงซึ่งไม่ค่อยจะมีอะไรดีแต่ได้ผู้ชายหล่อ รวย เพอร์เฟคเต็มทนแล้ว เฮ้อ เป็นเราก็ไม่อยากได้หรอกค่ะ คนที่ต่างกับตัวเองขนาดนั้น
อ่านไปเราก็คิดว่าอนาไม่ได้ทำอะไรพิเศษขนาดที่จะดึงคริสเตียนออกมาจากความดำมืดของจิตใจได้เลยนะ ยิ่งอ่านยิ่งเพลียค่ะ
(เบื่อตัวเองด้วย ปกติเราไม่ได้เป็นคนแบบนี้น้า พอเข้าใจความไม่ชอบตัวเองที่กล่าวไว้ตอนต้นของบล็อกนี้ โอย แต่มันอดไม่ได้ทุกที)
ขอบคุณที่เขียนรีวิวมาให้อ่านค่ะ สำหรับเราลาขาด อ่านยังไงก็ไม่จบซะที เฮ้อ
ตั้งแต่ blogger เปลี่ยนอินเตอร์เฟซด้านหลัง เราไม่ค่อยสังเกตเห็น comment เลย เพิ่งเห็นค่ะ
จริงด้วยค่ะ เรานึกไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมคริสเตียนรักอนา เธอเป็นผู้หญิงธรรมดามากๆ ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษเลย เห็นด้วยค่ะ เล่ม 3 ไม่ค่อยมีอะไรให้อ่านแล้ว ไม่ต้องอ่านต่อแล้วก็ได้ค่ะ ^_^
เราอ่านจากหลายๆรีวิวที่มีทั้งสปอยล์และไม่สปอยล์
เราว่าเรื่องนี้ก็น่าอ่านมากทีเดียว (เรายังไม่ได้อ่านคะ) คิดว่าคนส่วนใหญ่อาจจะชอบเพราะว่าตัวเองไม่สามารถทำได้ในชีวิตจริง อ่านแล้วได้คิดหาเหตุผลต่างๆมาให้ตัวเองเข้าใจในตัวละคร ฯลฯ
บางทีอนาอาจจะมีจุดอะไรซักอย่างที่ทำให้คริสเตียนสะดุดใจก็ได้ค่ะ แค่จุดเล็กๆจุดเดียวก็มีความเป็นไปได้ เพราะผู้ชายที่มีลักษณัจิตแบบนี้ เราว่ามันต้องมีอะไรที่มองต่างจากคนที่ปกติค่ะ
เสียดายค่ะที่ไทยเรายังหาไม่เจอเลย แอบอยากอ่านมาก
ยิ่งอ่านสปอยล์เราก็ยิ่งอยากอ่าน อยากอ่านรายละเอียดแล้วมานั่งวิเคราะห์ดู :D
อืม เราจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่เหมือนว่าคริสเตียนจะไม่เคยบอกเลยนะคะว่ารักอนาตรงไหน เวลาบอกรักทีไรก็ประมาณว่าผมรักคุณจนเจ็บไปหมด ผมทนไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ แม้แต่ตอนที่ผู้หญิงในอดีตของคริสเตียนมาถามนางเอกว่า เธอต่างกับฉันตรงไหน เจ้าตัวก็ยังสงสัยตัวเองอยู่เลย คงเป็นว่านางเอกเรื่องนี้เป็นตัวแทนความฝันผู้หญิงน่ะค่ะ ไม่ต้องทำอะไรก็มีคนมาหลงรัก ง่ายๆ ดี
ส่วนเรื่องแปลไทยนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าจะมีหรือไม่มียังไง
ชอบบทความนี้มากๆๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ แบบว่าพูดออกมาได้ตรงประเด็น ถูกจุด
จี้ใจมากๆ ตอนนี้กำลังอ่านเล่มแรกอยู่ใกล้จบแล้วหล่ะค่ะ ก็ตั้งใจว่าจะอ่านให้จบทั้งสามเล่มถึงแม้ว่าจะโดนสปอยล์ไปแล้วก็ตาม
แอบตามบล๊อคนี้ไปในตัวด้วยเรย 5555
โถ่ แล้วมาอ่านสปอยล์ทำไมล่ะคะ ไม่รอลุ้นเอง เหมือนเพื่อนเราเลยค่ะ ไปเล่าเรื่องให้ฟังอุตส่าห์ถามก่อนว่าจะอ่านรึเปล่า ถ้าไม่อ่านจะสปอยล์แล้วนะ เขาก็บอกเล่ามาเลยไม่อ่านหรอก ตอนหลังดั๊นมาบอกเราว่าซื้อมาแล้ว 3 เล่ม เห็นมันดังเลยอยากอ่าน 555 อย่างนี้แหละค่ะ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบคนเล่าไม่เท่าอ่านเอง
ขอชมจากใจจริงว่าุคุณเขียนได้ดีมากค่ะ ดีมาก มาก มาก ชอบการใช้คำของคุณ อ่านแล้วเข้าใจได้เลยว่านักเขียนที่ดีมักทีพื้นฐานมาจากการเป็นนักอ่านที่ดี ในที่นี้หมายถึงทั้้งภาษาที่ใช้และการตีความเนื้อเรื่องที่อ่านของคุณด้วย ถึงคุณจะบอกว่าไม่ได้เขียนวิจาณ์อะไร แค่อ่านจบแล้วก็มาเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่คิดหลังอ่านจบ ถึงกระนั้นเราว่าเป็นความคิดที่ดีมาก ครบทุกด้าน ถึงแม้ว่าดูเหมือนว่าด้านเพ้อฝัน โรแมนซ์แบบบวก จะน้อยไปนิด จากการที่คุณอินกับฉากแบบนั้นไม่มากนัก แต่นั่นหมายถึงรสนิยมทางด้านนั้นของคุณไม่ได้เป็นแบบนั้น (ซึ่งไม่ได้หมายความว่าดีหรือไม่ดีค่ะ เรื่องแบบนี้สำหรับเรามันเป็นเรื่องของรสนิยม แต่ต้องหมายถึงเค้าต้องพอใจกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่อีกฝ่ายนึงโดนบังคับ)
เราเป็นคนนึงที่เข้ามาอ่านจากกูเกิล คิดอยู่ไม่นานเท่าไรว่าจะอ่านสปอยล์ดีมั้ยเพราะตัวเองเป็นคนไม่ชอบโดยสปอยล์เลย แต่อีกใจก็คิดว่า ก็อยากรู้อ่ะ ไม่อยากซื้อมาอ่านแล้วรู้สึกว่าเสียดายตังค์ เราไม่ได่้เป็นหนอนหนังสือมากนัก ไม่ได้อ่านกราดไปหมด ไม่ได้สะสมหนังสือ เล่มนึงที่จะซื้อเราคิดแล้วคิดอีกว่าต้องชอบ ถ้าเป็นได้อยากยืมเพื่อน/ห้องสมุดมาอ่าน ชอบค่อยซื้อ อะไรแบบนั้น เลยตกลงปลงใจว่า อ่านเถอะ ยังไงบทความนี้ก็ไม่ได้ลงดีเทลทุกฉากทุกตอนหรอก ถึงแม้ว่าคุณจะเตือนว่าสปอลย์จนอาจจะทำให้ไม่อยากอ่านก็เถอะ แต่เรายอมอ่านเพราะกลัวอยากอ่านจนซื้อมาอ่านแล้วเสียดายเวลาและเงิน 555
เราชอบที่เราอ่านแล้วเห็นด้วยกับคุณหลายประเด็น แต่ก็รู้สึกเสียดายว่าถ้าตัวะเองได้อ่าน อาจจะมีความคิดอะไรมาแลกเปลี่ยน หรือบอกคุณได้บ้าง อ่านไปเจอว่าคุณอ่านบน Kindle ..... นั่นสินะ เราก็มีไอแพด จะมี e-book ใน iTune มั้ยคะ (ตั้งแต่ซื้อไอแพดมา ไม่เคยใช้มันเป็น e-book reader เลย สะเทือนใจจัง) เราอาจจะเป็นแบบเพื่อนคุณอีกคน อ่านแล้วก็สงสัยตัวเองว่า เอ๊ะ เราจะคิดเหมือนเขามั้ยนะ กลายเป็นงั้นไป 555
เม้นยาวมาก คนขยันอ่านอย่างคุณคงอ่านหมดเนอะ แหะๆ
ps. เราชอบตรงที่คุณเขียนถึงอนาตอนที่อ้างเหตุผลผิดสัญญาไปเที่ยวกับเพื่อนไม่ขึ้น นั่นสิ เราก็ไม่ใช่ผู้หญิงแบบอนานะ อย่ามาเหมารวม เธอมันสตอเอง! 5555 (อินทั้งๆที่ยังไม่ได้อ่าน)
ปรบมือค่ะ ชื่นชมนักอ่านผู้มีสติ แยกแยะความเพ้อกับความจริง
อ่านไปแล้วชอบความตรงไปตรงมาจี้ใจดำของคุณ
(เฉพาะในงานเขียนนะคะ แต่ถ้าโดนในชีิตจริงเราอาจจะร้องไห้ขี้มูกโป่งได้)
ถึงจะสปอยแทบหมดเปลือกแล้วแต่เราก็อยากอ่านอยู่ดีจริงๆแหละ
แต่ติดที่ภาษาอังกฤษอ่อนแอแต่ก็เห็นด้วยกับคุณที่ว่าเรื่องนี้ไม่สมควรแปลไทยเพราะมองตามความเป็นจริงแล้ว สังคมไทยไม่ได้มีคนมีวิจารณญาณอยู่มากนัก
ปล.ขอบคุณจริงๆ
ที่อ่านแล้วมาวิเคราะห์วิจารณ์เจาะลึกให้คนไม่ได้อ่านไอ้อ่านด้วย
เรื่องนี้ไปแอบจิ๊กของพี่สาวมาอ่าน อ่านแค่ช่วงกลางของเล่ม 1 กลัวติดแล้วอยากอ่านเล่ม2-3 เลยยังไม่รู้ว่าสนุกไหม(ฮ่า)เลยมาตามอ่านสปอยด์ ทำให้ตัดสินใจได้ละ ขอบคุณนะคะ
ชอบบทวิจารณ์มากเลยครับ ปกติผมเกลียดนิยายประโลมโลกมากซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่เพื่อนแนะนำมา ผมไม่อยากด่าหนังสือถ้ายังไม่ได้อ่าน พอผมอ่านแล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นหนังสือรักประโลมโลกประเภทที่คนสนใจเพราะเนื้อหามันดูไม่เหมาะสมหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนแรกที่ผมสนเรื่องนี้เพราะเพื่อนบอกว่าเรื่องนี้ฉากติดเรทเยอะคนก็เลยอยากอ่านกัน เอาตรงๆว่าผมไม่คิดจริงจังอะไรกับเรื่องนี้นะครับ ผมก็อ่านแบบขำๆเพราะหนังสือส่วนใหญเน้นให้ความบันเทิง ไม่ละเมียดละไมเหมือนหนังสือสมัยก่อนที่จะแอบแฝงสิ่งดีๆไว้ ผมคิดว่าการที่จะอ่านหนังสือเรื่องนี้ให้สนุกคือไม่ต้องไปเอาจริงเอาจังกับมันเลยครับ มันไร้สาระแต่ก็ตลกดี บทวิจารณ์นี้ผมชอบมากครับ
อยากอ่าน
ก็ไม่เคยอ่านนะค่ะ แต่เหมือนจะมีทีเซอร์หนังออกมาน่าจะฉายประมาณกุมภาปีหน้า ทีเซอร์หนังก็น่าสนใจดี ก็คิดว่าจะเปิดใจให้กว้างดูหนังเรือ่งนี้ เพราะคิดว่าในโลกเราก็มีคนอยู่หลายล้านล้านคน มันก็ย่อมมีความรักที่แตกต่างกันหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่คนปกติเท่านั้นที่มีรักได้ แต่คนที่มีบาดแผลในหัวใจก็สามารถรักได้เช่นกัน
เป็นการวิจารณ์ที่ยอดเยี่ยมมากค่ะ #ปรบมือรัวๆ
สุดยอดเลยคะ. ดูแต่ภาคแรกยังสนุกขนาดนี้ แต่คือ เดินออกจากโรงแบบตาแดง. น้ำตาซึมยังไม่หาย!!
555
ว้าว ชอบการรีวิว(แอนด์สปอย) ของคุณมากค่ะ
ชอบความรู้สึกที่มีต่อหนังสือ ต่อพระเอก และนางเอก
มันตรงใจมาก
ชอบตรง "การพยายามย้ำ ( เรื่องอะไรก็ตามบ่อยๆ ) มันก็สะท้อนความไม่มั่นคงของตัวเอง"
ตีความได้ดี อยากรู้ตอนท้านเล่ม 3 ที่เล่าถึงตัว เกรย์
มันเหมือนช่วงพีคนะ เวลาอ่าน แบบว่าฟินอะ เหมือนช่วงพีค สุดยอดเลิศ แต่พอสักพักก็จะแบบธรรมดาวะ ุเป็นอะไรวะ บ้าวะ เหมือนตอนแรกเราเข้าไปสิงในหนังสือ เป็นนางเอกอะไรประมาณเนี้ย สักพักเราออกมาก็เออ ธรรมดานะ ปกตินะ แต่คุณวิจารณ์ได้เยี่ยมมาก เราก็เคยคิดนะแต่แบบพอจะพูดก็จะสับสนละ อะไร จะพูดอะไร ตอนที่อ่านที่คุณวิจารณ์แบบ คุณแต่งหนังสือมั้ย อยากอ่าน แบบว่าบรรยายได้ดีมาก ขอบคุณมากๆที่เขียนอะไรดีๆแบบนี้ให้อ่าน
เขียนดีมากครับ ขอบคุณครับ
เขียนได้ดีมากครับ แสดงความคิดในด้านการตีเนื้อความได้ดีมากถึงขั้นว่ามากมาก สามารถอ่านและตีความถึงผลที่จะกระทบต่อคนอ่านได้ในระดับที่ดีมากซึ่งใครหลายๆคนที่ได้อ่านอาจจะไม่ได้คิดถึงจุดนั้น มีอยู่ส่วนนึงที่ผมได้มีความคิดเห็นบางส่วน คือส่วนที่ว่า ทำไมคริสเตียนถึงเลือกอนาทั้งๆที่อนาเป็นผู้หญิงปกติ ซึ่งผมยังไม่เคยที่จะอ่านแต่ก็มีความสนใจอยู่ไม่น้อย ผมขอยกความรู้สึกส่วนตัวจากการได้ดูหนังมาก็แล้วกันน่ะครับ ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่ในหนังนั้นได้ดัดแปลงเนื้อหาอะไรหรือเปล่าเพราะผมไม่เคยอ่นหนังสือเรื่องนี้ จากที่ว่าทำไมผู้หญิงธรรมดาถึงสามารถกุมใจผู้ชายที่หล่อรวยและเพอร์เฟ็คอย่างงี้ได้ อาจเพราะมีมุมมนึงี่น่าสนใจของอนาเอง ซึ่งจากที่ผมไ้ดูมา อนาเป็นคนที่ดูเป็นคนฉลาดซึ้งอาจเพราะเธอเรียนด้านนั้นา เธอมีคาวมสามารถในการต่อรองและความสามารถในการ...ในที่นี้ใช่คำว่า ยั่ว ก็แล้วกันน่ะครับ ผมคิดว่าเธอมีความแปลกในลักษณะนึงที่แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไป อาจจะไม่ใช่ลักษณะนิสัยทั้งหมด อาจจะเป็นลักษณะนิสัยที่ใข่เฉพาะกับคนที่สนใจก็ได้ ซึ่งบางส่วนที่แตกต่างไปของคนแต่ละคน จะป็นเสน่เฉพาะตัวทีทำให้คนบางคนสนใจขึ้นมามันอาจจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนของคำว่า รัก ก็ได้น่ะครับ เพราะคนเรานั้นเจอรูปแบบของควมรักแตกต่างกัน :)
ขอบคุณมากๆค่ะ เขียนได้ดีมากค่ะ เห็นภาพเลย อิอิ
อยากยืมมาอ่านจังเลยค่ะ เช่าก็ได้ อยากอ่านมากค่ะ ไม่มีตังค์ซื้ออ่ะ หื้อออออ 😭😭😭
ชอบมาก สุดยอด🙌🙆🙇
เราอ่านเล่ม 1 รู้สึกว่าน่าเบื่อมากก แอบรำคาญนางเอกเบาๆ
ชอบมากค่ะ เขียนดีมาก
ขอกล่าวคำว่า "ขอบคุณมากค่ะ" เยี่ยมมาก
จากที่ชอบหนัง ไม่กล้าซื้อหนังสือ เพราะจากเม้นท์ที่อื่น
ตอนนี้ต้องซื้อมาเป็นboxset อีกชุดในตู้หนังสือแล้ว
เพราะชอบแนวเรื่อง "จังหวะร็อคดนตรีรัก" ของชินโจ มายู เหมือนกัน
ขอบคุณมากเลยคะ
ดูจบแล้วดีใจค่ะ ตั้งใจมานานานมาก ดูแล้วเข้าใจว่าความรักมีหลายรูปแบบจริง แต่ถ้าเป็นนางเอกก็ขอไม่อยู่กับ grey น่ะเพาะเหมือนคุณหวังกับฉันเรื่องนั้นเรื่องเดี่ยว
ดูจบแล้วดีใจค่ะ ตั้งใจมานานานมาก ดูแล้วเข้าใจว่าความรักมีหลายรูปแบบจริง แต่ถ้าเป็นนางเอกก็ขอไม่อยู่กับ grey น่ะเพาะเหมือนคุณหวังกับฉันเรื่องนั้นเรื่องเดี่ยว
ดีใจมากๆ ที่มีคนคิดเหมือนกันนะคะ เราอ่านแล้วไม่มีความเชื่อว่า ผู้ชายแบบนี้จะเป็นคนที่เราสามารถครองรักได้อย่างมีความสุขเช่นกัน
เหมือนดู สวรรค์เบี่ยง แบบนี้ คือ เราว่านิยายที่เขียนโดยผู้หญิงนี่แปลกนะ มักชอบความสัมพันธ์ ที่เริ่มต้นด้วยการทำร้ายกัน แล้วฝันว่าเราจะเปลี่ยนผู้ชายคนนั้นให้กลายเป็นคนอ่อนโยน ....(อยากจะบ้าตาย ขอกรีดร้อง ว่าไม่มี้!!)
ถึงเราจะไม่เคยเรียนจิตวิทยา แต่เราไม่เชื่อนะ ว่าคนเราเริ่มต้นด้วย ทำร้าย จบลงจะกลายเป็นความอ่อนหวานได้ อยากให้ผู้หญิงเลิกหลิกผู้หญิงด้วยกันเองด้วย นิยาย แบบนี้สักที มันกล่อมให้ผู้หญิงจำนวนมาก ยอมโดนทำร้ายอยู่นั่นนะแหละ
แปลกนะ นิยายที่เขียนโดยผู้ชาย เช่น Nicolas spark พนมเทียน จะไม่มีความรักที่เริ่มต้นจากการทำร้ายร่างกาย ในคราบรูปหล่อ ร่ำรวย เพ้อฝันแบบนี้เลย
มองในมุมของความรักนี่อาจจะเป็นนิยายที่ทำให้คนที่มีมุมมองของความรักอีกรูปแบบนึง(มองข้ามฉากเซ็กซ์ไป) ก็จะเป็นนิยายที่อบอวนไปด้วยเรื่องราวความรักของคนสองคนที่ต้องฟันฝ่าเรื่องของทั้งสองคนไปให้ได้ด้วยความรัก
มองในมุมของความรักนี่อาจจะเป็นนิยายที่ทำให้คนที่มีมุมมองของความรักอีกรูปแบบนึง(มองข้ามฉากเซ็กซ์ไป) ก็จะเป็นนิยายที่อบอวนไปด้วยเรื่องราวความรักของคนสองคนที่ต้องฟันฝ่าเรื่องของทั้งสองคนไปให้ได้ด้วยความรัก
มองในมุมของความรักนี่อาจจะเป็นนิยายที่ทำให้คนที่มีมุมมองของความรักอีกรูปแบบนึง(มองข้ามฉากเซ็กซ์ไป) ก็จะเป็นนิยายที่อบอวนไปด้วยเรื่องราวความรักของคนสองคนที่ต้องฟันฝ่าเรื่องของทั้งสองคนไปให้ได้ด้วยความรัก
ชื่นชม อ่านจบเลยค่ะ
เป็นความรักของคนมีปมค่ะ นางเอกเด็กกว่าและพยายามเข้าถึงปัญหาของพระเอก แต่ก็มีมุมมอง นิสัยแบบเด็กๆ ยังดีที่พระเอกแคร์นางเอกมากกกกกก ยอมและปรับคัวเองหลายอย่าง ทำให้เห็นว่า ความรักต้องพูดคุย สื่อสารให้รู้ ไม่อย่างนั้นต่างฝ่ายก็ต่างคิดไปเอง
จัดว่าจิตเข้ากันได้ทั้งชาย-หญิงหัวอกเดียวกัน รู้แล้ว,อ่านแล้ว,ดูแล้วก็อยากดูซ้ำ เพราะเรื่องราวตื่นเต้นน่าค้นหาอยากรู้ พอๆกันกับชีวิตจริงของคนเราที่ใครๆหลายๆคนยังไม่รู้ชีวิตของคนอื่นๆอีกเช่นกัน ไม่แน่เรื่องราวชีวิตของคุณๆอาจจะทำให้ฟิฟตี้ตกกระป๋องไปเลยก็ว่าได้.
แสดงความคิดเห็น