วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

The Girl with the Dragon Tattoo (2011) - David Fincher

เราเป็นแฟนหนังสือ Millennium Trilogy น่ะนะคะ ไปดูหนังมาแล้วก็กลับมาอ่านข่าว บทความนิตยสาร ดูคลิปสัมภาษณ์ ย้อนอ่านนิยายบางตอน ยังไม่ได้อ่านอะไรใหม่เป็นชิ้นเป็นอัน ก็ยังไม่เขียนบล็อกถึงหนังสือ แต่ขอพูดถึงหนังหน่อยแล้วกัน วันนี้ฉายเป็นทางการแล้ว ภาพยนตร์ The Girl with the Dragon Tattoo (2011) ฉบับฮอลลีวู้ด ของผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ หรือในชื่อไทยว่า พยัคฆ์สาวรอยสักมังกร (ชื่อเหมือนหนังจีนแฮะ อย่างนี้ภาคสองจะกลายเป็นอะไรล่ะ พยัคฆ์สาวเพลิงอัคคีเหรอ อืมม์) ถึงแม้ตัวเลขรายได้เปิดตัวที่สหรัฐอเมริกาจะไม่เปรี้ยงอย่างที่คิด แต่นี่ก็เป็นหนังที่เราตั้งตารอดูมากที่สุดในช่วงนี้เลย



นี่ไม่ใช่วิจารณ์ภาพยนตร์นะ เพราะเขียนแบบมีหลักการเชิงภาพยนตร์ไม่เป็น ขอให้คิดว่าเป็นเพียงความรู้สึกของแฟน Millennium Trilogy คนหนึ่ง หลังจากที่ไปชมหนังเรื่องนี้มาเท่านั้น แล้วเพราะว่าเราเป็นแฟนเต็มขั้นของเรื่องชุดนี้ ถ้าฟังแล้วรู้สึกว่าเว่อร์ไปหน่อยก็อย่าว่ากัน

เตือนสปอยล์

ขอเตือนว่า เนื้อหาต่อจากนี้จะมีการพูดถึงเนื้อเรื่องและฉากในภาพยนตร์อย่างอิสระ ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้โปรดหลีกเลี่ยง และเนื่องจากเราอ่านทั้งนิยาย กับเคยดูหนังฉบับสวีเดนมาแล้วด้วย ดังนั้นคงจะต้องมีเปรียบเทียบกันบ้าง จึงอาจมีสปอยล์เลยเถิดไปถึงพวกนั้นด้วย



ขึ้นต้นมาด้วยฉากไตเติลที่เป็นภาพกราฟิกส์คอมพิวเตอร์ พร้อมเพลงประกอบแรงๆ มันส์ๆ ชอบภาพช่วงนี้มากๆ เลย ทำให้ตื่นเต้นดึงดูดตั้งแต่แรก จากนั้นก็เข้าสู่เรื่องด้วยฉากกรอบรูปดอกไม้ปริศนาที่มีผู้ส่งมาให้เฮนริก แวงเกอร์ ต่อมาด้วยการเล่าถึงตัวละครเอกฝ่ายชายของเรื่อง คือ มิคาเอล บลอมควิสต์ (หนังฮอลลีวู้ด ออกเสียงแบบอเมริกัน ก็เรียกตามหนังไป) ช่วงนี้ธรรมดาไม่มีอะไรมากนัก อาจจะเน้นอารมณ์ดราม่าน้อยกว่าหนังสวีเดนหน่อย แต่การดำเนินเรื่องตรงตามนิยายต้นฉบับมากกว่า

และคนดูก็ไม่ต้องรอนาน เพราะลิสเบ็ธ ซาลันเดอร์ คนใหม่ ก็ปรากฏตัวในไม่ช้า ลิสเบ็ธเวอร์ชันนี้อาจจะดูออกแนวพังค์มากกว่าที่เคยนึกภาพไว้ในนิยาย แต่รูปร่างหน้าตารูนีย์ มาร่า นี่บอกได้เลยว่า ใช่จริงๆ ตัวเล็กและหน้าอ่อนเหมือนเด็กวัยรุ่น ฉากเคี้ยวหมากฝรั่งตอบคำถามคุณทนายในออฟฟิศนั่น กรี๊ดอยู่ในใจ เป๊ะจริง ละสายตาจากเธอไม่ได้เลย

บลอมควิสต์ตกลงรับงานสืบคดีหลานสาวมหาเศรษฐีเมื่อ 40 ปีก่อน เราชอบบทภาพยนตร์ตรงนี้ที่ไม่ละเลยการย้ำว่า สาเหตุที่แท้จริงที่บลอมควิสต์รับงานเพราะต้องการข้อมูลของเวนเนอร์สตรอม ไม่ใช่เรื่องเงินหรือแค่อยากหลบหน้าผู้คนเท่านั้น สะท้อนตัวตนในมุมที่น่าชื่นชมของพระเอก ไม่งั้นตัวละครนี้ก็จะไม่ค่อยเหลืออะไร

ฉากที่บลอมควิสต์ เดินทางขึ้นเหนือ และย้ายเข้าบ้านพัก ตอนเดินหาสัญญาณมือถือนั่น ให้ทั้งบรรยากาศและการเล่าเรื่อง ยะเยือกกับความหนาวเย็นห่างไกล ถ้าเปรียบกับฉบับสวีเดน ฉากทิวทัศน์อาจจะไม่แตกต่างกัน บ้านในพื้นที่โล่งกว้าง หิมะขาวโพลน แต่ในฉบับ 2011 เราได้สัมผัสถึงอารมณ์ความทึ่งแผ่ซ่านออกมาจากจอ มุมมองที่เดวิด ฟินเชอร์ เลือกนำเสนอผ่านเลนส์กล้อง เหมือนกับว่า ผู้กำกับถ่ายทอดความตื่นตาของเขาออกมาให้เราเห็นด้วย

ในขณะที่ตอนดูเวอร์ชันสวีเดนเราไม่รู้สึกแบบนี้ เป็นได้ว่าคนแถวนั้น (ฉบับ 2009 ผู้กำกับเป็นคนเดนมาร์ก) อาจจะไม่รู้สึกแปลกตาแปลกใจกับภูมิประเทศของตัวเอง คงเหมือนกับที่บางทีเราเห็นรูปที่ฝรั่งถ่ายรูปเมืองไทยสวยกว่าเราคนไทยถ่ายเอง เห็นมุมภาพแล้วเรารู้สึกว่าเขาทึ่งกับอะไรที่มันชินตาของเรา อย่างฉากที่พระเอกไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ฉบับสวีเดนไม่มีหรอก เห็นไม่สำคัญแค่ซื้อของเข้าบ้านเอง แต่เวอร์ชัน 2011 นี้มีถึงแม้จะแว้บเดียว แต่แค่นี้มันก็ดูแปลกตาแล้ว ของที่ขายกับการจัดร้านมันไม่ค่อยเหมือน 7-11 บ้านเรา รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดในสวีเดนจริงๆ ไม่ใช่เนื้อเรื่องที่เกิดที่ไหนก็ได้ สมกับที่ฟินเชอร์เคยบอกว่า ยังไงภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต้องถ่ายทำที่สวีเดน เพราะฉากของเรื่องนี้สำคัญเหมือนเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งเลย

ชอบการแสดงของรูนีย์ มาร่า ในบทลิสเบ็ธ ฉากที่ลิสเบ็ธสู้กับคนที่วิ่งราวในสถานีรถไฟนั่นถึงจะไม่ยาว แต่ชอบมาก สาวรอยสักของเราเท่จริง ส่วนฉากนั่งซุกที่มุมที่นั่งโดยสารในรถไฟใต้ดินนั่น แสดงถึงด้านที่เปราะบางของลิสเบ็ธได้ดีมาก แต่ขนาดนั้นก็ยังแผ่รังสี ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลย

มาถึงฉากสำคัญของเรื่องตอนข่มขืน โอย แรงมาก ขนาดรู้เรื่องอยู่แล้ว เคยดูเวอร์ชันก่อนมาแล้วด้วย ก็ยังคิดว่าภาพในฉบับนี้แรงมากจริงๆ เรต R 18+ เต็มๆ ดูไปหน้าเหยเกไป แอบหลบสายตาจากจอไปตั้งหลายที ต้องพยายามเตือนตัวเองให้แข็งใจดู แต่ก็พร่ำภาวนาในใจไปว่า ผ่านฉากนี้ไปเร็วๆ หน่อยสิ ไม่อยากเห็นอะไรแบบนี้เลย ถึงจะคิดว่ามันแรงมาก แต่ถ้าถามว่า เกินความจำเป็นมั้ยก็พูดได้ไม่เต็มปาก การนำเสนอความรุนแรงที่ผู้หญิงถูกกระทำอย่างตรงไปตรงมา มันก็เป็นการช่วยกระตุ้นตอกย้ำหนักๆ ให้คนดูสำนึกถึงปัญหาเรื่องนี้ แล้วฉากแก้แค้นก็ทำได้สะใจมากกกก

จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่การสืบคดีอย่างจริงจัง ตัวเอกทั้งสองคนได้มาอยู่ร่วมกัน ช่วงนี้ดูสนุกดีมาก การดำเนินเรื่องทำได้น่าติดตาม ค่อยๆ คลี่คลายปริศนาไปเรื่อยๆ จนรู้ตัวคนร้ายในที่สุด อารมณ์ระทึกช่วงนี้ทำได้ยอดเยี่ยม กับการเผชิญหน้าฆาตกร ตอนคนร้ายนั่งไขว่ห้างแล้วสาธยายสั่งสอน จิตกว่าในฉบับสวีเดนมากๆ ในส่วนของเรื่องราวหลังจากนั้น ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Dragon Tattoo ฉบับนี้จะเปลี่ยนตอนจบจากในนิยาย ก็ทำให้เราหวั่นใจอยู่ แต่พอได้ดูจริงๆ จุดที่เปลี่ยนแปลงจากในนิยายมีน้อยมาก ไม่ได้เปลี่ยนสาระสำคัญของเรื่องเลย คงจิตวิญญาณของนิยายต้นฉบับได้ครบถ้วน ถึงแม้เนื้อเรื่องบางจุดอาจไม่เคลียร์ เช่น จะไม่เฉลยให้คนที่ไม่อ่านนิยายรู้หน่อยหรือว่าใครส่งดอกไม้มา

มาพูดเรื่องตัวนักแสดงบ้าง เราไม่รู้จะเอ่ยชมรูนีย์ มาร่า ยังไง ไม่ให้ฟังแล้วรู้สึกว่าการแสดงของนูมี่ ราพาซ ดูด้อยค่าลง เพราะที่จริงเราไม่ได้ตั้งใจให้หมายความอย่างนั้น ลิสเบ็ธของราพาซนั้นถูกถ่ายทอดได้อย่างยอดเยี่ยมและมีพลังมากๆ แล้ว แต่เอาเป็นว่าตอนเราดูหนังเวอร์ชันอเมริกัน เราไม่ได้นึกถึงภาพของราพาซเลยสักครั้งเดียว ความจริงแล้วสำหรับเรา คงไม่มีนักแสดงคนไหนสามารถถ่ายทอดความเป็นลิสเบ็ธออกมาได้สมบูรณ์ 100% เพราะลิสเบ็ธเป็นตัวละครหญิงที่กล่าวได้ว่า โดดเด่นสุดยอดที่สุดตั้งแต่เริ่มศตวรรษนี้มา ความสุดยอดของเธอไม่ใช่สิ่งที่จะแสดงออกมาให้คนเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิด ตัวตนและวิญญาณของตัวละครตัวนี้ แต่เราก็คิดว่า รูนีย์ มาร่า ดูใกล้เคียงกับลิสเบ็ธในฉบับนิยายยิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด มันคงเป็นที่การตีความตัวละครมากกว่าที่ฝีมือการแสดง

เรื่องรูปร่างหน้าตาไม่ต้องพูดซ้ำ แต่รูนีย์ มาร่า มีมิติซับซ้อนกว่า ส่วนหนึ่งเพราะบทภาพยนตร์เอื้อกว่า หลายฉากช่วยถ่ายทอดให้เราเห็นลิสเบ็ธในหลายๆ ด้านมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นฉากการตอบโต้ที่ไม่ปรานีปราศรัย อารมณ์เคว้งไม่รู้จะทำยังไงตอนที่พาล์มเกรน ผู้ปกครองคนเก่า ป่วยหนัก เธอมีช่วงอารมณ์ให้เล่นได้กว้างและหลากหลายกว่า ไหนจะฉากที่รูนีย์ มาร่า เล่นแบบทุ่มสุดตัว ทั้งฉากข่มขืนและฉากที่อยู่กับบลอมควิสต์บนเตียง พูดตามตรง ตอนดูแอบเบือนหน้าหนีอีกแล้ว คิดว่าไม่ต้องลงทุนเปลืองตัวขนาดนี้ ละไว้ในฐานที่เข้าใจหน่อยก็ได้ แต่มันก็สะท้อนตัวตนของลิสเบ็ธให้เห็นมากขึ้นน่ะนะ ลิสเบ็ธนั้นมีรูปแบบความคิดเฉพาะของเธอเอง ที่ไม่ค่อยจะสนใจว่าสังคมหรือคนอื่นจะว่ายังไง มีเซ็กส์ได้โดยไม่แคร์ว่า กับผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นพ่อเขาผัวใคร บทบาททางเพศของเธอก็ไม่ใช่เยี่ยงผู้ถูกกระทำ

ถ้าจะมีอะไรที่ยังไม่ได้ดั่งใจเราก็คงเป็นเรื่องความรักของลิสเบ็ธ เราไม่รู้สึกสักนิดว่าลิสเบ็ธเริ่มเปิดใจ ฉากที่นอนคุยกันเล่าความหลังมันสื่อได้น้อยไป ที่จริงก็ช่วยไม่ได้มันเป็นข้อจำกัดของหนังที่พรรณนาเรื่องได้ไม่เท่าตัวหนังสือ และฉากจบสุดท้ายตอนทิ้งของขวัญนั้น มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายเรื่องราวได้แจ่มแจ้งเหมือนในนิยาย

ในส่วนของแดเนียล เคร็ก ความจริงก็ไม่ได้เล่นแย่ แต่ก็ยังดูขาดเสน่ห์ของบลอมควิสต์ และเมื่อเทียบกับรูนีย์ มาร่า เขาก็แทบดับไปเลย สำหรับคนที่เหลือ คนที่เล่นเป็นฆาตกรนั่นก็ชมไปแล้ว คนอื่นๆ ก็รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่บทมันไม่มีอะไรให้เล่นมากนักหรอก


สรุปในภาพรวมของหนังเวอร์ชันนี้ เรายกให้ฉบับของฮอลลีวู้ดชนะฉบับสวีเดนแบบใสๆ ถ้าเป็นฟุตบอลก็คงประมาณสกอร์ 3-1 เพราะดีกว่าเกือบทุกอย่าง ทั้งด้านภาพ การดำเนินเรื่อง และตัวนักแสดง ตอนนี้ก็คงต้องเอาใจช่วยเรื่องรายได้ของหนังกันหน่อย โซนี่ยืนยันแล้วว่าสร้างภาคต่อแน่นอน แต่เราอยากให้หนังประสบความสำเร็จเต็มที่ คงต้องไปอุดหนุนกันอีกสักรอบ เพราะอยากให้เดวิด ฟินเชอร์ มากำกับภาค 2-3 ต่อ อาจมีแฟนของฟินเชอร์บางคนที่ยังไม่พอใจ Dragon Tattoo แต่แฟน Dragon Tattoo อย่างเราโคตรพอใจฟินเชอร์เลยค่ะ หนังสวีเดนภาค Fire กับ Hornet นี่โปรดักชันไม่ค่อยดี เนื้อเรื่องก็ตัดไปเยอะมาก มีช่องให้พัฒนาได้อีกเยอะ รับรองว่า ฟินเชอร์จะทำได้เหนือกว่าขึ้นไปอีกแน่นอน

และอีกอย่างที่เราต้องขอบคุณ Dragon Tattoo เวอร์ชันนี้ก็คือ มันทำให้คนทั่วไปรู้จักไตรภาคมิลเลนเนียมเยอะขึ้นมาก เมื่อปีก่อนโน้นตอนไปดูที่ House เห็นมีคนดูนับหัวได้เราก็แอบเศร้า แต่นี่ขนาดรอบพิเศษตอนดึกก็ยังมีคนดูพอสมควร อยากให้เรื่องชุดนี้มีคนรู้จักกันในวงกว้าง ได้ความสนใจจากผู้คนในระดับคู่ควรกับที่นิยายเรื่องนี้สมควรได้รับ

ป.ล. รอบพิเศษนี่ซื้อตั๋วดูเองนะ

9 ความคิดเห็น:

aisha กล่าวว่า...

Thanks for this post its really interesting i bookmark your blog for future stuff like this..
Ford Fairlane AC Compressor

Chihaya กล่าวว่า...

สาเหตุหลักที่ไม่กล้าไปดูก็เพราะฉาก R18+ ที่บอกไว้ในสปอยนั่นแหละค่ะ อ่านหนังสือยังจะบ้าตาย อีกอย่างไม่ชอบพระเอกค่ะ แต่เห็นด้วยว่าลิสเบ็ธสุดยอด

Nas กล่าวว่า...

หนังแรงมากจริงค่ะ กับแก๊งเื่พื่อนสนิทยังไม่กล้าชวนให้เขาไปดูเลย

ลิสเบ็ธในเล่ม 2 สุดยอดกว่านี้อีกนะคะ

Chihaya กล่าวว่า...

ยังไม่ได้อ่านเล่ม 2 กะ 3 เลยค่ะ มันสนุกแต่ก็เครียด ต้องหาช่วงอารมณ์ดีๆแล้วจองเวลาไว้ ลิสเบ็ธคือสิ่งเดียวที่ทำให้เราอยากอ่านต่อค่ะสำหรับซีรี่ส์นี้

Nas กล่าวว่า...

เล่ม 2-3 ไม่ค่อยมีฉากบีบคั้นเท่าไหร่แล้วล่ะค่ะ แต่พฤติกรรมสำส่อนของตัวละครนี่ก็ต้องทำใจเพราะมันเยอะมาก แต่รอว่างๆ ค่อยอ่านก็ได้ค่ะ เพราะอาจจะต้องอ่านต่อกัน

ลิสเบ็ธเป็นหัวใจของเรื่องชุดนี้จริงๆ เราว่า ถ้าไม่มีลิสเบ็ธ เรื่องนี้มันก็นิยายสืบสวนธรรมดานี่แหละค่ะ ตอนอ่านจบเล่ม 1 เรายังคิดว่า ทำไมอวยกันจัง พออ่านครบดันเป็นเอามากซะเอง คิดว่าแกนของเรื่องจะอยู่ที่เล่ม 2 น่ะค่ะ

solomon กล่าวว่า...

เพิ่งดูมาเมื่ออาทิตย์ที่เเล้ว (เกือบไม่ได้ดู) ไม่ค่อยอินตรงตัวละครลิสเบ็ธในเรื่องที่พัฒนาจาก survivor-to-genius
คิดว่าถ้าเป็นการพัฒนาจาก victim-to-survivor คงจะน่าสนใจ น่าจะบีบหัวใจได้มากกว่านี้ ไม่รู้ในหนังสือหรือในหนังสวีเดนจะเเตกต่างกันหรือเปล่า
แต่อย่างว่าถ้าตัวละครหลักเป็นได้เเค่ survivor ก็คงไม่มีเเรงมากพอที่จะนำมาเป็น movie franchise ได้

ผมแฟนฟินเชอร์นะ ละไม่อยากให้แกทำภาคต่อๆไปเลย ดูๆเเล้วอย่างแย่ก็โดนสับเละ อย่างดีที่สุดก็แค่เสมอตัว ทั้งเนื้อเรื่องทั้งตัวละครมันน่าสนใจอยู่เเล้ว ให้คนอื่นทำก็ได้มั้งนะ

solomon กล่าวว่า...

ดูมาเเล้ว สนุกมากจ้า

Nas กล่าวว่า...

จริงๆ ในหนังฉบับใหม่นี่ค่อนข้างดำเนินเรื่องตามนิยาย แต่ก็คงยังเล่าความเป็นลิสเบ็ธได้ไม่หมด พวกเราพยายามจะนิยามตัวตนของเธอไปต่างๆ นานา แต่ถ้าในนิยาย ตัวลิสเบ็ธเองเธอจะไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นอะไร ไม่เคยให้คำจำกัดความแก่ตัวเองเลย เป็นตัวละครที่คาดเดายาก และคนอ่านตีความไม่เหมือนกันน่ะค่ะ แต่พอมาเป็นหนังก็ต้องให้น้ำหนักในการดำเนินเรื่องด้วย เวลาที่ให้กับ inner ของตัวละครก็อาจจะน้อยลง

เราไม่ใช่แฟนฟินเชอร์ค่ะ ก่อนนี้เคยดูงานเขาแค่ 2 เรื่องเอง ก็ชอบค่ะ แต่ไม่ได้ติดตาม แต่ดูท่าทีตอนนี้ สงสัยว่าฟินเชอร์ก็อาจจะไม่ได้กลับมาทำภาคต่อ เพราะข่าวเงียบไปเลย

nekoDemo2n กล่าวว่า...

ต้องบอกว่าเราพลาดมากที่เก็บไว้นานพึ่งจะได้มาดูวันนี้
จะบอกว่าคลั่งไคล้มากๆ จะไปหาซื้อหนังสือมาเก็บให้ครบเลย><
กะจะโหลดบิทภาค2มาดูแต่ไม่มีใครปล่อยเลย คงต้องโหลดเว็บนอกเอาT^T
เสียดายมากค่ะที่หนังสือออกมาเพียงเท่านี้
หากออกมาได้สิบเล่มจริงๆคงดี
แต่มันเป็นไปไม่ได้ :(

แสดงความคิดเห็น