คะแนน : 8
เราก็นึกว่าจะรอให้เรื่องนี้มันออกมาให้ครบชุดก่อน แต่ปรากฏว่า พอเข้าไปอ่านเว็บคนเขียน เธอบอกว่าเรื่องนี้สำนักพิมพ์ไม่ยอมพิมพ์ต่อ มิน่าล่ะ เห็นมันออกมาแค่ 2 เล่มก็หายไปเลย แต่เลนี่ เทย์เลอร์ ก็บอกว่า จะพยายามหาวิธีให้คนได้อ่านจนจบนะ เอาไงล่ะทีนี้ อยากอ่านก็อยากอ่านเพราะติดใจมาจาก Daughter of Smoke and Bone แต่ก็กลัวค้างคา เอาน่ะ เสี่ยงดู
แม็กพาย วินด์วิตช์ เป็นเด็กหญิงแฟรี่ (อายุร้อยปีแล้วล่ะ แต่สำหรับโลกในเรื่องนี้ที่แฟรี่อยู่ได้เป็นพันปีก็ถือว่ายังเด็กอยู่) แม็กพายออกไล่ล่าปิศาจที่เหล่ามนุษย์จอมจุ้นปล่อยให้หลุดจากขวด วันหนึ่งก็มาเจอว่า ปิศาจที่หลุดออกจากขวดคราวนี้ไม่ใช่ธรรมดา เพราะผนึกที่ปิดขวดนั้นเป็นตราประทับของแม็กรูเวน ดจินน์ธาตุไฟ ที่เป็นผู้สร้างโลกทั้งหมดขึ้นมา แม็กพายกับพวกพ้องพี่อีกาของเธอจึงเดินทางติดตามเบาะแสกลับมาที่ป่าดรีมดาร์ค บ้านเกิดของเธอเอง
เรื่องนี้เป็นแฟนตาซีแท้ๆ แฟนตาซีมากๆ เลยด้วย ช่วงแรกเหมือนอ่านพวกตำนานปรัมปรามากกว่าอ่านนิยายด้วยซ้ำ การสร้างโลกในเรื่องนี้มีรายละเอียดที่น่าทึ่งทีเดียว แต่ช่วงแรกก็จะรู้สึกแปลกที่นิดหน่อย ไม่คุ้นเคย ถ้าเทียบกับเรื่อง DoS&B บรรยากาศในเรื่องนี้เข้าถึงยากกว่า และเนื้อเรื่องออกอารมณ์เด็กกว่า เหมือนนิทานผจญภัย จริงๆ มีตัวละครที่เป็นพระเอก แต่ยังไม่เน้นเรื่องโรแมนติก แค่ปิ๊งๆ ยังใสๆ กันอยู่ แม็กพายกับทาลอนเป็นเด็กที่สมบูรณ์แบบระดับโอเว่อร์ทั้งคู่ ช่างไม่มีข้อเสียเลย แต่ก็ไม่น่าหมั่นไส้นะ ที่จริงเนื้อเรื่องสนุกดีมากเลย และดีที่จบในเล่มแบบไม่ค้างคาด้วย เขียนได้ลงตัวมาก แต่เพราะรู้สึกว่ามันเด็กไปหน่อย เราเลยไม่ค่อยอิน
เสียดายอยากอ่านเรื่องนี้ตอนเป็นเด็ก เราคงหลงเรื่องนี้มากๆ เลย นึกถึงสมัยก่อนตอนที่อ่านเรื่อง "เมืองในตู้เสื้อผ้า" (แค่ชื่อเรื่องที่เรียกก็บอกอายุจริงๆ ^_^) แล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าทุกอันในบ้าน ไปเยี่ยมบ้านปู่ย่าตายายก็ไปแอบมุดๆ ดูในตู้ ที่จริงไม่ได้เชื่อหรอกแค่แอบหวัง ตอนเด็กๆ นี่ตลกดีเนอะ
วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
Dancing on Coals - Ellen O'Connell
คะแนน : 7.5
นิยายโรแมนซ์ตะวันตกเรื่องที่ 3 ของนักเขียนอินดี้ Ellen O'Connell อีบุ๊คสองเรื่องก่อนนี้ นอกจากเขียนเองพิมพ์เองแล้ว เจ้าตัวก็ยังออกแบบปกและโฟโต้ช็อปเองอีกด้วย ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ แต่เล่มนี้ง่ายไปมั้ยอ่ะ ดูเป็นมือสมัครเล่นไปหน่อย
แคทเธอรีน แกรนท์ หนีเสือปะจระเข้ จากโจรปล้นรถม้าโดยสาร (เสือ) มาเจออินเดียนแดง (จระเข้) และก็หนีจากจระเข้มาเจอ เกตัน นักรบอาปาเช่ผู้เกลียดชังคลั่งแค้นคนขาวสุดชีวิต คนขาวทุกคนที่เจอต้องฆ่าให้หมด แต่เพราะคำสัญญาที่รับปากน้องชายว่าจะไม่ฆ่าไม่ทำร้ายหญิงสาวผู้นี้ เกตันจึงต้องร่วมเดินทางกับแคทเธอรีน เพื่อพาหญิงสาวเอาตัวรอดจากดินแดนเถื่อนแถบชายแดนสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโก
ธรรมดาเราไม่ค่อยชอบพระเอกอินเดียนแดงเท่าไหร่ รวมไปถึงบรรดาผู้ชายเถื่อนๆ พวกไวกิ้ง โจรสลัด หรือท่านชีคท่านเชค ทั้งหลายเนี่ย ไม่ค่อยอยากอ่าน ไม่ถูกจริตกับพวกวางก้าม สมองยังไม่พัฒนาพ้นยุคฟาดหัวผู้หญิงลากเข้าถ้ำ ช่วงแรกๆ เกตันก็มาแนวโหดเต็มที่ เป็นนักรบที่คอยดักปล้นดักฆ่าพวกคนขาว เพราะมีความแค้นฝังใจที่พ่อแม่ถูกฆ่าตายตอนเขายังเด็ก ครึ่งเล่มแรก พระเอกไม่ยอมพูดกับนางเอกสักคำเลย ไม่พูดภาษาอังกฤษเพราะคิดว่าเสนียดปาก ใช้ส่งสัญญาณมือเอา แต่ดูๆ แล้ว เกตันก็ยังเป็นคนที่โอเคนะ โหดห้าวแต่ไม่ใช่พวกไร้เหตุผล ไม่เคยหาเรื่องนางเอกเลย ส่วนแคทเธอรีนก็โอเคมั้ง เป็นผู้หญิงเข้มแข็งและใจสู้ดี
แคทเธอรีนนั้นแม่ตายตั้งแต่เด็กเหลือแต่พ่อกับพวกพี่ชาย ถูกพาตะลอนไปมารอบโลก แต่พอเป็นสาวถูกบังคับให้กลับมาใช้ชีวิตกุลสตรี เธอก็เลยเข้ากับชีวิตใหม่ไม่ได้ ในขณะที่เกตันเป็นอินเดียนแดงที่แปลกแยกจากคนอื่นๆ ในเผ่า เพราะถูกคนขาวจับตัวไปตอนเป็นเด็ก บังคับให้เข้ารีตเข้าเรียนแบบคนขาว พอเขาโตก็หนีกลับมาอยู่กับพวกตัวเอง แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับเต็มที่จากคนอื่นๆ แล้ว คนสองคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าพวกได้มาเจอกัน ก็เลยเป็นจุดที่ทำให้ความสัมพันธ์ข้ามเผ่าพันธุ์เป็นไปได้อย่างน่าเชื่อถือ สิ่งสำคัญในความรักของทั้งคู่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับในตัวตนของกันและกัน
เรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ ผจญภัยไป ถูกจับก็หนี ถูกตามก็หลบ ไปอยู่แคมป์อินเดียนแดง ล่าสัตว์ ขี่ม้า แอบมองกันตอนอาบน้ำในลำธาร ตามเรื่องตามราวของแนวนี้ล่ะ ที่จริงเรื่องนี้ก็อ่านเพลินดี แต่ไม่มีจุดพีคให้ประทับใจ ไม่รู้ว่าขาดอะไรไป เหมือนตัวเล่นดี ครองเกมได้ แต่ยังยิงไม่เข้ากรอบ ชนเสาชนคาน
นิยายโรแมนซ์ตะวันตกเรื่องที่ 3 ของนักเขียนอินดี้ Ellen O'Connell อีบุ๊คสองเรื่องก่อนนี้ นอกจากเขียนเองพิมพ์เองแล้ว เจ้าตัวก็ยังออกแบบปกและโฟโต้ช็อปเองอีกด้วย ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ แต่เล่มนี้ง่ายไปมั้ยอ่ะ ดูเป็นมือสมัครเล่นไปหน่อย
แคทเธอรีน แกรนท์ หนีเสือปะจระเข้ จากโจรปล้นรถม้าโดยสาร (เสือ) มาเจออินเดียนแดง (จระเข้) และก็หนีจากจระเข้มาเจอ เกตัน นักรบอาปาเช่ผู้เกลียดชังคลั่งแค้นคนขาวสุดชีวิต คนขาวทุกคนที่เจอต้องฆ่าให้หมด แต่เพราะคำสัญญาที่รับปากน้องชายว่าจะไม่ฆ่าไม่ทำร้ายหญิงสาวผู้นี้ เกตันจึงต้องร่วมเดินทางกับแคทเธอรีน เพื่อพาหญิงสาวเอาตัวรอดจากดินแดนเถื่อนแถบชายแดนสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโก
ธรรมดาเราไม่ค่อยชอบพระเอกอินเดียนแดงเท่าไหร่ รวมไปถึงบรรดาผู้ชายเถื่อนๆ พวกไวกิ้ง โจรสลัด หรือท่านชีคท่านเชค ทั้งหลายเนี่ย ไม่ค่อยอยากอ่าน ไม่ถูกจริตกับพวกวางก้าม สมองยังไม่พัฒนาพ้นยุคฟาดหัวผู้หญิงลากเข้าถ้ำ ช่วงแรกๆ เกตันก็มาแนวโหดเต็มที่ เป็นนักรบที่คอยดักปล้นดักฆ่าพวกคนขาว เพราะมีความแค้นฝังใจที่พ่อแม่ถูกฆ่าตายตอนเขายังเด็ก ครึ่งเล่มแรก พระเอกไม่ยอมพูดกับนางเอกสักคำเลย ไม่พูดภาษาอังกฤษเพราะคิดว่าเสนียดปาก ใช้ส่งสัญญาณมือเอา แต่ดูๆ แล้ว เกตันก็ยังเป็นคนที่โอเคนะ โหดห้าวแต่ไม่ใช่พวกไร้เหตุผล ไม่เคยหาเรื่องนางเอกเลย ส่วนแคทเธอรีนก็โอเคมั้ง เป็นผู้หญิงเข้มแข็งและใจสู้ดี
แคทเธอรีนนั้นแม่ตายตั้งแต่เด็กเหลือแต่พ่อกับพวกพี่ชาย ถูกพาตะลอนไปมารอบโลก แต่พอเป็นสาวถูกบังคับให้กลับมาใช้ชีวิตกุลสตรี เธอก็เลยเข้ากับชีวิตใหม่ไม่ได้ ในขณะที่เกตันเป็นอินเดียนแดงที่แปลกแยกจากคนอื่นๆ ในเผ่า เพราะถูกคนขาวจับตัวไปตอนเป็นเด็ก บังคับให้เข้ารีตเข้าเรียนแบบคนขาว พอเขาโตก็หนีกลับมาอยู่กับพวกตัวเอง แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับเต็มที่จากคนอื่นๆ แล้ว คนสองคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าพวกได้มาเจอกัน ก็เลยเป็นจุดที่ทำให้ความสัมพันธ์ข้ามเผ่าพันธุ์เป็นไปได้อย่างน่าเชื่อถือ สิ่งสำคัญในความรักของทั้งคู่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับในตัวตนของกันและกัน
เรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ ผจญภัยไป ถูกจับก็หนี ถูกตามก็หลบ ไปอยู่แคมป์อินเดียนแดง ล่าสัตว์ ขี่ม้า แอบมองกันตอนอาบน้ำในลำธาร ตามเรื่องตามราวของแนวนี้ล่ะ ที่จริงเรื่องนี้ก็อ่านเพลินดี แต่ไม่มีจุดพีคให้ประทับใจ ไม่รู้ว่าขาดอะไรไป เหมือนตัวเล่นดี ครองเกมได้ แต่ยังยิงไม่เข้ากรอบ ชนเสาชนคาน
วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
มาแล้ว ตัวอย่างหนังแบบเต็ม The Hunger Games
หลังจากผิดหวังจากทีเซอร์ที่ออกมาก่อนนี้ ที่แทบไม่เห็นอะไรเลย
อันนี้ล่ะ ใช่เลย <3 <3 <3 นั่งลุ้นหน้าเว็บรอดูสตรีมถ่ายทอดสดทั้งชั่วโมงเลยนี่
ฮือ น้ำตาแทบไหล ปลื้มมาก อยากดูหนังแทบรอไม่ไหวแล้ว
ตอนนี้ก็เตรียม Pre-order หนังสือไปพลางๆ ก่อน เล็งไว้ 3 เล่มนี้
The Hunger Games: Official Illustrated Movie Companion
The Hunger Games Tribute Guide
The World of the Hunger Games
มาเจาะกันทีละช็อตในเทรลเลอร์นี้
จะพยายามไม่สปอยล์มากเกินไป แต่ในตัวอย่างหนังก็มีบอกเนื้อเรื่องสำคัญไปบางจุดแล้ว
ความจริงใครที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ ก็ไม่ควรอ่านเนื้อความต่อไปนี้
เพราะสำหรับเรื่อง Hunger Games อ่านนิยายหรือดูหนังแบบไม่รู้อะไรมาก่อนเลยจะสนุกกว่า
Inheritance - Christopher Paolini
คะแนน : 7
เล่มนี้คือหนังสือชุด Inheritance ลำดับ 4 หรือว่า เอรากอน เล่มจบ นั่นเอง จากที่ตอนแรกบอกจะเป็นไตรภาค เขียนไปเขียนมาดังก็ยืดมาอีกเล่ม จาก Inheritance Trilogy ก็กลายเป็น Inheritance Cycle ไป
ถ้าใครชอบเรื่องเอรากอน ขอความกรุณาอย่าอ่านโพสต์นี้เลยค่ะ เพราะมันอาจมีข้อความกระทบกระเทือนจิตใจคุณได้ ขออนุญาตออกตัวแรงนิดนึง เพราะจำได้ว่าเคยอ่านบล็อกวิจารณ์เรื่องนี้ (ลองกูเกิลดู ยังหาเจอด้วย ที่นี่) เราไม่ได้คิดตรงกันกับคุณเจ้าของบล็อกโน้นหมดนะ แต่อ่านแล้วนั่งขำที่เขียน บางอย่างก็จริงของเขานะ พอมาเจอความเห็นตอนท้าย โห แฟนๆ เอรากอนที่มาตอบคอมเมนต์น่ากลัวมาก ตอนจะเริ่มเขียนถึงเรื่องนี้นึกถึงเคสนั้นขึ้นมาได้ เลยรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ นั่นเป็นกรณีฝังใจที่ทำให้เราเกิดอาการไม่เข้าใจอยู่ตั้งนาน คือ ความเห็นต่างกันก็เรื่องหนึ่ง แต่มารยาทในสังคมก็เป็นอีกเรื่อง เว็บเป็นพื้นที่สาธารณะก็จริง แต่บล็อกมันมีความเป็นส่วนตัวอยู่ในระดับนึง มันไม่ใช่เว็บบอร์ด เป็นแขกแต่ไประรานบอกเจ้าของบ้านให้ปรับทัศนคตินี่ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรยอมรับกันได้นะคะ เพราะฉะนั้น หนูๆ เอ๋ย ถ้ารู้ตัวว่าเป็นแฟนเทพของซีรีส์นี้แบบใครแตะไม่ได้ ก็อย่าอ่านบล็อกนี้ อย่ามายุ่งกับพี่เลย ขอร้อง
คำเตือน : เนื้อหาต่อไปนี้คือสปอยล์สุดสามโลก ที่พูดถึงเล่มก่อนๆ จนถึงฉากจบเล่มนี้ด้วย การคลิกปุ่มข้างล่าง ถือเป็นการตกลงว่า ยินดีรับความเสี่ยง และถ้าอ่านแล้วไม่ชอบใจ จะไปแอบด่าเจ้าของบล็อกนี้ที่ไหนก็ได้ แต่จะไม่มาต่อความยาวสาวความยืดกันที่นี่
ก่อนพูดถึงเล่มใหม่ ขอเท้าความเดิมหน่อย ตอนที่อ่านเล่ม 1 Eragon (คะแนน 8) เรายังชอบเรื่องนี้อยู่เลย ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนอ่านเราก็นึกถึงเนื้อเรื่อง Star Wars ในฉากบรรยากาศแบบ LOTR เหมือนกัน แต่ก็คิดแค่ช่วงแรกในส่วนของโครงเรื่อง พอถึงหลังๆ มันก็มีรายละเอียดเยอะแยะที่อ่านแล้วก็รู้สึกว่าน่าติดตามดีเหมือนกัน เพราะจะว่าไป พล็อตเรื่องของนิยายมันก็ไม่ได้มีมากมายนักหรอก ถึงจะไม่ค่อยออริจินอล แต่ถ้าเขียนแล้วอ่านสนุกได้ เราก็โอเค
พอถึงเล่ม 2 Eldest (คะแนน 7) เล่มนี้เลือนๆ จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว แต่รู้สึกจะเริ่มเบื่อความยืดของมัน ฝึกวิชากันนานมาก มีแต่น้ำ มีเนื้อเรื่องสำคัญจริงๆ ในเล่มก็ตรงเรื่องของเมอร์ทักห์แค่นั้นเอง (I am your brother ทำเสียงเหมือนดาร์ธเวเดอร์นะ ^_^) จนมาเจอเล่ม 3 Brisingr (คะแนน 6) ทำให้เราเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้อย่างแรง จุดที่เราไม่ไหวคือ เรื่องชาติกำเนิดของเอรากอน ดูท่าข้อกล่าวหาเรื่องก๊อบสตาร์วอร์สคงจะกระเทือนซางคนเขียน Christopher Paolini ไม่น้อย น้องเปา (ชอบคำนี้ ขอยืมใช้) ก็เลยพลิกเรื่องซะ เผื่อคนไม่ได้อ่านเรื่องนี้ เราก็จะใช้ตัวละครสตาร์วอร์สเปรียบเทียบให้ฟังว่ามันเป็นยังไง คือ จริงๆ แล้ว เอรากอน (ลุค) ไม่ใช่ลูกของมอร์ซาน (อนาคิน) ที่ทรยศไปเข้ากับกัลบาทอริกซ์ (จักรพรรดิ) อย่างที่ตัวเองเข้าใจตามที่เมอร์ทักห์บอก แต่เซเลน่า (แพดเม่) คบชู้กับบรอม (โอบีวัน) จนมีลูกออกมาเป็นเอรากอนต่างหาก เห็นมั้ย ไม่เหมือนสตาร์วอร์สแล้ว แต่อ่านตอนนั้นนี่เราแทบอยากจะหาอะไรเขวี้ยงมากเลย แม่มเอ๊ย ถ้าเป็นงั้น ตอนบรอมสอนวิชาทำไมไม่บอกเอรากอนวะ ศักดิ์ศรีไม่มีแล้ว นอกจากตีท้ายครัวเพื่อนแล้วกับลูกก็ยังไม่กล้าบอกความจริงต่อหน้าอีก ว้อย
เจอเนื้อเรื่องอุบาทว์ในเล่ม 3 ไป ทำให้เรารู้สึกลบกับเรื่องนี้มากๆ แล้ว แต่พอเล่ม 4 ออกก็ต้องอ่าน คือ ไม่ชอบค้างคาน่ะ ยังไงก็อยากรู้ตอนจบ เล่มอวสานของชุดนี้หนามากๆ ปาเข้าไป 880 หน้า (ยืดขึ้นเรื่อยๆ จำนวนหน้าของฉบับภาษาอังกฤษตามลำดับ 528 -> 704 -> 785 -> 880) เริ่มต้นเล่มมีเรื่องย่อ 3 เล่มแรกให้อ่านก่อนก็ค่อยยังชั่ว อ่านนานชักลืมแล้ว เปิดฉากต่อมาจากเล่มเดิม เอรากอนกับพวกพ้องเตรียมตัวยกกองทัพจะไปลุยกับราชากัลบาทอริกซ์ แรกๆ เราก็ตั้งใจอ่านดีอยู่ เอ๊ะ แต่ไปเรื่อยๆ ทำไมมันอืดอย่างนี้ น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงจริงๆ สำนวนของน้องเปานี่เยิ่นเย้อสุดๆ เดี๋ยวจะหาว่าพูดลอยๆ ยกตัวอย่างให้ดู แค่จะบอกว่า ฝูงมังกรเรียกว่า A thunder of dragons ต้องเขียนยาวขนาดนี้
แม่เจ้า! ตอนนี้เจอมหาอุทกภัยในชีวิตจริงแล้ว ยังต้องมาลุยน้ำท่วมอาลาเกเซียในนิยายอีกด้วยหรือนี่ ไม่ใช่แค่คำบรรยายเพ้อเจ้อ แต่เนื้อเรื่องก็เต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยไร้สาระเต็มไปหมด อย่างมีบทที่เอรากอนไปนั่งลุ้นชาวบ้านคลอดลูกทั้งบท แล้วพอคลอดออกมาเอรากอนก็ต้องไปนั่งรักษาเด็กที่เกิดมาพิการอีกทั้งบท เพื่ออะไร !? สำคัญตรงไหนกับเนื้อเรื่อง โธ่ ท่านนักบุญเอรากอน เราพยายามตั้งใจอ่านอยู่ได้แค่ตอนต้นประมาณ 200 กว่าหน้า (ถ้าเป็นเรื่องอื่นนี่จะจบเล่มแล้วนะ) หลังจากนั้นก็เริ่มไม่ไหวล่ะ เปิดเสียงให้ Kindle อ่านให้ฟังแทน ตอนไหนมีอะไรเกิดขึ้นค่อยสลับกลับมาอ่าน
พอมาตรงกลาง เนื้อเรื่องตรงที่ไปหาเอลดูนารีของมังกรนี่ จริงๆ ไอเดียดี ถ้ารวบรัดหน่อยจะสนุกกว่านี้ และพอถึงตอนท้าย ฉากที่ลุยด่านไปเผชิญหน้ากับกัลบาทอริกซ์ก็สนุกดีทีเดียว แต่วิธีปราบบอสใหญ่นี่ทำให้นึกถึงเรื่อง The Sword of Shannara นะ เอรากอนนี่มันรวมฮิตนิยายแฟนตาซีจริงๆ ไอ้แนวคิดเรื่องนามจริงของสรรพสิ่ง นี่ก็เอามาจากพ่อมดแห่งเอิร์ธซี แล้วพอโค่นตัวร้ายเสร็จ เรื่องก็ยังไม่จบ ยังเหลืออีกเกินร้อยหน้า นั่งแจกแจงชีวิตแต่ละคนกันอีก ว่าใครเป็นยังไง จะทำอะไรต่อ พวกตัวละครดาดๆ อย่างโรแรนกับแคทริน่านี่จะมีบทเยอะแยะอะไรนักหนา อีตรงที่ไม่สำคัญล่ะเล่าเยอะ ทีไอ้เจ้ามังกรเขียวบนหน้าปกเนี่ย โผล่มาตอนจะจบเรื่องอยู่แล้ว ตอนอ่านฉากมังกรผสมพันธุ์กันนี่ กุมหัวเลย จำเป็นต้องมีด้วยเรอะ
ส่วนฉากจบ เอรากอนกับซาเฟียร่าเดินทางออกจากดินแดนอาลาเกเซีย ไปหาที่ฟูมฟักไข่มังกร และจะเป็นผู้ฝึกสอนพวกอัศวินมังกรรุ่นใหม่ ก่อนไปก็เสียเวลาร่ำลากับตัวละครที่เหลือเกือบทุกคนในเรื่อง (เฮ้อ) เมอร์ทักห์ (ตัวละครที่ดูมีพัฒนาการที่สุดคนเดียวในเรื่อง) กับธอร์นก็ไปตามทางตัวเอง ส่วนอาเรียก็ไปเป็นราชินีเอลฟ์ ถ้าเราชอบนางเอกเรื่องนี้คงแอบเศร้านิดนึงที่พระเอกไม่ได้คู่ ดีที่เฉยๆ กับอาเรียเลยไม่รู้สึกอะไร แบบอาเรียนี่เหมือนที่เพลงเขาว่า สวยแล้วหยิ่งที่จริงไม่ผิด แต่รำคาญเหมือนกัน เวลาเอรากอนมองอาเรียตาปรอยเหมือนลูกหมาหาเจ้าของทั้งเรื่อง เพราะเรื่องมันเล่าจากฝั่งเอรากอนเป็นหลัก ก็จะรู้สึกถึงแต่ความเฉยเมยเย็นชาของอาเรีย คนอ่านเลยเข้าไม่ถึง เพราะฉะนั้นจบแบบนี้ก็คงโอเคแล้วมั้ง ก็ตามสไตล์ฮีโร่ ชะตาวีรบุรุษ สู้จบแล้วต้องปลีกวิเวก เป็นคนดีต้องเสียสละ ครองบัลลังก์เองไม่ได้ เดี๋ยวเขาหาว่าหวังผล
ความจริงตอนอ่านช่วงเบื่อนี่อยากให้คะแนน 6.5 เท่านั้น แต่พอบางช่วงมันก็สนุกดี เสียดายถ้าตัดน้ำๆ ออกสักครึ่งเล่ม อาจจะให้ถึง 7.5 เลย ตกลงใจจิ้มไปที่ 7 แล้วกัน แต่ถ้ามีไทม์แมชชีน เราจะย้อนเวลาไปเตือนตัวเองก่อนเริ่มอ่านเรื่องชุดนี้ตามกระแสว่า ที่จริงเรื่องนี้มันก็อ่านได้ แต่เพราะมันยาวเกิน ไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไปเท่าไหร่นักหรอก
เล่มนี้คือหนังสือชุด Inheritance ลำดับ 4 หรือว่า เอรากอน เล่มจบ นั่นเอง จากที่ตอนแรกบอกจะเป็นไตรภาค เขียนไปเขียนมาดังก็ยืดมาอีกเล่ม จาก Inheritance Trilogy ก็กลายเป็น Inheritance Cycle ไป
ถ้าใครชอบเรื่องเอรากอน ขอความกรุณาอย่าอ่านโพสต์นี้เลยค่ะ เพราะมันอาจมีข้อความกระทบกระเทือนจิตใจคุณได้ ขออนุญาตออกตัวแรงนิดนึง เพราะจำได้ว่าเคยอ่านบล็อกวิจารณ์เรื่องนี้ (ลองกูเกิลดู ยังหาเจอด้วย ที่นี่) เราไม่ได้คิดตรงกันกับคุณเจ้าของบล็อกโน้นหมดนะ แต่อ่านแล้วนั่งขำที่เขียน บางอย่างก็จริงของเขานะ พอมาเจอความเห็นตอนท้าย โห แฟนๆ เอรากอนที่มาตอบคอมเมนต์น่ากลัวมาก ตอนจะเริ่มเขียนถึงเรื่องนี้นึกถึงเคสนั้นขึ้นมาได้ เลยรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ นั่นเป็นกรณีฝังใจที่ทำให้เราเกิดอาการไม่เข้าใจอยู่ตั้งนาน คือ ความเห็นต่างกันก็เรื่องหนึ่ง แต่มารยาทในสังคมก็เป็นอีกเรื่อง เว็บเป็นพื้นที่สาธารณะก็จริง แต่บล็อกมันมีความเป็นส่วนตัวอยู่ในระดับนึง มันไม่ใช่เว็บบอร์ด เป็นแขกแต่ไประรานบอกเจ้าของบ้านให้ปรับทัศนคตินี่ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรยอมรับกันได้นะคะ เพราะฉะนั้น หนูๆ เอ๋ย ถ้ารู้ตัวว่าเป็นแฟนเทพของซีรีส์นี้แบบใครแตะไม่ได้ ก็อย่าอ่านบล็อกนี้ อย่ามายุ่งกับพี่เลย ขอร้อง
คำเตือน : เนื้อหาต่อไปนี้คือสปอยล์สุดสามโลก ที่พูดถึงเล่มก่อนๆ จนถึงฉากจบเล่มนี้ด้วย การคลิกปุ่มข้างล่าง ถือเป็นการตกลงว่า ยินดีรับความเสี่ยง และถ้าอ่านแล้วไม่ชอบใจ จะไปแอบด่าเจ้าของบล็อกนี้ที่ไหนก็ได้ แต่จะไม่มาต่อความยาวสาวความยืดกันที่นี่
ก่อนพูดถึงเล่มใหม่ ขอเท้าความเดิมหน่อย ตอนที่อ่านเล่ม 1 Eragon (คะแนน 8) เรายังชอบเรื่องนี้อยู่เลย ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนอ่านเราก็นึกถึงเนื้อเรื่อง Star Wars ในฉากบรรยากาศแบบ LOTR เหมือนกัน แต่ก็คิดแค่ช่วงแรกในส่วนของโครงเรื่อง พอถึงหลังๆ มันก็มีรายละเอียดเยอะแยะที่อ่านแล้วก็รู้สึกว่าน่าติดตามดีเหมือนกัน เพราะจะว่าไป พล็อตเรื่องของนิยายมันก็ไม่ได้มีมากมายนักหรอก ถึงจะไม่ค่อยออริจินอล แต่ถ้าเขียนแล้วอ่านสนุกได้ เราก็โอเค
พอถึงเล่ม 2 Eldest (คะแนน 7) เล่มนี้เลือนๆ จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว แต่รู้สึกจะเริ่มเบื่อความยืดของมัน ฝึกวิชากันนานมาก มีแต่น้ำ มีเนื้อเรื่องสำคัญจริงๆ ในเล่มก็ตรงเรื่องของเมอร์ทักห์แค่นั้นเอง (I am your brother ทำเสียงเหมือนดาร์ธเวเดอร์นะ ^_^) จนมาเจอเล่ม 3 Brisingr (คะแนน 6) ทำให้เราเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้อย่างแรง จุดที่เราไม่ไหวคือ เรื่องชาติกำเนิดของเอรากอน ดูท่าข้อกล่าวหาเรื่องก๊อบสตาร์วอร์สคงจะกระเทือนซางคนเขียน Christopher Paolini ไม่น้อย น้องเปา (ชอบคำนี้ ขอยืมใช้) ก็เลยพลิกเรื่องซะ เผื่อคนไม่ได้อ่านเรื่องนี้ เราก็จะใช้ตัวละครสตาร์วอร์สเปรียบเทียบให้ฟังว่ามันเป็นยังไง คือ จริงๆ แล้ว เอรากอน (ลุค) ไม่ใช่ลูกของมอร์ซาน (อนาคิน) ที่ทรยศไปเข้ากับกัลบาทอริกซ์ (จักรพรรดิ) อย่างที่ตัวเองเข้าใจตามที่เมอร์ทักห์บอก แต่เซเลน่า (แพดเม่) คบชู้กับบรอม (โอบีวัน) จนมีลูกออกมาเป็นเอรากอนต่างหาก เห็นมั้ย ไม่เหมือนสตาร์วอร์สแล้ว แต่อ่านตอนนั้นนี่เราแทบอยากจะหาอะไรเขวี้ยงมากเลย แม่มเอ๊ย ถ้าเป็นงั้น ตอนบรอมสอนวิชาทำไมไม่บอกเอรากอนวะ ศักดิ์ศรีไม่มีแล้ว นอกจากตีท้ายครัวเพื่อนแล้วกับลูกก็ยังไม่กล้าบอกความจริงต่อหน้าอีก ว้อย
เจอเนื้อเรื่องอุบาทว์ในเล่ม 3 ไป ทำให้เรารู้สึกลบกับเรื่องนี้มากๆ แล้ว แต่พอเล่ม 4 ออกก็ต้องอ่าน คือ ไม่ชอบค้างคาน่ะ ยังไงก็อยากรู้ตอนจบ เล่มอวสานของชุดนี้หนามากๆ ปาเข้าไป 880 หน้า (ยืดขึ้นเรื่อยๆ จำนวนหน้าของฉบับภาษาอังกฤษตามลำดับ 528 -> 704 -> 785 -> 880) เริ่มต้นเล่มมีเรื่องย่อ 3 เล่มแรกให้อ่านก่อนก็ค่อยยังชั่ว อ่านนานชักลืมแล้ว เปิดฉากต่อมาจากเล่มเดิม เอรากอนกับพวกพ้องเตรียมตัวยกกองทัพจะไปลุยกับราชากัลบาทอริกซ์ แรกๆ เราก็ตั้งใจอ่านดีอยู่ เอ๊ะ แต่ไปเรื่อยๆ ทำไมมันอืดอย่างนี้ น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงจริงๆ สำนวนของน้องเปานี่เยิ่นเย้อสุดๆ เดี๋ยวจะหาว่าพูดลอยๆ ยกตัวอย่างให้ดู แค่จะบอกว่า ฝูงมังกรเรียกว่า A thunder of dragons ต้องเขียนยาวขนาดนี้
“That is the proper term for a flock of dragons. If ever you had heard one in full flight, you would understand. When ten, twelve, or more dragons flew past overhead, the very air would reverberate around you, as if you were sitting inside a giant drum. Besides, what else could you call a group of dragons? You have your murder of ravens, your convocation of eagles, your gaggle of geese, your raft of ducks, your band of jays, your parliament of owls, and so on, but what about dragons? A hunger of dragons? That doesn’t sound quite right. Nor does referring to them as a blaze or a terror, although I’m rather fond of terror, all things considered: a terror of dragons.… But no, a flock of dragons is called a thunder. Which you would know if your education had consisted of more than just learning how to swing a sword and conjugate a few verbs in the ancient language.”
แม่เจ้า! ตอนนี้เจอมหาอุทกภัยในชีวิตจริงแล้ว ยังต้องมาลุยน้ำท่วมอาลาเกเซียในนิยายอีกด้วยหรือนี่ ไม่ใช่แค่คำบรรยายเพ้อเจ้อ แต่เนื้อเรื่องก็เต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยไร้สาระเต็มไปหมด อย่างมีบทที่เอรากอนไปนั่งลุ้นชาวบ้านคลอดลูกทั้งบท แล้วพอคลอดออกมาเอรากอนก็ต้องไปนั่งรักษาเด็กที่เกิดมาพิการอีกทั้งบท เพื่ออะไร !? สำคัญตรงไหนกับเนื้อเรื่อง โธ่ ท่านนักบุญเอรากอน เราพยายามตั้งใจอ่านอยู่ได้แค่ตอนต้นประมาณ 200 กว่าหน้า (ถ้าเป็นเรื่องอื่นนี่จะจบเล่มแล้วนะ) หลังจากนั้นก็เริ่มไม่ไหวล่ะ เปิดเสียงให้ Kindle อ่านให้ฟังแทน ตอนไหนมีอะไรเกิดขึ้นค่อยสลับกลับมาอ่าน
พอมาตรงกลาง เนื้อเรื่องตรงที่ไปหาเอลดูนารีของมังกรนี่ จริงๆ ไอเดียดี ถ้ารวบรัดหน่อยจะสนุกกว่านี้ และพอถึงตอนท้าย ฉากที่ลุยด่านไปเผชิญหน้ากับกัลบาทอริกซ์ก็สนุกดีทีเดียว แต่วิธีปราบบอสใหญ่นี่ทำให้นึกถึงเรื่อง The Sword of Shannara นะ เอรากอนนี่มันรวมฮิตนิยายแฟนตาซีจริงๆ ไอ้แนวคิดเรื่องนามจริงของสรรพสิ่ง นี่ก็เอามาจากพ่อมดแห่งเอิร์ธซี แล้วพอโค่นตัวร้ายเสร็จ เรื่องก็ยังไม่จบ ยังเหลืออีกเกินร้อยหน้า นั่งแจกแจงชีวิตแต่ละคนกันอีก ว่าใครเป็นยังไง จะทำอะไรต่อ พวกตัวละครดาดๆ อย่างโรแรนกับแคทริน่านี่จะมีบทเยอะแยะอะไรนักหนา อีตรงที่ไม่สำคัญล่ะเล่าเยอะ ทีไอ้เจ้ามังกรเขียวบนหน้าปกเนี่ย โผล่มาตอนจะจบเรื่องอยู่แล้ว ตอนอ่านฉากมังกรผสมพันธุ์กันนี่ กุมหัวเลย จำเป็นต้องมีด้วยเรอะ
ส่วนฉากจบ เอรากอนกับซาเฟียร่าเดินทางออกจากดินแดนอาลาเกเซีย ไปหาที่ฟูมฟักไข่มังกร และจะเป็นผู้ฝึกสอนพวกอัศวินมังกรรุ่นใหม่ ก่อนไปก็เสียเวลาร่ำลากับตัวละครที่เหลือเกือบทุกคนในเรื่อง (เฮ้อ) เมอร์ทักห์ (ตัวละครที่ดูมีพัฒนาการที่สุดคนเดียวในเรื่อง) กับธอร์นก็ไปตามทางตัวเอง ส่วนอาเรียก็ไปเป็นราชินีเอลฟ์ ถ้าเราชอบนางเอกเรื่องนี้คงแอบเศร้านิดนึงที่พระเอกไม่ได้คู่ ดีที่เฉยๆ กับอาเรียเลยไม่รู้สึกอะไร แบบอาเรียนี่เหมือนที่เพลงเขาว่า สวยแล้วหยิ่งที่จริงไม่ผิด แต่รำคาญเหมือนกัน เวลาเอรากอนมองอาเรียตาปรอยเหมือนลูกหมาหาเจ้าของทั้งเรื่อง เพราะเรื่องมันเล่าจากฝั่งเอรากอนเป็นหลัก ก็จะรู้สึกถึงแต่ความเฉยเมยเย็นชาของอาเรีย คนอ่านเลยเข้าไม่ถึง เพราะฉะนั้นจบแบบนี้ก็คงโอเคแล้วมั้ง ก็ตามสไตล์ฮีโร่ ชะตาวีรบุรุษ สู้จบแล้วต้องปลีกวิเวก เป็นคนดีต้องเสียสละ ครองบัลลังก์เองไม่ได้ เดี๋ยวเขาหาว่าหวังผล
ความจริงตอนอ่านช่วงเบื่อนี่อยากให้คะแนน 6.5 เท่านั้น แต่พอบางช่วงมันก็สนุกดี เสียดายถ้าตัดน้ำๆ ออกสักครึ่งเล่ม อาจจะให้ถึง 7.5 เลย ตกลงใจจิ้มไปที่ 7 แล้วกัน แต่ถ้ามีไทม์แมชชีน เราจะย้อนเวลาไปเตือนตัวเองก่อนเริ่มอ่านเรื่องชุดนี้ตามกระแสว่า ที่จริงเรื่องนี้มันก็อ่านได้ แต่เพราะมันยาวเกิน ไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไปเท่าไหร่นักหรอก
วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
The Black Hawk - Joanna Bourne
น้ำท่วมอ่วมอรทัยกันไปตามๆ กัน ประเทศไทย บ้านของเราที่กรุงเทพฯ น้องน้ำก็จ่ออยู่ ลุ้นกันทุกวัน พะวักพะวนถึงคนทางบ้าน ส่วนตัวเราที่อยู่ทางนี้ก็ยุ่งวุ่นวายไม่ใช่น้อย เมื่อวานไปช่วยจัดถุงยังชีพ วันนี้ไปเป็นผู้ช่วยแม่ครัวทำอาหารเลี้ยงผู้ประสบภัย พรุ่งนี้ก็จะลงพื้นที่นำของไปส่ง อย่าได้เข้าใจผิดว่าเราเป็นคนดีมีจิตอาสาเชียว แต่เขาเปิดศูนย์รับบริจาคและศูนย์พักพิงผู้อพยพกันตรงนี้ ถึงไม่ใช่หน้าที่ แต่พอมีคนมาชวนแกมบังคับให้ไปช่วย ใครจะปฏิเสธได้ลงคอ
บางวันเรานั่งเรือพายเอาสิ่งของบริจาคไปให้ชาวบ้าน บางคนก็ยิ้มสู้ บางคนก็ยิ้มแห้ง แต่ที่ติดตาคือสายตาของบางคนที่เอื้อมมือมารับถุงสิ่งของ แววตาเขาช่างว่างเปล่า เห็นแล้วใจหาย พวกเขาน้ำท่วมถึงอกมาสองเดือนแล้ว ทำให้รู้สึกว่า ความช่วยเหลือที่ให้ไปมันน้อยนิดมากเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย ลำบากกันมากจริงๆ
พอหันมาเวลาจะติดตามข่าวสาร ก็ยังเจอน้ำลายท่วมจอ ท่วมบอร์ด ท่วมเว็บอีก เฮ้อ ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาทะเลาะกันนะ สถานการณ์เป็นแบบนี้ ที่จริงเราพยายามชิลนะ แต่รอบตัวเครียดๆ กันหมด ก็พาประสาทเสียไปเหมือนกัน ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีใจอ่านหนังสือ ไม่ค่อยมีอารมณ์เขียนบล็อกด้วย แต่กับเรื่องนี้อ่านจบแล้วมีอะไรอยากพูดถึงนิดหน่อย ก็สักนิดแล้วกัน
The Black Hawk - Joanna Bourne
คะแนน : 8
สามคำก่อน ปกเห่ยมาก!!! นั่นไม่ใช่เอเดรียนในใจเราเลยสักนิด
เล่มนี้คือชุด Spymaster เล่ม 4 ถึงจะผิดหวังจาก My Lord and Spymaster มา แต่ในเมื่อนี่เป็นเรื่องของเอเดรียนกับจัสตีน ที่เราถูกใจมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กใน The Forbidden Rose ยังไงก็คงต้องอ่านล่ะนะ กับการติดตามเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ยี่สิบกว่าปีของหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับหนุ่มชาวอังกฤษกับอดีตสายลับสาวสวยชาวฝรั่งเศส
ถึงเราจะพอเดาออกว่า ชีวิตพระเอกนางเอกเรื่องนี้คงจะต้องผ่านอะไรเลวร้ายมาเยอะ โดยเฉพาะจัสตีน สภาพแวดล้อมจากเล่มก่อนก็ส่ออยู่แล้ว แต่เมื่อได้รับรู้เรื่องราวของเธอจริงๆ ในเล่มนี้ ตอนอ่านหน้านั้นก็ทำให้รู้ตัวว่า ตลอดเวลาที่รอเล่มนี้มา เรายังแอบหวังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจว่า เด็กโตในซ่องแต่รอดปากเหยี่ยวปากกาได้หมดอย่างดาวพระศุกร์นี่มันมีได้จริง แต่ถ้าแต่งเรื่องอย่างนั้นเราก็อาจจะหัวเราะความไม่สมจริงก็ได้นะ เฮ้อ ถอนหายใจทีนึง โลกไม่สวยทุกอย่าง ก็ต้องทำใจ แต่จุดนี้ไม่ทำให้เราชอบจัสตีนน้อยลงนะ ถ้าจะมีความรู้สึกอะไรพอกพูนขึ้นมา ก็เป็นแค่ความสงสารตัวละครเพิ่มมาเท่านั้น
ครึ่งเล่มแรกสนุกดีมาก เราชอบฉากที่เล่าย้อนความหลังสลับไปมากับปัจจุบัน ฉากรักครั้งแรกของเอเดรียนกับจัสตีน เขียนได้ดีมากจริงๆ แสดงพัฒนาการทางจิตใจของตัวละครได้ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดาย ที่พอจัสตีนโตเป็นสาวเต็มตัว กลับทำให้เรารู้สึกชอบเธอน้อยลง ช่วงที่ตัดสัมพันธ์ ถึงจะพอเข้าใจเหตุผล แต่เราไม่ชอบวิธีการ แล้วก็รู้สึกว่า นางเอกดึงดันดื้อด้านมากไป
พอถึงครึ่งเรื่องหลังกลับไม่สนุกเท่าช่วงแรก เพราะเมื่อผ่านมาถึงเหตุการณ์ปัจจุบันในเรื่อง ในหลายๆ ฉากที่จัสตีนทำและพูด ก็ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า นางเอกเรื่องนี้เป็นผู้หญิงกร้านโลกเกินไปแล้วสำหรับเรา เราเพิ่งเบื่อนางเอกเรื่อง Angel's Wolf (Nalini Singh) ที่นั่งเจ็บปวดฝังใจกับคนรักเก่ามาเป็นร้อยปี แต่พอมาเจอแบบจัสตีนที่ดูชาด้านไม่ค่อยแสดงอาการเจ็บปวดรวดร้าวอะไรมากนักตลอดเวลาที่ต้องแยกจากเอเดรียน เราก็ขัดใจอีก (จู้จี้จังแฮะ) จะเทียบว่าไงดี เธอเป็นฟักทองที่มีเปลือกหนา แต่ข้างในเนื้อนิ่มช้ำง่าย เหมือนคนที่ข้างในบอบบางเลยต้องสร้างเปลือกหนาไว้คุ้มครอง หรือเป็นหัวมันที่เปลือกบ๊างบาง แต่ข้างในแข็งโป๊ก หรือประสบการณ์ชีวิตของจัสตีนสูบความชุ่มชื่นออกจากตัวเธอหมด กลายเป็นแตงกวาที่เปลือกแข็ง แต่ข้างในแห้งหมดไม่มีน้ำ กินไม่ไหวแล้ว (อาจจะอุปมาตลกๆ หน่อย เพราะวันนี้ไปนั่งหั่นผักมา แบบเก้ๆ กังๆ สุดขีด เพราะตัวเองยังไม่เคยทำให้ตัวเองกินเลยนะเนี่ย)
เพราะเนื้อเรื่องช่วงหลังมันหันไปสนใจกับงานสายลับที่ต้องสืบหาว่าใครอยู่เบื้องหลังการลอบทำร้ายจัสตีนและจ้องป้ายสีให้เอเดรียน ส่วนของความเป็นโรแมนซ์เลยดูเหมือนไม่ได้พัฒนาเต็มที่ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในปัจจุบัน มันขาดความหวานความซึ้ง อย่างฉากรักครั้งที่ทั้งคู่กลับมาดีกัน มันน่าจะสร้างความประทับใจได้มากกว่านี้นะ แม้แต่คำว่า I love you ของจัสตีน ก็จืดชืดธรรมดามากเลย อีกอย่างเราไม่ชอบเวลาที่จัสตีนชอบพูดตอกย้ำอดีตตัวเองกับเอเดรียน ไม่รู้คิดมากไปมั้ย แต่เหมือนเธอพูดเพื่อลองใจ ให้เขารู้สึกเจ็บร้อนแทน เราว่า จัสตีนน่าจะรู้ตัวว่า ที่เธอทำที่เธอเป็น เกิดได้ยังไง ทำเพื่ออะไร ถ้ารู้เหตุผลของตัวเองในใจ ก็ไม่เห็นจะต้องรู้สึกดูถูกตัวเอง แต่เพราะเป็นอย่างนี้ ความรู้สึกชอบนางเอกเลยไม่พีค โดยเฉพาะถ้าเทียบกับเรื่อง The Spymaster's Lady ถ้าลองให้คะแนนความชอบตัวละครดูคงได้ประมาณนี้ เกรย์ 8 + แอนนีค 10, เอเดรียน 8.5 + จัสตีน 8
อาจจะดูเหมือนติเยอะ แต่จริงๆ เราชอบเรื่องนี้นะ เพียงแต่คิดว่า มันน่าจะดีกว่านี้ได้ หรือไม่ก็เพราะมันมืดมนไปสำหรับเรา ถึงไม่ชอบเล่มนี้มากกว่านี้
บางวันเรานั่งเรือพายเอาสิ่งของบริจาคไปให้ชาวบ้าน บางคนก็ยิ้มสู้ บางคนก็ยิ้มแห้ง แต่ที่ติดตาคือสายตาของบางคนที่เอื้อมมือมารับถุงสิ่งของ แววตาเขาช่างว่างเปล่า เห็นแล้วใจหาย พวกเขาน้ำท่วมถึงอกมาสองเดือนแล้ว ทำให้รู้สึกว่า ความช่วยเหลือที่ให้ไปมันน้อยนิดมากเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย ลำบากกันมากจริงๆ
พอหันมาเวลาจะติดตามข่าวสาร ก็ยังเจอน้ำลายท่วมจอ ท่วมบอร์ด ท่วมเว็บอีก เฮ้อ ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาทะเลาะกันนะ สถานการณ์เป็นแบบนี้ ที่จริงเราพยายามชิลนะ แต่รอบตัวเครียดๆ กันหมด ก็พาประสาทเสียไปเหมือนกัน ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีใจอ่านหนังสือ ไม่ค่อยมีอารมณ์เขียนบล็อกด้วย แต่กับเรื่องนี้อ่านจบแล้วมีอะไรอยากพูดถึงนิดหน่อย ก็สักนิดแล้วกัน
The Black Hawk - Joanna Bourne
คะแนน : 8
สามคำก่อน ปกเห่ยมาก!!! นั่นไม่ใช่เอเดรียนในใจเราเลยสักนิด
เล่มนี้คือชุด Spymaster เล่ม 4 ถึงจะผิดหวังจาก My Lord and Spymaster มา แต่ในเมื่อนี่เป็นเรื่องของเอเดรียนกับจัสตีน ที่เราถูกใจมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กใน The Forbidden Rose ยังไงก็คงต้องอ่านล่ะนะ กับการติดตามเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ยี่สิบกว่าปีของหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับหนุ่มชาวอังกฤษกับอดีตสายลับสาวสวยชาวฝรั่งเศส
เตือนสปอยล์
ถึงเราจะพอเดาออกว่า ชีวิตพระเอกนางเอกเรื่องนี้คงจะต้องผ่านอะไรเลวร้ายมาเยอะ โดยเฉพาะจัสตีน สภาพแวดล้อมจากเล่มก่อนก็ส่ออยู่แล้ว แต่เมื่อได้รับรู้เรื่องราวของเธอจริงๆ ในเล่มนี้ ตอนอ่านหน้านั้นก็ทำให้รู้ตัวว่า ตลอดเวลาที่รอเล่มนี้มา เรายังแอบหวังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจว่า เด็กโตในซ่องแต่รอดปากเหยี่ยวปากกาได้หมดอย่างดาวพระศุกร์นี่มันมีได้จริง แต่ถ้าแต่งเรื่องอย่างนั้นเราก็อาจจะหัวเราะความไม่สมจริงก็ได้นะ เฮ้อ ถอนหายใจทีนึง โลกไม่สวยทุกอย่าง ก็ต้องทำใจ แต่จุดนี้ไม่ทำให้เราชอบจัสตีนน้อยลงนะ ถ้าจะมีความรู้สึกอะไรพอกพูนขึ้นมา ก็เป็นแค่ความสงสารตัวละครเพิ่มมาเท่านั้น
ครึ่งเล่มแรกสนุกดีมาก เราชอบฉากที่เล่าย้อนความหลังสลับไปมากับปัจจุบัน ฉากรักครั้งแรกของเอเดรียนกับจัสตีน เขียนได้ดีมากจริงๆ แสดงพัฒนาการทางจิตใจของตัวละครได้ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดาย ที่พอจัสตีนโตเป็นสาวเต็มตัว กลับทำให้เรารู้สึกชอบเธอน้อยลง ช่วงที่ตัดสัมพันธ์ ถึงจะพอเข้าใจเหตุผล แต่เราไม่ชอบวิธีการ แล้วก็รู้สึกว่า นางเอกดึงดันดื้อด้านมากไป
พอถึงครึ่งเรื่องหลังกลับไม่สนุกเท่าช่วงแรก เพราะเมื่อผ่านมาถึงเหตุการณ์ปัจจุบันในเรื่อง ในหลายๆ ฉากที่จัสตีนทำและพูด ก็ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า นางเอกเรื่องนี้เป็นผู้หญิงกร้านโลกเกินไปแล้วสำหรับเรา เราเพิ่งเบื่อนางเอกเรื่อง Angel's Wolf (Nalini Singh) ที่นั่งเจ็บปวดฝังใจกับคนรักเก่ามาเป็นร้อยปี แต่พอมาเจอแบบจัสตีนที่ดูชาด้านไม่ค่อยแสดงอาการเจ็บปวดรวดร้าวอะไรมากนักตลอดเวลาที่ต้องแยกจากเอเดรียน เราก็ขัดใจอีก (จู้จี้จังแฮะ) จะเทียบว่าไงดี เธอเป็นฟักทองที่มีเปลือกหนา แต่ข้างในเนื้อนิ่มช้ำง่าย เหมือนคนที่ข้างในบอบบางเลยต้องสร้างเปลือกหนาไว้คุ้มครอง หรือเป็นหัวมันที่เปลือกบ๊างบาง แต่ข้างในแข็งโป๊ก หรือประสบการณ์ชีวิตของจัสตีนสูบความชุ่มชื่นออกจากตัวเธอหมด กลายเป็นแตงกวาที่เปลือกแข็ง แต่ข้างในแห้งหมดไม่มีน้ำ กินไม่ไหวแล้ว (อาจจะอุปมาตลกๆ หน่อย เพราะวันนี้ไปนั่งหั่นผักมา แบบเก้ๆ กังๆ สุดขีด เพราะตัวเองยังไม่เคยทำให้ตัวเองกินเลยนะเนี่ย)
เพราะเนื้อเรื่องช่วงหลังมันหันไปสนใจกับงานสายลับที่ต้องสืบหาว่าใครอยู่เบื้องหลังการลอบทำร้ายจัสตีนและจ้องป้ายสีให้เอเดรียน ส่วนของความเป็นโรแมนซ์เลยดูเหมือนไม่ได้พัฒนาเต็มที่ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในปัจจุบัน มันขาดความหวานความซึ้ง อย่างฉากรักครั้งที่ทั้งคู่กลับมาดีกัน มันน่าจะสร้างความประทับใจได้มากกว่านี้นะ แม้แต่คำว่า I love you ของจัสตีน ก็จืดชืดธรรมดามากเลย อีกอย่างเราไม่ชอบเวลาที่จัสตีนชอบพูดตอกย้ำอดีตตัวเองกับเอเดรียน ไม่รู้คิดมากไปมั้ย แต่เหมือนเธอพูดเพื่อลองใจ ให้เขารู้สึกเจ็บร้อนแทน เราว่า จัสตีนน่าจะรู้ตัวว่า ที่เธอทำที่เธอเป็น เกิดได้ยังไง ทำเพื่ออะไร ถ้ารู้เหตุผลของตัวเองในใจ ก็ไม่เห็นจะต้องรู้สึกดูถูกตัวเอง แต่เพราะเป็นอย่างนี้ ความรู้สึกชอบนางเอกเลยไม่พีค โดยเฉพาะถ้าเทียบกับเรื่อง The Spymaster's Lady ถ้าลองให้คะแนนความชอบตัวละครดูคงได้ประมาณนี้ เกรย์ 8 + แอนนีค 10, เอเดรียน 8.5 + จัสตีน 8
อาจจะดูเหมือนติเยอะ แต่จริงๆ เราชอบเรื่องนี้นะ เพียงแต่คิดว่า มันน่าจะดีกว่านี้ได้ หรือไม่ก็เพราะมันมืดมนไปสำหรับเรา ถึงไม่ชอบเล่มนี้มากกว่านี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)