คะแนน : 8
พระเอกเล่มนี้คือ ซิด มาโลน ถ้าอ่านเล่ม The Tea Rose มาแล้วก็คงรู้ว่าเขาเป็นใคร ซิดเป็นหัวหน้าแก๊งนักเลงในเขตอีสต์เอนด์ ลอนดอน ส่วนนางเอกคือ อินเดีย เซลวิน โจนส์ แพทย์หญิงจบใหม่ไฟแรงมีอุดมการณ์ ที่ตั้งใจมาเป็นหมอรักษาช่วยคนยากจนในถิ่นสลัม วันหนึ่งซิดบาดเจ็บจากการปล้นปืน อินเดียช่วยชีวิตเขาไว้ เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์รักที่ต้องฝ่าฟันวิบากกรรมต่างๆ นานา ในหนังชีวิตเรื่องยาวของครอบครัวฟินนิแกน ซีรีส์โรสภาคที่สองนี้
เล่มนี้ก็ยาวมากๆ อีกเช่นกัน นิยาย 133 บท อ่านกันตาแฉะเลย เวลาผ่านมาจากท้ายเล่มที่แล้วไม่นานนัก ประมาณ 2-3 ปี ฟิโอน่ากับโจก็ยังกล่าวถึง และมีบทบาทมากพอสมควร ช่วงแรกๆ ยังอ่านไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ บรรยากาศมันมืดมนหดหู่ ชีวิตคนจนในย่านนั้นสมัยนั้นมันรันทดจัง และเพราะยังไม่อินกับพระเอกนางเอก รู้สึกว่าซิดเลวเกินไปหน่อย เพราะโผล่มาพี่แกก็เล่นทำร้ายคน เรียกค่าคุ้มครอง คุมผับ คุมบาร์ คุมโรงฝิ่น วางแผนปล้น พระเอกอะไรวะ ส่วนอินเดียเราก็ไม่ชอบเช่นกัน เธอมีคู่หมั้นอยู่แล้วคือตัวร้ายของเรื่อง แล้วก็ยอมมีอะไรกับหมอนั่นด้วยทั้งที่ไม่รัก เรารู้สึกว่า เธอตาต่ำเรื่องผู้ชายยังไงไม่รู้
จนเข้ากลางๆ เรื่องตอนที่ซิดกับอินเดียได้เข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้น แล้วทำให้ค่อยๆ เห็นว่า จริงๆ ซิดไม่เลว อินเดียก็ยังไม่โง่เท่าไหร่ นั่นแหละที่ค่อยเริ่มชอบสองคนนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ถึงจะสั้นมากๆ แต่เขียนได้ซึ้งมากเลย เพราะความดีของอินเดียทำให้ซิดยอมกลับตัว และอินเดียก็รักซิดมากพอที่จะยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างได้เพื่อเขา โดยไม่มีการลังเล ทั้งๆ ที่มีฉากที่ทั้งสองมีความสุขด้วยกันน้อยมาก แค่ 1 ใน 100 ของเรื่อง แต่คืนที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน แล้วอินเดียช่วยรักษาแผลใจทำให้ซิดหายจากโรคนอนไม่หลับได้ ประทับใจมาก และทำให้เชื่อในความรักของทั้งคู่หมดใจเลย แต่แล้วเรื่องนี้มันก็ต้องดราม่า เจอมารผจญ เฮ้อ
เกิดเหตุหักเหสำคัญของเรื่องที่ทำให้ตัวเอกทั้งสองต้องแยกจากกันไป ขัดใจว่า ซิดน่าจะเชื่อใจอินเดียมากกว่านี้หน่อยนะ จะได้ไม่ต้องจากกันตั้งหลายปี และก็ไม่แน่ใจว่า การตัดสินใจของอินเดียหลังจากนั้นมันถูกต้องแล้วเหรอ มันน่าจะมีวิธีดีกว่านั้นมั้ย แต่ก็เอาน่ะ เดี๋ยวรสชาติชีวิตจะไม่พอ โอ๊ย แล้วทำไมแต่งเรื่องให้โจซวยอย่างนี้ล่ะ นี่ถ้าเป็นนิยายโรแมนซ์คงไม่เป็นแบบนี้ พระเอกนางเอกภาคที่แล้วต้องมีแต่ความสุขสิ
1/3 เล่มหลัง ฉากย้ายจากอังกฤษไปอยู่ที่แอฟริกา ช่วงนี้คลื่นแทรกรบกวนตลอด กล่าวถึงคนโน้นคนนี้ที่แยกๆ กันอยู่คนละทิศละทาง มีเรื่องราวของเชมี่ น้องชายฟิโอน่า ที่ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว ให้เข้ามามีบทสำคัญ เตรียมไว้เล่มหน้า อ่านไปกว่าพระเอกนางเอกจะกลับมาเจอกันอีกที เฉียดไปเฉียดมา ลุ้นซะเหนื่อย เจอกันก็ไม่คุยกันดีๆ หรอก กว่าจะเข้าใจกันได้ แต่ชอบมากอีกแล้ว ตอนที่ซิดสารภาพว่าทำไมเขาถึงไม่มาหาเธอ แล้วแทนที่อินเดียจะโกรธว่า เขาไม่เชื่อใจเธอ เธอกลับบอกว่า "โธ่ ซิด คุณคิดว่าฉันเปลี่ยนใจ เพราะคุณไม่เคยคิดว่าตัวเองดีพอ ไม่เคยคิดว่าตัวเองคู่ควรจะไปรักใครและให้ใครรัก" เราก็เออ จริงแฮะ เราไม่เข้าใจถึงเคืองซิด แต่อินเดียเข้าใจเขา ก็เลยรู้สึกว่าสองคนนี้เป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ เข้าใจกันแล้วก็ยังไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ พระเอกถูกจับ นางเอกเกือบถูกฆ่า ดราม่ากันเต็มสตรีมจนหน้าสุดท้าย
อย่างที่บอกว่า เล่มนี้มีจุดที่น่าขัดใจหลายอย่าง เราชอบน้อยกว่าเล่มแรก แต่ก็ไม่อยากให้คะแนนน้อยกว่า 8 เพราะมันก็ยังทำให้อ่านติดหนึบไม่อยากวางอยู่ ตอนนี้อินกับตัวละครครอบครัวนี้แล้ว แต่ตอนจบมันห้วนๆ ไปหน่อยรึเปล่า มีหลายอย่างที่ยังไม่คลี่คลายด้วยดีในเล่มนี้ หวังว่า เล่มหน้าจะลงเอยสุขสมหวังกว่านี้ เราไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นไตรภาค ถ้ารู้ก่อนคงยังไม่อ่าน รอให้มันออกมาให้ครบก่อนจะได้อ่านทีเดียว ขี้เกียจรอลุ้นอีกครึ่งค่อนปี
แต่สารภาพว่ายังไม่ปิ๊งกับเชมี่และวิลล่า ที่จะเป็นพระเอกนางเอกเล่มหน้าเท่าไหร่ ในเล่มสองมันปูเรื่องของเชมี่กับวิลล่าค้างไว้ ไม่ค่อยปลื้ม คือ เล่มหนึ่งเล่มสอง พวกพี่ๆ เจอเรื่องรันทดก็เพราะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดถูกคนอื่นกระทำ แต่อย่างสองคนนี้ ไม่รู้แฮะ ถ้ายืมคำพูดเพื่อนเราที่มันรับมาจากพ่ออีกที ก็ต้องบอกว่า เจียะป้าบ่อสื่อ กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ รนหาเรื่องเอง ชีวิตไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรน อยู่สบายดีๆ ไม่ชอบ ลำบากลำบนมาปีนเขา พอดีเราไม่มีจิตวิญญาณนักผจญภัยเลยไม่เข้าใจ แค่นั้นพอทำเนา แต่แล้วประสบเหตุเพราะทำตัวเองแล้วรับไม่ได้เหรอ ทำไมตอนท้ายวิลล่าถึงทำอย่างนั้น วิลล่าในเล่มหน้าคงต้องเคลียร์ตัวเองมากๆ เลยล่ะ เราถึงจะอินกับเธอได้
วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
The Tea Rose - Jennifer Donnelly
คะแนน : 8
เมื่อหลายปีก่อนตอนที่เห็นฉบับแปลภาษาไทยของเรื่องนี้ เคยอยากอ่าน แต่ไม่รู้ทำไมไม่ได้ซื้อ จำไม่ได้แล้ว ช่วงนั้นคงยุ่งๆ ไม่มีเวลา เห็นเล่มหนาๆ ก็เลยผ่านก่อน มาตอนนี้พอดีหาหนังสือเล่มอื่นที่มีคำว่า Rose เจอเล่มนี้โผล่มาด้วย เห็นแล้วนึกได้ จัดไป
นี่ไม่ใช่นิยายโรแมนซ์ แต่เป็นนิยายชีวิตย้อนยุคที่ใช้ฉากในยุควิคตอเรียน ช่วงเวลาที่แจ็คเดอะริปเปอร์ ออกอาละวาดในถิ่นสลัมของลอนดอน เรื่องราวของฟิโอน่า สาวโรงงานใบชา ลูกสาวกรรมกรท่าเรือ แม้ครอบครัวยากจนแต่เธอก็มีความสุข และมีความฝันอยากเก็บเงินเปิดร้านของตัวเองร่วมกับ โจ แฟนหนุ่มที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่แล้วชะตาชีวิตก็พลิกผัน เธอสูญเสียครอบครัว ต้องแยกจากคนรัก สูญสิ้นความหวัง แถมยังถูกตามล่าเอาชีวิต แล้วเธอก็ไปตั้งต้นใหม่ที่อเมริกา สร้างเนื้อสร้างตัวจนเป็นเจ้าของธุรกิจ ผ่านไป 10 ปี ตอนหลังก็กลับมาแก้แค้นคนที่ทำลายชีวิตของเธอ
นิยายยาว.ว.ว มาก แต่อ่านแล้วไม่เบื่อเลยสักนิด เรื่องดำเนินไปเร็ว ไม่เยิ่นเย้อยืดยาดเลย มันจะซอยเป็นบทสั้นๆ แล้วก็จะมีประเด็นในแต่ละบท เรื่่องนี้มันช่าง melodrama, soap opera, นิยายประโลมโลกย์, ละครหลังข่าว ซะจริงๆ เลย แต่อ่านแล้วก็บันเทิงดีมากๆ ความสมจริงไม่ต้องหา เพราะมันช่างเว่อร์อะไรอย่างนี้ เป็นสงครามชีวิตฟิโอน่า อีตอนมรสุมชีวิตพัดพา ก็กระหน่ำกันมา อีตอนจะเจริญ ก็บังเอิญไปเจอคนโน้นคนนี้ ยกระดับขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่องความรัก ก็แคล้วคลาดกันไปกันมา อืมม์ จริงๆ มันมีประเด็นเรื่องไปมีอะไรกับคนอื่น แต่พอไม่ใช่โรแมนซ์ก็ไม่ค่อยติดใจแฮะ ตอนอ่านตั้งใจว่าจะไม่ยกโทษให้โจนะ แต่ก็ใจอ่อนจนได้ ส่วนฟิโอน่านั่นว่ากันไม่ได้ ตอนท้ายจะแก้แค้น ก็ม่าได้อีก แต่สนุกอ่ะ ไม่เก็บไปประทับใจอะไรหรอก เอาแค่เพลินตอนอ่านนี่แหละ ทำเอาอ่านติดพันอดนอนไปค่อนคืน หลังๆ ไม่ค่อยได้อ่านนิยายอารมณ์นี้เท่าไหร่ เหมือนได้ย้อนเวลาไปอ่านนิยายไทยสมัยก่อนยังไงไม่รู้ บอกแล้วว่าชอบเรื่องน้ำเน่า ฮิฮิ เดี๋ยวอ่านภาคสองต่อ
เมื่อหลายปีก่อนตอนที่เห็นฉบับแปลภาษาไทยของเรื่องนี้ เคยอยากอ่าน แต่ไม่รู้ทำไมไม่ได้ซื้อ จำไม่ได้แล้ว ช่วงนั้นคงยุ่งๆ ไม่มีเวลา เห็นเล่มหนาๆ ก็เลยผ่านก่อน มาตอนนี้พอดีหาหนังสือเล่มอื่นที่มีคำว่า Rose เจอเล่มนี้โผล่มาด้วย เห็นแล้วนึกได้ จัดไป
นี่ไม่ใช่นิยายโรแมนซ์ แต่เป็นนิยายชีวิตย้อนยุคที่ใช้ฉากในยุควิคตอเรียน ช่วงเวลาที่แจ็คเดอะริปเปอร์ ออกอาละวาดในถิ่นสลัมของลอนดอน เรื่องราวของฟิโอน่า สาวโรงงานใบชา ลูกสาวกรรมกรท่าเรือ แม้ครอบครัวยากจนแต่เธอก็มีความสุข และมีความฝันอยากเก็บเงินเปิดร้านของตัวเองร่วมกับ โจ แฟนหนุ่มที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่แล้วชะตาชีวิตก็พลิกผัน เธอสูญเสียครอบครัว ต้องแยกจากคนรัก สูญสิ้นความหวัง แถมยังถูกตามล่าเอาชีวิต แล้วเธอก็ไปตั้งต้นใหม่ที่อเมริกา สร้างเนื้อสร้างตัวจนเป็นเจ้าของธุรกิจ ผ่านไป 10 ปี ตอนหลังก็กลับมาแก้แค้นคนที่ทำลายชีวิตของเธอ
นิยายยาว.ว.ว มาก แต่อ่านแล้วไม่เบื่อเลยสักนิด เรื่องดำเนินไปเร็ว ไม่เยิ่นเย้อยืดยาดเลย มันจะซอยเป็นบทสั้นๆ แล้วก็จะมีประเด็นในแต่ละบท เรื่่องนี้มันช่าง melodrama, soap opera, นิยายประโลมโลกย์, ละครหลังข่าว ซะจริงๆ เลย แต่อ่านแล้วก็บันเทิงดีมากๆ ความสมจริงไม่ต้องหา เพราะมันช่างเว่อร์อะไรอย่างนี้ เป็นสงครามชีวิตฟิโอน่า อีตอนมรสุมชีวิตพัดพา ก็กระหน่ำกันมา อีตอนจะเจริญ ก็บังเอิญไปเจอคนโน้นคนนี้ ยกระดับขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่องความรัก ก็แคล้วคลาดกันไปกันมา อืมม์ จริงๆ มันมีประเด็นเรื่องไปมีอะไรกับคนอื่น แต่พอไม่ใช่โรแมนซ์ก็ไม่ค่อยติดใจแฮะ ตอนอ่านตั้งใจว่าจะไม่ยกโทษให้โจนะ แต่ก็ใจอ่อนจนได้ ส่วนฟิโอน่านั่นว่ากันไม่ได้ ตอนท้ายจะแก้แค้น ก็ม่าได้อีก แต่สนุกอ่ะ ไม่เก็บไปประทับใจอะไรหรอก เอาแค่เพลินตอนอ่านนี่แหละ ทำเอาอ่านติดพันอดนอนไปค่อนคืน หลังๆ ไม่ค่อยได้อ่านนิยายอารมณ์นี้เท่าไหร่ เหมือนได้ย้อนเวลาไปอ่านนิยายไทยสมัยก่อนยังไงไม่รู้ บอกแล้วว่าชอบเรื่องน้ำเน่า ฮิฮิ เดี๋ยวอ่านภาคสองต่อ
วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Treachery in Death - J. D. Robb
คะแนน : 7.5
In Death เรื่องที่ 40 หรือนับเป็นเล่มนิยายก็ที่ 32 เนื้อเรื่องเล่มนี้เกี่ยวกับตำรวจเลว รู้ตัวคนร้ายตั้งแต่แรก เป็นเรื่องการเมืองวงในของตำรวจซะเยอะ อีฟเป็นตำรวจที่ดีจริงๆ ก็อ่านสนุกดีเรื่อยๆ ฉากที่ชอบในเล่มนี้คือ ตอนที่คุยเรื่องสระปลาคาร์พ
In Death เรื่องที่ 40 หรือนับเป็นเล่มนิยายก็ที่ 32 เนื้อเรื่องเล่มนี้เกี่ยวกับตำรวจเลว รู้ตัวคนร้ายตั้งแต่แรก เป็นเรื่องการเมืองวงในของตำรวจซะเยอะ อีฟเป็นตำรวจที่ดีจริงๆ ก็อ่านสนุกดีเรื่อยๆ ฉากที่ชอบในเล่มนี้คือ ตอนที่คุยเรื่องสระปลาคาร์พ
วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Blacklands - Belinda Bauer
คะแนน : 8
เปลี่ยนบรรยากาศมาอ่านนิยายอาชญากรรมมั่ง เล่มนี้คือเรื่องที่ได้รางวัล Gold Dagger ปีที่แล้ว เป็น Best Crime Novel of 2010 เรื่องราวของ สตีเวน เด็กชายอายุ 12 ปี ที่อาศัยอยู่กับแม่กับยาย และน้องชายเล็กๆ 1 คน ในหมู่บ้านเล็กๆ เขตอุทยานแห่งชาติ Exmoor เมื่อ 18 ปีที่แล้ว บิลลี่ น้าชายของสตีเวนที่ยังเป็นเด็กอายุ 11 ปี ถูกฆาตกรต่อเนื่องลักตัวไป แม้ในที่สุดคนร้ายจะถูกจับได้ แต่ยังไม่มีใครพบศพบิลลี่ และเหตุการณ์นั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตคนในครอบครัวของเขาไปตลอด วันหนึ่งเมื่อสตีเวนได้รู้เรื่องนี้ เขาเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าเขาหาศพของบิลลี่เจอ ครอบครัวของเขาคงจะกลับมามีความสุขได้เป็นปรกติเหมือนคนอื่นๆ หลังเลิกเรียนทุกวัน เขาจึงออกไปขุดหาศพที่ท้องทุ่งโล่งกว้าง ที่เป็นสถานที่พบศพเด็กอื่นๆ ฝังอยู่ แต่เมื่อไม่เจอเสียที สตีเวนจึงเขียนจดหมายไปถามกับเจ้าตัวคนฆ่าที่ตอนนี้อยู่ในคุกซะเลย โดยหารู้ไม่ว่า ฆาตกรโรคจิตจะเห็นจดหมายของเขาเป็นเกม และในที่สุดอาจดึงตัวเขาเข้าไปสู่อันตรายถึงชีวิตได้
ตอนเริ่มต้นอ่าน ความรู้สึกแย่ที่ค้างมาจากเรื่อง The Mortal Instruments ยังอยู่ ทำให้อดเปรียบเทียบกันไม่ได้ รู้สึกว่า นิยายที่เขียนบรรยายดีกับไม่ดี นี่มันให้อารมณ์ต่างกันเยอะจริงๆ เรื่องนี้แค่บทสองบท ก็ดึงเราเข้าไปอยู่ในเรื่องได้แล้ว บรรยากาศความอึมครึมในเรื่อง ทั้งฉากและความรู้สึกของตัวละครมันแทบสัมผัสได้ กลิ่นไอหมอกของชนบทอังกฤษแทบลอยออกจากหน้าหนังสือมากระทบจมูก เราไม่ได้มีความรู้เชิงหลักการอะไรในการวิจารณ์หนังสือ ว่าเรื่องไหนเขียนดีเรื่องไหนเขียนแย่หรอก เป็นนักอ่านธรรมดา อ่านเพื่อความบันเทิง ส่วนมากสนใจเนื้อเรื่องมากกว่าสำนวนภาษาด้วย แค่อ่านแล้วรู้สึกยังไงก็ว่ายังงั้นตรงๆ
เนื้อเรื่องเล่มนี้สนุกดี ทำให้อยากรู้เรื่องต่อเนื่องไปเรื่อยๆ อ่านไม่วางเลย ทางหนึ่งก็กล่าวถึงชีวิตประจำวันของสตีเวน ที่เป็นเด็กค่อนข้างเก็บตัว ครอบครัวมีปัญหา อีกทางหนึ่งก็เล่าประเด็นการโต้ตอบจดหมายกับฆาตกร ที่ซ่อนเนื้อความ และแง่มุมทางจิตวิทยาไว้ ยัง นี่ยังไม่ถึงขั้นเทียบกับการเข้าไปคุยกับฮันนิบาล ยังไงสตีเวนก็เป็นเด็กธรรมดา ไม่ได้เก่งกล้าสามารถฉลาดเกินวัยจนผิดธรรมชาติ แต่เรื่องนี้ก็สนุกล่ะ สมจริงดี และช่วงหลังของเล่ม เรื่องก็ลุ้นมาก จุดที่ไม่ชอบนิดเดียวในเรื่อง นิ้ดเดียวจริงๆ คือ ฉากที่ถูกยิงโดยลูกชายที่กำลังฝึกทหารอยู่ มันบังเอิญมากเกินไปนะ เหลือเชื่อเกิน นอกนั้นก็ดีหมดเลย
เปลี่ยนบรรยากาศมาอ่านนิยายอาชญากรรมมั่ง เล่มนี้คือเรื่องที่ได้รางวัล Gold Dagger ปีที่แล้ว เป็น Best Crime Novel of 2010 เรื่องราวของ สตีเวน เด็กชายอายุ 12 ปี ที่อาศัยอยู่กับแม่กับยาย และน้องชายเล็กๆ 1 คน ในหมู่บ้านเล็กๆ เขตอุทยานแห่งชาติ Exmoor เมื่อ 18 ปีที่แล้ว บิลลี่ น้าชายของสตีเวนที่ยังเป็นเด็กอายุ 11 ปี ถูกฆาตกรต่อเนื่องลักตัวไป แม้ในที่สุดคนร้ายจะถูกจับได้ แต่ยังไม่มีใครพบศพบิลลี่ และเหตุการณ์นั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตคนในครอบครัวของเขาไปตลอด วันหนึ่งเมื่อสตีเวนได้รู้เรื่องนี้ เขาเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าเขาหาศพของบิลลี่เจอ ครอบครัวของเขาคงจะกลับมามีความสุขได้เป็นปรกติเหมือนคนอื่นๆ หลังเลิกเรียนทุกวัน เขาจึงออกไปขุดหาศพที่ท้องทุ่งโล่งกว้าง ที่เป็นสถานที่พบศพเด็กอื่นๆ ฝังอยู่ แต่เมื่อไม่เจอเสียที สตีเวนจึงเขียนจดหมายไปถามกับเจ้าตัวคนฆ่าที่ตอนนี้อยู่ในคุกซะเลย โดยหารู้ไม่ว่า ฆาตกรโรคจิตจะเห็นจดหมายของเขาเป็นเกม และในที่สุดอาจดึงตัวเขาเข้าไปสู่อันตรายถึงชีวิตได้
ตอนเริ่มต้นอ่าน ความรู้สึกแย่ที่ค้างมาจากเรื่อง The Mortal Instruments ยังอยู่ ทำให้อดเปรียบเทียบกันไม่ได้ รู้สึกว่า นิยายที่เขียนบรรยายดีกับไม่ดี นี่มันให้อารมณ์ต่างกันเยอะจริงๆ เรื่องนี้แค่บทสองบท ก็ดึงเราเข้าไปอยู่ในเรื่องได้แล้ว บรรยากาศความอึมครึมในเรื่อง ทั้งฉากและความรู้สึกของตัวละครมันแทบสัมผัสได้ กลิ่นไอหมอกของชนบทอังกฤษแทบลอยออกจากหน้าหนังสือมากระทบจมูก เราไม่ได้มีความรู้เชิงหลักการอะไรในการวิจารณ์หนังสือ ว่าเรื่องไหนเขียนดีเรื่องไหนเขียนแย่หรอก เป็นนักอ่านธรรมดา อ่านเพื่อความบันเทิง ส่วนมากสนใจเนื้อเรื่องมากกว่าสำนวนภาษาด้วย แค่อ่านแล้วรู้สึกยังไงก็ว่ายังงั้นตรงๆ
เนื้อเรื่องเล่มนี้สนุกดี ทำให้อยากรู้เรื่องต่อเนื่องไปเรื่อยๆ อ่านไม่วางเลย ทางหนึ่งก็กล่าวถึงชีวิตประจำวันของสตีเวน ที่เป็นเด็กค่อนข้างเก็บตัว ครอบครัวมีปัญหา อีกทางหนึ่งก็เล่าประเด็นการโต้ตอบจดหมายกับฆาตกร ที่ซ่อนเนื้อความ และแง่มุมทางจิตวิทยาไว้ ยัง นี่ยังไม่ถึงขั้นเทียบกับการเข้าไปคุยกับฮันนิบาล ยังไงสตีเวนก็เป็นเด็กธรรมดา ไม่ได้เก่งกล้าสามารถฉลาดเกินวัยจนผิดธรรมชาติ แต่เรื่องนี้ก็สนุกล่ะ สมจริงดี และช่วงหลังของเล่ม เรื่องก็ลุ้นมาก จุดที่ไม่ชอบนิดเดียวในเรื่อง นิ้ดเดียวจริงๆ คือ ฉากที่ถูกยิงโดยลูกชายที่กำลังฝึกทหารอยู่ มันบังเอิญมากเกินไปนะ เหลือเชื่อเกิน นอกนั้นก็ดีหมดเลย
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
City of Ashes & City of Glass - Cassandra Clare
คะแนน : 6.75
เจอเรื่องที่อ่านไม่สนุกเข้า ทำให้ขี้เกียจอ่าน หันไปทำอย่างอื่นแทนซะหลายวัน แต่ไหนๆ ตั้งใจว่าจะอ่านแล้วก็อ่านให้จบ จะได้ไปอ่านเรื่องอื่นต่อ เข้าเล่มสองก็เริ่มทำใจได้ว่า ตัวละครเป็นอย่างนี้ จริงๆ ก็ยังพูดจาปากเก่งปากดีกันอยู่ แต่รู้สึกไม่น่ารำคาญเท่าเล่มแรก ก็ค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย แต่ก็ยังขัดใจตอนอ่านกับสไตล์การเล่าเรื่องบ้างเป็นพักๆ เพราะมันตัดฉากบ่อยมาก บทนึงจะถูกตัดไปตัดมากล่าวถึงตัวละครคนโน้นคนนี้สลับกัน ตั้ง 3-4 ที คือ ถ้าสร้างเป็นหนังแล้วอาจจะไม่รู้สึกอะไร หรือถ้าเหมือนอ่านการ์ตูนตัดตอนสลับตัวละครไปมาก็ไม่งง แต่เป็นนิยายซึ่งมันไม่เห็นภาพ แล้วตัดฉากบ่อยๆ เปลี่ยนมุมมองการเล่าดื้อๆ กลางคันนี่ บางทีอ่านแล้วเวียนหัวนะ
เนื้อเรื่องมันเริ่มสนุกขึ้นแหละ โดยเฉพาะช่วงไคลแม็กซ์ท้ายเล่มก็สนุกดี แต่คนเขียนปล่อยจังหวะการเล่าเรื่องไม่ดี ทำให้เหมือนเดาเนื้อเรื่องได้ง่ายไปหมดเลย เรื่องรักต้องห้ามของเจซกับแคลรีย์ นี่ก็รู้แน่ๆ ว่า มันต้องไม่ใช่ เพราะชี้ทางมาให้คนอ่านเห็นแต่ไกลเลย ถ้าจะให้อ่านสนุก มันต้องหักมุมใกล้ๆ ตอนเฉลยกว่านี้ ฉากแอกชั่นต่อสู้มีมากขึ้น แต่อ่านแล้วไม่ค่อยมันส์ ไม่ชอบวิธีบรรยาย อันนี้คงเป็นที่รสนิยมเราเอง เราว่า เอาเนื้อเรื่องเรื่องนี้ไปสร้างเป็นหนังหรือวาดเป็นการ์ตูนไปเลย อาจจะสนุกกว่านี้
แต่อ่านจนจบแล้วก็พอเข้าใจล่ะว่า ทำไมมันดัง เพราะเรื่องชุด The Mortal Instruments นี้เหมือนเอาสูตรฮิตๆ มายำรวมกัน เวลาอ่านมันจะมีความรู้สึกว่า ตรงนี้คล้าย Harry Potter, ตรงนี้ Star Wars, ตรงนี้ Twilight, ตรงนี้ Buffy และอีกสารพัด คือ ไม่ได้ว่าเรื่องนี้จงใจลอกใครมานะ แต่มันเหมือนได้รับอิทธิพลมา เป็นผลผลิตของวัฒนธรรมป๊อปร่วมสมัย นิยาย หนัง เกม การ์ตูน หลอมรวมผสมกันเยอะๆ จนออกมาแนวนี้ ก็เลยอาจถูกใจนักอ่านรุ่นใหม่ๆ ตัวละครก็ไม่ต้องมีบุคลิกดีเด่นอะไรหรอก บรรยายมาว่าหล่อมากๆ ไว้ สาวๆ นักอ่านก็กรี๊ดๆ กันไปเองแหละ เดี๋ยวก็จะมีสร้างเป็นหนังด้วย คนเขียนตอนแรกกะไว้แค่ 3 เล่มนี้ พอขายดีก็ยืดเป็น 6 เล่ม มีภาคย้อนอดีตบรรพบุรุษมาอีกต่างหาก แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่แนวเราเลยแม้แต่น้อย พอแค่นี้ล่ะ เล่มใหม่ออกมาก็ไม่อ่านต่อแล้ว แค่ภาคนี้มันก็จบสมบูรณ์พอใช้แล้ว ไม่มีอะไรให้รู้สึกอยากติดตามต่อ มันคงผิดที่เราเองนี่แหละ ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเรื่องนี้แล้วดันไปอ่าน
เจอเรื่องที่อ่านไม่สนุกเข้า ทำให้ขี้เกียจอ่าน หันไปทำอย่างอื่นแทนซะหลายวัน แต่ไหนๆ ตั้งใจว่าจะอ่านแล้วก็อ่านให้จบ จะได้ไปอ่านเรื่องอื่นต่อ เข้าเล่มสองก็เริ่มทำใจได้ว่า ตัวละครเป็นอย่างนี้ จริงๆ ก็ยังพูดจาปากเก่งปากดีกันอยู่ แต่รู้สึกไม่น่ารำคาญเท่าเล่มแรก ก็ค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย แต่ก็ยังขัดใจตอนอ่านกับสไตล์การเล่าเรื่องบ้างเป็นพักๆ เพราะมันตัดฉากบ่อยมาก บทนึงจะถูกตัดไปตัดมากล่าวถึงตัวละครคนโน้นคนนี้สลับกัน ตั้ง 3-4 ที คือ ถ้าสร้างเป็นหนังแล้วอาจจะไม่รู้สึกอะไร หรือถ้าเหมือนอ่านการ์ตูนตัดตอนสลับตัวละครไปมาก็ไม่งง แต่เป็นนิยายซึ่งมันไม่เห็นภาพ แล้วตัดฉากบ่อยๆ เปลี่ยนมุมมองการเล่าดื้อๆ กลางคันนี่ บางทีอ่านแล้วเวียนหัวนะ
เนื้อเรื่องมันเริ่มสนุกขึ้นแหละ โดยเฉพาะช่วงไคลแม็กซ์ท้ายเล่มก็สนุกดี แต่คนเขียนปล่อยจังหวะการเล่าเรื่องไม่ดี ทำให้เหมือนเดาเนื้อเรื่องได้ง่ายไปหมดเลย เรื่องรักต้องห้ามของเจซกับแคลรีย์ นี่ก็รู้แน่ๆ ว่า มันต้องไม่ใช่ เพราะชี้ทางมาให้คนอ่านเห็นแต่ไกลเลย ถ้าจะให้อ่านสนุก มันต้องหักมุมใกล้ๆ ตอนเฉลยกว่านี้ ฉากแอกชั่นต่อสู้มีมากขึ้น แต่อ่านแล้วไม่ค่อยมันส์ ไม่ชอบวิธีบรรยาย อันนี้คงเป็นที่รสนิยมเราเอง เราว่า เอาเนื้อเรื่องเรื่องนี้ไปสร้างเป็นหนังหรือวาดเป็นการ์ตูนไปเลย อาจจะสนุกกว่านี้
แต่อ่านจนจบแล้วก็พอเข้าใจล่ะว่า ทำไมมันดัง เพราะเรื่องชุด The Mortal Instruments นี้เหมือนเอาสูตรฮิตๆ มายำรวมกัน เวลาอ่านมันจะมีความรู้สึกว่า ตรงนี้คล้าย Harry Potter, ตรงนี้ Star Wars, ตรงนี้ Twilight, ตรงนี้ Buffy และอีกสารพัด คือ ไม่ได้ว่าเรื่องนี้จงใจลอกใครมานะ แต่มันเหมือนได้รับอิทธิพลมา เป็นผลผลิตของวัฒนธรรมป๊อปร่วมสมัย นิยาย หนัง เกม การ์ตูน หลอมรวมผสมกันเยอะๆ จนออกมาแนวนี้ ก็เลยอาจถูกใจนักอ่านรุ่นใหม่ๆ ตัวละครก็ไม่ต้องมีบุคลิกดีเด่นอะไรหรอก บรรยายมาว่าหล่อมากๆ ไว้ สาวๆ นักอ่านก็กรี๊ดๆ กันไปเองแหละ เดี๋ยวก็จะมีสร้างเป็นหนังด้วย คนเขียนตอนแรกกะไว้แค่ 3 เล่มนี้ พอขายดีก็ยืดเป็น 6 เล่ม มีภาคย้อนอดีตบรรพบุรุษมาอีกต่างหาก แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่แนวเราเลยแม้แต่น้อย พอแค่นี้ล่ะ เล่มใหม่ออกมาก็ไม่อ่านต่อแล้ว แค่ภาคนี้มันก็จบสมบูรณ์พอใช้แล้ว ไม่มีอะไรให้รู้สึกอยากติดตามต่อ มันคงผิดที่เราเองนี่แหละ ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเรื่องนี้แล้วดันไปอ่าน
วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
City of Bones - Cassandra Clare
คะแนน : 6.5
ตอนแรกก็สองจิตสองใจอยู่ว่าจะอ่านเรื่องนี้ดีรึเปล่า รู้สึกตัวเองไม่ค่อยถูกกับแนว Paranormal หรือ Urban Fantasy เท่าไหร่ แต่ใน 10 อันดับ Best Series ที่โหวตกันใน Goodreads.com เหลือเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ยังไม่ได้อ่าน ก็ลองซะหน่อยก็ได้ ไม่ลองไม่รู้
City of Bones เป็นเล่มแรกในชุด The Mortal Instruments เรื่องราวของ แคลรีย์ เด็กสาวอายุ 16 ปี ที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์กยุคปัจจุบัน คืนหนึ่งในคลับเธอได้พบกับกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวประหลาด ที่บอกว่า พวกเขาคือ ชาโดว์ฮันเตอร์ นักล่าปิศาจ และในวันถัดมา แม่ของเธอก็ถูกจับตัวไป จู่ๆ แคลรีย์ก็ได้รับรู้ว่า สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่อยู่ในตำนานต่างๆ มีอยู่จริงเกือบทั้งนั้น และแม่ของเธอมีความเป็นมาลึกลับซับซ้อนเกินกว่าที่คิดไว้มาก
เพราะรู้ตัวว่าไม่ใช่แนวโปรด ช่วงแรกก็พยายามอดทน แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่เวิร์กอยู่ดี เข้าใจว่าบางทีการเริ่มต้นเรื่องมันอาจต้องอาศัยเวลาในการบิลท์บรรยากาศ แนะนำความเป็นไปในโลกของนิยายให้รู้ก่อน แต่ช่วงแรกมันน่าเบื่อมากจริงๆ นะ ยิ่งเราเอาเรื่องนี้มาอ่านต่อจาก The Underland Chronicles ซึ่งเราไม่เห็นว่า Suzanne Collins จะต้องใช้เวลาอะไรมากมายในการดึงคนอ่านให้อินกับเรื่อง ก็ยิ่งทำให้คิดว่า เรื่องนี้ยังทำได้ไม่ดีพอ เนื้อหาไม่ค่อยมี มีแต่คุยไปคุยมา ค่อยๆ ได้ฟังเรื่องราวไปเรื่อยๆ เหมือนฟังตัวละครคนอื่นๆ เล่าเรื่องความเป็นมาให้ตัวเอกฟังอีกที ไม่ได้ดึงให้คนอ่านเจอเอง ฉากแอกชั่นน้อยมาก มีแต่ฉากนั่งคุยเวลาเจอพวกเดียวกัน กับยืนคุยเวลาเจอศัตรู แล้วบทสนทนาของตัวละครในเรื่องนี้ห่วยแตกมาก อ่านแล้วขัดๆ ไม่ธรรมชาติ อย่างบางทีก็จะมีคำพูดที่ฟังแล้วไม่เข้ากับสถานการณ์เท่าไหร่ แล้วตัวละครก็บอกมาเองว่า คำพูดตะกี๊ quote มาจากเรื่องอื่น ศัพท์ที่พูดก็ไม่เหมือนคำที่คนธรรมดาใช้ เหมือนเปิด dictionary เขียน
เห็นบอกว่า Cassandra Clare เริ่มต้นงานเขียนมาจากการเขียน fanfic ของ Harry Potter เมื่อสิบปีก่อน สไตล์ของเธอมันเลยออกมาแนวนี้รึเปล่า คือยอมรับตรงๆ ว่า ไม่ชอบอ่าน fanfic หรือพวกนิยายออนไลน์ เพราะสมัยก่อนที่เคยเห็น หลายเรื่องมันชอบเป็นเรื่องที่มีแต่ประโยคที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูด ไม่ค่อยบรรยายเหตุการณ์ มีแต่บทสนทนา เหมือนเอาคำแชตออนไลน์ของสองคนมาให้อ่าน เราเป็นนักอ่านยุคเก่า เลยไม่ชอบอ่านแบบนั้น จริงๆ นิยายออนไลน์มันคงมีเรื่องดีๆ หลายเรื่องแหละ แต่ไม่อยากควานหาเอง นี่ขนาดเลือกแต่เรื่องดังๆ ที่ได้โหวตดีๆ มาอ่านนะ ยังเป็นแบบนี้เลย
ส่วนตัวละครก็ จะหยาบคายไปมั้ย ถ้าบอกว่า เรื่องนี้มีแต่ b**** กับ jerk ยกตัวอย่างฉากนึงแล้วกัน เจซช่วยแคลรีย์หนีปิศาจออกจากบ้าน ด้วยการวาดสัญลักษณ์รูนที่ตัวแคลรีย์ พออาจารย์รู้ก็ดุเจซว่ามันเสี่ยงมากนะ เจซบอกเขาแน่ใจ 90% ว่ามันได้ผล แคลรีย์ก็เลยตบเจซ เพราะ 10% ที่เหลือ แล้วไม่ขอบคุณที่เขาช่วยชีวิตซะหน่อยเลยเหรอ นี่เรื่องเดียวยังมีมากกว่านี้อีกเยอะ ส่วนเจซก็ปากสุนัขมาก พูดจางี่เง่าตลอด ตัวละครอื่นทุกตัวก็ไม่มีใครที่เรารู้สึกว่าดี กว่าที่ตัวเอกสองคนนี้จะเริ่มทำตัวหายน่ารำคาญ ก็ปาเข้าไปเกิน 2/3 เรื่องแล้ว จนไม่แน่ใจว่า มันช้าไปรึเปล่าที่จะทำให้กลับลำมาเชียร์ได้
เนื้อเรื่องไม่มีอะไรแปลกใหม่ โลกในเรื่อง รวมมาทุกเผ่าเลยมั้ง ฮันเตอร์ วอร์ล็อค แฟรี่ แวร์วูลฟ แวมไพร์ ฯลฯ เหมือนเปิดคู่มือตำนานทั่วโลก แล้วใส่ชื่อพวกนั้นมา แต่ละพันธุ์ยังไม่มีบทจริงจังมากเท่าไหร่ ประเด็นหลักๆ ของเรื่องอยู่ที่ความขัดแย้งของพวกชาโดว์ฮันเตอร์ด้วยกันเอง เรื่องมันน่าเบื่อมากจนเกือบจะจบเรื่อง มามีดราม่าช่วงท้ายๆ ซึ่งก็สนุกขึ้นหน่อยแหละ แต่ไม่อยากบอกเลยว่า เดาเนื้อเรื่องสำคัญที่เฉลยท้ายเล่มได้หมดตั้งแต่กลางเรื่อง ตอนที่ได้ยินว่า แม่ของแคลรีย์เคยแต่งงานกับนายคนนั้น แค่นั้นก็รู้เรื่องหมดแล้วล่ะ แม้แต่เรื่องเจซก็รู้ จากตอนที่หมอดูทำนาย ไม่เห็นจะเซอร์ไพรส์เลยสักนิด
เดี๋ยวเล่มถัดๆ ไปมันอาจจะมีดีกว่านี้รึเปล่า ถ้ามีแค่นี้มันไม่น่าโหวตได้อันดับ 7 มาใช่มั้ย อย่างน้อยจะลองอ่านให้จบไตรภาคแรกก่อน แต่ถ้ามันไม่โดนจริงๆ ต่อไปต้องยอมรับความจริง ลาขาดพวก Urban Fantasy
ตอนแรกก็สองจิตสองใจอยู่ว่าจะอ่านเรื่องนี้ดีรึเปล่า รู้สึกตัวเองไม่ค่อยถูกกับแนว Paranormal หรือ Urban Fantasy เท่าไหร่ แต่ใน 10 อันดับ Best Series ที่โหวตกันใน Goodreads.com เหลือเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ยังไม่ได้อ่าน ก็ลองซะหน่อยก็ได้ ไม่ลองไม่รู้
City of Bones เป็นเล่มแรกในชุด The Mortal Instruments เรื่องราวของ แคลรีย์ เด็กสาวอายุ 16 ปี ที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์กยุคปัจจุบัน คืนหนึ่งในคลับเธอได้พบกับกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวประหลาด ที่บอกว่า พวกเขาคือ ชาโดว์ฮันเตอร์ นักล่าปิศาจ และในวันถัดมา แม่ของเธอก็ถูกจับตัวไป จู่ๆ แคลรีย์ก็ได้รับรู้ว่า สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่อยู่ในตำนานต่างๆ มีอยู่จริงเกือบทั้งนั้น และแม่ของเธอมีความเป็นมาลึกลับซับซ้อนเกินกว่าที่คิดไว้มาก
เพราะรู้ตัวว่าไม่ใช่แนวโปรด ช่วงแรกก็พยายามอดทน แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่เวิร์กอยู่ดี เข้าใจว่าบางทีการเริ่มต้นเรื่องมันอาจต้องอาศัยเวลาในการบิลท์บรรยากาศ แนะนำความเป็นไปในโลกของนิยายให้รู้ก่อน แต่ช่วงแรกมันน่าเบื่อมากจริงๆ นะ ยิ่งเราเอาเรื่องนี้มาอ่านต่อจาก The Underland Chronicles ซึ่งเราไม่เห็นว่า Suzanne Collins จะต้องใช้เวลาอะไรมากมายในการดึงคนอ่านให้อินกับเรื่อง ก็ยิ่งทำให้คิดว่า เรื่องนี้ยังทำได้ไม่ดีพอ เนื้อหาไม่ค่อยมี มีแต่คุยไปคุยมา ค่อยๆ ได้ฟังเรื่องราวไปเรื่อยๆ เหมือนฟังตัวละครคนอื่นๆ เล่าเรื่องความเป็นมาให้ตัวเอกฟังอีกที ไม่ได้ดึงให้คนอ่านเจอเอง ฉากแอกชั่นน้อยมาก มีแต่ฉากนั่งคุยเวลาเจอพวกเดียวกัน กับยืนคุยเวลาเจอศัตรู แล้วบทสนทนาของตัวละครในเรื่องนี้ห่วยแตกมาก อ่านแล้วขัดๆ ไม่ธรรมชาติ อย่างบางทีก็จะมีคำพูดที่ฟังแล้วไม่เข้ากับสถานการณ์เท่าไหร่ แล้วตัวละครก็บอกมาเองว่า คำพูดตะกี๊ quote มาจากเรื่องอื่น ศัพท์ที่พูดก็ไม่เหมือนคำที่คนธรรมดาใช้ เหมือนเปิด dictionary เขียน
เห็นบอกว่า Cassandra Clare เริ่มต้นงานเขียนมาจากการเขียน fanfic ของ Harry Potter เมื่อสิบปีก่อน สไตล์ของเธอมันเลยออกมาแนวนี้รึเปล่า คือยอมรับตรงๆ ว่า ไม่ชอบอ่าน fanfic หรือพวกนิยายออนไลน์ เพราะสมัยก่อนที่เคยเห็น หลายเรื่องมันชอบเป็นเรื่องที่มีแต่ประโยคที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูด ไม่ค่อยบรรยายเหตุการณ์ มีแต่บทสนทนา เหมือนเอาคำแชตออนไลน์ของสองคนมาให้อ่าน เราเป็นนักอ่านยุคเก่า เลยไม่ชอบอ่านแบบนั้น จริงๆ นิยายออนไลน์มันคงมีเรื่องดีๆ หลายเรื่องแหละ แต่ไม่อยากควานหาเอง นี่ขนาดเลือกแต่เรื่องดังๆ ที่ได้โหวตดีๆ มาอ่านนะ ยังเป็นแบบนี้เลย
ส่วนตัวละครก็ จะหยาบคายไปมั้ย ถ้าบอกว่า เรื่องนี้มีแต่ b**** กับ jerk ยกตัวอย่างฉากนึงแล้วกัน เจซช่วยแคลรีย์หนีปิศาจออกจากบ้าน ด้วยการวาดสัญลักษณ์รูนที่ตัวแคลรีย์ พออาจารย์รู้ก็ดุเจซว่ามันเสี่ยงมากนะ เจซบอกเขาแน่ใจ 90% ว่ามันได้ผล แคลรีย์ก็เลยตบเจซ เพราะ 10% ที่เหลือ แล้วไม่ขอบคุณที่เขาช่วยชีวิตซะหน่อยเลยเหรอ นี่เรื่องเดียวยังมีมากกว่านี้อีกเยอะ ส่วนเจซก็ปากสุนัขมาก พูดจางี่เง่าตลอด ตัวละครอื่นทุกตัวก็ไม่มีใครที่เรารู้สึกว่าดี กว่าที่ตัวเอกสองคนนี้จะเริ่มทำตัวหายน่ารำคาญ ก็ปาเข้าไปเกิน 2/3 เรื่องแล้ว จนไม่แน่ใจว่า มันช้าไปรึเปล่าที่จะทำให้กลับลำมาเชียร์ได้
เนื้อเรื่องไม่มีอะไรแปลกใหม่ โลกในเรื่อง รวมมาทุกเผ่าเลยมั้ง ฮันเตอร์ วอร์ล็อค แฟรี่ แวร์วูลฟ แวมไพร์ ฯลฯ เหมือนเปิดคู่มือตำนานทั่วโลก แล้วใส่ชื่อพวกนั้นมา แต่ละพันธุ์ยังไม่มีบทจริงจังมากเท่าไหร่ ประเด็นหลักๆ ของเรื่องอยู่ที่ความขัดแย้งของพวกชาโดว์ฮันเตอร์ด้วยกันเอง เรื่องมันน่าเบื่อมากจนเกือบจะจบเรื่อง มามีดราม่าช่วงท้ายๆ ซึ่งก็สนุกขึ้นหน่อยแหละ แต่ไม่อยากบอกเลยว่า เดาเนื้อเรื่องสำคัญที่เฉลยท้ายเล่มได้หมดตั้งแต่กลางเรื่อง ตอนที่ได้ยินว่า แม่ของแคลรีย์เคยแต่งงานกับนายคนนั้น แค่นั้นก็รู้เรื่องหมดแล้วล่ะ แม้แต่เรื่องเจซก็รู้ จากตอนที่หมอดูทำนาย ไม่เห็นจะเซอร์ไพรส์เลยสักนิด
เดี๋ยวเล่มถัดๆ ไปมันอาจจะมีดีกว่านี้รึเปล่า ถ้ามีแค่นี้มันไม่น่าโหวตได้อันดับ 7 มาใช่มั้ย อย่างน้อยจะลองอ่านให้จบไตรภาคแรกก่อน แต่ถ้ามันไม่โดนจริงๆ ต่อไปต้องยอมรับความจริง ลาขาดพวก Urban Fantasy
วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
The Underland Chronicles 4 & 5 - Suzanne Collins
Gregor and the Marks of Secret (Underland Chronicles #4)
คะแนน : 8
ประเด็นเกี่ยวกับสงครามในเล่มนี้คือ เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เปรียบเทียบกับนาซีฆ่าชาวยิวชัดเจนมาก มีกระทั่งประโยคที่บอกว่า ...ที่ดี คือ ...ที่ตายแล้ว เล่มนี้มีการดำเนินเรื่องแปลกกว่าเล่มอื่นหน่อย ไม่ได้ขึ้นต้นด้วยคำพยากรณ์ ตอนแรกยังไม่เห็นทิศทาง แต่เรื่องจะค่อยๆ เฉลยปริศนามาทีละนิด ช่วงแรกๆ ยังไม่มีอะไร แต่ช่วงหลัง ตอนเดินทางฝ่ากระแสลม สนุกตื่นเต้นมาก ช่วงท้ายก็มีฉากสลดหดหู่สะเทือนขวัญ แล้วก็มีฉากต้องน้ำตาซึมตอนตัวละครตายอีกแล้ว โดยรวมๆ เล่มนี้มีความลงตัวของเนื้อเรื่องด้อยกว่าเล่มอื่นๆ เพราะเหตุการณ์ไม่คลี่คลายในเล่ม แต่ขมวดปมเพื่อรอรับไคลแม็กซ์เล่มหน้า
Gregor and the Code of Claw (Underland Chronicles #5)
คะแนน : 8.5
เล่มจบของชุด The Underland Chronicles เล่มนี้สนุกมากๆ ครบรส ลุ้นตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะช่วงต้องหาวิธีแกะรหัส เล่มนี้ไม่ต้องเดินทางไปทำเควสต์ที่ไหน เพราะเมืองริเกเลียถูกล้อมโดยกองทัพศัตรู สถานการณ์ในท้องเรื่องบีบให้เครียด (แต่ท่ามกลางความซีเรียส บางฉากก็แอบมีฮานะ น้องบู๊ตส์นี่จอมขโมยซีน น่ารักจริงๆ) เส้นประสาทเขม็งเกลียวตลอด เพราะจากหลายเล่มทำให้รู้แล้วว่า คนเขียนฆ่าตัวละครแบบไม่เกรงใจคนอ่าน การที่ตัวละครฝ่ายเรา ไม่ว่าจะเป็นใคร อาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ มันเพิ่มความลุ้น ถ้าเป็นเรื่องอื่นๆ ก็จะคิดว่า เฮ้ย ยังไงตัวละครสำคัญก็ไม่ตายหรอก แต่เรื่องนี้ไว้ใจไม่ได้เลย แล้วเราก็ชอบตัวละครหลายคนหลายตัวมากซะด้วย รวมไปถึงพวกเด็กๆ ก็ยังกลัวแทน เพราะปราสาทก็อาจถูกตีแตกได้ ฉากสงครามต่อสู้กันดุเดือดเลือดสาด เกรเกอร์ต้องเข้าโหมดนักรบซูเปอร์เกรเกอร์ตลอด กลับมาจากสนามรบที นับศพกันที ถ้าพวกที่เชียร์อยู่รอดกลับมาก็ถอนหายใจไปหน่อย แต่เดี๋ยวก็ต้องไปสู้อีกแล้ว นึกภาพออกเลยว่า ถ้าบ้านไหนมีคนในครอบครัวไปอยู่ชายแดนจะรู้สึกยังไง
Suzanne Collins ไม่เคลือบน้ำตาลให้สงครามเลย นี่ไม่ใช่แฟนตาซีที่พวกพระเอกเป็นฮีโร่ต่อสู้กับจอมมาร Dark Lord ที่ไหน มนุษย์มีส่วนต้องรับผิดชอบในสงครามด้วยเช่นกัน ไม่มีการเขียนให้ตายอย่างเท่ เป็นนักรบที่ต้องเชิดชูเกียรติ สละชีพเพื่อศักดิ์ศรีบ้าบอสิ่งสมมุติไม่มีทั้งนั้น ตายก็ตายไป ความตายในสงครามช่างไร้ความหมาย สลดหดหู่เพราะมันไม่ควรต้องมีใครตาย สงครามเกิดเพราะผู้มีอำนาจไม่กี่คนตัดสินใจ แต่ทำให้เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า ทางออกของปัญหาต้องใช้การประนีประนอม สันติภาพถึงจะเกิด
ว่าแต่เห็นรีวิวก่อนอ่านที่มีหลายคนบ่นตอนจบ ก็เตรียมทำใจไว้ดิบดี ถึงจะเศร้าบ้าง แต่ก็ยังจบดีกว่าที่คิดน่า สรุปว่า เป็นเรื่องที่คุ้มในการซื้อบ็อกซ์เซตชุดนี้มา แต่งเรื่องได้ดีจริงๆ สนุกน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วเก็บรายละเอียดของเรื่องได้ดีด้วย อย่างเช่นเหตุการณ์เล็กๆ ในเล่มก่อนหน้าที่มีเชื่อมโยงมาสู่เล่มนี้ ที่น้องชอบเล่นคำปริศนา เรื่องไม่มีออกนอกลู่นอกทาง หรือเหมือนเพิ่งแต่งเพิ่มทีหลัง ทุกอย่างถูกคิดไว้หมดแล้ว พวกชื่อตัวละคร แบบชื่อค้างคาวที่เอามาจากตำนานกรีกก็เข้ากับบุคลิกตัวละครทุกตัว ถึงจะไม่ประทับใจเรื่องนี้มากเท่า The Hunger Games แต่ก็ยิ่งทำให้เชื่อฝีมือ Suzanne Collins ขึ้นไปอีก ถ้ามีเรื่องใหม่ออกในอนาคตก็ติดตามต่อแน่ๆ
คะแนน : 8
ประเด็นเกี่ยวกับสงครามในเล่มนี้คือ เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เปรียบเทียบกับนาซีฆ่าชาวยิวชัดเจนมาก มีกระทั่งประโยคที่บอกว่า ...ที่ดี คือ ...ที่ตายแล้ว เล่มนี้มีการดำเนินเรื่องแปลกกว่าเล่มอื่นหน่อย ไม่ได้ขึ้นต้นด้วยคำพยากรณ์ ตอนแรกยังไม่เห็นทิศทาง แต่เรื่องจะค่อยๆ เฉลยปริศนามาทีละนิด ช่วงแรกๆ ยังไม่มีอะไร แต่ช่วงหลัง ตอนเดินทางฝ่ากระแสลม สนุกตื่นเต้นมาก ช่วงท้ายก็มีฉากสลดหดหู่สะเทือนขวัญ แล้วก็มีฉากต้องน้ำตาซึมตอนตัวละครตายอีกแล้ว โดยรวมๆ เล่มนี้มีความลงตัวของเนื้อเรื่องด้อยกว่าเล่มอื่นๆ เพราะเหตุการณ์ไม่คลี่คลายในเล่ม แต่ขมวดปมเพื่อรอรับไคลแม็กซ์เล่มหน้า
Gregor and the Code of Claw (Underland Chronicles #5)
คะแนน : 8.5
เล่มจบของชุด The Underland Chronicles เล่มนี้สนุกมากๆ ครบรส ลุ้นตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะช่วงต้องหาวิธีแกะรหัส เล่มนี้ไม่ต้องเดินทางไปทำเควสต์ที่ไหน เพราะเมืองริเกเลียถูกล้อมโดยกองทัพศัตรู สถานการณ์ในท้องเรื่องบีบให้เครียด (แต่ท่ามกลางความซีเรียส บางฉากก็แอบมีฮานะ น้องบู๊ตส์นี่จอมขโมยซีน น่ารักจริงๆ) เส้นประสาทเขม็งเกลียวตลอด เพราะจากหลายเล่มทำให้รู้แล้วว่า คนเขียนฆ่าตัวละครแบบไม่เกรงใจคนอ่าน การที่ตัวละครฝ่ายเรา ไม่ว่าจะเป็นใคร อาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ มันเพิ่มความลุ้น ถ้าเป็นเรื่องอื่นๆ ก็จะคิดว่า เฮ้ย ยังไงตัวละครสำคัญก็ไม่ตายหรอก แต่เรื่องนี้ไว้ใจไม่ได้เลย แล้วเราก็ชอบตัวละครหลายคนหลายตัวมากซะด้วย รวมไปถึงพวกเด็กๆ ก็ยังกลัวแทน เพราะปราสาทก็อาจถูกตีแตกได้ ฉากสงครามต่อสู้กันดุเดือดเลือดสาด เกรเกอร์ต้องเข้าโหมดนักรบซูเปอร์เกรเกอร์ตลอด กลับมาจากสนามรบที นับศพกันที ถ้าพวกที่เชียร์อยู่รอดกลับมาก็ถอนหายใจไปหน่อย แต่เดี๋ยวก็ต้องไปสู้อีกแล้ว นึกภาพออกเลยว่า ถ้าบ้านไหนมีคนในครอบครัวไปอยู่ชายแดนจะรู้สึกยังไง
Suzanne Collins ไม่เคลือบน้ำตาลให้สงครามเลย นี่ไม่ใช่แฟนตาซีที่พวกพระเอกเป็นฮีโร่ต่อสู้กับจอมมาร Dark Lord ที่ไหน มนุษย์มีส่วนต้องรับผิดชอบในสงครามด้วยเช่นกัน ไม่มีการเขียนให้ตายอย่างเท่ เป็นนักรบที่ต้องเชิดชูเกียรติ สละชีพเพื่อศักดิ์ศรีบ้าบอสิ่งสมมุติไม่มีทั้งนั้น ตายก็ตายไป ความตายในสงครามช่างไร้ความหมาย สลดหดหู่เพราะมันไม่ควรต้องมีใครตาย สงครามเกิดเพราะผู้มีอำนาจไม่กี่คนตัดสินใจ แต่ทำให้เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า ทางออกของปัญหาต้องใช้การประนีประนอม สันติภาพถึงจะเกิด
ว่าแต่เห็นรีวิวก่อนอ่านที่มีหลายคนบ่นตอนจบ ก็เตรียมทำใจไว้ดิบดี ถึงจะเศร้าบ้าง แต่ก็ยังจบดีกว่าที่คิดน่า สรุปว่า เป็นเรื่องที่คุ้มในการซื้อบ็อกซ์เซตชุดนี้มา แต่งเรื่องได้ดีจริงๆ สนุกน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วเก็บรายละเอียดของเรื่องได้ดีด้วย อย่างเช่นเหตุการณ์เล็กๆ ในเล่มก่อนหน้าที่มีเชื่อมโยงมาสู่เล่มนี้ ที่น้องชอบเล่นคำปริศนา เรื่องไม่มีออกนอกลู่นอกทาง หรือเหมือนเพิ่งแต่งเพิ่มทีหลัง ทุกอย่างถูกคิดไว้หมดแล้ว พวกชื่อตัวละคร แบบชื่อค้างคาวที่เอามาจากตำนานกรีกก็เข้ากับบุคลิกตัวละครทุกตัว ถึงจะไม่ประทับใจเรื่องนี้มากเท่า The Hunger Games แต่ก็ยิ่งทำให้เชื่อฝีมือ Suzanne Collins ขึ้นไปอีก ถ้ามีเรื่องใหม่ออกในอนาคตก็ติดตามต่อแน่ๆ
วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
The Underland Chronicles 2 & 3 - Suzanne Collins
Gregor and the Prophecy of Bane (Underland Chronicles #2)
คะแนน : 8
ครึ่งเล่มแรกยังเรื่อยๆ เป็นช่วงปูพื้นของเรื่องราวในเล่มนี้กับคำพยากรณ์บทใหม่ แต่พอเข้าช่วงออกเดินทางผจญภัยจริงก็สนุกมากๆ อืมม์ นี่เป็นแฟนตาซีสำหรับเยาวชน แต่ไม่ใช่เรื่องใสๆ เลยนะ Suzanne Collins ไม่ลังเลใจกับการฆ่าตัวละครของเธอเลย ตายกันต่อหน้าต่อตาเห็นๆ ที่จริงก็ตั้งแต่เล่มแรกแล้ว แต่เล่มนี้ตอนอ่านคำบรรยายมีตับไตไส้พุงทะลักออกมา นึกในใจนิดหน่อยว่า มันโหดไปสำหรับเด็กมั้ย แต่มาคิดอีกที เด็กอายุ 11-12 ปี ก็รู้ความแล้ว เปิดหูเปิดตาให้รู้ถึงความทารุณของการฆ่ากันบ้างก็ดี เผื่อโตมาจะได้ไม่เป็นผู้ใหญ่กระหายเลือดนัก ช่วงท้ายเรื่องก็เป็นการทดสอบมโนธรรมของมนุษย์ในยามสงคราม นำเสนอได้ดีมาก
Gregor and the Curse of the Warmbloods (Underland Chronicles #3)
คะแนน : 8
เกิดโรคระบาดที่แพร่ไปทั่วอันเดอร์แลนด์ อันอาจจะนำหายนะมาสู่สัตว์เลือดอุ่นทั้งมวล ทั้งค้างคาว คน หนู ติดโรคได้หมด ศัตรูคู่อาฆาตจึงต้องพักรบหันมาร่วมมือกันชั่วคราว แต่ละฝ่ายส่งตัวแทนร่วมเดินทางไปหายารักษา เนื้อเรื่องมันก็เป็นแบบแอกชั่นผจญภัยสนุกสนานนะ แต่ก็แฝงการสะท้อนภาพความโหดร้ายของอาวุธสงครามชีวภาพได้ชัดดี
ชอบบทสนทนาในเรื่องตอนเปรียบเทียบกับกิ้งก่า เมื่อภัยมา อันดับแรกมันจะพรางตัวก่อน ถ้าศัตรูเจอ มันก็จะขยายแผงคอ ขู่ให้กลัว ถ้าฝ่ายตรงข้ามยังเข้ามาอีก มันจะวิ่งหนี จนถูกไล่ตามมาไม่เลิก เมื่อนั้นล่ะ ที่มันจะหันกลับมาสู้ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า บางครั้งมันก็จำเป็นต้องสู้เพื่อเอาตัวรอด แต่นั่นต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วจริงๆ ในขณะที่พวกชาวริเกเลียนึกแต่ว่า การสู้รบเป็นหนทางเดียวในการแก้ปัญหา
ในสงครามความขัดแย้ง การโทษอีกฝ่ายมันง่าย ดูซิ มันหาเรื่องก่อน มันทำเลวร้ายอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ในนิยายชุดนี้ก็สื่อสารให้คิดได้ว่า คู่กรณีไม่มีฝ่ายไหนถูกทั้งหมดผิดทั้งหมด ความยากอีกอย่างหนึ่งที่เป็นสิ่งที่ตัวละครในเรื่องต้องเผชิญก็คือ ถ้าพวกพ้องของคุณ เพื่อนร่วมชาติเผ่าพันธุ์เดียวกับคุณเองนั่นแหละ ที่เป็นฝ่ายผิด จะยอมรับความจริงกันได้มั้ยล่ะ
ป.ล. ชอบริปเร้ดจังเลย เป็นหนูที่เท่มาก
คะแนน : 8
ครึ่งเล่มแรกยังเรื่อยๆ เป็นช่วงปูพื้นของเรื่องราวในเล่มนี้กับคำพยากรณ์บทใหม่ แต่พอเข้าช่วงออกเดินทางผจญภัยจริงก็สนุกมากๆ อืมม์ นี่เป็นแฟนตาซีสำหรับเยาวชน แต่ไม่ใช่เรื่องใสๆ เลยนะ Suzanne Collins ไม่ลังเลใจกับการฆ่าตัวละครของเธอเลย ตายกันต่อหน้าต่อตาเห็นๆ ที่จริงก็ตั้งแต่เล่มแรกแล้ว แต่เล่มนี้ตอนอ่านคำบรรยายมีตับไตไส้พุงทะลักออกมา นึกในใจนิดหน่อยว่า มันโหดไปสำหรับเด็กมั้ย แต่มาคิดอีกที เด็กอายุ 11-12 ปี ก็รู้ความแล้ว เปิดหูเปิดตาให้รู้ถึงความทารุณของการฆ่ากันบ้างก็ดี เผื่อโตมาจะได้ไม่เป็นผู้ใหญ่กระหายเลือดนัก ช่วงท้ายเรื่องก็เป็นการทดสอบมโนธรรมของมนุษย์ในยามสงคราม นำเสนอได้ดีมาก
Gregor and the Curse of the Warmbloods (Underland Chronicles #3)
คะแนน : 8
เกิดโรคระบาดที่แพร่ไปทั่วอันเดอร์แลนด์ อันอาจจะนำหายนะมาสู่สัตว์เลือดอุ่นทั้งมวล ทั้งค้างคาว คน หนู ติดโรคได้หมด ศัตรูคู่อาฆาตจึงต้องพักรบหันมาร่วมมือกันชั่วคราว แต่ละฝ่ายส่งตัวแทนร่วมเดินทางไปหายารักษา เนื้อเรื่องมันก็เป็นแบบแอกชั่นผจญภัยสนุกสนานนะ แต่ก็แฝงการสะท้อนภาพความโหดร้ายของอาวุธสงครามชีวภาพได้ชัดดี
ชอบบทสนทนาในเรื่องตอนเปรียบเทียบกับกิ้งก่า เมื่อภัยมา อันดับแรกมันจะพรางตัวก่อน ถ้าศัตรูเจอ มันก็จะขยายแผงคอ ขู่ให้กลัว ถ้าฝ่ายตรงข้ามยังเข้ามาอีก มันจะวิ่งหนี จนถูกไล่ตามมาไม่เลิก เมื่อนั้นล่ะ ที่มันจะหันกลับมาสู้ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า บางครั้งมันก็จำเป็นต้องสู้เพื่อเอาตัวรอด แต่นั่นต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วจริงๆ ในขณะที่พวกชาวริเกเลียนึกแต่ว่า การสู้รบเป็นหนทางเดียวในการแก้ปัญหา
ในสงครามความขัดแย้ง การโทษอีกฝ่ายมันง่าย ดูซิ มันหาเรื่องก่อน มันทำเลวร้ายอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ในนิยายชุดนี้ก็สื่อสารให้คิดได้ว่า คู่กรณีไม่มีฝ่ายไหนถูกทั้งหมดผิดทั้งหมด ความยากอีกอย่างหนึ่งที่เป็นสิ่งที่ตัวละครในเรื่องต้องเผชิญก็คือ ถ้าพวกพ้องของคุณ เพื่อนร่วมชาติเผ่าพันธุ์เดียวกับคุณเองนั่นแหละ ที่เป็นฝ่ายผิด จะยอมรับความจริงกันได้มั้ยล่ะ
ป.ล. ชอบริปเร้ดจังเลย เป็นหนูที่เท่มาก
วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Gregor The Overlander - Suzanne Collins
คะแนน : 8.5
วรรณกรรมเยาวชนแฟนตาซี ชุด Underland Chronicles เล่มที่ 1 ผลงานก่อนหน้าไตรภาค The Hunger Games ของ Suzanne Collins เรื่องราวของเด็กชายอายุ 11 ปี ชื่อ เกรเกอร์ อาศัยอยู่ในนิวยอร์กยุคปัจจุบัน วันหนึ่งเขาพาน้องสาววัย 2 ขวบ ไปที่ห้องซักผ้าของใต้ถุนอพาร์ตเมนต์ และบังเอิญพลัดตกลงไปในโพรงใต้ดิน เป็นการตกที่ลึกลงเนิ่นนานจนไปถึงดินแดนใต้พิภพชื่ออันเดอร์แลนด์ ที่นั่นเป็นดินแดนที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างไม่ค่อยสงบสุขนักกับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่น คือ ค้างคาวยักษ์ แมลงสาบยักษ์ แมงมุมยักษ์ และหนูยักษ์ แล้วเกรเกอร์ก็พบว่า เขาอาจเป็นนักรบที่อยู่ในคำพยากรณ์ ที่จะเป็นผู้นำคณะสืบเสาะออกเดินทาง เพื่อนำความหวังกลับสู่ทั้งมวล
เรื่องชุดนี้จะเด็กกว่า HG หน่อย และออกแนวแฟนตาซีมากๆ ช่วงแรกแม้น่าสนใจ แต่ก็ยังให้ความรู้สึกไม่ต่างจากนิยายแฟนตาซีเด็กๆ ทั่วไปเท่าไหร่นัก คือเห็นฉากใหม่ ที่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดต่างๆ แต่พออ่านไปสักพักจนถึง 1/3 ก็จะเริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา และซึมซับได้ถึงความดีของเรื่องนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับยอดเยี่ยมมากในตอนท้าย เนื้อเรื่องอาจฟังดูไม่ออริจินอล เรื่องราวเดินตามขนบตำนานสมัยเก่าที่ต้องเล่นเรื่องคำทำนาย คำพยากรณ์ มีการออกเดินทางทำเควสต์ แต่ก็เอามาประยุกต์เข้ากับการดำเนินเรื่องได้ดีมาก
เรื่องดำเนินไปเร็ว ไม่เยิ่นเย้อ มีฉากแอกชั่นลุ้นสนุกๆ หลายตอน และ Suzanne Collins สร้างตัวละครของเธอได้ดีมากเลย ทั้งตัวเอกและตัวละครอื่นที่ร่วมเดินทาง เราชอบที่เกรเกอร์ซึ่งเป็นเด็กสมัยใหม่ ไปถึงอันเดอร์แลนด์ก็ไม่ได้ไปฝึกดาบจับอาวุธ แต่จะใช้ไหวพริบปฏิภาณช่วยในการเดินทางผจญภัยของเขามากกว่า น้องสาวของเกรเกอร์ก็มีบทสำคัญ ไม่นึกว่าเด็ก 2 ขวบจะทำอะไรในการผจญภัยได้มากนัก แต่ในเรื่องใส่มาได้ดีมาก เป็นธรรมชาติด้วย น่ารัก ชอบ
ฟังเผินๆ นี่เป็นแค่เรื่องแฟนตาซีเด็กๆ แต่ไม่ใช่แค่นั้น ผู้แต่งสอดแทรกเนื้อหาเรื่องการต่อต้านสงครามเข้าไปในนิยายได้อย่างแนบเนียน ที่อันเดอร์แลนด์มีสิ่งมีชีวิตหลากหลาย แล้วดูเลือกมาแต่ละพันธุ์สิ จงใจเลือกมาแต่ไอ้ตัวที่คนรังเกียจทั้งนั้น อันเดอร์แลนด์ตกอยู่ในภาวะสงคราม ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงก็ไม่ใช่อะไรนอกจากอคติที่มีต่อกันระหว่างเผ่าพันธุ์ แต่ในคณะเดินทาง เราได้เห็นมนุษย์เดินทางร่วมกับเผ่าอื่น เราทึ่งกับบทบาทของพวกแมลงสาบกับแมงมุมในทีมมาก ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าไอ้ตัวพวกนี้จะมาทำอะไร แต่ที่จริงพวกเขามีประโยชน์มากเลย แล้วถ้าในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า คนควรจะให้เกียรติและอยู่ร่วมกับหนูกับแมลงสาบอย่างสงบได้ แล้วในโลกแห่งความเป็นจริงล่ะ คนกับคนสปีชีส์เดียวกันแท้ๆ จะรบกันไปทำไม
ประวัติผู้แต่งท้ายเล่มบอกว่า Suzanne Collins เป็นลูกทหาร พ่อเคยรบในสงครามเวียดนาม แต่พ่อปลูกฝังให้เธอรู้จักความเลวร้ายของสงครามมาตั้งแต่เด็ก นิยายที่เธอแต่งจึงสอดแทรกเรื่องการต่อต้านการสู้รบไว้ตลอด อ่านเรื่องนี้ แล้วอดเปรียบเทียบเรื่องจริงไม่ได้ ติดตามข่าวด้วยความเซ็งในสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันเต็มที ไม่เข้าใจว่า ยุคนี้สมัยนี้แล้ว ทำไมยังบ้าไม่เลิก การหยิบเรื่องพระยาละแวกมากระทบเพื่อนบ้านนี่ ฟังดูตรรกะบกพร่องอย่างรุนแรง สิ่งที่พระยาละแวกทำนี่ต่างจากสิ่งที่พระนเรศวรทำตรงไหน การยกประวัติศาสตร์เก่ามาอ้างก็ยกไม่หมด เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น การพูดเรื่องเสียดินแดนตารางนิ้วเดียวก็ไม่ได้ เป็นความเพ้อเจ้อไร้ที่เปรียบ เคยได้ยินคำว่า โลกไร้พรมแดนบ้างมั้ยเนี่ย พวกที่เย้วๆ เชียร์ให้รบ คือคนที่อยู่ในเมืองห่างไกลสถานการณ์ นั่งสบายเชียร์หน้าจอ ไม่เคยรับรู้จริงหรอกว่า สงครามมันสร้างความเดือดร้อนให้คนที่ต้องเผชิญ ไม่นับความเสียหายทางอื่นๆ อย่างเรื่องเศรษฐกิจอีก โอ๊ย พูดเรื่องนี้แล้วปวดตับ
วรรณกรรมเยาวชนแฟนตาซี ชุด Underland Chronicles เล่มที่ 1 ผลงานก่อนหน้าไตรภาค The Hunger Games ของ Suzanne Collins เรื่องราวของเด็กชายอายุ 11 ปี ชื่อ เกรเกอร์ อาศัยอยู่ในนิวยอร์กยุคปัจจุบัน วันหนึ่งเขาพาน้องสาววัย 2 ขวบ ไปที่ห้องซักผ้าของใต้ถุนอพาร์ตเมนต์ และบังเอิญพลัดตกลงไปในโพรงใต้ดิน เป็นการตกที่ลึกลงเนิ่นนานจนไปถึงดินแดนใต้พิภพชื่ออันเดอร์แลนด์ ที่นั่นเป็นดินแดนที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างไม่ค่อยสงบสุขนักกับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่น คือ ค้างคาวยักษ์ แมลงสาบยักษ์ แมงมุมยักษ์ และหนูยักษ์ แล้วเกรเกอร์ก็พบว่า เขาอาจเป็นนักรบที่อยู่ในคำพยากรณ์ ที่จะเป็นผู้นำคณะสืบเสาะออกเดินทาง เพื่อนำความหวังกลับสู่ทั้งมวล
เรื่องชุดนี้จะเด็กกว่า HG หน่อย และออกแนวแฟนตาซีมากๆ ช่วงแรกแม้น่าสนใจ แต่ก็ยังให้ความรู้สึกไม่ต่างจากนิยายแฟนตาซีเด็กๆ ทั่วไปเท่าไหร่นัก คือเห็นฉากใหม่ ที่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดต่างๆ แต่พออ่านไปสักพักจนถึง 1/3 ก็จะเริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา และซึมซับได้ถึงความดีของเรื่องนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับยอดเยี่ยมมากในตอนท้าย เนื้อเรื่องอาจฟังดูไม่ออริจินอล เรื่องราวเดินตามขนบตำนานสมัยเก่าที่ต้องเล่นเรื่องคำทำนาย คำพยากรณ์ มีการออกเดินทางทำเควสต์ แต่ก็เอามาประยุกต์เข้ากับการดำเนินเรื่องได้ดีมาก
เรื่องดำเนินไปเร็ว ไม่เยิ่นเย้อ มีฉากแอกชั่นลุ้นสนุกๆ หลายตอน และ Suzanne Collins สร้างตัวละครของเธอได้ดีมากเลย ทั้งตัวเอกและตัวละครอื่นที่ร่วมเดินทาง เราชอบที่เกรเกอร์ซึ่งเป็นเด็กสมัยใหม่ ไปถึงอันเดอร์แลนด์ก็ไม่ได้ไปฝึกดาบจับอาวุธ แต่จะใช้ไหวพริบปฏิภาณช่วยในการเดินทางผจญภัยของเขามากกว่า น้องสาวของเกรเกอร์ก็มีบทสำคัญ ไม่นึกว่าเด็ก 2 ขวบจะทำอะไรในการผจญภัยได้มากนัก แต่ในเรื่องใส่มาได้ดีมาก เป็นธรรมชาติด้วย น่ารัก ชอบ
ฟังเผินๆ นี่เป็นแค่เรื่องแฟนตาซีเด็กๆ แต่ไม่ใช่แค่นั้น ผู้แต่งสอดแทรกเนื้อหาเรื่องการต่อต้านสงครามเข้าไปในนิยายได้อย่างแนบเนียน ที่อันเดอร์แลนด์มีสิ่งมีชีวิตหลากหลาย แล้วดูเลือกมาแต่ละพันธุ์สิ จงใจเลือกมาแต่ไอ้ตัวที่คนรังเกียจทั้งนั้น อันเดอร์แลนด์ตกอยู่ในภาวะสงคราม ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงก็ไม่ใช่อะไรนอกจากอคติที่มีต่อกันระหว่างเผ่าพันธุ์ แต่ในคณะเดินทาง เราได้เห็นมนุษย์เดินทางร่วมกับเผ่าอื่น เราทึ่งกับบทบาทของพวกแมลงสาบกับแมงมุมในทีมมาก ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าไอ้ตัวพวกนี้จะมาทำอะไร แต่ที่จริงพวกเขามีประโยชน์มากเลย แล้วถ้าในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า คนควรจะให้เกียรติและอยู่ร่วมกับหนูกับแมลงสาบอย่างสงบได้ แล้วในโลกแห่งความเป็นจริงล่ะ คนกับคนสปีชีส์เดียวกันแท้ๆ จะรบกันไปทำไม
ประวัติผู้แต่งท้ายเล่มบอกว่า Suzanne Collins เป็นลูกทหาร พ่อเคยรบในสงครามเวียดนาม แต่พ่อปลูกฝังให้เธอรู้จักความเลวร้ายของสงครามมาตั้งแต่เด็ก นิยายที่เธอแต่งจึงสอดแทรกเรื่องการต่อต้านการสู้รบไว้ตลอด อ่านเรื่องนี้ แล้วอดเปรียบเทียบเรื่องจริงไม่ได้ ติดตามข่าวด้วยความเซ็งในสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันเต็มที ไม่เข้าใจว่า ยุคนี้สมัยนี้แล้ว ทำไมยังบ้าไม่เลิก การหยิบเรื่องพระยาละแวกมากระทบเพื่อนบ้านนี่ ฟังดูตรรกะบกพร่องอย่างรุนแรง สิ่งที่พระยาละแวกทำนี่ต่างจากสิ่งที่พระนเรศวรทำตรงไหน การยกประวัติศาสตร์เก่ามาอ้างก็ยกไม่หมด เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น การพูดเรื่องเสียดินแดนตารางนิ้วเดียวก็ไม่ได้ เป็นความเพ้อเจ้อไร้ที่เปรียบ เคยได้ยินคำว่า โลกไร้พรมแดนบ้างมั้ยเนี่ย พวกที่เย้วๆ เชียร์ให้รบ คือคนที่อยู่ในเมืองห่างไกลสถานการณ์ นั่งสบายเชียร์หน้าจอ ไม่เคยรับรู้จริงหรอกว่า สงครามมันสร้างความเดือดร้อนให้คนที่ต้องเผชิญ ไม่นับความเสียหายทางอื่นๆ อย่างเรื่องเศรษฐกิจอีก โอ๊ย พูดเรื่องนี้แล้วปวดตับ
วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Phantom - Susan Kay
คะแนน : 8
นี่เป็นนิยายเก่า พิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็นเรื่องที่นำนิยายคลาสสิคเรื่อง The Phantom of the Opera มาเขียนใหม่ โดยเปลี่ยนจากเรื่องแนวลึกลับของต้นฉบับ มาเป็นการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นมาทั้งหมดของแฟนท่อมให้พวกเรารู้จักกันแทน แม้ปิศาจแห่งโรงอุปรากรผู้นี้จะโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จากหนังสือ ละครเพลง และภาพยนตร์หลายเวอร์ชัน แต่เรากลับไม่ค่อยรู้จักตัวตนลึกๆ ของเขาเท่าไหร่ ในนิยายเล่มนี้ ซูซาน เคย์ นำประวัติความเป็นมาของแฟนท่อมที่มีบอกไว้คร่าวๆ ในช่วงท้ายของนิยายต้นฉบับ มาขยายความเขียนเล่าให้ความสำคัญกับแฟนท่อมเป็นพระเอกเต็มตัว และพาเราไปรู้จักกับอีกด้านหนึ่งของเอริก บุรุษอัปลักษณ์ที่ต้องซ่อนใบหน้าภายใต้หน้ากาก ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมืด ณ ใต้ดินโรงละครโอเปร่าแห่งปารีส
บทแรกเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของแมเดอเลน แม่ผู้ให้กำเนิดทารกทุรลักษณ์ที่มีใบหน้าเหมือนกะโหลกคนตาย นิยายสนุกและดึงความสนใจของเราได้ตั้งแต่ต้นเรื่องเลย ความรู้สึกแรกเมื่อแม่เห็นลูกชาย สับสนผิดหวังเสียใจรังเกียจ บรรยายได้ชัดเจนสุดๆ เราได้เห็นชีวิตวัยเด็กของเอริกตั้งแต่เกิด จนค่อยๆ โต ได้เห็นความพิเศษของเด็กคนนี้ตั้งแต่แรก แม้จะต้องสาปทางรูปกาย แต่ฟ้าประทานพรสวรรค์ให้เอริก ทั้งด้านวิทยาการและศิลปะ เพียงไม่กี่ขวบ อัจฉริยะด้านดนตรีและสถาปนิกของเขาก็แสดงออกโดดเด่นเห็นชัด แต่เอริกก็ยังเป็นเพียงเด็กชายเล็กๆ ผู้โหยหาความรักของแม่ ตอนอ่านฉากที่เอริกวัย 5 ขวบ ขอของขวัญวันเกิดจากแม่เกือบทำเอาเราน้ำตาซึม
นับแต่นั้นมา หัวใจเราก็ตามไปอยู่กับเด็กชายผู้น่าสงสารคนนี้ ผู้แต่งเล่าเรื่องราวชีวิตวัยเด็กของเอริกได้ดีมากเลย เหตุการณ์วัยเยาว์ของเขาเป็นพื้นฐานที่ทำให้เอริกกลายเป็นเช่นนั้นในอนาคต เมื่อเขาหนีออกจากบ้านเมื่อตอนอายุ 9 ปี ช่วงเวลาที่ไปอยู่ในแคมป์ยิปซี แม้จะเป็นบทสั้นๆ ไม่ยาว แต่ก็เป็นประสบการณ์สำคัญในชีวิตเอริกอีกเช่นกัน
และช่วงเวลาที่จะเป็นช่วงหล่อหลอมตัวตนของเอริกก็มาถึงอีกครั้ง เมื่อเขาได้พบกับโจวานนี่ ถ้าจิตใจของเอริกถูกทำลายครั้งแรกจากความชิงชังของแมเดอเลนผู้เป็นแม่ เขาก็ถูกทำลายครั้งที่สองด้วยความรักและเมตตาของโจวานนี่ ผู้เปรียบเสมือนพ่อบุญธรรม ด้วยความรู้เท่าไม่ถึง การขอให้ถอดหน้ากากกลับทำให้เอริกรู้สึกเหมือนถูกทรยศ จากนั้น เขาก็สูญสิ้นศรัทธาในความรักและความดีทั้งมวล
ช่วงเวลาที่เอริกไปอยู่ที่เปอร์เซียก็แต่งได้ดีน่าติดตามมากๆ เช่นกัน เนื้อเรื่องตอนนี้เป็นช่วงที่ทำให้เราเห็นรายละเอียดและที่มาที่ไปของสายสัมพันธ์ประหลาดระหว่างเอริกกับนาเดียร์ ชายชาวเปอร์เซียน สิ่งที่เราประทับใจในช่วงนี้คือ ประโยคที่แสดงความรู้สึกนึกคิดภายในของเอริกออกมา
"This face, which has denied me all human rights, also frees me of all obligation to the human race,"
หลังจากออกจากเปอร์เซีย ก็นำชีวิตเอริกกลับมาฝรั่งเศสอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็พบกับสิ่งดึงดูดใจ เอริกใช้เวลานับสิบปีหมกมุ่นอยู่กับการสร้างโรงละครโอเปร่า และได้แอบสร้างที่อยู่และทางลับใต้ดิน จนในที่สุด The Opera Ghost ก็ถือกำเนิดขึ้นที่นี่เอง
จนผ่านมาถึง 2/3 ของเรื่อง ในบทที่ 6 นี้เอง คือเรื่องราวของเอริกกับคริสตีน ใจความตอนนี้แหละที่เราคุ้นเคยกันดีจากละครและภาพยนตร์ ถูกนำมาเล่าใหม่ในมุมมองของเอริกสลับกับคริสตีน และแล้วหลังจากที่คิดว่า ผู้แต่งถ่ายทอดเรื่องราวของแฟนท่อมเวอร์ชันนี้ได้ดีมาตลอด เราก็เริ่มรู้สึกว่า นิยายเรื่องนี้ดร็อปลง ที่ผ่านมาผู้แต่งมีอิสระถ่ายทอดจินตนาการของตัวเองได้เต็มที่ เนื้อเรื่องมันก็ลื่นไหลดี แต่พอเข้าช่วงนี้มันมีเนื้อเรื่องบังคับอยู่แล้ว เราว่า ความรู้สึกมันขัดแย้งกัน
เคย์พยายามขับเน้นเรื่องความรักของเอริกและคริสตีนในเรื่อง ซึ่งเราว่าอารมณ์มันไม่ได้ เราไม่เชื่อว่าเอริกรักจริง ความรู้สึกของเขาเหมือนเป็นแค่ความคลั่งไคล้ใหลหลง บวกกับพลังผลักดันด้านมืดในใจ ถ้าเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่าความรัก คงทำให้ความหมายของคำนี้ด้อยค่าลง ในขณะที่ความรู้สึกของคริสตีนก็ไม่เป็นธรรมชาติสักนิด ฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้หลักๆ อาจจะดูเหมือนเรื่องในต้นฉบับ แต่พอตีความใหม่ เหมือนมันเป็นคนละเรื่องกันเลย ใจหนึ่งเราก็นับถือความกล้าหาญของผู้แต่งนะ ที่กล้าเล่าใหม่ในแบบของตัว แต่เราก็คิดว่ามันแปลกๆ อยู่ดี ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เปลี่ยนแล้วไม่ดีกว่าจะเปลี่ยนเรื่องทำไม ความหาญกล้าก็อาจจะดูล้ำเส้นเป็นความเหิมเกริม
และมาถึงบทสรุปสุดท้าย ถูกเล่าเรื่องผ่านมุมมองของราอูล คู่หมั้นหนุ่มผู้รักคริสตีน เป็นเรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 16 ปี แม้จะสั้นๆ ไม่ถึง 1/10 ของเรื่องแล้ว แต่บทนี้ทำความรู้สึกเราดิ่งวูบลงเลย ตอนที่อ่านเรื่องนี้ถึงกลางเล่ม เราประทับใจและชื่นชมนิยายเล่มนี้มากๆ คิดว่า พออ่านจบมีโอกาสที่อาจจะให้คะแนนความชอบถึง 9 เลย ถ้าที่ผ่านมาบทของเอริกทำให้เรารักเรื่องนี้ บทของคริสตีนในตอนจบสุดท้ายก็ทำลายความรู้สึกนั้น เราว่า เรื่องนี้จะจบได้แกรนด์โคตรๆ ถ้าจบด้วยโศกนาฏกรรมของเอริก ความคับแค้นความผิดหวัง และการยอมปลดปล่อยคริสตีนออกจากความรู้สึกอันเห็นแก่ตัวของเขา ควรจะถูกถ่ายทอดมาได้กินใจสุดๆ แต่ขอโทษเถอะ พอเปลี่ยนเรื่องให้เป็นอย่างนี้ ไม่ไหวค่ะ รับไม่ค่อยได้ เรื่องเสียหมดเลย
ประเด็นเรื่องการนอกใจเป็นประเด็นที่เราถือสามาก ถ้าคุณคิดว่าตัวเองรักคนหนึ่ง แล้วจะยอมไปแต่งงานกับอีกคนทำไม ไม่ว่าชู้ทางใจ ชู้ทางกาย รับไม่ได้ทั้งนั้น ภาษาไทยใช้คำว่านอกใจ ฟังดูเป็นเรื่องของหัวใจดีนะ แต่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า cheat คุณโกง คุณไม่ซื่อ
ดีที่มันประเด็นเดียว และคริสตีนไม่ใช่หัวใจสำคัญของเรื่อง แต่ถ้าบทสุดท้ายยาวกว่านี้อีกหน่อย มันอาจลากความรู้สึกเราลงไปถึงระดับ 7 ได้ ลองไปอ่านความรู้สึกคนรีวิว Amazon เฉลี่ยนี่ได้ 5 ดาว แต่เราชอบที่พวกที่ให้ 1 ดาวบางคนเขียน ถึงจะไม่รู้สึกแรงเท่านั้น เพราะช่วงแรกมีความดีอยู่เยอะ แต่เราเข้าใจอารมณ์เขามากเลย การนอกใจมันไม่น่าใช่ความโรแมนติก ความรักไม่ใช่ข้ออ้างของการทำอะไรก็ได้
นี่เป็นนิยายเก่า พิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็นเรื่องที่นำนิยายคลาสสิคเรื่อง The Phantom of the Opera มาเขียนใหม่ โดยเปลี่ยนจากเรื่องแนวลึกลับของต้นฉบับ มาเป็นการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นมาทั้งหมดของแฟนท่อมให้พวกเรารู้จักกันแทน แม้ปิศาจแห่งโรงอุปรากรผู้นี้จะโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จากหนังสือ ละครเพลง และภาพยนตร์หลายเวอร์ชัน แต่เรากลับไม่ค่อยรู้จักตัวตนลึกๆ ของเขาเท่าไหร่ ในนิยายเล่มนี้ ซูซาน เคย์ นำประวัติความเป็นมาของแฟนท่อมที่มีบอกไว้คร่าวๆ ในช่วงท้ายของนิยายต้นฉบับ มาขยายความเขียนเล่าให้ความสำคัญกับแฟนท่อมเป็นพระเอกเต็มตัว และพาเราไปรู้จักกับอีกด้านหนึ่งของเอริก บุรุษอัปลักษณ์ที่ต้องซ่อนใบหน้าภายใต้หน้ากาก ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมืด ณ ใต้ดินโรงละครโอเปร่าแห่งปารีส
บทแรกเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของแมเดอเลน แม่ผู้ให้กำเนิดทารกทุรลักษณ์ที่มีใบหน้าเหมือนกะโหลกคนตาย นิยายสนุกและดึงความสนใจของเราได้ตั้งแต่ต้นเรื่องเลย ความรู้สึกแรกเมื่อแม่เห็นลูกชาย สับสนผิดหวังเสียใจรังเกียจ บรรยายได้ชัดเจนสุดๆ เราได้เห็นชีวิตวัยเด็กของเอริกตั้งแต่เกิด จนค่อยๆ โต ได้เห็นความพิเศษของเด็กคนนี้ตั้งแต่แรก แม้จะต้องสาปทางรูปกาย แต่ฟ้าประทานพรสวรรค์ให้เอริก ทั้งด้านวิทยาการและศิลปะ เพียงไม่กี่ขวบ อัจฉริยะด้านดนตรีและสถาปนิกของเขาก็แสดงออกโดดเด่นเห็นชัด แต่เอริกก็ยังเป็นเพียงเด็กชายเล็กๆ ผู้โหยหาความรักของแม่ ตอนอ่านฉากที่เอริกวัย 5 ขวบ ขอของขวัญวันเกิดจากแม่เกือบทำเอาเราน้ำตาซึม
"Mama." "Will you give me a present too?"
"Of course," I replied mechanically. "Is there something particular that you want?"
"May I have anything I want?" he asked uncertainly.
"Within reason."
"May I have two of them?"
"Why should you need two?" I inquired warily.
"So that I can save one for when the other is used up."
I began to relax. This didn't sound very alarming… nothing more extravagant than a ream of good quality paper, by the sound of it. Or perhaps a box of sweets…
"What is it you want?" I demanded with sudden confidence.
Silence.
I watched him playing with the napkins.
"Erik, I've had quite enough of this silly game now. If you don't tell me what you want straightaway, you will have nothing at all."
He jumped at the sharpness of my tone and began to twist a napkin between his thin fingers.
"I want—I want two…" He stopped and put his hands on the table, as though to steady himself.
"For God's sake!" I snapped. "Two what?"
He looked up at me.
"Kisses," he whispered tremulously. "One now and one to save."
"Of course," I replied mechanically. "Is there something particular that you want?"
"May I have anything I want?" he asked uncertainly.
"Within reason."
"May I have two of them?"
"Why should you need two?" I inquired warily.
"So that I can save one for when the other is used up."
I began to relax. This didn't sound very alarming… nothing more extravagant than a ream of good quality paper, by the sound of it. Or perhaps a box of sweets…
"What is it you want?" I demanded with sudden confidence.
Silence.
I watched him playing with the napkins.
"Erik, I've had quite enough of this silly game now. If you don't tell me what you want straightaway, you will have nothing at all."
He jumped at the sharpness of my tone and began to twist a napkin between his thin fingers.
"I want—I want two…" He stopped and put his hands on the table, as though to steady himself.
"For God's sake!" I snapped. "Two what?"
He looked up at me.
"Kisses," he whispered tremulously. "One now and one to save."
นับแต่นั้นมา หัวใจเราก็ตามไปอยู่กับเด็กชายผู้น่าสงสารคนนี้ ผู้แต่งเล่าเรื่องราวชีวิตวัยเด็กของเอริกได้ดีมากเลย เหตุการณ์วัยเยาว์ของเขาเป็นพื้นฐานที่ทำให้เอริกกลายเป็นเช่นนั้นในอนาคต เมื่อเขาหนีออกจากบ้านเมื่อตอนอายุ 9 ปี ช่วงเวลาที่ไปอยู่ในแคมป์ยิปซี แม้จะเป็นบทสั้นๆ ไม่ยาว แต่ก็เป็นประสบการณ์สำคัญในชีวิตเอริกอีกเช่นกัน
และช่วงเวลาที่จะเป็นช่วงหล่อหลอมตัวตนของเอริกก็มาถึงอีกครั้ง เมื่อเขาได้พบกับโจวานนี่ ถ้าจิตใจของเอริกถูกทำลายครั้งแรกจากความชิงชังของแมเดอเลนผู้เป็นแม่ เขาก็ถูกทำลายครั้งที่สองด้วยความรักและเมตตาของโจวานนี่ ผู้เปรียบเสมือนพ่อบุญธรรม ด้วยความรู้เท่าไม่ถึง การขอให้ถอดหน้ากากกลับทำให้เอริกรู้สึกเหมือนถูกทรยศ จากนั้น เขาก็สูญสิ้นศรัทธาในความรักและความดีทั้งมวล
ช่วงเวลาที่เอริกไปอยู่ที่เปอร์เซียก็แต่งได้ดีน่าติดตามมากๆ เช่นกัน เนื้อเรื่องตอนนี้เป็นช่วงที่ทำให้เราเห็นรายละเอียดและที่มาที่ไปของสายสัมพันธ์ประหลาดระหว่างเอริกกับนาเดียร์ ชายชาวเปอร์เซียน สิ่งที่เราประทับใจในช่วงนี้คือ ประโยคที่แสดงความรู้สึกนึกคิดภายในของเอริกออกมา
"This face, which has denied me all human rights, also frees me of all obligation to the human race,"
หลังจากออกจากเปอร์เซีย ก็นำชีวิตเอริกกลับมาฝรั่งเศสอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็พบกับสิ่งดึงดูดใจ เอริกใช้เวลานับสิบปีหมกมุ่นอยู่กับการสร้างโรงละครโอเปร่า และได้แอบสร้างที่อยู่และทางลับใต้ดิน จนในที่สุด The Opera Ghost ก็ถือกำเนิดขึ้นที่นี่เอง
จนผ่านมาถึง 2/3 ของเรื่อง ในบทที่ 6 นี้เอง คือเรื่องราวของเอริกกับคริสตีน ใจความตอนนี้แหละที่เราคุ้นเคยกันดีจากละครและภาพยนตร์ ถูกนำมาเล่าใหม่ในมุมมองของเอริกสลับกับคริสตีน และแล้วหลังจากที่คิดว่า ผู้แต่งถ่ายทอดเรื่องราวของแฟนท่อมเวอร์ชันนี้ได้ดีมาตลอด เราก็เริ่มรู้สึกว่า นิยายเรื่องนี้ดร็อปลง ที่ผ่านมาผู้แต่งมีอิสระถ่ายทอดจินตนาการของตัวเองได้เต็มที่ เนื้อเรื่องมันก็ลื่นไหลดี แต่พอเข้าช่วงนี้มันมีเนื้อเรื่องบังคับอยู่แล้ว เราว่า ความรู้สึกมันขัดแย้งกัน
เคย์พยายามขับเน้นเรื่องความรักของเอริกและคริสตีนในเรื่อง ซึ่งเราว่าอารมณ์มันไม่ได้ เราไม่เชื่อว่าเอริกรักจริง ความรู้สึกของเขาเหมือนเป็นแค่ความคลั่งไคล้ใหลหลง บวกกับพลังผลักดันด้านมืดในใจ ถ้าเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่าความรัก คงทำให้ความหมายของคำนี้ด้อยค่าลง ในขณะที่ความรู้สึกของคริสตีนก็ไม่เป็นธรรมชาติสักนิด ฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้หลักๆ อาจจะดูเหมือนเรื่องในต้นฉบับ แต่พอตีความใหม่ เหมือนมันเป็นคนละเรื่องกันเลย ใจหนึ่งเราก็นับถือความกล้าหาญของผู้แต่งนะ ที่กล้าเล่าใหม่ในแบบของตัว แต่เราก็คิดว่ามันแปลกๆ อยู่ดี ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เปลี่ยนแล้วไม่ดีกว่าจะเปลี่ยนเรื่องทำไม ความหาญกล้าก็อาจจะดูล้ำเส้นเป็นความเหิมเกริม
และมาถึงบทสรุปสุดท้าย ถูกเล่าเรื่องผ่านมุมมองของราอูล คู่หมั้นหนุ่มผู้รักคริสตีน เป็นเรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 16 ปี แม้จะสั้นๆ ไม่ถึง 1/10 ของเรื่องแล้ว แต่บทนี้ทำความรู้สึกเราดิ่งวูบลงเลย ตอนที่อ่านเรื่องนี้ถึงกลางเล่ม เราประทับใจและชื่นชมนิยายเล่มนี้มากๆ คิดว่า พออ่านจบมีโอกาสที่อาจจะให้คะแนนความชอบถึง 9 เลย ถ้าที่ผ่านมาบทของเอริกทำให้เรารักเรื่องนี้ บทของคริสตีนในตอนจบสุดท้ายก็ทำลายความรู้สึกนั้น เราว่า เรื่องนี้จะจบได้แกรนด์โคตรๆ ถ้าจบด้วยโศกนาฏกรรมของเอริก ความคับแค้นความผิดหวัง และการยอมปลดปล่อยคริสตีนออกจากความรู้สึกอันเห็นแก่ตัวของเขา ควรจะถูกถ่ายทอดมาได้กินใจสุดๆ แต่ขอโทษเถอะ พอเปลี่ยนเรื่องให้เป็นอย่างนี้ ไม่ไหวค่ะ รับไม่ค่อยได้ เรื่องเสียหมดเลย
คือตอนจบ คริสตีนกลับมาหาเอริก และคริสตีนก็ยอมมีความสัมพันธ์ด้วย เพื่อแสดงให้รู้ว่าเธอรักและไม่รังเกียจเขา เมื่อเอริกตาย คริสตีนก็แต่งงานกับราอูล โดยอิดเอื้อนอยู่สักพัก คือรอให้ราอูลแน่ใจก่อนว่าจะยอมอภัยให้เธอได้จริง ต่อมาคริสตีนก็ท้อง คลอดลูกออกมาเป็นลูกของเอริก หน้าตาหล่อเหลา และมีพรสวรรค์ด้านดนตรี ราอูลก็กล้ำกลืนความขมขื่น รักเลี้ยงลูกอย่างดี คริสตีนอยู่กับราอูลอย่างมีความสุขตามอัตภาพ แต่ในใจก็ยังรักเอริกไม่เสื่อมคลายจนถึงวันตาย
ประเด็นเรื่องการนอกใจเป็นประเด็นที่เราถือสามาก ถ้าคุณคิดว่าตัวเองรักคนหนึ่ง แล้วจะยอมไปแต่งงานกับอีกคนทำไม ไม่ว่าชู้ทางใจ ชู้ทางกาย รับไม่ได้ทั้งนั้น ภาษาไทยใช้คำว่านอกใจ ฟังดูเป็นเรื่องของหัวใจดีนะ แต่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า cheat คุณโกง คุณไม่ซื่อ
ดีที่มันประเด็นเดียว และคริสตีนไม่ใช่หัวใจสำคัญของเรื่อง แต่ถ้าบทสุดท้ายยาวกว่านี้อีกหน่อย มันอาจลากความรู้สึกเราลงไปถึงระดับ 7 ได้ ลองไปอ่านความรู้สึกคนรีวิว Amazon เฉลี่ยนี่ได้ 5 ดาว แต่เราชอบที่พวกที่ให้ 1 ดาวบางคนเขียน ถึงจะไม่รู้สึกแรงเท่านั้น เพราะช่วงแรกมีความดีอยู่เยอะ แต่เราเข้าใจอารมณ์เขามากเลย การนอกใจมันไม่น่าใช่ความโรแมนติก ความรักไม่ใช่ข้ออ้างของการทำอะไรก็ได้
วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
บ่นเฉยๆ
คนไทยไม่ค่อยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ สถานการณ์มันถึงเป็นอย่างนี้
ไอ้ที่สอนในหนังสือเรียนมันไม่พอหรอก
ขี้เกียจพูดมาก
Update
แหม เกือบลบโพสต์นี้แล้ว ไม่ทันสังเกต เพราะตอนแรกเหลืออดก็อยากบ่นหน่อย กะจะบ่นสั้นๆ แล้วลบทิ้ง มี comment แล้ว ก็ไม่ลบแล้วกันนะคะ
จริงค่ะ คนไทยยังขาดอีกหลายอย่าง แต่ถ้าพูดแล้วคงยาว เลยไม่อยากพูดในบล็อกนี้
ขอ edit ตอบตรงหน้าโพสต์เลยนะคะ
คือฟังแปลกๆ หน่อย แต่เรามีปัญหากับการเข้าไป comment ในบล็อกตัวเองค่ะ
คงจะติดเรื่องการตั้งค่าอะไรสักอย่าง เวลาจะเขียนตอบเม้นท์แต่ละทีก็ต้องยุ่งยากนิดนึง เปลี่ยนเครื่อง เปลี่ยนเบราเซอร์
แหะ แหะ บางทีก็เลยไม่ค่อยได้ตอบ comment นะคะ
ไอ้ที่สอนในหนังสือเรียนมันไม่พอหรอก
ขี้เกียจพูดมาก
Update
แหม เกือบลบโพสต์นี้แล้ว ไม่ทันสังเกต เพราะตอนแรกเหลืออดก็อยากบ่นหน่อย กะจะบ่นสั้นๆ แล้วลบทิ้ง มี comment แล้ว ก็ไม่ลบแล้วกันนะคะ
จริงค่ะ คนไทยยังขาดอีกหลายอย่าง แต่ถ้าพูดแล้วคงยาว เลยไม่อยากพูดในบล็อกนี้
ขอ edit ตอบตรงหน้าโพสต์เลยนะคะ
คือฟังแปลกๆ หน่อย แต่เรามีปัญหากับการเข้าไป comment ในบล็อกตัวเองค่ะ
คงจะติดเรื่องการตั้งค่าอะไรสักอย่าง เวลาจะเขียนตอบเม้นท์แต่ละทีก็ต้องยุ่งยากนิดนึง เปลี่ยนเครื่อง เปลี่ยนเบราเซอร์
แหะ แหะ บางทีก็เลยไม่ค่อยได้ตอบ comment นะคะ
Star Wars Year by Year & Harry Potter Film Wizardry
เมื่อหลายปีก่อน เราเคยมีความปรารถนาอยู่สามอย่าง ที่คิดว่าถ้าไม่สมหวังคงนอนตายตาไม่หลับ
1. ได้อ่าน Harry Potter ครบ 7 เล่ม
2. ได้ดู Star Wars ครบ 6 ภาค
3. ได้เห็น Liverpool คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
สั่งเสียกับน้องชายไว้ว่า เนี่ย ชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอน จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ เกิดจู่ๆ ถ้าชั้นตายไปก่อนสามข้อนี้เกิด ถ้าหนังสือออกมาให้เผาส่งไปให้อ่าน หนังออกมาให้ซื้อแผ่นเผาไปให้ดู ถ้าได้แชมป์เมื่อไหร่ก็จงจุดธูปบอก หรือทำบุญผ้าพันคอทีม หรือเผาโปสเตอร์ฉลองแชมป์ส่งไปให้ด้วยนะ นั่นเป็นความคิดของคนวัย 20s ที่ชีวิตยังไม่ค่อยมีอะไรให้คิดถึงมาก ก็เลยฟังดูออกจะไร้สาระ นึกย้อนแล้วก็ว่า เรานี่โคตรบ้า สองข้อแรกนี่สมปรารถนาไปแล้ว ส่วนข้อสามอาจจะตายก่อนจริงๆ รอมา 20 ปีแล้ว 55 เอาน่ะ คนมันรักไปแล้ว ยังไงก็รักแล้วรักเลย ไม่มีทางเปลี่ยนใจได้ มีหน้าที่ติดตามกันต่อไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ ร้าน Asia Books มีโปรโมชั่นลดราคาหนังสือ 20% ก็เลยคว้าสองเล่มนี้มา นี่เป็นหนังสือเกี่ยวกับภาพยนตร์ Star Wars เล่มที่ 23 ของเรา มีไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ คัดเอาแต่เล่มที่อยากได้จริงๆ เพราะถ้าซื้อหมดที่มีออกมาอาจหมดตัวได้ ส่วน Harry Potter ธรรมดาตามเก็บแต่นิยาย ฉบับไทย, US, UK ปกแข็ง ปกอ่อน เล่ม Film Wizardry นี่เป็นเล่มแรกในคอลเลคชันที่เกี่ยวกับหนัง เพราะจริงๆ เราว่า หนังเทียบหนังสือไม่ได้เลย แต่ที่ซื้อมาคราวนี้คุ้มมาก หนังสือทั้งสองเล่มสวยสุดๆ ปกแข็งเล่มใหญ่ รูปภาพข้างในสวย และมีเกร็ดเบื้องหลังน่าสนใจเยอะ นั่งเปิดไปเปิดมาทั้งวัน เป็นปลื้มจัง
วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Extras - Scott Westerfeld
คะแนน : 8.5
สนุกมากๆ เกินความคาดหมาย ชอบเรื่องนี้มากกว่าไตรภาค Uglies เดิมซะอีก เรื่อง Uglies กำลังสร้างเป็นหนัง สามเล่มแรกนี่มีแปลไทยไปหมดแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าเล่มนี้มีแปลรึยัง ใน Extras เป็นเหตุการณ์ภายหลังการปฏิวัติโลกของแทลลี่ ยังบลัด ผ่านมาสามปี นครต่างๆ ทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง
ในเมืองที่เป็นฉากของเล่มนี้ เป็นเมืองญี่ปุ่น ไม่มีการแบ่งแยกพวกพริตตี้กับอั๊กลี่อีกต่อไป แต่กลับเกิดการแบ่งชนชั้นแบบใหม่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า Reputation Economy ทุกๆ คนจะมี Face Rank ของตนเอง ผู้ที่มีชื่อเสียงมากอยู่ในลำดับต้นๆ ก็จะได้สิทธิพิเศษมากตามไปด้วย แต่ละคนก็จะต้องพยายามทำให้ชื่อของตัวเองถูกคนอื่นพูดถึงเยอะๆ ตัวเอกในเล่มนี้คือ อายะ เด็กสาวอายุ 15 ปี ที่ตอนนี้อันดับ Face Rank อยู่ที่สี่แสนกว่า อายะจังก็อยากเด่นอยากดังเหมือนคนอื่น ไปไหนต่อไหนก็มีกล้องโฮเวอร์แคมบินตามเพื่อถ่ายวิดีโอ พยายามจะเป็นนักข่าวสมัครเล่น หาเรื่องน่าสนใจมาลง Feed ตัวเอง เพื่อให้มีคนลิงก์ต่อไปเยอะๆ ภาคออริจินอลเล่นเรื่องความบ้ารูปร่างหน้าตา เล่มนี้เล่นความบ้าชื่อเสียง ไอเดียจากกระแสเว็บแนว Social Network กับพวก Page Rank ของ google
ภาคที่แล้วมีตัวร้ายชัดเจน มันก็เลยพอจะดูทิศทางการดำเนินเรื่องออก แต่ Extras ต่างไป เล่มนี้เดาทางไม่ถูกเลย ไม่รู้จะเป็นเรื่องแนวไหน ตอนเริ่มอ่านก็รู้สึกว่าน่าสนใจตั้งแต่เริ่มแล้วล่ะ แต่ช่วงต้นๆ ก็ยังนึกว่า เพราะผิดหวังมาจาก Lady of Quality ที่เอามาคั่นจังหวะการอ่านชุดนี้เพื่อเบรกอารมณ์จะได้ไม่เบื่อ เอาเรื่องไหนมาอ่านต่อ มันก็คงรู้สึกสนุกขึ้นทั้งนั้นแหละ แต่ไม่ใช่อย่างนั้น เล่มนี้สนุกจริงๆ มีแอกชั่นลุ้นหลายที โดยเฉพาะฉากที่ถึงก่อนบทชื่อ SHAFTED ทำเอาหัวใจกระตุกวูบ ลุ้นมาก ฉากไล่ล่าด้วยโฮเวอร์บอร์ดก็สนุก ไม่อยากพูดถึงเนื้อเรื่องเยอะกว่านี้ เพราะมันมีจุดหักเหพลิกไปพลิกมาหลายที สนุกมากๆ เลย แต่ไอ้ตอนพลิกช่วงสุดท้ายตอนจบทำเอากร่อยไปหน่อย แหม มันบิลท์เรื่องมาซะดี กำลังรู้สึกลุ้นมันส์ๆ ดันกลายเป็นอย่างนั้นซะได้
เห็นรีวิว Amazon เรื่องนี้ได้ดาวน้อยลงกว่าเล่มอื่นในซีรีส์หน่อย เพราะเรื่องมันไม่ค่อยเหมือนกัน มีคนบ่นว่า ไม่ชอบที่ตัวเอกไม่ใช่คนเดิม เรากลับตรงกันข้ามเลย เราชอบอายะ รู้สึกว่าอายะตลกดี ทำไมถึงใช้คำว่าตลกก็ไม่รู้ อายะไม่ได้พูดเรื่องโจ๊กหรือเป็นเด็กติงต๊องเลย เวลาคุยกับพี่ชาย ชื่อฮิโระ ก็เถียงกันซะเยอะ จริงๆ พฤติกรรมก็คล้ายแทลลี่น่ะแหละ แต่เรารู้สึกว่า อายะเป็นเด็กๆ กว่า ดูจริงใจ ตรงไปตรงมา ไร้สาระแบบเด็กๆ ก็เลยขำๆ มั้ง มีการตั้งชื่อโฮเวอร์แคมตัวเองด้วย ชื่อ Moggle ชอบไอ้กล้องบินขนาดเท่าลูกฟุตบอลตัวนี้แฮะ รู้สึกมันน่ารักดี อารมณ์คล้ายชอบ R2-D2 และเราชอบบทของแทลลี่ในเล่มนี้มากกว่าแทลลี่ในเรื่องของตัวเองซะอีก แนวๆ ดี อายะเรียกแทลลี่ว่า แทลลี่-ซามะ ท่านแทลลี่ ฮ่าฮ่า
สนุกมากๆ เกินความคาดหมาย ชอบเรื่องนี้มากกว่าไตรภาค Uglies เดิมซะอีก เรื่อง Uglies กำลังสร้างเป็นหนัง สามเล่มแรกนี่มีแปลไทยไปหมดแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าเล่มนี้มีแปลรึยัง ใน Extras เป็นเหตุการณ์ภายหลังการปฏิวัติโลกของแทลลี่ ยังบลัด ผ่านมาสามปี นครต่างๆ ทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง
ในเมืองที่เป็นฉากของเล่มนี้ เป็นเมืองญี่ปุ่น ไม่มีการแบ่งแยกพวกพริตตี้กับอั๊กลี่อีกต่อไป แต่กลับเกิดการแบ่งชนชั้นแบบใหม่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า Reputation Economy ทุกๆ คนจะมี Face Rank ของตนเอง ผู้ที่มีชื่อเสียงมากอยู่ในลำดับต้นๆ ก็จะได้สิทธิพิเศษมากตามไปด้วย แต่ละคนก็จะต้องพยายามทำให้ชื่อของตัวเองถูกคนอื่นพูดถึงเยอะๆ ตัวเอกในเล่มนี้คือ อายะ เด็กสาวอายุ 15 ปี ที่ตอนนี้อันดับ Face Rank อยู่ที่สี่แสนกว่า อายะจังก็อยากเด่นอยากดังเหมือนคนอื่น ไปไหนต่อไหนก็มีกล้องโฮเวอร์แคมบินตามเพื่อถ่ายวิดีโอ พยายามจะเป็นนักข่าวสมัครเล่น หาเรื่องน่าสนใจมาลง Feed ตัวเอง เพื่อให้มีคนลิงก์ต่อไปเยอะๆ ภาคออริจินอลเล่นเรื่องความบ้ารูปร่างหน้าตา เล่มนี้เล่นความบ้าชื่อเสียง ไอเดียจากกระแสเว็บแนว Social Network กับพวก Page Rank ของ google
ภาคที่แล้วมีตัวร้ายชัดเจน มันก็เลยพอจะดูทิศทางการดำเนินเรื่องออก แต่ Extras ต่างไป เล่มนี้เดาทางไม่ถูกเลย ไม่รู้จะเป็นเรื่องแนวไหน ตอนเริ่มอ่านก็รู้สึกว่าน่าสนใจตั้งแต่เริ่มแล้วล่ะ แต่ช่วงต้นๆ ก็ยังนึกว่า เพราะผิดหวังมาจาก Lady of Quality ที่เอามาคั่นจังหวะการอ่านชุดนี้เพื่อเบรกอารมณ์จะได้ไม่เบื่อ เอาเรื่องไหนมาอ่านต่อ มันก็คงรู้สึกสนุกขึ้นทั้งนั้นแหละ แต่ไม่ใช่อย่างนั้น เล่มนี้สนุกจริงๆ มีแอกชั่นลุ้นหลายที โดยเฉพาะฉากที่ถึงก่อนบทชื่อ SHAFTED ทำเอาหัวใจกระตุกวูบ ลุ้นมาก ฉากไล่ล่าด้วยโฮเวอร์บอร์ดก็สนุก ไม่อยากพูดถึงเนื้อเรื่องเยอะกว่านี้ เพราะมันมีจุดหักเหพลิกไปพลิกมาหลายที สนุกมากๆ เลย แต่ไอ้ตอนพลิกช่วงสุดท้ายตอนจบทำเอากร่อยไปหน่อย แหม มันบิลท์เรื่องมาซะดี กำลังรู้สึกลุ้นมันส์ๆ ดันกลายเป็นอย่างนั้นซะได้
เห็นรีวิว Amazon เรื่องนี้ได้ดาวน้อยลงกว่าเล่มอื่นในซีรีส์หน่อย เพราะเรื่องมันไม่ค่อยเหมือนกัน มีคนบ่นว่า ไม่ชอบที่ตัวเอกไม่ใช่คนเดิม เรากลับตรงกันข้ามเลย เราชอบอายะ รู้สึกว่าอายะตลกดี ทำไมถึงใช้คำว่าตลกก็ไม่รู้ อายะไม่ได้พูดเรื่องโจ๊กหรือเป็นเด็กติงต๊องเลย เวลาคุยกับพี่ชาย ชื่อฮิโระ ก็เถียงกันซะเยอะ จริงๆ พฤติกรรมก็คล้ายแทลลี่น่ะแหละ แต่เรารู้สึกว่า อายะเป็นเด็กๆ กว่า ดูจริงใจ ตรงไปตรงมา ไร้สาระแบบเด็กๆ ก็เลยขำๆ มั้ง มีการตั้งชื่อโฮเวอร์แคมตัวเองด้วย ชื่อ Moggle ชอบไอ้กล้องบินขนาดเท่าลูกฟุตบอลตัวนี้แฮะ รู้สึกมันน่ารักดี อารมณ์คล้ายชอบ R2-D2 และเราชอบบทของแทลลี่ในเล่มนี้มากกว่าแทลลี่ในเรื่องของตัวเองซะอีก แนวๆ ดี อายะเรียกแทลลี่ว่า แทลลี่-ซามะ ท่านแทลลี่ ฮ่าฮ่า
วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Lady of Quality - Georgette Heyer
คะแนน : 6.5
โดยรวม Georgette Heyer เป็นนักเขียนที่เราชอบนะ มีหลายเรื่องของเธอที่เราชอบเอามากๆ แต่ก็มีหลายเรื่องเหมือนกันที่ไม่ใช่แนวเรา อย่างพวกที่มีนางเอกเก่งกล้า ทำตัวแหวกแนว แบบ Frederica, The Grand Sophy พวกนี้ก็โอเค แต่อ่านแล้วก็ยังไม่ได้ประทับใจอะไรมาก แต่เพราะอยากจะไล่อ่านงานของเธอไปเรื่อยๆ ด้วยความหวังว่าอาจจะเจอเรื่องที่ทำให้เราชอบมากๆ อีก ยังขี้เกียจกับ An Infamous Army (เรื่องต่อจาก Devil’s Cub) อยู่ดี ก็เลยลองเรื่องอื่นก่อน มาลงเล่มนี้ เห็นได้รีวิวมาดี Lady of Quality นิยายโรแมนซ์เรื่องสุดท้ายที่ตีพิมพ์ก่อน Heyer เสียชีวิต ไม่นับ My Lord John
อ่านเล่มนี้จบแล้วรู้สึกสมน้ำหน้าตัวเองเล็กน้อย เพราะสังหรณ์ใจไว้ก่อนแล้วว่าอาจจะไม่ค่อยชอบเรื่องนี้ เหมือนเราไม่ค่อยชอบงานที่ออกมาช่วงปีหลังๆ ของเธอ และจากความรู้สึกว่า เรื่องมันมีอะไรคล้ายๆ Venetia ซึ่งเป็นเรื่องของ Heyer ที่เราไม่ชอบเอาซะเลย แล้วมันก็เป็นจริงจนได้ ถึงจะไม่แย่เท่าเรื่องนั้น แต่มันก็เป็นอีกเล่มที่แป้กมาก
นางเอก มิสแอนนิส วิชวูด เป็นสาวสวยรวยเสน่ห์ฐานะดีมีตระกูล ที่อยู่เป็นโสดไม่ยอมแต่งงานมาจนอายุ 29 ปี เพราะไม่ถูกใจใคร ด้วยความอยากได้อิสระ ตอนนี้เธอจึงขอแยกตัวออกจากบ้านพี่ชาย มาอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองที่เมืองบาธ ระหว่างทางพบเด็กสาวหนีออกจากบ้าน แอนนิสก็เลยรับมาพักอยู่ด้วยก่อน เด็กสาววัย 17 คนนั้นเป็นหลานสาวของพระเอก มิสเตอร์โอลิเวอร์ คาร์ลตัน มหาเศรษฐีเสเพลที่ไม่ยอมแต่งงานซะทีเหมือนกัน พระเอกก็เลยมาตามหลานที่บ้านนางเอกก็เลยเจอกัน พูดแค่นี้ที่เหลือก็รู้เรื่องหมดแล้วล่ะ
การอ่านนิยายที่เรื่องมันเป็นไปตามสูตรมากๆ แบบนี้ เราไม่ได้คาดหวังอะไรกับเนื้อเรื่อง แค่อยากได้ตัวละครที่น่ารัก บทสนทนาที่อ่านแล้วสนุก แต่เพราะตัวเอกเรื่องนี้ไม่ใช่แบบที่ชอบ พระเอกแก่ ปากเสีย นางเอกหัวแข็ง ปากกล้า ตัวละครประกอบน่ารำคาญทุกคน นิยายที่มันไม่ค่อยมีเนื้อเรื่อง แต่ดำเนินเรื่องด้วยการอ่านตัวละครคุยกันนี่ พอไม่ชอบตัวละคร มันก็จบค่ะ เล่มนี้ก็ไม่เหลืออะไรน่าสนใจให้อ่านเลย อ่านด้วยความรู้สึกเบื่อมาก อ่านแล้วรู้สึกไม่ได้อะไร เสียเวลาอ่านทำไมไม่รู้
เวลาอ่านเจอเรื่องที่ไร้ความหมายหลายๆ ทีเข้า บางทีก็เซ็งเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยหยุดอ่านนิยายได้เลย ยังไม่ทันอ่านเรื่องนี้จบ ก็คิดแล้วว่าจะอ่านเรื่องไหนต่อดี มีเวลาก็อยากหยิบเล่มใหม่มาอ่านไปเรื่อยๆ เพราะถ้าไม่หยิบมาอ่านก็ไม่รู้ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ มันเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการอ่าน เหมือนเป็นขั้นตอนหนึ่งในความพยายามเดินทางเพื่อค้นหาเรื่องที่จะทำให้เราชอบ อ่านต่อไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้เจอเรื่องที่เราอ่านแล้วมีความสุข และจะได้มาเป็นคำตอบว่าทำไมเราถึงรักการอ่าน
โดยรวม Georgette Heyer เป็นนักเขียนที่เราชอบนะ มีหลายเรื่องของเธอที่เราชอบเอามากๆ แต่ก็มีหลายเรื่องเหมือนกันที่ไม่ใช่แนวเรา อย่างพวกที่มีนางเอกเก่งกล้า ทำตัวแหวกแนว แบบ Frederica, The Grand Sophy พวกนี้ก็โอเค แต่อ่านแล้วก็ยังไม่ได้ประทับใจอะไรมาก แต่เพราะอยากจะไล่อ่านงานของเธอไปเรื่อยๆ ด้วยความหวังว่าอาจจะเจอเรื่องที่ทำให้เราชอบมากๆ อีก ยังขี้เกียจกับ An Infamous Army (เรื่องต่อจาก Devil’s Cub) อยู่ดี ก็เลยลองเรื่องอื่นก่อน มาลงเล่มนี้ เห็นได้รีวิวมาดี Lady of Quality นิยายโรแมนซ์เรื่องสุดท้ายที่ตีพิมพ์ก่อน Heyer เสียชีวิต ไม่นับ My Lord John
อ่านเล่มนี้จบแล้วรู้สึกสมน้ำหน้าตัวเองเล็กน้อย เพราะสังหรณ์ใจไว้ก่อนแล้วว่าอาจจะไม่ค่อยชอบเรื่องนี้ เหมือนเราไม่ค่อยชอบงานที่ออกมาช่วงปีหลังๆ ของเธอ และจากความรู้สึกว่า เรื่องมันมีอะไรคล้ายๆ Venetia ซึ่งเป็นเรื่องของ Heyer ที่เราไม่ชอบเอาซะเลย แล้วมันก็เป็นจริงจนได้ ถึงจะไม่แย่เท่าเรื่องนั้น แต่มันก็เป็นอีกเล่มที่แป้กมาก
นางเอก มิสแอนนิส วิชวูด เป็นสาวสวยรวยเสน่ห์ฐานะดีมีตระกูล ที่อยู่เป็นโสดไม่ยอมแต่งงานมาจนอายุ 29 ปี เพราะไม่ถูกใจใคร ด้วยความอยากได้อิสระ ตอนนี้เธอจึงขอแยกตัวออกจากบ้านพี่ชาย มาอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองที่เมืองบาธ ระหว่างทางพบเด็กสาวหนีออกจากบ้าน แอนนิสก็เลยรับมาพักอยู่ด้วยก่อน เด็กสาววัย 17 คนนั้นเป็นหลานสาวของพระเอก มิสเตอร์โอลิเวอร์ คาร์ลตัน มหาเศรษฐีเสเพลที่ไม่ยอมแต่งงานซะทีเหมือนกัน พระเอกก็เลยมาตามหลานที่บ้านนางเอกก็เลยเจอกัน พูดแค่นี้ที่เหลือก็รู้เรื่องหมดแล้วล่ะ
การอ่านนิยายที่เรื่องมันเป็นไปตามสูตรมากๆ แบบนี้ เราไม่ได้คาดหวังอะไรกับเนื้อเรื่อง แค่อยากได้ตัวละครที่น่ารัก บทสนทนาที่อ่านแล้วสนุก แต่เพราะตัวเอกเรื่องนี้ไม่ใช่แบบที่ชอบ พระเอกแก่ ปากเสีย นางเอกหัวแข็ง ปากกล้า ตัวละครประกอบน่ารำคาญทุกคน นิยายที่มันไม่ค่อยมีเนื้อเรื่อง แต่ดำเนินเรื่องด้วยการอ่านตัวละครคุยกันนี่ พอไม่ชอบตัวละคร มันก็จบค่ะ เล่มนี้ก็ไม่เหลืออะไรน่าสนใจให้อ่านเลย อ่านด้วยความรู้สึกเบื่อมาก อ่านแล้วรู้สึกไม่ได้อะไร เสียเวลาอ่านทำไมไม่รู้
เวลาอ่านเจอเรื่องที่ไร้ความหมายหลายๆ ทีเข้า บางทีก็เซ็งเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยหยุดอ่านนิยายได้เลย ยังไม่ทันอ่านเรื่องนี้จบ ก็คิดแล้วว่าจะอ่านเรื่องไหนต่อดี มีเวลาก็อยากหยิบเล่มใหม่มาอ่านไปเรื่อยๆ เพราะถ้าไม่หยิบมาอ่านก็ไม่รู้ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ มันเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการอ่าน เหมือนเป็นขั้นตอนหนึ่งในความพยายามเดินทางเพื่อค้นหาเรื่องที่จะทำให้เราชอบ อ่านต่อไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้เจอเรื่องที่เราอ่านแล้วมีความสุข และจะได้มาเป็นคำตอบว่าทำไมเราถึงรักการอ่าน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)