คะแนน : 7
ไปอบรมมา 3 วัน อบๆ รมๆ ไปเรื่อยๆ สุกไม่ได้ที่ซะที ^_^ เพราะไปเดือนมีนา คนวางโปรแกรมเลยพาไปทะเลใกล้ๆ ปรากฏว่า อากาศเย็นกว่าเดือนธันวาซะอีก ลมพัดมาที บรื๊อว อากาศปีนี้แปรปรวนจริงๆ
หลังๆ อ่านนิยายโรแมนซ์ย้อนยุคไม่ค่อยเจอเรื่องถูกใจ ยังไม่เจอนักเขียนคนอื่นที่ชอบเพิ่มสักที ไม่รู้ว่าถึงจุดอิ่มตัวกับแนวนี้รึยัง หน้าปกเล่มนี้วาบหวิวไปหน่อย แต่ข้างในก็ไม่เท่าไหร่ จริงๆ ไม่ค่อยชอบปกแบบนี้ จำได้ว่าเคยซื้อเรื่อง Devil's Mistress - Heather Graham (เป็นเรื่องที่ชอบมากระดับ 9 เลยนะ แต่ปกมันเร่าร้อนไปหน่อย) ตอนนั้นอยู่กับเพื่อน (ที่ไม่ซี้เท่าไหร่) เจอมันเผาซะอาย พยายามบอกว่าข้างในมันไม่ได้มีแต่ฉากอย่างนั้นนะ ก็ไม่พ้นข้อหาอ่านหนังสือโป๊อยู่ดี ง่ะ วันหลังเลยต้องซื้อตอนอยู่คนเดียว ขี้เกียจแก้ตัว ยังไม่มั่นพอจะทำตัวไม่แคร์สื่อ แต่ก็รู้สึกหน่อยๆ ว่า ทำไมฉันต้องทำเหมือนหลบๆ ซ่อนๆ ลับๆ ล่อๆ ด้วยวะเนี่ย ไม่ได้ทำผิดคิดร้ายใครซะหน่อย แต่มันก็ห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้ ทำไงได้
เรื่องนี้ได้เกรด A จากเว็บ AAR มา เป็นนักเขียนที่ไม่เคยอ่าน แต่ก็เขียนเล่มนี้มาเป็นเล่มที่สิบแล้ว น่าจะโอเคมั้ง ลองดู นางเอกคือ ชาร์ล็อตต์ แชตเวิร์ธ เป็นสาวสวย ที่ครอบครัวอยู่ในสภาพใกล้ล้มละลาย เพราะพ่อติดพนัน วันหนึ่งพ่อของเธอไปเล่นไพ่ และถูกยุให้วางตัวเธอเป็นเดิมพัน และในที่สุดก็แพ้พนันแก่โรมัน เมอร์ริค เจ้าของบ่อน แต่เมื่อชาร์ล็อตต์มาใช้หนี้ โรมันก็ท้าพนันต่อ เพราะสำหรับเขาและเธอ เวลาค่ำคืนเดียวนั้นไม่พอ
อย่างที่บอก จริงๆ เรื่องนี้ฉากเลิฟซีนไม่ได้มาก สองฉากสามหน้าเองมั้ง ครึ่งเล่มแรกนี่เน้นการสร้าง sexual tension มากกว่า แต่ก็คุๆ ใช้ได้เลย ถ่านไฟแดงวาบเชียว นางเอกเป็นเจ้าหญิงน้ำแข็ง มาเจอนายบ่อนรูปหล่อ ลูกล่อลูกชนเพียบ ก็ละลายแหละ แต่หลังจากที่ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันแล้ว เรื่องก็เอื่อยไป ไม่มีจุดหมาย พล็อตค่อนข้างอ่อน ติดปัญหาที่พระเอกไม่ใช่คนชั้นสูงอย่างเดียว ไม่มีเนื้อเรื่องอะไร ตัวละครพอโอเค แต่มิติความลึกยังไม่ได้ โดยรวมๆ มันก็แค่เรื่องอ่านเพลินๆ ถ้าไม่เขียนเรื่องย่อไว้ตรงนี้ ผ่านไปหน่อยก็อาจจะลืมเรื่องหมดด้วยซ้ำ
วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554
เรื่องเล่าจากร่างกาย - ชัชพล เกียรติขจรธาดา
ได้อะไรมาจากงานหนังสือฯ กันบ้างคะ ของเรายังได้ไม่เยอะเท่าไหร่ เดี๋ยวค่อยไปเก็บอีกรอบอาทิตย์หน้า ในงานเราไม่ค่อยเน้นซื้อนิยาย ส่วนใหญ่จะไปเก็บ non-fic จากบูธสารคดี มติชน ฯ มากกว่า The Genius of China หนังสือสวยดี สอยมาแล้ว ส่วนแนวประวัติย่อ... + อวกาศ ทั้งหลายนี่ อ่านรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง แต่ก็ชอบซื้อ ^_^
ปกติไม่ค่อยเขียนบล็อกถึงหนังสือแนวนี้ เพราะไม่รู้จะเขียนอะไรน่ะค่ะ ทุกเล่มก็คงจะประมาณว่า น่าสนใจ สนุกดี ได้รู้อะไรไม่เคยรู้ อารมณ์เดียวกันหมด แต่รอบนี้มีเล่มหนึ่งที่ซื้อมาแล้ว หยิบมาอ่านก่อนเล่มแรก เพราะชอบตั้งแต่ตอนไปพลิกๆ ดูไม่กี่หน้าแล้วก็ซื้อที่บูธอมรินทร์ "เรื่องเล่าจากร่างกาย" ของคุณหมอชัชพล เป็นหนังสือสาระที่อ่านสนุกจริงๆ เล่าเรื่องร่างกายเราให้ฟังเข้าใจง่าย ทั้งๆ ที่มีรายละเอียดเนื้อหาเยอะ เล่ามาตั้งแต่วิวัฒนาการดึกดำบรรพ์ แต่ก็ตัดบทย่อยๆ เป็นเรื่องๆ อ่านง่ายดี ขนาดเราเคยอ่านหลายเรื่องที่เนื้อหาคล้ายๆ กันจากหนังสือภาษาอังกฤษ ประมาณพวกหนังสือ Why Is Sex Fun? และเล่มอื่นๆ ทำนองนั้นมาแล้ว ทั้งที่บางเรื่องรู้แล้วมาอ่านอีกก็ยังชอบในเล่มนี้มากกว่า มีเนื้อหารวมครอบคลุม และเรียบเรียงให้อ่านได้อรรถรสดี มีแทรกมุกฮาให้อ่านแล้วขำก๊ากตั้งหลายที ที่เราชอบคนหล่อคนสวยเพราะสมองเรายังอยู่ในยุคหินนะ ฮ่าฮ่า ^_^ โดยเฉพาะบทที่พูดเรื่องความเครียด ย่อหน้าที่พูดเรื่องสมอง ชอบมากขนาดที่โทร.ไปอ่านตอนนี้ให้เพื่อนฟังเลยนะเนี่ย
“เมื่อสมองของคนวิวัฒนาการมาจนถึงขั้นที่ทำให้เราจำอดีตได้ดีหรือคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้ เราก็มีความสามารถที่จะเรียนรู้อดีตและวางแผนสำหรับอนาคตได้ แต่ความสามารถนี้ก็เหมือนดาบสองคมภายใต้สิ่งแวดล้อมปัจจุบัน เรามีความสามารถจดจำเรื่องราวความแค้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ที่นึกขึ้นมาทีไรก็ยังเจ็บใจอยู่ร่ำไป เราสามารถที่จะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์สบายๆ บนโซฟานุ่มๆ แล้วเครียดกับปัญหาการเมือง เรากังวลว่าจะมีเงินส่งลูกคนที่สองไปเรียนต่างประเทศหรือไม่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงเรายังหาแฟนไม่ได้ (และอาจจะไม่เกิดด้วยซ้ำไปถ้ายังหาแฟนไม่ได้) ในทางตรงกันข้ามหมีแพนด้าไม่เคยต้องมากังวลกับเงินออมเพื่อใช้ในยามเกษียณเพราะมันไม่มีความสามารถที่จะคิดถึงอนาคตได้......”
ขำกลิ้งตรงหมีแพนด้า เพื่อนเราฟังแล้วหัวเราะลั่นเลย ชอบหนังสือเล่มนี้มากๆ เลย (สมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทำงาน)
วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554
Cloaked - Alex Flinn
คะแนน : 6.5
เพราะดูหนัง Beastly ก็เลยนึกถึง Alex Flinn ขึ้นมาอีกครั้ง ก็ลองดูอีกสักเรื่อง กับนิยาย YA ที่ดัดแปลงมาจากเทพนิยาย ในเล่มนี้คือเรื่องของ จอห์นนี่ เป็นนายตัวห่วย ที่ไม่ขั้นเทพด้วย (นอกเรื่องนิดนึง Suck Seed สนุกดีนะคะ หัวเราะจนน้ำตาไหลหลายฉากเลย ฉากซึ้งก็ดี) เขาเป็นเด็กหนุ่มยากจน ช่วยงานที่บ้านเป็นช่างซ่อมรองเท้าในโรงแรมที่ฟลอริด้า วันหนึ่งมีเจ้าหญิงจากยุโรปมาพัก และขอร้องให้เขาช่วยตามหาพี่ชายที่ถูกสาปให้กลายเป็นกบ พร้อมกับมอบผ้าคลุมกายสิทธิ์ให้ ถ้าทำสำเร็จ เจ้าหญิงจะยอมแต่งงานด้วย จอห์นนี่กับเม็ก เพื่อนผู้หญิงที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยออกผจญภัยตามหาเจ้าชาย เจอหงส์ที่เป็นคนถูกสาป ตามหานกในกรงทองให้หมาจิ้งจอกพูดได้ ไปเจอแม่มดตามล่า สู้กับยักษ์ มีเอลฟ์ช่วยทำรองเท้า ฯลฯ
ใน Cloaked ไม่ได้เอามาจากนิทานเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ผสมปนเปกันมาหลายเรื่องมาก ก็เลยรู้สึกมั่วน่าดู แถมเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดังอีก ตอนอ่านก็จะรู้สึกรำคาญใจนิดหน่อย นั่งนึกว่าฉากนั้นฉากนี้มาจากเรื่องอะไร แต่ก็นึกไม่ออกหรอก จนครึ่งเรื่องก็หมดความสนใจว่ามันมาจากเรื่องอะไรบ้าง อ่านๆ ไปให้จบงั้นแหละ ไม่สนุก เรื่องกระโดดไปมา แล้วก็อ่อนเหตุผล ตอนเป็นเด็กอ่านนิทานอาจจะไม่รำคาญ แต่โตแล้วมาอ่านอะไรแบบที่ตัวละครในนิทานทำโง่ๆ ก็รู้สึกรับไม่ค่อยได้ อย่างที่เวลามีคนหรือสัตว์พูดได้เตือนว่าอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อีตาพระเอกก็ยังทำ อ่อนใจจริงๆ ไม่ไหว~ เป็นคนยุคปัจจุบันแต่ทำตัวไม่รู้ความ พระเอกอายุ 17 หรือ 7 ขวบเนี่ย เฮ้อ งั้นๆ มากเลยเรื่องนี้
เพราะดูหนัง Beastly ก็เลยนึกถึง Alex Flinn ขึ้นมาอีกครั้ง ก็ลองดูอีกสักเรื่อง กับนิยาย YA ที่ดัดแปลงมาจากเทพนิยาย ในเล่มนี้คือเรื่องของ จอห์นนี่ เป็นนายตัวห่วย ที่ไม่ขั้นเทพด้วย (นอกเรื่องนิดนึง Suck Seed สนุกดีนะคะ หัวเราะจนน้ำตาไหลหลายฉากเลย ฉากซึ้งก็ดี) เขาเป็นเด็กหนุ่มยากจน ช่วยงานที่บ้านเป็นช่างซ่อมรองเท้าในโรงแรมที่ฟลอริด้า วันหนึ่งมีเจ้าหญิงจากยุโรปมาพัก และขอร้องให้เขาช่วยตามหาพี่ชายที่ถูกสาปให้กลายเป็นกบ พร้อมกับมอบผ้าคลุมกายสิทธิ์ให้ ถ้าทำสำเร็จ เจ้าหญิงจะยอมแต่งงานด้วย จอห์นนี่กับเม็ก เพื่อนผู้หญิงที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยออกผจญภัยตามหาเจ้าชาย เจอหงส์ที่เป็นคนถูกสาป ตามหานกในกรงทองให้หมาจิ้งจอกพูดได้ ไปเจอแม่มดตามล่า สู้กับยักษ์ มีเอลฟ์ช่วยทำรองเท้า ฯลฯ
ใน Cloaked ไม่ได้เอามาจากนิทานเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ผสมปนเปกันมาหลายเรื่องมาก ก็เลยรู้สึกมั่วน่าดู แถมเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดังอีก ตอนอ่านก็จะรู้สึกรำคาญใจนิดหน่อย นั่งนึกว่าฉากนั้นฉากนี้มาจากเรื่องอะไร แต่ก็นึกไม่ออกหรอก จนครึ่งเรื่องก็หมดความสนใจว่ามันมาจากเรื่องอะไรบ้าง อ่านๆ ไปให้จบงั้นแหละ ไม่สนุก เรื่องกระโดดไปมา แล้วก็อ่อนเหตุผล ตอนเป็นเด็กอ่านนิทานอาจจะไม่รำคาญ แต่โตแล้วมาอ่านอะไรแบบที่ตัวละครในนิทานทำโง่ๆ ก็รู้สึกรับไม่ค่อยได้ อย่างที่เวลามีคนหรือสัตว์พูดได้เตือนว่าอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อีตาพระเอกก็ยังทำ อ่อนใจจริงๆ ไม่ไหว~ เป็นคนยุคปัจจุบันแต่ทำตัวไม่รู้ความ พระเอกอายุ 17 หรือ 7 ขวบเนี่ย เฮ้อ งั้นๆ มากเลยเรื่องนี้
วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554
A Gathering Light - Jennifer Donnelly
คะแนน : 8.25
นี่เป็นนิยายเล่มแรกของ Jennifer Donnelly ที่ได้แรงบันดาลใจจากคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจริงเมื่อร้อยปีก่อน เป็นเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งชื่อแมตตี้ ที่ทำงานอยู่ในโรงแรม วันหนึ่งมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งถูกนำขึ้นจากทะเลสาบ ก่อนตายเธอผู้นั้นฝากจดหมายให้แมตตี้เอาไปเผา เมื่อแมตตี้ค่อยๆ อ่านจดหมายพวกนั้น ก็ทำให้เธอคิดถึงเรื่องราวชีวิตของตัวเองที่ผ่านมา และนำไปสู่การตัดสินใจอนาคตของตัวเธอเมื่อถึงตอนสุดท้าย นิยาย YA แนว coming-of-age เล่มนี้ได้รางวัล Carnegie Medal 2003 ด้วย ชื่อเดิมของเรื่องนี้ในฉบับ US คือ A Northern Light แต่เปลี่ยนชื่อเป็น A Gathering Light ใน UK เพราะชื่อมันซ้ำกับหนังสือ His Dark Materials #1
ไม่รู้จะพูดถึงหนังสือเล่มนี้ยังไง อ่านแล้วมันทำให้ความคิดเรากระจัดกระจาย เหมือนถ้อยคำในหนังสือเล่มนี้ส่งสัญญาณสมอง ไปเที่ยวรื้อค้นในบริเวณเซลล์แห่งลิ้นชักความทรงจำของเราจนวุ่นวาย เพราะตัวเอกของเรื่องเป็นนักอ่าน ตอนที่เธอนึกถึงเรื่องชีวิตกับการอ่านของเธอไป มันก็ทำให้เรานึกถึงประสบการณ์ชีวิตและการอ่านของเราไปด้วย เพราะฉะนั้นโพสต์นี้คงจะมั่วๆ น่าดู
ที่จริงเรื่องนี้น่าติดตามแต่เริ่ม แต่พออ่านไปสักพัก เราก็เริ่มอ่านเล่มนี้ช้าลงเรื่อยๆ บางทีอ่านจบไปย่อหน้าหนึ่ง ก็ต้องอ่านวนซ้ำย่อหน้านั้นอีก เพราะมันโดน จนในที่สุดก็เริ่มรู้ว่า หนังสือเล่มนี้อ่านแบบเร็วรวดเดียวจบไม่ได้แล้ว มันต้องค่อยๆ ละเลียด บางทีอ่านไปหนึ่งหน้าก็นั่งคิดอะไรไปสิบนาที จบบทก็ต้องวาง ได้สักหนึ่งในสามก็ต้องไปนอนสักคืน ให้เวลามันตกผลึก
เราเริ่มต้นอ่าน Jennifer Donnelly จากชุดกุหลาบ มันทำให้เรารู้ว่า เธอเป็นนักเขียนที่เขียนเรื่องได้สนุก แต่พอมาย้อนอ่าน A Gathering Light มันทำให้เรารู้ว่าเธอเขียนหนังสือดี เราก็ไม่ค่อยอยากดูถูกตัวเองว่า ไอ้ที่เราชอบอ่านปกตินี่มันไม่ค่อยมีคุณค่า แต่พอได้อ่านเรื่องที่มันเป็นแบบหนังสือดีจริงๆ เข้า ก็อดสำนึกตัวเองหน่อยไม่ได้ ปกติชอบอาหารขยะจั๊งค์ฟู้ดเพราะมันอร่อย แต่เล่มนี้มันเหมือนอาหารครบ 5 หมู่ อุดมด้วยแร่ธาตุวิตามินพร้อมใยอาหารยังไงไม่รู้ สนุกมั้ยมันเหมือนจะไม่สนุก แต่มันก็ไม่น่าเบื่อสักนิด และอ่านแล้วรู้สึกว่ามันดีจริงๆ
นิยายเริ่มต้นด้วยการดึงความสนใจของเราได้ตั้งแต่แรก หลังการเปิดเรื่องด้วยจดหมายจากผู้ตาย ซึ่งแมตตี้ยังหาโอกาสเอาไปเผาไม่ได้ เรื่องก็เริ่มตัดสลับเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต ก่อนหน้าที่แมตตี้จะมาทำงานสาวใช้ที่โรงแรม เธออาศัยอยู่ที่บ้านไร่ แม่เพิ่งป่วยตายไปไม่นาน พ่อกลายเป็นคนขมขื่นเจ้าอารมณ์ เธอต้องช่วยดูแลน้องๆ และรับภาระดูแลช่วยงานในบ้านมากมาย เรื่องเล่าให้เห็นภาพชีวิตชาวนาชาวไร่ฝรั่งสมัยก่อนได้ชัดเจนดีจัง แจ่มชัดเหมือนเรื่องชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ แต่มันไม่สดใสร่าเริงแบบนั้น อารมณ์เรื่องนี้มันเป็นชีวิตแบบเหนื่อยยากลำบากลำบน
อ่านแล้วนึกถึงหนังสือนอกเวลาที่ได้อ่านสมัยเด็ก อย่างพวก "สร้อยทอง" กับ "คนเผาถ่าน" นิยายที่ใช้ฉากอดีตของไทยส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องชาววัง ชาวเมือง อ่านเรื่องนี้แล้วอยากอ่านเรื่องชาวบ้านไทยสมัยก่อนมั่ง มันมีเรื่องไหนดีๆ แนะนำอีกมั่งมั้ยเนี่ย ไม่ต้องเศร้ารันทดแบบนั้นก็ได้ แล้วไม่เอาแบบคนรวยปลอมเป็นชาวบ้านแบบเรื่องกะทินะ อิอิ เราว่า ถ้าใครอ่าน "ความสุขของกะทิ" แล้วก็น่าจะไปอ่านวิจารณ์ของ คำ ผกา ในนิตยสาร "อ่าน" ด้วยนะ ตลกสนุกดี จริงๆ เราก็โอเคกับกะทิ เป็นหนังสือซีไรต์เล่มเดียวในยุคหลังที่อ่าน หลังจาก "อมตะ" ทำให้เราเลิกอ่านซีไรต์ เพราะคิดว่าได้แค่นี้เหรอ อ่านคำชมกรรมการว่าไอเดียใหม่สร้างสรรค์อย่างโน้นอย่างนี้ แต่เราว่าเราเคยอ่านนิยายฝรั่งหรือการ์ตูนพล็อตแบบนั้นมาเป็นสิบๆ ปีแล้วนะ อืมม์ ปากพาซวยมั้ยเนี่ย จริงๆ ไม่ค่อยอยากวิจารณ์หนังสือไทย กลัวเหมือนว่าเอาเท้าราน้ำ ชอบดูพรีเมียร์ลีก ไม่เชียร์พรีเมียร์ไทย ก็กรุณาเงียบไป อย่าดูถูก อะไรยังงี้ แต่บางทีก็อดไม่ได้
แล้วปกติเราอ่านหนังสือไม่ค่อยเลือกหนังสือรางวัล เลือกหนังสือขายดีมากกว่า อย่างหนังสือซีไรต์ เราก็อ่านไปได้แค่ครึ่งเองมั้ง เพราะเท่าที่ผ่านมา มีหนังสือซีไรต์แค่เรื่องเดียวที่เรารู้สึกว่ามันมี impact กับชีวิตเรา คือ "คำพิพากษา" แบบอ่านจบแล้วเกลียดโลกเกลียดสังคมไปสิบวัน จนตอนนี้เวลาจะชี้นิ้วประณามใครบางทียังต้องมียั้ง หวังว่าเราไม่เป็นแบบพวกชาวบ้านในเรื่อง
กลับเข้าฝั่งดีกว่า แมตตี้เป็นเด็กสาวที่รักการอ่าน มันทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับเธอตั้งแต่แรกเลย ทุกวันเธอจะเปิดดิกชันนารี แล้วก็เล่นเกม Word of the Day ความรักในถ้อยคำของแมตตี้นี่มันแสดงออกชัดผ่านตัวหนังสือในเรื่อง มีย่อหน้าหนึ่งที่แมตตี้บรรยายชีวิตกับงานในบ้านในไร่อันน่าเบื่อของเธอ ด้วยคำกริยายาวเหยียดแบบไม่ซ้ำ 20-30 คำ อ่านแล้วขำเลย สมเป็นคนที่บอกว่ามีงานอดิเรกสะสมคำจริงๆ ในเรื่อง คุณครูบอกว่า แมตตี้มีพรสวรรค์ในการเขียนและการใช้คำ เราว่า Jennifer Donnelly รับคำชมนั้นแทนแมตตี้ได้เลย
แมตตี้มีความฝันอยากเป็นนักเขียน เราก็เคยอยากเป็นนักเขียนนะ ตอน ม.1 เคยแอบนั่งแต่งเรื่องในชั่วโมงเรียน ทั้งชั่วโมงได้ 3 บรรทัด ยังไม่ได้ย่อหน้าแรกเลย เลยรู้ตัว หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีความคิดอยากเป็นนักเขียนนิยายอีกเลยในชีวิต จบกันความฝันแสนสั้นหนึ่งวันของเรา ฮ่าฮ่า เพราะฉะนั้นอย่างน้อยเรานับถือคนที่เขียนจนมันออกมาเป็นเล่มได้นะ เวลาให้คะแนนหนังสือ อย่างต่ำก็เริ่มที่ 5 ค่าที่เขียนออกมาจบ
เทคนิคการเขียน/การเล่าเรื่องของนิยายเล่มนี้เทพมาก เนื้อเรื่องเล่มนี้ ดำเนินเรื่องสลับกันระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบันที่แมตตี้อยู่ในโรงแรม กับเรื่องชีวิตก่อนหน้าของแมตตี้ ซึ่งไม่ใช่เหตุการณ์ในอดีตห่างไกลอะไร เป็นช่วงเวลาก่อนหน้าสัก 4 เดือนเท่านั้น เวลาที่ตัดสลับไปมาในแต่ละบท จะถูกแบ่งแยกด้วยคำ ไม่ใช่เลขไม่ใช่เวลา/วันที่ ถ้าเป็นเหตุการณ์ช่วงที่แมตตี้ยังอยู่ที่บ้าน บทนั้นจะถูกขึ้นต้นบทด้วยศัพท์ภาษาอังกฤษที่เป็น Word of the Day ของเธอ แล้วคำศัพท์นั้นก็จะสะท้อนเนื้อเรื่องบทนั้นไปด้วย เป็นวิธีที่เรียบง่าย แต่สร้างสรรค์ และซ่อนความหมาย แบบไม่น่าเชื่อเลย เล่นคำนิดเดียวเอง สุดยอด
แล้วการเล่าเรื่องแมตตี้ในช่วงเวลาต่างกันไปพร้อมกัน ทำให้เรื่องน่าติดตามได้ ทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องจริงๆ ของเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย แค่ชีวิตธรรมดาของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่มาถึงทางแยกของชีวิตว่า อยากใช้ชีวิตตามความฝัน ไปเรียนต่อวิทยาลัย แต่ก็มีความเสี่ยงกับชีวิตไม่แน่ไม่นอน ในยุคที่บทบาทของผู้หญิงยังไม่ได้รับการยอมรับ หรือจะยอมรับภาระหน้าที่ กับชีวิตที่เป็นอยู่ และแต่งงานกับชายหนุ่มเพื่อนบ้านไป ทางเลือกนี้ถูกนำเสนออย่างสมจริงมาก ชีวิตมันไม่ง่ายเลย การดำเนินเรื่องไปเนิบๆ เรียบๆ ไม่มีอะไรหวือหวา เวลาเจอปัญหาในเรื่อง ก็ไม่มีฟูมฟายดราม่า แต่ด้วยน้ำเสียงสงบเงียบๆ ของเรื่อง เหมือนทำให้เรื่องละเอียดละเมียดลึกซึ้ง แทรกเข้ามาในอณูใจได้เลย
เรื่องราวส่วนใหญ่จะเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้าค่อยๆ ถูกปล่อยออกมา แทรกด้วยช่วงปัจจุบันกับการแอบอ่านจดหมายผู้ตายเป็นระยะ แล้วเส้นเวลาในเรื่องก็จะค่อยๆ มาบรรจบกัน เรื่องราวในจดหมายก็ไม่ได้ซับซ้อนพิสดารอะไรเลย ตอนอ่านรู้สึกธรรมดา แต่ตอนจบ หมายเหตุผู้แต่ง เธอบอกว่าเป็นจดหมายจริง ที่เธออ่านแล้วประทับใจสะเทือนใจกับมันมาก จนเป็นที่มาของนิยาย พอนึกย้อนก็ค่อยรู้สึกว่า เออ มันเป็นจดหมายที่สะท้อนความรู้สึกผู้หญิงในสถานการณ์นั้นออกมาชัดดี
เราว่าคนที่อ่านนิยายเรื่องนี้แต่ละคน คงจะได้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปไม่เหมือนกัน มันเป็นนิยายชีวิตแบบที่ผู้อ่านรับรู้เนื้อหาได้ไม่เหมือนกัน แปรผันตามประสบการณ์ชีวิตของคนนั้นเอง ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นอ่าน ก็คงได้มุมมองอีกแบบ พอเป็นผู้ใหญ่มาอ่านก็คงอีกแบบ แล้วแบบเราอ่าน ก็พาฟุ้งซ่านไปเลย ที่เขียนมานี่ยังไม่ได้ 1/10 ของความคิดที่ผ่านสมองเราตอนอ่านเรื่องนี้เลย
นี่เป็นนิยายเล่มแรกของ Jennifer Donnelly ที่ได้แรงบันดาลใจจากคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจริงเมื่อร้อยปีก่อน เป็นเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งชื่อแมตตี้ ที่ทำงานอยู่ในโรงแรม วันหนึ่งมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งถูกนำขึ้นจากทะเลสาบ ก่อนตายเธอผู้นั้นฝากจดหมายให้แมตตี้เอาไปเผา เมื่อแมตตี้ค่อยๆ อ่านจดหมายพวกนั้น ก็ทำให้เธอคิดถึงเรื่องราวชีวิตของตัวเองที่ผ่านมา และนำไปสู่การตัดสินใจอนาคตของตัวเธอเมื่อถึงตอนสุดท้าย นิยาย YA แนว coming-of-age เล่มนี้ได้รางวัล Carnegie Medal 2003 ด้วย ชื่อเดิมของเรื่องนี้ในฉบับ US คือ A Northern Light แต่เปลี่ยนชื่อเป็น A Gathering Light ใน UK เพราะชื่อมันซ้ำกับหนังสือ His Dark Materials #1
ไม่รู้จะพูดถึงหนังสือเล่มนี้ยังไง อ่านแล้วมันทำให้ความคิดเรากระจัดกระจาย เหมือนถ้อยคำในหนังสือเล่มนี้ส่งสัญญาณสมอง ไปเที่ยวรื้อค้นในบริเวณเซลล์แห่งลิ้นชักความทรงจำของเราจนวุ่นวาย เพราะตัวเอกของเรื่องเป็นนักอ่าน ตอนที่เธอนึกถึงเรื่องชีวิตกับการอ่านของเธอไป มันก็ทำให้เรานึกถึงประสบการณ์ชีวิตและการอ่านของเราไปด้วย เพราะฉะนั้นโพสต์นี้คงจะมั่วๆ น่าดู
ที่จริงเรื่องนี้น่าติดตามแต่เริ่ม แต่พออ่านไปสักพัก เราก็เริ่มอ่านเล่มนี้ช้าลงเรื่อยๆ บางทีอ่านจบไปย่อหน้าหนึ่ง ก็ต้องอ่านวนซ้ำย่อหน้านั้นอีก เพราะมันโดน จนในที่สุดก็เริ่มรู้ว่า หนังสือเล่มนี้อ่านแบบเร็วรวดเดียวจบไม่ได้แล้ว มันต้องค่อยๆ ละเลียด บางทีอ่านไปหนึ่งหน้าก็นั่งคิดอะไรไปสิบนาที จบบทก็ต้องวาง ได้สักหนึ่งในสามก็ต้องไปนอนสักคืน ให้เวลามันตกผลึก
เราเริ่มต้นอ่าน Jennifer Donnelly จากชุดกุหลาบ มันทำให้เรารู้ว่า เธอเป็นนักเขียนที่เขียนเรื่องได้สนุก แต่พอมาย้อนอ่าน A Gathering Light มันทำให้เรารู้ว่าเธอเขียนหนังสือดี เราก็ไม่ค่อยอยากดูถูกตัวเองว่า ไอ้ที่เราชอบอ่านปกตินี่มันไม่ค่อยมีคุณค่า แต่พอได้อ่านเรื่องที่มันเป็นแบบหนังสือดีจริงๆ เข้า ก็อดสำนึกตัวเองหน่อยไม่ได้ ปกติชอบอาหารขยะจั๊งค์ฟู้ดเพราะมันอร่อย แต่เล่มนี้มันเหมือนอาหารครบ 5 หมู่ อุดมด้วยแร่ธาตุวิตามินพร้อมใยอาหารยังไงไม่รู้ สนุกมั้ยมันเหมือนจะไม่สนุก แต่มันก็ไม่น่าเบื่อสักนิด และอ่านแล้วรู้สึกว่ามันดีจริงๆ
นิยายเริ่มต้นด้วยการดึงความสนใจของเราได้ตั้งแต่แรก หลังการเปิดเรื่องด้วยจดหมายจากผู้ตาย ซึ่งแมตตี้ยังหาโอกาสเอาไปเผาไม่ได้ เรื่องก็เริ่มตัดสลับเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต ก่อนหน้าที่แมตตี้จะมาทำงานสาวใช้ที่โรงแรม เธออาศัยอยู่ที่บ้านไร่ แม่เพิ่งป่วยตายไปไม่นาน พ่อกลายเป็นคนขมขื่นเจ้าอารมณ์ เธอต้องช่วยดูแลน้องๆ และรับภาระดูแลช่วยงานในบ้านมากมาย เรื่องเล่าให้เห็นภาพชีวิตชาวนาชาวไร่ฝรั่งสมัยก่อนได้ชัดเจนดีจัง แจ่มชัดเหมือนเรื่องชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ แต่มันไม่สดใสร่าเริงแบบนั้น อารมณ์เรื่องนี้มันเป็นชีวิตแบบเหนื่อยยากลำบากลำบน
อ่านแล้วนึกถึงหนังสือนอกเวลาที่ได้อ่านสมัยเด็ก อย่างพวก "สร้อยทอง" กับ "คนเผาถ่าน" นิยายที่ใช้ฉากอดีตของไทยส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องชาววัง ชาวเมือง อ่านเรื่องนี้แล้วอยากอ่านเรื่องชาวบ้านไทยสมัยก่อนมั่ง มันมีเรื่องไหนดีๆ แนะนำอีกมั่งมั้ยเนี่ย ไม่ต้องเศร้ารันทดแบบนั้นก็ได้ แล้วไม่เอาแบบคนรวยปลอมเป็นชาวบ้านแบบเรื่องกะทินะ อิอิ เราว่า ถ้าใครอ่าน "ความสุขของกะทิ" แล้วก็น่าจะไปอ่านวิจารณ์ของ คำ ผกา ในนิตยสาร "อ่าน" ด้วยนะ ตลกสนุกดี จริงๆ เราก็โอเคกับกะทิ เป็นหนังสือซีไรต์เล่มเดียวในยุคหลังที่อ่าน หลังจาก "อมตะ" ทำให้เราเลิกอ่านซีไรต์ เพราะคิดว่าได้แค่นี้เหรอ อ่านคำชมกรรมการว่าไอเดียใหม่สร้างสรรค์อย่างโน้นอย่างนี้ แต่เราว่าเราเคยอ่านนิยายฝรั่งหรือการ์ตูนพล็อตแบบนั้นมาเป็นสิบๆ ปีแล้วนะ อืมม์ ปากพาซวยมั้ยเนี่ย จริงๆ ไม่ค่อยอยากวิจารณ์หนังสือไทย กลัวเหมือนว่าเอาเท้าราน้ำ ชอบดูพรีเมียร์ลีก ไม่เชียร์พรีเมียร์ไทย ก็กรุณาเงียบไป อย่าดูถูก อะไรยังงี้ แต่บางทีก็อดไม่ได้
แล้วปกติเราอ่านหนังสือไม่ค่อยเลือกหนังสือรางวัล เลือกหนังสือขายดีมากกว่า อย่างหนังสือซีไรต์ เราก็อ่านไปได้แค่ครึ่งเองมั้ง เพราะเท่าที่ผ่านมา มีหนังสือซีไรต์แค่เรื่องเดียวที่เรารู้สึกว่ามันมี impact กับชีวิตเรา คือ "คำพิพากษา" แบบอ่านจบแล้วเกลียดโลกเกลียดสังคมไปสิบวัน จนตอนนี้เวลาจะชี้นิ้วประณามใครบางทียังต้องมียั้ง หวังว่าเราไม่เป็นแบบพวกชาวบ้านในเรื่อง
กลับเข้าฝั่งดีกว่า แมตตี้เป็นเด็กสาวที่รักการอ่าน มันทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับเธอตั้งแต่แรกเลย ทุกวันเธอจะเปิดดิกชันนารี แล้วก็เล่นเกม Word of the Day ความรักในถ้อยคำของแมตตี้นี่มันแสดงออกชัดผ่านตัวหนังสือในเรื่อง มีย่อหน้าหนึ่งที่แมตตี้บรรยายชีวิตกับงานในบ้านในไร่อันน่าเบื่อของเธอ ด้วยคำกริยายาวเหยียดแบบไม่ซ้ำ 20-30 คำ อ่านแล้วขำเลย สมเป็นคนที่บอกว่ามีงานอดิเรกสะสมคำจริงๆ ในเรื่อง คุณครูบอกว่า แมตตี้มีพรสวรรค์ในการเขียนและการใช้คำ เราว่า Jennifer Donnelly รับคำชมนั้นแทนแมตตี้ได้เลย
แมตตี้มีความฝันอยากเป็นนักเขียน เราก็เคยอยากเป็นนักเขียนนะ ตอน ม.1 เคยแอบนั่งแต่งเรื่องในชั่วโมงเรียน ทั้งชั่วโมงได้ 3 บรรทัด ยังไม่ได้ย่อหน้าแรกเลย เลยรู้ตัว หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีความคิดอยากเป็นนักเขียนนิยายอีกเลยในชีวิต จบกันความฝันแสนสั้นหนึ่งวันของเรา ฮ่าฮ่า เพราะฉะนั้นอย่างน้อยเรานับถือคนที่เขียนจนมันออกมาเป็นเล่มได้นะ เวลาให้คะแนนหนังสือ อย่างต่ำก็เริ่มที่ 5 ค่าที่เขียนออกมาจบ
เทคนิคการเขียน/การเล่าเรื่องของนิยายเล่มนี้เทพมาก เนื้อเรื่องเล่มนี้ ดำเนินเรื่องสลับกันระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบันที่แมตตี้อยู่ในโรงแรม กับเรื่องชีวิตก่อนหน้าของแมตตี้ ซึ่งไม่ใช่เหตุการณ์ในอดีตห่างไกลอะไร เป็นช่วงเวลาก่อนหน้าสัก 4 เดือนเท่านั้น เวลาที่ตัดสลับไปมาในแต่ละบท จะถูกแบ่งแยกด้วยคำ ไม่ใช่เลขไม่ใช่เวลา/วันที่ ถ้าเป็นเหตุการณ์ช่วงที่แมตตี้ยังอยู่ที่บ้าน บทนั้นจะถูกขึ้นต้นบทด้วยศัพท์ภาษาอังกฤษที่เป็น Word of the Day ของเธอ แล้วคำศัพท์นั้นก็จะสะท้อนเนื้อเรื่องบทนั้นไปด้วย เป็นวิธีที่เรียบง่าย แต่สร้างสรรค์ และซ่อนความหมาย แบบไม่น่าเชื่อเลย เล่นคำนิดเดียวเอง สุดยอด
แล้วการเล่าเรื่องแมตตี้ในช่วงเวลาต่างกันไปพร้อมกัน ทำให้เรื่องน่าติดตามได้ ทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องจริงๆ ของเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย แค่ชีวิตธรรมดาของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่มาถึงทางแยกของชีวิตว่า อยากใช้ชีวิตตามความฝัน ไปเรียนต่อวิทยาลัย แต่ก็มีความเสี่ยงกับชีวิตไม่แน่ไม่นอน ในยุคที่บทบาทของผู้หญิงยังไม่ได้รับการยอมรับ หรือจะยอมรับภาระหน้าที่ กับชีวิตที่เป็นอยู่ และแต่งงานกับชายหนุ่มเพื่อนบ้านไป ทางเลือกนี้ถูกนำเสนออย่างสมจริงมาก ชีวิตมันไม่ง่ายเลย การดำเนินเรื่องไปเนิบๆ เรียบๆ ไม่มีอะไรหวือหวา เวลาเจอปัญหาในเรื่อง ก็ไม่มีฟูมฟายดราม่า แต่ด้วยน้ำเสียงสงบเงียบๆ ของเรื่อง เหมือนทำให้เรื่องละเอียดละเมียดลึกซึ้ง แทรกเข้ามาในอณูใจได้เลย
เรื่องราวส่วนใหญ่จะเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้าค่อยๆ ถูกปล่อยออกมา แทรกด้วยช่วงปัจจุบันกับการแอบอ่านจดหมายผู้ตายเป็นระยะ แล้วเส้นเวลาในเรื่องก็จะค่อยๆ มาบรรจบกัน เรื่องราวในจดหมายก็ไม่ได้ซับซ้อนพิสดารอะไรเลย ตอนอ่านรู้สึกธรรมดา แต่ตอนจบ หมายเหตุผู้แต่ง เธอบอกว่าเป็นจดหมายจริง ที่เธออ่านแล้วประทับใจสะเทือนใจกับมันมาก จนเป็นที่มาของนิยาย พอนึกย้อนก็ค่อยรู้สึกว่า เออ มันเป็นจดหมายที่สะท้อนความรู้สึกผู้หญิงในสถานการณ์นั้นออกมาชัดดี
เราว่าคนที่อ่านนิยายเรื่องนี้แต่ละคน คงจะได้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปไม่เหมือนกัน มันเป็นนิยายชีวิตแบบที่ผู้อ่านรับรู้เนื้อหาได้ไม่เหมือนกัน แปรผันตามประสบการณ์ชีวิตของคนนั้นเอง ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นอ่าน ก็คงได้มุมมองอีกแบบ พอเป็นผู้ใหญ่มาอ่านก็คงอีกแบบ แล้วแบบเราอ่าน ก็พาฟุ้งซ่านไปเลย ที่เขียนมานี่ยังไม่ได้ 1/10 ของความคิดที่ผ่านสมองเราตอนอ่านเรื่องนี้เลย
วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554
Beyond the Shadows (Night Angel #3) - Brent Weeks
คะแนน : 6
เล่มนี้ก็เป็นแฟนตาซีเต็มๆ ไม่เหมือนเล่มแรกเลย พวกวิชานินจาหายไปแล้ว แต่ต่อเนื่องมาจากเล่มสอง ละเลงมาเต็มที่ มีพลังมืด เวทมนตร์คาถา สัตว์ประหลาด แม่มด จอมเวทย์ เทพอสูร ไอเทมดาบ/คฑา ชิงอำนาจ สงคราม คืนชีพ รวมพลังกู้โลก แต่โดยรวมสำหรับเรา ความรู้สึกที่มีต่อเรื่องนี้ลงเหวเลย เล่มนี้เนื้อเรื่องมั่วแหลก คือ บอกตามตรงว่า ที่เราตามอ่านเล่มหนึ่งเล่มสองนี่ เราสนใจเนื้อเรื่องของโลแกนมากกว่าไคลาร์ที่เป็นตัวเอกเองซะอีก จากท้ายเล่มที่แล้ว มันมีจุดพลิกเรื่องที่มีมือที่สามเข้ามาในสมการระหว่างโลแกนกับเจนีน เราก็กะแล้วว่าเรื่องมันต้องไปในทิศทางที่เราไม่ชอบ และเรารับไม่ได้กับจุดนี้ พอรู้แน่ว่ามันเป็นอย่างนั้น ก็ทนอ่านแบบทุกตัวอักษรตามปกติไม่ได้ อ่านเฉพาะเรื่องหลัก พวกเรื่องตัวประกอบ ก็อ่านเร็วๆ ข้ามๆ ให้จบเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะนิสัยเสียที่พออ่านแล้วก็อยากรู้ตอนจบ ก็ไม่อยากทนอ่านแล้วด้วยซ้ำ
แย่มากเลยการเล่นพล็อตเรื่องรักสามเส้าแบบนี้ ทั้งไคลาร์-เอเลน-วี กับโลแกน-เจนีน-ดอเรียน คู่ไคลาร์ยังไม่เท่าไหร่ สถานการณ์พาไป ยังไม่นอกใจ แต่เสียความรู้สึกอย่างรุนแรงกับเจนีน เสียแรงเชียร์ จริงๆ เธอไม่ผิดหรอกมั้ง ต่างฝ่ายต่างนึกว่าอีกคนตายไปแล้ว แต่ในเมื่อโลแกนยังมั่นคงได้ เมื่อเจนีนทำได้ไม่เท่าเทียม เราก็ว่าเธอไม่คู่ควรกับโลแกนแล้ว สงสารโลแกน เรื่องนี้แต่งเรื่องแย่มาก ตัวละครที่เป็นคนดีไม่ค่อยได้ดีเลย พวกคนชั่วตายสบาย อย่างดอเรียนตอนเข้าด้านมืดก็เลว แต่ไม่เห็นได้รับกรรมสนองเท่าไหร่ ไม่ยุติธรรมเลย แต่เรื่องนี้มันสีเทามาก เส้นแบ่งความดีความเลว ผลที่ได้รับว่าสาสมมั้ยมันก็ขึ้นกับการตีความของแต่ละคน
ตอนจบก็แย่มาก ดูผลลงเอยของแต่ละคนสิ ทางไคลาร์ เอเลนตาย ส่วนทางโลแกน สุดท้ายต้องรับชะตากรรมเลี้ยงลูกชู้อีก ลูกในท้องเจนีนนี่มันมีนิมิตของดอเรียนบอกว่าจะมาฆ่าพ่อไม่ใช่เรอะ จบแบบดูเหมือนทิ้งปมปัญหาไว้ซะอีก ถ้าโลแกนเป็นคนดีน้อยกว่านี้หน่อย มีไขว้เขวบ้าง เพราะก็ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส อาจจะนึกว่าคู่นี้พอกัน ก็คงรับได้ แต่หมอนี่มันก็ดันเป็นคนดีเข้าขั้นโง่มาตลอดเรื่องซะอีก หรือไม่งั้นก็แต่งให้โลแกนดีแบบให้สุดๆ โดยไม่ต้องมานึกตะขิดตะขวงใจ เพราะขนาดเจ้าตัวเองก็สงสัยตอนรับเจนีนกลับมา ในอนาคตถ้ามีลูกใหม่ของโลแกนเอง จะมีชิงบัลลังก์กันมั้ย นั่นสิ เฮ้อ
ปกติ เราไม่ค่อยอยากแช่งตัวละครฝ่ายดีคนไหนนะ แต่อยากให้เจนีนตายให้พ้นทางไปมากๆ เลย เพราะทั้งคู่ก็แค่แต่งงานในนาม เคยคุยกันจริงๆ ก็ครั้งเดียว ปล่อยให้โลแกนไปหาคนใหม่เถอะ ดีกว่ามารับของเหลืออย่างนี้ ที่ใช้คำแรงไม่ใช่เพราะเจนีนผ่านผู้ชายอื่น เพราะพวกตัวละครอื่นบางคนที่เป็นโสเภณี อย่างมอมม่าเค แคลโดซ่า หรือแบบวีเองก็ตาม เราก็ไม่ว่าอะไร เพราะจำใจทำเพื่อเอาตัวรอด แต่เรารับแบบเจนีนไม่ได้ ยังมีการมาบอกโลแกนอีกว่า "ข้ารักดอเรียน ถึงจะไม่รักเหมือนแบบที่รักท่าน แต่ตอนเขาเลวข้าก็ยังแคร์เขา" แล้วดอเรียนก็ไม่ได้ตายไปซะหน่อย ฉากจบสุดท้ายก็ยังอยู่ให้เห็นกันตำตาตรงนั้นแหละ แล้วทำไมไม่ปล่อยให้ไปดูแลกันเองล่ะ โลแกนนี่มันโง่ได้โล่จริงๆ ขัดใจเราอย่างแรง ไม่ชอบอย่างยิ่งเรื่องคู่ที่ไม่เท่าเทียมกัน
แล้วเรื่องเอาลูกไคลาร์กับเอเลนมาใส่ในท้องเจนีน นี่โคตรแต่งมั่วเลย คงเตรียมไว้สำหรับซีรีส์ใหม่ในอนาคตมั้ง แต่คงไม่อ่านต่อแล้วล่ะ เราคงรับเรื่องที่คนดีไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดีไม่ค่อยได้ กลับไปหาเรื่องตามแบบฉบับ ขาวดำตัดกันชัดเจนดีกว่า คนดีได้ดี คนชั่วได้ชั่ว
จริงๆ เรื่องของเนื้อเรื่องมันคงบอกว่าดีไม่ดีไม่ได้ บอกได้แต่ว่าชอบหรือไม่ชอบ มันมีประเด็นที่เรารับไม่ได้เท่านั้นเอง ถ้าไม่ติดใจเรื่องนั้นก็อาจจะโอเค แต่สำหรับเรา สรุปว่า การอ่านเรื่องไตรภาคนี้ เมื่อดูจากความยาวหนังสือและเวลาที่ใช้อ่าน กับอารมณ์ที่ลงทุนไป สิ่งที่ได้มาไม่คุ้มกับเวลาและความรู้สึกเลย ไม่คุ้มจริงๆ คิดว่าถ้าในชีวิตนี้ไม่เคยหลวมตัวไปหยิบเรื่องนี้มาอ่านซะเลยก็คงจะดีกว่านี้ ถ้าลืมได้ว่าเคยอ่านเรื่องนี้ก็อยากจะลืม
เล่มนี้ก็เป็นแฟนตาซีเต็มๆ ไม่เหมือนเล่มแรกเลย พวกวิชานินจาหายไปแล้ว แต่ต่อเนื่องมาจากเล่มสอง ละเลงมาเต็มที่ มีพลังมืด เวทมนตร์คาถา สัตว์ประหลาด แม่มด จอมเวทย์ เทพอสูร ไอเทมดาบ/คฑา ชิงอำนาจ สงคราม คืนชีพ รวมพลังกู้โลก แต่โดยรวมสำหรับเรา ความรู้สึกที่มีต่อเรื่องนี้ลงเหวเลย เล่มนี้เนื้อเรื่องมั่วแหลก คือ บอกตามตรงว่า ที่เราตามอ่านเล่มหนึ่งเล่มสองนี่ เราสนใจเนื้อเรื่องของโลแกนมากกว่าไคลาร์ที่เป็นตัวเอกเองซะอีก จากท้ายเล่มที่แล้ว มันมีจุดพลิกเรื่องที่มีมือที่สามเข้ามาในสมการระหว่างโลแกนกับเจนีน เราก็กะแล้วว่าเรื่องมันต้องไปในทิศทางที่เราไม่ชอบ และเรารับไม่ได้กับจุดนี้ พอรู้แน่ว่ามันเป็นอย่างนั้น ก็ทนอ่านแบบทุกตัวอักษรตามปกติไม่ได้ อ่านเฉพาะเรื่องหลัก พวกเรื่องตัวประกอบ ก็อ่านเร็วๆ ข้ามๆ ให้จบเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะนิสัยเสียที่พออ่านแล้วก็อยากรู้ตอนจบ ก็ไม่อยากทนอ่านแล้วด้วยซ้ำ
เตือนสปอยล์ถึงฉากจบ
แย่มากเลยการเล่นพล็อตเรื่องรักสามเส้าแบบนี้ ทั้งไคลาร์-เอเลน-วี กับโลแกน-เจนีน-ดอเรียน คู่ไคลาร์ยังไม่เท่าไหร่ สถานการณ์พาไป ยังไม่นอกใจ แต่เสียความรู้สึกอย่างรุนแรงกับเจนีน เสียแรงเชียร์ จริงๆ เธอไม่ผิดหรอกมั้ง ต่างฝ่ายต่างนึกว่าอีกคนตายไปแล้ว แต่ในเมื่อโลแกนยังมั่นคงได้ เมื่อเจนีนทำได้ไม่เท่าเทียม เราก็ว่าเธอไม่คู่ควรกับโลแกนแล้ว สงสารโลแกน เรื่องนี้แต่งเรื่องแย่มาก ตัวละครที่เป็นคนดีไม่ค่อยได้ดีเลย พวกคนชั่วตายสบาย อย่างดอเรียนตอนเข้าด้านมืดก็เลว แต่ไม่เห็นได้รับกรรมสนองเท่าไหร่ ไม่ยุติธรรมเลย แต่เรื่องนี้มันสีเทามาก เส้นแบ่งความดีความเลว ผลที่ได้รับว่าสาสมมั้ยมันก็ขึ้นกับการตีความของแต่ละคน
ตอนจบก็แย่มาก ดูผลลงเอยของแต่ละคนสิ ทางไคลาร์ เอเลนตาย ส่วนทางโลแกน สุดท้ายต้องรับชะตากรรมเลี้ยงลูกชู้อีก ลูกในท้องเจนีนนี่มันมีนิมิตของดอเรียนบอกว่าจะมาฆ่าพ่อไม่ใช่เรอะ จบแบบดูเหมือนทิ้งปมปัญหาไว้ซะอีก ถ้าโลแกนเป็นคนดีน้อยกว่านี้หน่อย มีไขว้เขวบ้าง เพราะก็ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส อาจจะนึกว่าคู่นี้พอกัน ก็คงรับได้ แต่หมอนี่มันก็ดันเป็นคนดีเข้าขั้นโง่มาตลอดเรื่องซะอีก หรือไม่งั้นก็แต่งให้โลแกนดีแบบให้สุดๆ โดยไม่ต้องมานึกตะขิดตะขวงใจ เพราะขนาดเจ้าตัวเองก็สงสัยตอนรับเจนีนกลับมา ในอนาคตถ้ามีลูกใหม่ของโลแกนเอง จะมีชิงบัลลังก์กันมั้ย นั่นสิ เฮ้อ
ปกติ เราไม่ค่อยอยากแช่งตัวละครฝ่ายดีคนไหนนะ แต่อยากให้เจนีนตายให้พ้นทางไปมากๆ เลย เพราะทั้งคู่ก็แค่แต่งงานในนาม เคยคุยกันจริงๆ ก็ครั้งเดียว ปล่อยให้โลแกนไปหาคนใหม่เถอะ ดีกว่ามารับของเหลืออย่างนี้ ที่ใช้คำแรงไม่ใช่เพราะเจนีนผ่านผู้ชายอื่น เพราะพวกตัวละครอื่นบางคนที่เป็นโสเภณี อย่างมอมม่าเค แคลโดซ่า หรือแบบวีเองก็ตาม เราก็ไม่ว่าอะไร เพราะจำใจทำเพื่อเอาตัวรอด แต่เรารับแบบเจนีนไม่ได้ ยังมีการมาบอกโลแกนอีกว่า "ข้ารักดอเรียน ถึงจะไม่รักเหมือนแบบที่รักท่าน แต่ตอนเขาเลวข้าก็ยังแคร์เขา" แล้วดอเรียนก็ไม่ได้ตายไปซะหน่อย ฉากจบสุดท้ายก็ยังอยู่ให้เห็นกันตำตาตรงนั้นแหละ แล้วทำไมไม่ปล่อยให้ไปดูแลกันเองล่ะ โลแกนนี่มันโง่ได้โล่จริงๆ ขัดใจเราอย่างแรง ไม่ชอบอย่างยิ่งเรื่องคู่ที่ไม่เท่าเทียมกัน
แล้วเรื่องเอาลูกไคลาร์กับเอเลนมาใส่ในท้องเจนีน นี่โคตรแต่งมั่วเลย คงเตรียมไว้สำหรับซีรีส์ใหม่ในอนาคตมั้ง แต่คงไม่อ่านต่อแล้วล่ะ เราคงรับเรื่องที่คนดีไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดีไม่ค่อยได้ กลับไปหาเรื่องตามแบบฉบับ ขาวดำตัดกันชัดเจนดีกว่า คนดีได้ดี คนชั่วได้ชั่ว
จริงๆ เรื่องของเนื้อเรื่องมันคงบอกว่าดีไม่ดีไม่ได้ บอกได้แต่ว่าชอบหรือไม่ชอบ มันมีประเด็นที่เรารับไม่ได้เท่านั้นเอง ถ้าไม่ติดใจเรื่องนั้นก็อาจจะโอเค แต่สำหรับเรา สรุปว่า การอ่านเรื่องไตรภาคนี้ เมื่อดูจากความยาวหนังสือและเวลาที่ใช้อ่าน กับอารมณ์ที่ลงทุนไป สิ่งที่ได้มาไม่คุ้มกับเวลาและความรู้สึกเลย ไม่คุ้มจริงๆ คิดว่าถ้าในชีวิตนี้ไม่เคยหลวมตัวไปหยิบเรื่องนี้มาอ่านซะเลยก็คงจะดีกว่านี้ ถ้าลืมได้ว่าเคยอ่านเรื่องนี้ก็อยากจะลืม
วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554
Shadow's Edge (Night Angel #2) - Brent Weeks
คะแนน : 7
บอกแล้วว่าอย่าคาดหวัง อย่าคาดหวัง เล่มแรกดีไม่ใช่ว่ามันจะดีไปตลอด เล่มสองของ Night Angel Trilogy นี้ห่วยลงมากๆ เซ็งไปเลย
เนื้อเรื่องมันไม่ปะติดปะต่อ จากอิทธิพลของ Lord of the Rings ทำให้นักเขียนเรื่องแฟนตาซีที่ตามๆ มาชอบเขียนตัวละครเยอะๆ แล้วตัวละครก็แยกย้ายกัน แบ่งเนื้อเรื่องออกเป็นหลายสาย แต่เราว่า วิธีนี้จะใช้ได้ผลดีถ้ามันสลับแค่สัก 3-4 สายก็เหลือแหล่แล้ว ใน The Way of Shadows ชมไปว่า ยังไม่งง เพราะยังมีเนื้อเรื่องหลักอยู่ แต่เล่มนี้ตัวละครกระจายกันไปหมด แยกเนื้อเรื่องเป็นสิบทิศทางได้ ตัดสลับตัวละครเป็น 20 ตัว บ้าไปแล้วมั้ง แล้วบางตัวก็ไม่ได้มีความหมายเลย นักเขียนที่ใช้วิธีนี้เล่าเรื่อง เหมือนอยากโชว์พาวมากกว่า หรืออยากเพิ่มหน้ากระดาษให้มันหนาโดยใช่เหตุ ไม่ใช่นักอ่านโง่ที่จำตัวละครไม่ได้นะ แต่คิดดูว่า ทิ้งชะตากรรมตัวละครไว้ตัวหนึ่งให้ลุ้นว่าจะตายไม่ตาย หนีรอดไม่รอด แล้วจบบทดื้อๆ จากนั้นก็หมุนไปหาตัวละครอื่นอีก 7-8 สาย แล้วค่อยกลับมาเล่าเรื่องของตัวนั้นต่อ แล้วอารมณ์ลุ้นมันจะเหลือมาถึงมั้ยล่ะ ฮ่วย
ตัวละครแสดงพฤติกรรมโง่ๆ เต็มไปหมด โคตรเหลือเชื่อ เล่มหนึ่งก็ยังดูฉลาดกันอยู่ดีๆ เล่มนี้งี่เง่ากันไปทั้งเรื่อง
และเรื่องงี่เง่าอีกนับไม่ถ้วน คนแต่งคนเดียวกับเล่มที่แล้วมั้ยเนี่ย สงสัยเล่มแรกมีเวลาแต่งนานกว่าจะได้พิมพ์ พอเล่มสองมารีบๆ เขียนเลยได้แค่นี้รึเปล่า
หลังจากอ่านว่ามีเด็กกับผู้หญิงถูกข่มขืนไปเป็นครั้งที่ร้อยในเรื่องนี้ เราก็เริ่มหมดความอดทน จะแสดงความโหดร้ายป่าเถื่อนของฉากในเรื่องก็เข้าใจ แต่เอาให้มันพอดี ไม่ต้องตอกย้ำกันขนาดนั้นก็ได้ บั่นทอนจิตใจนักอ่านมากเลย คือถ้าไม่มีไอ้ข้อที่บ่นๆ มาด้านบน แล้วอ่านสนุกไปเรื่อยๆ อาจจะมองข้ามประเด็นนี้ไป เพราะมันก็มีมาตั้งแต่เล่มหนึ่งล่ะ แต่เล่มนี้เริ่มจะเกินทน
คือมันก็ยังมีจุดที่อ่านสนุกอยู่ เพราะติดตามตัวละครมาจากเล่มแรก และฉากแอกชั่นท้ายเรื่องมันส์มาก แต่ดูทิศทางของเรื่องแล้ว ในเล่มจบดูท่าเรื่องน่าจะมั่วๆ หนักขึ้นไปอีก
บอกแล้วว่าอย่าคาดหวัง อย่าคาดหวัง เล่มแรกดีไม่ใช่ว่ามันจะดีไปตลอด เล่มสองของ Night Angel Trilogy นี้ห่วยลงมากๆ เซ็งไปเลย
เนื้อเรื่องมันไม่ปะติดปะต่อ จากอิทธิพลของ Lord of the Rings ทำให้นักเขียนเรื่องแฟนตาซีที่ตามๆ มาชอบเขียนตัวละครเยอะๆ แล้วตัวละครก็แยกย้ายกัน แบ่งเนื้อเรื่องออกเป็นหลายสาย แต่เราว่า วิธีนี้จะใช้ได้ผลดีถ้ามันสลับแค่สัก 3-4 สายก็เหลือแหล่แล้ว ใน The Way of Shadows ชมไปว่า ยังไม่งง เพราะยังมีเนื้อเรื่องหลักอยู่ แต่เล่มนี้ตัวละครกระจายกันไปหมด แยกเนื้อเรื่องเป็นสิบทิศทางได้ ตัดสลับตัวละครเป็น 20 ตัว บ้าไปแล้วมั้ง แล้วบางตัวก็ไม่ได้มีความหมายเลย นักเขียนที่ใช้วิธีนี้เล่าเรื่อง เหมือนอยากโชว์พาวมากกว่า หรืออยากเพิ่มหน้ากระดาษให้มันหนาโดยใช่เหตุ ไม่ใช่นักอ่านโง่ที่จำตัวละครไม่ได้นะ แต่คิดดูว่า ทิ้งชะตากรรมตัวละครไว้ตัวหนึ่งให้ลุ้นว่าจะตายไม่ตาย หนีรอดไม่รอด แล้วจบบทดื้อๆ จากนั้นก็หมุนไปหาตัวละครอื่นอีก 7-8 สาย แล้วค่อยกลับมาเล่าเรื่องของตัวนั้นต่อ แล้วอารมณ์ลุ้นมันจะเหลือมาถึงมั้ยล่ะ ฮ่วย
ตัวละครแสดงพฤติกรรมโง่ๆ เต็มไปหมด โคตรเหลือเชื่อ เล่มหนึ่งก็ยังดูฉลาดกันอยู่ดีๆ เล่มนี้งี่เง่ากันไปทั้งเรื่อง
- เป็นนักฆ่าอยากถอนตัว แค่ทิ้งเมืองออกมาดื้อๆ ศัตรูตามหลังอยู่เต็มไปหมด มาเมืองใหม่ก็ไม่คิดกลบเกลื่อนร่องรอยเลยเหรอ ชื่อแซ่ก็ไม่เปลี่ยน กลุ้มใจจริงๆ
- รู้ว่าเพื่อนทำนายแม่น เค้าเตือนแล้วก็ยังโง่อีก ปล่อยให้ทหารทั้งกองร้อยตายโง่ๆ ช็อตนี้ทำเอาเกือบขี้เกียจอ่านต่อเลย
- อุตส่าห์อดทนอยู่ในคุก ลำบากลำบนกินเนื้อคน ผ่านไปสามเดือน เพิ่งจะมาคิดหนีเอาตอนไม่มีแรงเหลือแล้ว กะหลั่วมาก
- เพิ่งมีคนมาบอกว่าเพื่อนรักยังไม่ตาย จะไปช่วย แทนที่จะรีบ พี่แกเถลไถลข้างทางอยู่ครึ่งเล่ม บอกว่าตั้งนานแล้วยังไม่ตาย รออีกหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก เฮ้อ
- เนื้อเรื่องตรงดาบในตำนานนั่น มันอะไรฟะ ไม่มีเหตุมีผลเลย
- รู้ว่าเพื่อนทำนายแม่น เค้าเตือนแล้วก็ยังโง่อีก ปล่อยให้ทหารทั้งกองร้อยตายโง่ๆ ช็อตนี้ทำเอาเกือบขี้เกียจอ่านต่อเลย
- อุตส่าห์อดทนอยู่ในคุก ลำบากลำบนกินเนื้อคน ผ่านไปสามเดือน เพิ่งจะมาคิดหนีเอาตอนไม่มีแรงเหลือแล้ว กะหลั่วมาก
- เพิ่งมีคนมาบอกว่าเพื่อนรักยังไม่ตาย จะไปช่วย แทนที่จะรีบ พี่แกเถลไถลข้างทางอยู่ครึ่งเล่ม บอกว่าตั้งนานแล้วยังไม่ตาย รออีกหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก เฮ้อ
- เนื้อเรื่องตรงดาบในตำนานนั่น มันอะไรฟะ ไม่มีเหตุมีผลเลย
และเรื่องงี่เง่าอีกนับไม่ถ้วน คนแต่งคนเดียวกับเล่มที่แล้วมั้ยเนี่ย สงสัยเล่มแรกมีเวลาแต่งนานกว่าจะได้พิมพ์ พอเล่มสองมารีบๆ เขียนเลยได้แค่นี้รึเปล่า
หลังจากอ่านว่ามีเด็กกับผู้หญิงถูกข่มขืนไปเป็นครั้งที่ร้อยในเรื่องนี้ เราก็เริ่มหมดความอดทน จะแสดงความโหดร้ายป่าเถื่อนของฉากในเรื่องก็เข้าใจ แต่เอาให้มันพอดี ไม่ต้องตอกย้ำกันขนาดนั้นก็ได้ บั่นทอนจิตใจนักอ่านมากเลย คือถ้าไม่มีไอ้ข้อที่บ่นๆ มาด้านบน แล้วอ่านสนุกไปเรื่อยๆ อาจจะมองข้ามประเด็นนี้ไป เพราะมันก็มีมาตั้งแต่เล่มหนึ่งล่ะ แต่เล่มนี้เริ่มจะเกินทน
คือมันก็ยังมีจุดที่อ่านสนุกอยู่ เพราะติดตามตัวละครมาจากเล่มแรก และฉากแอกชั่นท้ายเรื่องมันส์มาก แต่ดูทิศทางของเรื่องแล้ว ในเล่มจบดูท่าเรื่องน่าจะมั่วๆ หนักขึ้นไปอีก
วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554
The Way of Shadows (Night Angel #1) - Brent Weeks
คะแนน : 8
สัปดาห์ที่ผ่านมาทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอตมาก เจ็ดวันเต็ม เพิ่งจะได้พักเมื่อเย็นวานเอง บางทีก็นึกเหมือนกันว่า ต้องเคลียร์งานให้หมดเดือนมีนา เพราะเมษาวันหยุดเยอะ ทำงานสองเท่ามันคุ้มมั้ยเนี่ย แต่พอถึงเดือนเมษาได้หยุดยาว ก็คงไม่บ่นแล้ว จริงๆ เดือนหน้ามีกำหนดจะไปญี่ปุ่น แต่ยกเลิกทริปกันไปแล้ว สงสารและนับถือคนญี่ปุ่นไปพร้อมๆ กัน เจอภัยพิบัติระดับนี้แต่ก็ดูรับมือกับสถานการณ์ได้ดี
The Way of Shadows เป็นเล่มแรกในชุด Night Angel Trilogy สนใจเรื่องนี้เพราะหน้าปกก่อนเลย ชุดนี้ปกสวยมาก ที่ร้านคิโนะฯ ชั้นหนังสือแฟนตาซีที่เรียงอยู่ ปกส่วนใหญ่มันจะมืดๆ หม่นๆ ดำๆ ไปทั้งแถว สามเล่มนี้เด่นสะดุดตาเลย เหมือนปกการ์ตูน ตัวเอกเป็นนักฆ่า มีพลังพิเศษ คล้ายๆ นินจา ตอนแรกพระเอกเป็นเด็กที่อาศัยปากกัดตีนถีบอยู่ในแก๊งเด็กวัยรุ่น บังเอิญได้เจอนักฆ่าระดับตำนาน ก็เลยขอเป็นลูกศิษย์ และฝึกฝนวิชา โตมาเป็นนักฆ่า โดยแอบสวมรอยเป็นเด็กหนุ่มขุนนางตกยากบังหน้า และเนื้อเรื่องก็เกี่ยวพันกับการเมืองในระดับผู้ปกครองไปด้วย
เรื่องนี้เป็นแฟนตาซีแบบ epic อารมณ์มาคล้ายๆ แบบ Tales of the Otori เหมือนกัน ฉากเรื่องนี้อยู่ในดินแดนสมมุติ ที่มีอาณาจักรต่างๆ แก่งแย่งกันอยู่ แต่ฉากในเล่มแรกยังเน้นแค่ที่เมืองเดียว วัฒนธรรมในเรื่องก็จะปนๆ กันทั้งฝรั่งและญี่ปุ่น ช่วงแรกๆ ก็ต้องใช้พลังความตั้งใจอ่านเยอะหน่อย เพราะชื่อต่างๆ ทั้งตัวละคร สถานที่ องค์กรลับ ฯลฯ มันอ่านยากมากเลย ต้องค่อยๆ อ่านไปถึงจะเริ่มคุ้น หนังสือก็เล่มหนา อ่านเหนื่อยเหมือนกัน ช่วงแรกต้องอดทน
รายละเอียดในเนื้อเรื่องจะเยอะ ตัวละครก็แบ่งเป็นหลายฝ่ายมาก แต่ถึงจะมีแทรกเนื้อเรื่องจากฝั่งตัวละครอื่นเข้ามาเป็นระยะ ก็ถือว่ายังไม่หลุดจากแกนหลักเรื่องของตัวพระเอกกับคนใกล้ชิด เพราะฉะนั้นยังไม่งง และก็แคร์ รู้สึกว่าเรื่องน่าติดตามดีมาก เรื่องนี้เป็นแฟนตาซีแนวผู้ใหญ่ เรื่องรุนแรงอยู่เหมือนกัน และมีพล็อตพวกแผนการต่างๆ ซับซ้อนอยู่สมควร ครึ่งเล่มแรกบิลท์ฉากกับตัวละคร ครึ่งเล่มหลังเน้นพล็อตเรื่องกับแอกชั่น ตอนมันยกระดับเรื่องครั้งแรกตอนกลางเล่ม รู้สึกว่ามันมั่วๆ กับช่วงนั้นหน่อย มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเยอะมาก สถานการณ์เปลี่ยนเร็ว แต่ก็จะค่อยๆ เก็ทขึ้นเรื่อยๆ แหละ
มาถึง 3/4 เล่ม เข้าช่วงไคลแม็กซ์ยาวเลย นองเลือดมาก ช่วงนี้มีตัวละครใช้แล้วทิ้งเยอะ โผล่หน้ามาแล้วก็ตาย ท้ายเล่มสนุกมากๆๆ ช่วงนี้งัดพลังพิเศษ เวทมนตร์ อาวุธไอเทมในตำนานก็เริ่มโผล่มา มันส์ เนื้อเรื่องที่ปล่อยเงื่อนไว้เยอะแยะตลอดเล่ม บางอันงง บางอันนานจนลืม ก็ถูกนำมาสรุปคลี่คลายให้รู้เรื่องช่วงท้าย พร้อมทั้งทิ้งประเด็นที่ทำให้อยากลุ้นต่อเล่มหน้า ถือว่าเยี่ยม พล็อตมันอลังการดี ตัวละครก็โอเค มีความคับแค้น จิตใจระอุ ชอบ ชอบ
ท้ายเล่มมีกิตติกรรมประกาศที่ยาวเป็นบทของ Brent Weeks เขียนได้มีเสน่ห์ดี เล่าเรื่องของเขาและขอบคุณคนนั้นคนนี้ เรื่องนี้เป็นนิยายเล่มเปิดตัวของเขา ท่าทางอนาคตไกลนะ ชอบที่เขาชมภรรยาซะยาว บทสัมภาษณ์ก็ตลกน่ารักดี ขำตอนที่เขาบอกว่า เขามีนิสัยการอ่านแบบสำส่อน เพราะอ่านไม่เลือกแนว ก๊ากเลย แล้วอย่างเรานับว่าอ่านสำส่อนด้วยมั้ยนี่ ^_^
Update (20 มี.ค. 54)
เล่ม 2-3 ไม่คล้ายโอโตริเลย เรื่องจะแย่ลงเรื่อยๆ หนังสือดีมีอีกเยอะแยะ อย่าเสียเวลากับซีรีส์นี้เลย ไม่คุ้มหรอก
สัปดาห์ที่ผ่านมาทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอตมาก เจ็ดวันเต็ม เพิ่งจะได้พักเมื่อเย็นวานเอง บางทีก็นึกเหมือนกันว่า ต้องเคลียร์งานให้หมดเดือนมีนา เพราะเมษาวันหยุดเยอะ ทำงานสองเท่ามันคุ้มมั้ยเนี่ย แต่พอถึงเดือนเมษาได้หยุดยาว ก็คงไม่บ่นแล้ว จริงๆ เดือนหน้ามีกำหนดจะไปญี่ปุ่น แต่ยกเลิกทริปกันไปแล้ว สงสารและนับถือคนญี่ปุ่นไปพร้อมๆ กัน เจอภัยพิบัติระดับนี้แต่ก็ดูรับมือกับสถานการณ์ได้ดี
The Way of Shadows เป็นเล่มแรกในชุด Night Angel Trilogy สนใจเรื่องนี้เพราะหน้าปกก่อนเลย ชุดนี้ปกสวยมาก ที่ร้านคิโนะฯ ชั้นหนังสือแฟนตาซีที่เรียงอยู่ ปกส่วนใหญ่มันจะมืดๆ หม่นๆ ดำๆ ไปทั้งแถว สามเล่มนี้เด่นสะดุดตาเลย เหมือนปกการ์ตูน ตัวเอกเป็นนักฆ่า มีพลังพิเศษ คล้ายๆ นินจา ตอนแรกพระเอกเป็นเด็กที่อาศัยปากกัดตีนถีบอยู่ในแก๊งเด็กวัยรุ่น บังเอิญได้เจอนักฆ่าระดับตำนาน ก็เลยขอเป็นลูกศิษย์ และฝึกฝนวิชา โตมาเป็นนักฆ่า โดยแอบสวมรอยเป็นเด็กหนุ่มขุนนางตกยากบังหน้า และเนื้อเรื่องก็เกี่ยวพันกับการเมืองในระดับผู้ปกครองไปด้วย
เรื่องนี้เป็นแฟนตาซีแบบ epic อารมณ์มาคล้ายๆ แบบ Tales of the Otori เหมือนกัน ฉากเรื่องนี้อยู่ในดินแดนสมมุติ ที่มีอาณาจักรต่างๆ แก่งแย่งกันอยู่ แต่ฉากในเล่มแรกยังเน้นแค่ที่เมืองเดียว วัฒนธรรมในเรื่องก็จะปนๆ กันทั้งฝรั่งและญี่ปุ่น ช่วงแรกๆ ก็ต้องใช้พลังความตั้งใจอ่านเยอะหน่อย เพราะชื่อต่างๆ ทั้งตัวละคร สถานที่ องค์กรลับ ฯลฯ มันอ่านยากมากเลย ต้องค่อยๆ อ่านไปถึงจะเริ่มคุ้น หนังสือก็เล่มหนา อ่านเหนื่อยเหมือนกัน ช่วงแรกต้องอดทน
รายละเอียดในเนื้อเรื่องจะเยอะ ตัวละครก็แบ่งเป็นหลายฝ่ายมาก แต่ถึงจะมีแทรกเนื้อเรื่องจากฝั่งตัวละครอื่นเข้ามาเป็นระยะ ก็ถือว่ายังไม่หลุดจากแกนหลักเรื่องของตัวพระเอกกับคนใกล้ชิด เพราะฉะนั้นยังไม่งง และก็แคร์ รู้สึกว่าเรื่องน่าติดตามดีมาก เรื่องนี้เป็นแฟนตาซีแนวผู้ใหญ่ เรื่องรุนแรงอยู่เหมือนกัน และมีพล็อตพวกแผนการต่างๆ ซับซ้อนอยู่สมควร ครึ่งเล่มแรกบิลท์ฉากกับตัวละคร ครึ่งเล่มหลังเน้นพล็อตเรื่องกับแอกชั่น ตอนมันยกระดับเรื่องครั้งแรกตอนกลางเล่ม รู้สึกว่ามันมั่วๆ กับช่วงนั้นหน่อย มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเยอะมาก สถานการณ์เปลี่ยนเร็ว แต่ก็จะค่อยๆ เก็ทขึ้นเรื่อยๆ แหละ
มาถึง 3/4 เล่ม เข้าช่วงไคลแม็กซ์ยาวเลย นองเลือดมาก ช่วงนี้มีตัวละครใช้แล้วทิ้งเยอะ โผล่หน้ามาแล้วก็ตาย ท้ายเล่มสนุกมากๆๆ ช่วงนี้งัดพลังพิเศษ เวทมนตร์ อาวุธไอเทมในตำนานก็เริ่มโผล่มา มันส์ เนื้อเรื่องที่ปล่อยเงื่อนไว้เยอะแยะตลอดเล่ม บางอันงง บางอันนานจนลืม ก็ถูกนำมาสรุปคลี่คลายให้รู้เรื่องช่วงท้าย พร้อมทั้งทิ้งประเด็นที่ทำให้อยากลุ้นต่อเล่มหน้า ถือว่าเยี่ยม พล็อตมันอลังการดี ตัวละครก็โอเค มีความคับแค้น จิตใจระอุ ชอบ ชอบ
ท้ายเล่มมีกิตติกรรมประกาศที่ยาวเป็นบทของ Brent Weeks เขียนได้มีเสน่ห์ดี เล่าเรื่องของเขาและขอบคุณคนนั้นคนนี้ เรื่องนี้เป็นนิยายเล่มเปิดตัวของเขา ท่าทางอนาคตไกลนะ ชอบที่เขาชมภรรยาซะยาว บทสัมภาษณ์ก็ตลกน่ารักดี ขำตอนที่เขาบอกว่า เขามีนิสัยการอ่านแบบสำส่อน เพราะอ่านไม่เลือกแนว ก๊ากเลย แล้วอย่างเรานับว่าอ่านสำส่อนด้วยมั้ยนี่ ^_^
Update (20 มี.ค. 54)
เล่ม 2-3 ไม่คล้ายโอโตริเลย เรื่องจะแย่ลงเรื่อยๆ หนังสือดีมีอีกเยอะแยะ อย่าเสียเวลากับซีรีส์นี้เลย ไม่คุ้มหรอก
วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554
Revolution - Jennifer Donnelly
คะแนน : 8
แอนดี้ เด็กสาวคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน ที่กำลังเศร้าเสียใจกับการตายของน้องชาย และไม่สนใจการเรียนจนโรงเรียนเตือนว่าจะถูกไล่ออก พ่อที่เป็นนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลด้าน DNA ต้องไปทำงานที่ฝรั่งเศส เพื่อตรวจสอบว่าหัวใจที่อยู่ในโถแก้วที่บอกว่าเป็นของหลุยส์ที่ 17 ลูกชายของมารีอังตัวเนตต์นั้นเป็นของจริงหรือเปล่า พ่อก็เลยพาตัวแอนดี้มาปารีสด้วย แอนดี้ได้เจอไดอารี่ของเด็กสาวคนหนึ่งชื่ออเล็กซานดริน ที่มีชีวิตเกี่ยวพันกับเจ้าชายน้อยผู้นั้น
นิยาย YA ของ Jennifer Donnelly เรื่องนี้ ไม่เหมือนเรื่องซีรีส์กุหลาบเลย อารมณ์ต่างกันเยอะ เป็นนิยายสะท้อนปัญหาชีวิตวัยรุ่นที่บ้านแตกสาแหรกขาด + นิยายอิงประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศส + Time Travel (รึเปล่า?) ถึงจะไม่ดราม่าพลิกไปมา แต่เรื่องนี้ก็เขียนได้ดี น่าติดตาม
Revolution ขึ้นต้นเรื่องอย่างช้าๆ แนะนำให้เรารู้จักตัวแอนดี้ ที่กำลังประสบปัญหาชีวิตขนาดหนัก น้องชายตาย แม่เสียสติ พ่อทิ้งพวกเธอไปแต่งงานใหม่ และกำลังจะมีลูกใหม่ เครื่องปลอบใจอย่างเดียวที่มีคือดนตรี เนื้อเรื่อง 20% แรก แทบไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย มีแค่ไปโรงเรียนแล้วก็กลับบ้าน เรื่อง The Tea Rose กินเวลาเป็นสิบปีในเล่ม แต่เวลาใน Revolution นั้นแค่ไม่กี่วัน ดำเนินเรื่องด้วยเวลาในระดับเข็มวินาที บรรยายละเอียดมาก แต่เราว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ผู้แต่งใช้ได้คุ้มค่า ทุกนาทีมีความหมาย เพราะมันทำให้คนอ่านแคร์ตัวละคร เราไม่ได้แค่เห็นแอนดี้จมอยู่กับความรู้สึกผิด หดหู่ และวูบๆ กับความคิดฆ่าตัวตาย แต่เรารู้สึกเจ็บปวดไปกับเธอด้วย เหมือนผู้แต่งพาเราไปสัมผัสประสบการณ์ของแอนดี้ตรงๆ ความคิดความรู้สึกของเธอบรรยายได้ดีมากเลย
พอมาถึงปารีส เนื้อเรื่องก็เริ่มตัดสลับระหว่างแอนดี้ในยุคปัจจุบัน กับเรื่องราวของอเล็กซ์ที่อยู่ในไดอารี่ ก็นำพาเราไปสู่ช่วงเวลาของการปฏิวัติฝรั่งเศส เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน อเล็กซ์เป็นเด็กสาวที่โชคชะตาบันดาลให้ได้มีโอกาสมาเป็นพี่เลี้ยงของเจ้าชายหลุยส์-ชาร์ลส์ รัชทายาทฝรั่งเศส ช่วงนี้ ผู้แต่งผสมตัวละครจริงในประวัติศาสตร์กับตัวละครที่แต่งเองอย่างกลมกลืน อ่านจบแล้วต้องค่อยๆ มาเช็คว่าคนนั้นคนนี้มีจริงรึเปล่า ตัวสำคัญคือนักประพันธ์เพลงนี่แต่งเอง แต่รู้สึกว่าอย่างเนียนเลย เล่าประวัติซะเป็นจริงเป็นจังอย่างกับเรื่องจริง เรื่องหัวใจของโดแฟ็งเราเคยดูสารคดีเรื่องนี้ในเคเบิลทีวี ก็เลยรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว ไม่งั้นก็คงลุ้นกว่านี้หน่อย
ช่วงท้ายมีแอกชั่นเกิดขึ้นสนุกน่าสนใจดี แต่แอบคิดว่าให้เวลาน้อยไปหน่อยมั้ยจะจบเรื่องอยู่แล้ว แต่ก็โอเคน่ะ บทสรุปก็สมจริงดี ไม่เศร้าเกินไป แต่ก็ไม่ใช่เทพนิยายที่ทุกอย่างจะลงท้ายแฮปปี้ไปหมด
แอนดี้ เด็กสาวคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน ที่กำลังเศร้าเสียใจกับการตายของน้องชาย และไม่สนใจการเรียนจนโรงเรียนเตือนว่าจะถูกไล่ออก พ่อที่เป็นนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลด้าน DNA ต้องไปทำงานที่ฝรั่งเศส เพื่อตรวจสอบว่าหัวใจที่อยู่ในโถแก้วที่บอกว่าเป็นของหลุยส์ที่ 17 ลูกชายของมารีอังตัวเนตต์นั้นเป็นของจริงหรือเปล่า พ่อก็เลยพาตัวแอนดี้มาปารีสด้วย แอนดี้ได้เจอไดอารี่ของเด็กสาวคนหนึ่งชื่ออเล็กซานดริน ที่มีชีวิตเกี่ยวพันกับเจ้าชายน้อยผู้นั้น
นิยาย YA ของ Jennifer Donnelly เรื่องนี้ ไม่เหมือนเรื่องซีรีส์กุหลาบเลย อารมณ์ต่างกันเยอะ เป็นนิยายสะท้อนปัญหาชีวิตวัยรุ่นที่บ้านแตกสาแหรกขาด + นิยายอิงประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศส + Time Travel (รึเปล่า?) ถึงจะไม่ดราม่าพลิกไปมา แต่เรื่องนี้ก็เขียนได้ดี น่าติดตาม
Revolution ขึ้นต้นเรื่องอย่างช้าๆ แนะนำให้เรารู้จักตัวแอนดี้ ที่กำลังประสบปัญหาชีวิตขนาดหนัก น้องชายตาย แม่เสียสติ พ่อทิ้งพวกเธอไปแต่งงานใหม่ และกำลังจะมีลูกใหม่ เครื่องปลอบใจอย่างเดียวที่มีคือดนตรี เนื้อเรื่อง 20% แรก แทบไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย มีแค่ไปโรงเรียนแล้วก็กลับบ้าน เรื่อง The Tea Rose กินเวลาเป็นสิบปีในเล่ม แต่เวลาใน Revolution นั้นแค่ไม่กี่วัน ดำเนินเรื่องด้วยเวลาในระดับเข็มวินาที บรรยายละเอียดมาก แต่เราว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ผู้แต่งใช้ได้คุ้มค่า ทุกนาทีมีความหมาย เพราะมันทำให้คนอ่านแคร์ตัวละคร เราไม่ได้แค่เห็นแอนดี้จมอยู่กับความรู้สึกผิด หดหู่ และวูบๆ กับความคิดฆ่าตัวตาย แต่เรารู้สึกเจ็บปวดไปกับเธอด้วย เหมือนผู้แต่งพาเราไปสัมผัสประสบการณ์ของแอนดี้ตรงๆ ความคิดความรู้สึกของเธอบรรยายได้ดีมากเลย
พอมาถึงปารีส เนื้อเรื่องก็เริ่มตัดสลับระหว่างแอนดี้ในยุคปัจจุบัน กับเรื่องราวของอเล็กซ์ที่อยู่ในไดอารี่ ก็นำพาเราไปสู่ช่วงเวลาของการปฏิวัติฝรั่งเศส เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน อเล็กซ์เป็นเด็กสาวที่โชคชะตาบันดาลให้ได้มีโอกาสมาเป็นพี่เลี้ยงของเจ้าชายหลุยส์-ชาร์ลส์ รัชทายาทฝรั่งเศส ช่วงนี้ ผู้แต่งผสมตัวละครจริงในประวัติศาสตร์กับตัวละครที่แต่งเองอย่างกลมกลืน อ่านจบแล้วต้องค่อยๆ มาเช็คว่าคนนั้นคนนี้มีจริงรึเปล่า ตัวสำคัญคือนักประพันธ์เพลงนี่แต่งเอง แต่รู้สึกว่าอย่างเนียนเลย เล่าประวัติซะเป็นจริงเป็นจังอย่างกับเรื่องจริง เรื่องหัวใจของโดแฟ็งเราเคยดูสารคดีเรื่องนี้ในเคเบิลทีวี ก็เลยรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว ไม่งั้นก็คงลุ้นกว่านี้หน่อย
ช่วงท้ายมีแอกชั่นเกิดขึ้นสนุกน่าสนใจดี แต่แอบคิดว่าให้เวลาน้อยไปหน่อยมั้ยจะจบเรื่องอยู่แล้ว แต่ก็โอเคน่ะ บทสรุปก็สมจริงดี ไม่เศร้าเกินไป แต่ก็ไม่ใช่เทพนิยายที่ทุกอย่างจะลงท้ายแฮปปี้ไปหมด
วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554
The Choice - Edith Layton
คะแนน : 5
ช่วงนี้ดวงการอ่านไม่ดีหรือยังไงนะ กะจะหาอะไรเบาๆ อ่านซะหน่อยเปลี่ยนอารมณ์ กลายเป็นเจอเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่หนักขึ้นไปอีก เนื้อเรื่องสรุปสั้นๆ ได้แค่ว่า ผู้ชายโง่ๆ คนหนึ่งมาหลงรักผู้หญิงไร้ค่า ที่มัวแต่พร่ำเพ้อถึงผู้ชายงี่เง่าอีกคน นิยายไร้แก่นสาร ปัญญาอ่อน ตอนแรกเราไม่อยากเสียเวลาพูดถึงมันมาก แต่ทั้งๆ ที่วันนี้อารมณ์ดีมากจากผลแดงเดือดเมื่อคืน แต่พอนึกถึงหนังสือเรื่องนี้ก็ยังมีตะกอนขุ่นๆ อยู่ สงสัยต้องระบายเป็นการล้างอารมณ์ ก็จะร่ายซะหน่อย แต่อาจจะแร้งงงงส์หน่อยนะ และสปอยล์ไม่ยั้งด้วย
พระเอกคือผู้ชายหน้าโง่คนหนึ่ง เป็นคนเลิศเลอเพอร์เฟกต์ทุกอย่าง แต่ตาถั่วน่าดู ในงานเลี้ยงมาเจอผู้หญิงสวยเข้าหน่อยก็ปิ๊งเค้า เห็นนางเอกเป็นของแปลก ไม่เรียบร้อยเจี๋ยมเจี้ยมเหมือนคนอื่นก็ยิ่งชอบ แล้วก็ช่วยแก้สถานการณ์ให้ด้วยการประกาศหมั้นกลางงานเลี้ยง แล้วก็พยายามตามตื๊อให้แต่งจริง ถ้าผู้หญิงคนนั้นดีแท้ก็คงไม่เป็นไร แต่ตาบอดมากเลยที่ไม่เห็นว่า เค้าไม่ไยดีตัวเอง กะว่าเดี๋ยวแต่งไปเขาก็คงรักเราเอง เป็นผู้ชายความคิดตื้นมากเลยนะนี่
ส่วนนางเอกซึ่งเป็นอดีตเด็กสลัม มีคนช่วยชุบตัวให้เลยได้ยกระดับตัวเองขึ้นมา เธอแอบรักผู้ชายอื่นอยู่ แต่คิดว่าตัวเองไม่มีหวังก็เลยยอมสานสัมพันธ์กับพระเอก ตลกมากเลย ตอนที่เธอสารภาพความเป็นมา และเล่าอดีตอันเลวร้ายที่เธอเคยประสบให้พระเอกฟัง แต่กลับไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญที่สุดว่าเธอรักคนอื่นอยู่ เหมือนจะแสดงความจริงใจให้พระเอกถอย แต่ไม่ยอมบอกความจริงให้หมด แบบแอบกั๊กเพราะยังหวังเขาอยู่ พอผู้ชายรับได้ ก็ไม่ได้เห็นความดีเขาขึ้นมา อยากจะทำอะไรเพื่อเค้าบ้างก็ไม่มีหรอก กะว่าจะแต่งด้วยทั้งๆ ไม่รักนี่แหละ แล้วก็นั่งคิดถึงผู้ชายอีกคนตลอดเรื่อง
เนื้อเรื่องงี่เง่ามาก ครอบครัวพระเอกที่บอกว่าเป็นผู้ดีมีชาติตระกูลและร่ำรวย แต่ต้องยกโขยงมาขออาศัยอยู่ในบ้านของผู้ปกครองนางเอก ระหว่างรองานแต่ง เพราะไม่มีบ้านในลอนดอน แล้วผู้ปกครองนางเอกก็ทิ้งแขกไว้ไปอยู่ในชนบท ปล่อยให้นางเอกเป็นลูกแกะกลางฝูงหมาป่า อ่านแล้วก็ตลกดี ตัวละครฝั่งบ้านพระเอกน่ารำคาญมาก
พื้นฐานนางเอกมาจากข้างถนน แต่พอมาเจอครอบครัวพระเอกซึ่งเป็นตระกูลชั้นนำ เธอก็ไม่รู้จะวางตัวยังไง เธอจัดการตัวเองไม่ถูกเลยสักนิด จะแปลงตัวให้สมฐานะปัจจุบันก็ไม่ จะเป็นตัวของตัวเองก็ไม่อีก หลบไปอยู่ในห้องเงียบๆ คุณเธอไม่เคยรู้เลยว่า ตัวเองต้องการอะไรในชีวิต รักใครก็ไม่รู้ อยากให้ชีวิตอนาคตเป็นยังไงแน่ก็ไม่รู้อีก มีแต่คำว่า I don't know, I don't know. ไม่มีหัวคิดเลย สมองกลวงมาก
พอผู้ชายงี่เง่าที่นางเอกแอบรักอยู่โผล่มา เรื่องก็ปัญญาอ่อนหนักเข้าไป เขาเป็นเอิร์ล รู้ว่านางเอกแอบชอบแต่คิดว่านางเอกไม่คู่ควรกับตัวเอง แต่ตอนนี้พอนางเอกมีคนอยากได้ก็เกิดหวงก้างขึ้นมา นางเอกลืมตัวดีใจที่เจอหน้าหมอนั่น จนลืมคู่หมั้นตัวเอง อยู่ที่โต๊ะอาหารก็เผลอคุยเรื่องความหลัง หัวเราะกิ๊กกั๊ก จนถูกคู่สนทนาดุ แล้วพระเอกกับหมอนั่นก็เขม่นกันอีก มีฉากไปต่อยกันที่สโมสร ตอนอ่านฉากนี้ เห็นภาพสุนัขตัวผู้สองตัวกัดกันแย่ง... โผล่มาในหัว
ตอนท้ายเรื่องก็ยังงี่เง่าได้อีก พระเอกรู้ตัวขอให้ถอนหมั้น ยายคนนี้ก็ยังยื้อบอกไม่รู้จะตัดสินใจยังไง พอนายเอิร์ลมาขอแต่งงาน ดันเพิ่งนึกได้ว่า ไอ้ที่ชั้นเพ้อว่ารักเธอมาตั้งหลายปีเนี่ย เป็นแค่ความใฝ่ฝันบูชาเฉยๆ ความรู้สึกช้าจังเนอะ คิดเองก็ไม่ได้ต้องรอให้เรื่องมันล่วงเลยขนาดนี้ จะบ้าตาย เราสมควรได้รางวัลเรื่องความอดทนในการอ่านเลยนะนี่ ทนอ่านเรื่องห่วยไม่มีที่ชมแบบนี้จบได้ไงไม่รู้่ เราเลือกเรื่องนี้มาอ่านเพราะรีวิวดีนะ อ่านจบแล้วสงสัยว่าอ่านเรื่องเดียวกับพวกเค้ารึเปล่าเลยล่ะ
ช่วงนี้ดวงการอ่านไม่ดีหรือยังไงนะ กะจะหาอะไรเบาๆ อ่านซะหน่อยเปลี่ยนอารมณ์ กลายเป็นเจอเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่หนักขึ้นไปอีก เนื้อเรื่องสรุปสั้นๆ ได้แค่ว่า ผู้ชายโง่ๆ คนหนึ่งมาหลงรักผู้หญิงไร้ค่า ที่มัวแต่พร่ำเพ้อถึงผู้ชายงี่เง่าอีกคน นิยายไร้แก่นสาร ปัญญาอ่อน ตอนแรกเราไม่อยากเสียเวลาพูดถึงมันมาก แต่ทั้งๆ ที่วันนี้อารมณ์ดีมากจากผลแดงเดือดเมื่อคืน แต่พอนึกถึงหนังสือเรื่องนี้ก็ยังมีตะกอนขุ่นๆ อยู่ สงสัยต้องระบายเป็นการล้างอารมณ์ ก็จะร่ายซะหน่อย แต่อาจจะแร้งงงงส์หน่อยนะ และสปอยล์ไม่ยั้งด้วย
พระเอกคือผู้ชายหน้าโง่คนหนึ่ง เป็นคนเลิศเลอเพอร์เฟกต์ทุกอย่าง แต่ตาถั่วน่าดู ในงานเลี้ยงมาเจอผู้หญิงสวยเข้าหน่อยก็ปิ๊งเค้า เห็นนางเอกเป็นของแปลก ไม่เรียบร้อยเจี๋ยมเจี้ยมเหมือนคนอื่นก็ยิ่งชอบ แล้วก็ช่วยแก้สถานการณ์ให้ด้วยการประกาศหมั้นกลางงานเลี้ยง แล้วก็พยายามตามตื๊อให้แต่งจริง ถ้าผู้หญิงคนนั้นดีแท้ก็คงไม่เป็นไร แต่ตาบอดมากเลยที่ไม่เห็นว่า เค้าไม่ไยดีตัวเอง กะว่าเดี๋ยวแต่งไปเขาก็คงรักเราเอง เป็นผู้ชายความคิดตื้นมากเลยนะนี่
ส่วนนางเอกซึ่งเป็นอดีตเด็กสลัม มีคนช่วยชุบตัวให้เลยได้ยกระดับตัวเองขึ้นมา เธอแอบรักผู้ชายอื่นอยู่ แต่คิดว่าตัวเองไม่มีหวังก็เลยยอมสานสัมพันธ์กับพระเอก ตลกมากเลย ตอนที่เธอสารภาพความเป็นมา และเล่าอดีตอันเลวร้ายที่เธอเคยประสบให้พระเอกฟัง แต่กลับไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญที่สุดว่าเธอรักคนอื่นอยู่ เหมือนจะแสดงความจริงใจให้พระเอกถอย แต่ไม่ยอมบอกความจริงให้หมด แบบแอบกั๊กเพราะยังหวังเขาอยู่ พอผู้ชายรับได้ ก็ไม่ได้เห็นความดีเขาขึ้นมา อยากจะทำอะไรเพื่อเค้าบ้างก็ไม่มีหรอก กะว่าจะแต่งด้วยทั้งๆ ไม่รักนี่แหละ แล้วก็นั่งคิดถึงผู้ชายอีกคนตลอดเรื่อง
เนื้อเรื่องงี่เง่ามาก ครอบครัวพระเอกที่บอกว่าเป็นผู้ดีมีชาติตระกูลและร่ำรวย แต่ต้องยกโขยงมาขออาศัยอยู่ในบ้านของผู้ปกครองนางเอก ระหว่างรองานแต่ง เพราะไม่มีบ้านในลอนดอน แล้วผู้ปกครองนางเอกก็ทิ้งแขกไว้ไปอยู่ในชนบท ปล่อยให้นางเอกเป็นลูกแกะกลางฝูงหมาป่า อ่านแล้วก็ตลกดี ตัวละครฝั่งบ้านพระเอกน่ารำคาญมาก
พื้นฐานนางเอกมาจากข้างถนน แต่พอมาเจอครอบครัวพระเอกซึ่งเป็นตระกูลชั้นนำ เธอก็ไม่รู้จะวางตัวยังไง เธอจัดการตัวเองไม่ถูกเลยสักนิด จะแปลงตัวให้สมฐานะปัจจุบันก็ไม่ จะเป็นตัวของตัวเองก็ไม่อีก หลบไปอยู่ในห้องเงียบๆ คุณเธอไม่เคยรู้เลยว่า ตัวเองต้องการอะไรในชีวิต รักใครก็ไม่รู้ อยากให้ชีวิตอนาคตเป็นยังไงแน่ก็ไม่รู้อีก มีแต่คำว่า I don't know, I don't know. ไม่มีหัวคิดเลย สมองกลวงมาก
พอผู้ชายงี่เง่าที่นางเอกแอบรักอยู่โผล่มา เรื่องก็ปัญญาอ่อนหนักเข้าไป เขาเป็นเอิร์ล รู้ว่านางเอกแอบชอบแต่คิดว่านางเอกไม่คู่ควรกับตัวเอง แต่ตอนนี้พอนางเอกมีคนอยากได้ก็เกิดหวงก้างขึ้นมา นางเอกลืมตัวดีใจที่เจอหน้าหมอนั่น จนลืมคู่หมั้นตัวเอง อยู่ที่โต๊ะอาหารก็เผลอคุยเรื่องความหลัง หัวเราะกิ๊กกั๊ก จนถูกคู่สนทนาดุ แล้วพระเอกกับหมอนั่นก็เขม่นกันอีก มีฉากไปต่อยกันที่สโมสร ตอนอ่านฉากนี้ เห็นภาพสุนัขตัวผู้สองตัวกัดกันแย่ง... โผล่มาในหัว
ตอนท้ายเรื่องก็ยังงี่เง่าได้อีก พระเอกรู้ตัวขอให้ถอนหมั้น ยายคนนี้ก็ยังยื้อบอกไม่รู้จะตัดสินใจยังไง พอนายเอิร์ลมาขอแต่งงาน ดันเพิ่งนึกได้ว่า ไอ้ที่ชั้นเพ้อว่ารักเธอมาตั้งหลายปีเนี่ย เป็นแค่ความใฝ่ฝันบูชาเฉยๆ ความรู้สึกช้าจังเนอะ คิดเองก็ไม่ได้ต้องรอให้เรื่องมันล่วงเลยขนาดนี้ จะบ้าตาย เราสมควรได้รางวัลเรื่องความอดทนในการอ่านเลยนะนี่ ทนอ่านเรื่องห่วยไม่มีที่ชมแบบนี้จบได้ไงไม่รู้่ เราเลือกเรื่องนี้มาอ่านเพราะรีวิวดีนะ อ่านจบแล้วสงสัยว่าอ่านเรื่องเดียวกับพวกเค้ารึเปล่าเลยล่ะ
วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554
Darkside - Belinda Bauer
คะแนน : 6
ติดใจจาก Blacklands ก็เลยเอาผลงานเล่มที่สองของ Belinda Bauer มาอ่านต่อ เรื่องนี้ใช้ฉากอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน แต่เปลี่ยนเนื้อเรื่องไป ไม่ต่อเนื่องกัน
โจนัส ฮอลลี่ เป็นนายตำรวจท้องถิ่นที่ต้องขอย้ายจากเมืองกลับมาที่หมู่บ้านเล็กๆ ที่เป็นบ้านเกิดของเขา เพื่อจะได้ดูแลภรรยาที่มีอาการป่วยของโรค MS จนพิการเดินไม่ได้ วันหนึ่งหญิงชราผู้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้คนหนึ่ง ถูกฆาตกรรมบนเตียงนอน โจนัสถูกดูแคลนจากตำรวจที่เข้ามารับหน้าที่ดำเนินคดี และกีดกันเขาออกจากการสืบสวน เขาจึงเริ่มพยายามสืบหาคนร้ายด้วยตัวเอง แต่แล้วเขาก็ได้รับโน้ตเขียนเยาะเย้ย มีใครคนหนึ่งในหมู่บ้านจับตามองเขาอยู่ทุกฝีก้าว แล้วก็มีเหยื่อรายใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่บ้านที่ทุกคนรู้จักกัน ฆาตกรต้องเป็นคนที่เขารู้จักดี แต่ใครกันล่ะ?
บรรยากาศใน Darkside ช่างมืดมน หมองหม่น อึดอัด บางครั้งอ่านแล้วรู้สึกถูกกดทับจนแทบหายใจไม่ออก มันมาจากความรู้สึกอับจนสิ้นหนทางของตัวละคร ต่างจาก Blacklands ที่อึมครึม แต่ก็แฝงถึงความพยายามต้องการต่อสู้ดิ้นรนให้พ้นจากสภาพนั้น แต่ Darkside หดหู่ สิ้นหวัง ด้านมืดสมชื่อเรื่อง สาเหตุสำคัญที่สุดของความรู้สึกนี้ก็คือ เราเดาตัวฆาตกรได้ตั้งแต่ต้นๆ เรื่อง ก็เลยเหมือนเห็นหายนะรออยู่ข้างหน้า ตอนอ่านไปเราก็ได้แต่พยายามภาวนาว่า อย่าให้มันเป็นอย่างที่ฉันเดาเลย แต่ทุกเงื่อนงำมันก็ชี้ไปในทิศนั้นหมด ราวกับดูรถค่อยๆ วิ่งไปตกเหว แล้วทำอะไรไม่ได้ พอมันเฉลยว่าเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ก็ปิดหีบผลการอ่านเล่มนี้ได้เลย บทสรุปของเรื่องจบลงโดยที่หมดหวังอย่างสิ้นเชิง ชีวิตไร้แสงสว่าง คงไม่มีวันมีความสุขได้อีกแล้วล่ะ สงสารตัวละคร นั่งจินตนาการว่า ถ้าเราไม่คาดตัวฆาตกรไว้แล้ว อาจจะรู้สึกว่ามันสนุก แต่งได้ฉลาดมากก็ได้นะนี่
ก่อนจะให้คะแนนเรื่องนี้ ทำให้เราต้องคิดหนัก และลองไล่ดูเรื่องอื่นๆ ที่เราให้คะแนนไว้ว่าเกณฑ์เราอยู่ตรงไหน อันที่จริงคะแนนของเรามันก็เป็นอัตวิสัยล้วนๆ ไม่ใช่ภววิสัยอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้จะยิ่งตอกย้ำชัดๆ ว่าเราให้คะแนนตามอารมณ์ตัวเองมากๆ ซึ่งบางทีไม่ได้วัดจากตัวหนังสือเองเลย ถ้าในด้านงานเขียนของตัวนิยายเอง เราว่า เรื่องนี้มันก็เขียนดีนะ คุณภาพงานเขียนอาจจะพอๆ กับเรื่องที่เราให้ 8 ด้วยซ้ำ แต่เราไม่ชอบแบบนี้เลย อ่านแล้วไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพใจตัวเอง รู้สึกน่าผิดหวังมากๆ มันคงเป็นที่เราจัดการกับความคาดหวังของตัวเองได้ไม่ดีด้วย พอชอบเรื่องแรกมา เรื่องที่สองก็คาดหวังสูง ถ้าไม่มีความคาดหวังนั้น อาจจะไม่รู้สึกแย่เท่านี้ และอาจจะให้คะแนนที่ 7 แต่ 1 คะแนนที่หายไป เป็นค่าความผิดหวังของเรา ที่เสียนักเขียนที่คิดว่าจะตามอ่านไปหนึ่งคน
ติดใจจาก Blacklands ก็เลยเอาผลงานเล่มที่สองของ Belinda Bauer มาอ่านต่อ เรื่องนี้ใช้ฉากอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน แต่เปลี่ยนเนื้อเรื่องไป ไม่ต่อเนื่องกัน
โจนัส ฮอลลี่ เป็นนายตำรวจท้องถิ่นที่ต้องขอย้ายจากเมืองกลับมาที่หมู่บ้านเล็กๆ ที่เป็นบ้านเกิดของเขา เพื่อจะได้ดูแลภรรยาที่มีอาการป่วยของโรค MS จนพิการเดินไม่ได้ วันหนึ่งหญิงชราผู้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้คนหนึ่ง ถูกฆาตกรรมบนเตียงนอน โจนัสถูกดูแคลนจากตำรวจที่เข้ามารับหน้าที่ดำเนินคดี และกีดกันเขาออกจากการสืบสวน เขาจึงเริ่มพยายามสืบหาคนร้ายด้วยตัวเอง แต่แล้วเขาก็ได้รับโน้ตเขียนเยาะเย้ย มีใครคนหนึ่งในหมู่บ้านจับตามองเขาอยู่ทุกฝีก้าว แล้วก็มีเหยื่อรายใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่บ้านที่ทุกคนรู้จักกัน ฆาตกรต้องเป็นคนที่เขารู้จักดี แต่ใครกันล่ะ?
บรรยากาศใน Darkside ช่างมืดมน หมองหม่น อึดอัด บางครั้งอ่านแล้วรู้สึกถูกกดทับจนแทบหายใจไม่ออก มันมาจากความรู้สึกอับจนสิ้นหนทางของตัวละคร ต่างจาก Blacklands ที่อึมครึม แต่ก็แฝงถึงความพยายามต้องการต่อสู้ดิ้นรนให้พ้นจากสภาพนั้น แต่ Darkside หดหู่ สิ้นหวัง ด้านมืดสมชื่อเรื่อง สาเหตุสำคัญที่สุดของความรู้สึกนี้ก็คือ เราเดาตัวฆาตกรได้ตั้งแต่ต้นๆ เรื่อง ก็เลยเหมือนเห็นหายนะรออยู่ข้างหน้า ตอนอ่านไปเราก็ได้แต่พยายามภาวนาว่า อย่าให้มันเป็นอย่างที่ฉันเดาเลย แต่ทุกเงื่อนงำมันก็ชี้ไปในทิศนั้นหมด ราวกับดูรถค่อยๆ วิ่งไปตกเหว แล้วทำอะไรไม่ได้ พอมันเฉลยว่าเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ก็ปิดหีบผลการอ่านเล่มนี้ได้เลย บทสรุปของเรื่องจบลงโดยที่หมดหวังอย่างสิ้นเชิง ชีวิตไร้แสงสว่าง คงไม่มีวันมีความสุขได้อีกแล้วล่ะ สงสารตัวละคร นั่งจินตนาการว่า ถ้าเราไม่คาดตัวฆาตกรไว้แล้ว อาจจะรู้สึกว่ามันสนุก แต่งได้ฉลาดมากก็ได้นะนี่
ก่อนจะให้คะแนนเรื่องนี้ ทำให้เราต้องคิดหนัก และลองไล่ดูเรื่องอื่นๆ ที่เราให้คะแนนไว้ว่าเกณฑ์เราอยู่ตรงไหน อันที่จริงคะแนนของเรามันก็เป็นอัตวิสัยล้วนๆ ไม่ใช่ภววิสัยอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้จะยิ่งตอกย้ำชัดๆ ว่าเราให้คะแนนตามอารมณ์ตัวเองมากๆ ซึ่งบางทีไม่ได้วัดจากตัวหนังสือเองเลย ถ้าในด้านงานเขียนของตัวนิยายเอง เราว่า เรื่องนี้มันก็เขียนดีนะ คุณภาพงานเขียนอาจจะพอๆ กับเรื่องที่เราให้ 8 ด้วยซ้ำ แต่เราไม่ชอบแบบนี้เลย อ่านแล้วไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพใจตัวเอง รู้สึกน่าผิดหวังมากๆ มันคงเป็นที่เราจัดการกับความคาดหวังของตัวเองได้ไม่ดีด้วย พอชอบเรื่องแรกมา เรื่องที่สองก็คาดหวังสูง ถ้าไม่มีความคาดหวังนั้น อาจจะไม่รู้สึกแย่เท่านี้ และอาจจะให้คะแนนที่ 7 แต่ 1 คะแนนที่หายไป เป็นค่าความผิดหวังของเรา ที่เสียนักเขียนที่คิดว่าจะตามอ่านไปหนึ่งคน
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554
A Lot Like Love - Julie James
คะแนน : 8.25
เรื่องใหม่ของ Julie James คราวนี้นางเอกไม่ใช่นักกฎหมายแล้ว แต่เป็นเจ้าของธุรกิจร้านไวน์ จอร์แดน โรดส์ เธอได้รับเชิญให้ไปงานปาร์ตี้ของผู้ต้องสงสัยรายหนึ่ง เอฟบีไอหนุ่ม นิค แมคคอล ก็เลยติดต่อให้เธอพาเขาเข้าไปร่วมงานในฐานะคู่ควง แต่แล้ว เมื่อเกิดผิดแผน จากงานเลี้ยงคืนเดียว กลายเป็นว่า ทั้งคู่ต้องเล่นละครเป็นคู่เดทกันต่อไป
ก็ยังอ่านสนุกตามสไตล์ของ Julie James อยู่ อ่านบทสนทนาระหว่างพระเอกนางเอกด้วยอาการอมยิ้มไปตลอด รู้สึกทั้งคู่ฉลาดหัวไวปากไวทันกันดี มันเป็นคำพูดที่อยู่ในระดับที่กำลังดี ตีฝีปากใส่กันแบบน่ารัก มีอารมณ์ขัน ไม่ใช่แบบปากเก่งอวดดีจนน่าหมั่นไส้ ทั้งคู่นิสัยดีมาก ตัวละครเป็นคนดี เราชอบที่จอร์แดนไม่อยากโกหกเพื่อนและครอบครัวเรื่องที่ต้องแกล้งคบกับนิค แล้วก็ชอบที่นิคเข้าใจความรู้สึกนี้และช่วยพูดกลบเกลื่อนให้อย่างฉลาด ไม่บอกความจริงแต่ไม่โกหก ทั้งที่ถ้าเป็นนิยายเรื่องอื่น คงเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ต้องหลอกลวงเพื่อเป้าหมายที่สำคัญกว่า
เราว่า นิคนี่เป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ชายยุคใหม่ เรารู้สึกว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษขนานแท้ ไม่ใช่สุภาพบุรุษในความหมายถึงบุคลิกภายนอก เพราะเขาเป็นตำรวจ ก็ห้าวๆ แบบผู้ชายนี่แหละ กับคนร้ายก็สบถเป็นไฟใส่เหมือนกัน แต่เขาเป็นสุภาพบุรุษที่จิตใจภายใน ให้เกียรติผู้หญิง ตอนที่เขาอยากเป็นคนทำหน้าที่ขับรถ แล้วก็ขอโทษนางเอกที่เขาทำตัวเป็นมนุษย์โครมันยอง เราว่าน่ารักดี
A Lot Like Love ไม่ได้โดดเด่นที่พล็อต มันไปแบบธรรมดา ไม่มีแอกชั่นอะไรตื่นเต้นมากมาย แต่อ่านสนุกเพราะตัวละครจริงๆ ฉากเลิฟซีนเรื่องนี้เซ็กซี่มาก (ไปนิด) เรื่องนี้มีตัวละครจาก Something About You ปรากฏตัวด้วยนิดหน่อย บทไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ก็น่ารักดีตอนแจ็คแกล้งไคล์ น้องชายฝาแฝดของจอร์แดน แล้วไคล์ก็จะเป็นพระเอกเล่มหน้าอีก ก็ต้องตามอ่านกันต่อไป ^_^ ยังไงคงไม่ผิดหวัง เชื่อมือคนเขียนแล้ว
เรื่องใหม่ของ Julie James คราวนี้นางเอกไม่ใช่นักกฎหมายแล้ว แต่เป็นเจ้าของธุรกิจร้านไวน์ จอร์แดน โรดส์ เธอได้รับเชิญให้ไปงานปาร์ตี้ของผู้ต้องสงสัยรายหนึ่ง เอฟบีไอหนุ่ม นิค แมคคอล ก็เลยติดต่อให้เธอพาเขาเข้าไปร่วมงานในฐานะคู่ควง แต่แล้ว เมื่อเกิดผิดแผน จากงานเลี้ยงคืนเดียว กลายเป็นว่า ทั้งคู่ต้องเล่นละครเป็นคู่เดทกันต่อไป
ก็ยังอ่านสนุกตามสไตล์ของ Julie James อยู่ อ่านบทสนทนาระหว่างพระเอกนางเอกด้วยอาการอมยิ้มไปตลอด รู้สึกทั้งคู่ฉลาดหัวไวปากไวทันกันดี มันเป็นคำพูดที่อยู่ในระดับที่กำลังดี ตีฝีปากใส่กันแบบน่ารัก มีอารมณ์ขัน ไม่ใช่แบบปากเก่งอวดดีจนน่าหมั่นไส้ ทั้งคู่นิสัยดีมาก ตัวละครเป็นคนดี เราชอบที่จอร์แดนไม่อยากโกหกเพื่อนและครอบครัวเรื่องที่ต้องแกล้งคบกับนิค แล้วก็ชอบที่นิคเข้าใจความรู้สึกนี้และช่วยพูดกลบเกลื่อนให้อย่างฉลาด ไม่บอกความจริงแต่ไม่โกหก ทั้งที่ถ้าเป็นนิยายเรื่องอื่น คงเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ต้องหลอกลวงเพื่อเป้าหมายที่สำคัญกว่า
เราว่า นิคนี่เป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ชายยุคใหม่ เรารู้สึกว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษขนานแท้ ไม่ใช่สุภาพบุรุษในความหมายถึงบุคลิกภายนอก เพราะเขาเป็นตำรวจ ก็ห้าวๆ แบบผู้ชายนี่แหละ กับคนร้ายก็สบถเป็นไฟใส่เหมือนกัน แต่เขาเป็นสุภาพบุรุษที่จิตใจภายใน ให้เกียรติผู้หญิง ตอนที่เขาอยากเป็นคนทำหน้าที่ขับรถ แล้วก็ขอโทษนางเอกที่เขาทำตัวเป็นมนุษย์โครมันยอง เราว่าน่ารักดี
A Lot Like Love ไม่ได้โดดเด่นที่พล็อต มันไปแบบธรรมดา ไม่มีแอกชั่นอะไรตื่นเต้นมากมาย แต่อ่านสนุกเพราะตัวละครจริงๆ ฉากเลิฟซีนเรื่องนี้เซ็กซี่มาก (ไปนิด) เรื่องนี้มีตัวละครจาก Something About You ปรากฏตัวด้วยนิดหน่อย บทไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ก็น่ารักดีตอนแจ็คแกล้งไคล์ น้องชายฝาแฝดของจอร์แดน แล้วไคล์ก็จะเป็นพระเอกเล่มหน้าอีก ก็ต้องตามอ่านกันต่อไป ^_^ ยังไงคงไม่ผิดหวัง เชื่อมือคนเขียนแล้ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)