วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

Re-Reads: The Hunger Games (Part II)


Part I ที่จบไปเน้นหนักที่การแนะนำตัวละครและการดึงคนอ่านให้รู้จักโลกในเรื่องฮังเกอร์เกมส์ ซึ่งเราคิดว่า SC ทำได้ดีมากๆ โดยเฉพาะเรื่องตัวละคร สังเกตว่าเวลาไปถามแฟนๆ HG ว่าชอบเรื่องนี้ตรงไหน บ่อยครั้งที่คนจะตอบมาว่าชอบตัวละครคนนั้นคนนี้ ตอนที่เราอ่านเรื่องนี้จนจบ 3 เล่ม เราไล่ชื่อตัวละครได้เยอะแยะว่าชอบใครบ้าง แต่ถ้าถามว่าแล้วไม่ชอบใครบ้าง คำตอบคือไม่มีเลย แม้แต่คนที่ถือว่าเป็นตัวร้ายของเรื่องก็ไม่ใช่คนเลวแบบที่ต้องเกลียด

ในส่วนของฉากก็น่าสนใจ เป็นโลกอนาคตที่มีเทคโนโลยีแปลกๆ ในเรื่องบ้าง แต่ไม่ถึงกับไฮเทคล้ำยุคแบบอวกาศ การที่ไม่อธิบายเรื่องเทคโนโลยีมากเท่าไหร่ ก็เลยยังไม่รู้สึกว่าไซไฟจ๋า และทำให้เอามาเทียบภาพปัจจุบันง่ายขึ้น

ในสรุป 9 บทแรกของเรา เราเลือกพูดถึงฉากที่ชอบ อ่านเองยังรู้สึกเลยว่าสำแดงอาการแม่ยกพีต้าออกนอกหน้ามาก ตอนที่อ่านรอบแรกเราก็ไม่ได้อารมณ์นี้ และไม่ได้นั่งเชียร์เรื่องความรักขนาดนี้ด้วย สนใจความเป็นไปของโลกในเรื่องและการดำเนินเรื่องมากกว่านี้ แต่เพราะนี่เป็นการอ่านซ้ำ การลุ้นเนื้อเรื่องก็ไม่เน้นแล้ว เราตั้งใจเก็บรายละเอียดในส่วนของตัวละครโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจนะคะว่า ทำไมไม่เห็นเหมือนที่คุณอ่าน คนอื่นไม่รู้แต่เทียบกับที่มาร์คอ่านก็ไม่เหมือนเราอ่าน ส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะเป็นผู้ชายกับผู้หญิงก็เลยเก็บประเด็นไม่เหมือนกัน เรื่อง HG นี่เขาเรียกว่า มี something for everyone เพราะมีประเด็นหลากหลายอยู่ในเรื่องนี้ อ่านให้โรแมนติกก็ได้ แอกชั่นก็ได้ ดราม่าก็ได้ การเมืองแบบเครียดๆ เลยก็ยังได้

เราอยากอ่านรอบนี้โดยสมมุติให้เป็นมุมมองของพีต้า คล้ายๆ กับว่าเราอ่าน Midnight Sun ที่เป็น Twilight ในมุมมองของเอ็ดเวิร์ดน่ะ ซึ่งเราคิดว่า นี่เป็นจุดที่ทำให้การอ่านนิยายได้เปรียบกว่าการดูหนังมาก หนังสือสื่อสารถึงสมองเราโดยตรง และจินตนาการของคนเราก็ขยายขอบเขตออกไปได้กว้าง แต่การดูหนังถูกจำกัดมุมมองจากสิ่งที่ผู้สร้างทำมา เหมือนไปดูจินตนาการคนอื่นซึ่งมันก็คงไม่ได้อย่างใจทุกอย่าง

อ่านต่อ Part II

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

Re-Reads: The Hunger Games (Part I)


ไหนๆ แล้ว เดือนนี้ยกให้เป็น Hunger Games Month เลยแล้วกัน เพราะดูหนังจบแล้วไม่ได้ดังหวัง เราไม่อยากให้หนังทำให้ความรู้สึกที่เรามีต่อเรื่องนี้เสียไป เพราะฉะนั้นมันต้องอ่านนิยายอีกรอบเพื่อปรับอารมณ์ มาถึงตอนนี้แล้ว เรารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ตอนนั้นได้อ่าน Hunger Games เล่มแรก แบบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลย และก็ไม่มีความคาดหวังอะไรมาก่อนทั้งสิ้น เพราะถ้าเพิ่งมาอ่านช่วงนี้ เราคงเจอสปอยล์ไปเยอะแล้ว ซึ่งบล็อกเราเองก็อาจจะเป็นตัวการที่ไปสปอยล์คนอื่นด้วยเหมือนกันแหละ ถ้าโดนสปอยล์มามันก็คงไม่ได้ความสนุกลุ้นตลอดแบบตอนอ่านรอบแรกคราวนั้นก็ได้

ประสบการณ์การอ่าน Hunger Games แบบไม่รู้อะไรมาก่อนเลยเป็นยังไง อยากให้ลองไปดูที่เว็บของนักอ่านฝรั่งคนนี้ค่ะ เราเจอเว็บนี้เมื่อปีที่แล้ว มาร์คเขาจะอ่านไปทีละบท บอกความรู้สึกของเขาไปตลอดแทบทุกพารากราฟ ตอนแรกมาร์คก็ระแวง HG แต่พออ่านไปๆ ความรู้สึกเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยน แค่เราอ่านปฏิกิริยาของมาร์คตอนอ่านเรื่องนี้ เรายังสนุกไปด้วยเลย เห็นที่เขาเขียนแล้วเสียดายเหมือนกันที่ตอนอ่านรอบแรก เราไม่ได้เขียนบล็อกตัวเองให้มันยาวๆ กว่านี้ จะได้เก็บเป็นบันทึกความทรงจำของตัวเอง

อ่านใหม่รอบนี้ก็จดซะหน่อยแล้วกัน แต่เอามาแชร์ในบล็อกด้วยสำหรับคนชอบเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะจากเว็บของมาร์คทำให้เรารู้ว่า แค่การอ่านว่าคนที่ชอบเรื่องนี้เขาชอบตรงไหนบ้าง เหมือนเรามั้ย มันก็เพลินดี แต่เขียนยาวๆ แบบมาร์คไม่ไหว เอาเฉพาะประเด็นที่อยากพูดถึง ยังต้องเตือนอีกมั้ยคะว่าสปอยล์ แถมนี่เป็นการอ่านซ้ำของคนที่อ่านครบ 3 เล่มแล้ว เพราะฉะนั้น มันอาจจะมีการพูดถึงสิ่งที่เกี่ยวพันไปถึงเนื้อเรื่องจนจบด้วย คนที่ยังอ่านไม่ถึง Mockingjay คิดว่าทำคุณแก่ตัวเอง อย่าอ่านต่อเลยนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

The Hunger Games (Movie)



A little hope is effective, a lot of hope is dangerous.

บทพูดของประธานาธิบดีสโนว์ประโยคนี้ในภาพยนตร์ ที่ไม่มีในหนังสือ
ใช้สรุปความคิดของเราหลังดูหนัง The Hunger Games ได้ดีที่สุด
มีความหวังบ้างมันก็ดี แต่หวังมากก็อันตราย
เพราะตอนนี้รู้สึกเหมือนถูกลูกโป่งที่ชื่อความหวังแตกใส่หน้า


Update: 24 ชั่วโมงหลังดูหนังจบ
เมื่อวานออกจากโรงกลับถึงบ้าน เรานั่งพูดระบายความผิดหวังที่หนังทำไม่ได้อย่างใจให้น้องฟังไปครึ่งชั่วโมง หายอัดอั้นไปเยอะล่ะ เผื่อถ้าใครอยากรู้ว่าเราบ่นอะไรไปบ้าง ก็ลองอ่านดูค่ะ

เริ่มแรกคงต้องพูดถึงความคาดหวังก่อนดูของตัวเองก่อน เพราะว่ามันคงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลังดูรู้สึกแบบนี้ เราหวังกับหนังเรื่องนี้มากๆ ตั้งตาเฝ้ารอ แต่ทั้งๆ ที่พยายามบอกตัวเองให้ลดระดับความคาดหวัง ให้สงบใจไว้ แต่ก็คอนโทรลอารมณ์ตื่นเต้นรอคอยไม่ค่อยอยู่ หนึ่งเพราะชอบนิยายเรื่องนี้มาก สองเพราะเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่ปลื้มเป็นการส่วนตัว และสามคือ แผนการโปรโมทของไลอ้อนส์เกตที่บิลท์กระแสได้น่านับถือจริงๆ ปล่อยของออกมายั่วตลอด ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ในแฟนไซต์ต่างๆ ของ HG มีข่าวใหม่ให้ลุ้นทุกวัน ทั้งทีเซอร์ เทรลเลอร์ มิวสิคฯ ภาพนิ่ง เว็บไซต์, fb, tumblr, สัมภาษณ์ และมากระหน่ำกันสุดๆ ช่วง 1-2 วีคนี้ และแต่ละอย่างเท่าที่ปล่อยออกมามันก็ดูดีได้ใจเกือบทั้งนั้น บวกกับทีมนักแสดง เท่าที่ติดตามข่าวมา แต่ละคนนิสัยน่ารักมากๆ ทั้งนั้นเลย และยิ่งหวังไปกันใหญ่เพราะรีวิวจากนักวิจารณ์ที่ออกมาดีมาก

กลับกลายเป็นว่า ทุกอย่างที่เห็นมาว่าน่าดู พอไปอยู่ในตัวหนังจริงๆ แล้ว ดับไปเกือบหมด

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

The Hunger Games: Official Illustrated Movie Companion


เล่มนี้สั่งซื้อล่วงหน้าไปตั้งนานแล้วแต่เพิ่งได้อ่าน สองจิตสองใจอยู่นานเลยนะ ใจนึงก็อยากรู้ทุกเรื่อง อีกใจนึงก็กลัวสปอยล์ แต่มาคิดดูจากการตามข่าวฮังเกอร์เกมส์มาตลอด ยิ่งช่วงนี้ตามแฟนไซต์อัปเดตถี่มากเกือบทุกชั่วโมง สปอยล์ตัวเองไปเยอะแล้วล่ะ นี่ถ้าเกิดไปดูหนังแล้วไม่ปลื้มเท่าที่รอ คงเซ็งเหมือนกัน เหมือนแบบสมัยดู Harry ภาค 1 ที่คาดหวังกับตัวหนังมากเกินไป

เล่มนี้เป็นคู่มือภาพยนตร์ Hunger Games เล่มใหญ่ไซส์นิตยสาร ข้างในมีรูปประกอบกับเรื่องราวเบื้องหลัง ก็มันชื่อ Illustrated เพราะฉะนั้นรูปเพียบ แต่รูปภาพพวกนี้ก็เห็นกระจายกันว่อนใน tumblr นานแล้ว ในด้านเนื้อหา สำหรับคนที่อ่านข่าวฮังเกอร์เกมส์ทุกวันมาเป็นปีก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกใหม่มากมาย แต่การที่นำข้อมูลน่าสนใจต่างๆ มารวบรวมอยู่ในเล่มเดียว ในรูปเล่มสวยๆ แบบนี้ก็รู้สึกว่าคุ้มแล้วล่ะ

สรุปข้อมูลใหม่ที่ได้จากเล่มนี้
- ก่อนลงมือเขียนนิยาย ซูแซนน์ คอลลินส์ ส่งเอาท์ไลน์สามหน้าครึ่งเล่าเนื้อหาสามเล่มให้สำนักพิมพ์ดูก่อน แค่นั้นก็ได้เซ็นสัญญาเลย ก่อนที่จะใช้ชื่อ The Hunger Games ในร่างต้นฉบับใช้ชื่อเรื่องว่า The Tribute of District Twelve (เครื่องบรรณาการจากเขตสิบสอง สังเกตว่าไม่มี s แปลว่าหมายถึงแคทนิสคนเดียว)
- โดนัลด์ ซัทเธอร์แลนด์ บอกให้ตัวแทนของเขาส่งจดหมายไปหาผู้กำกับ แกรี่ รอส บอกว่า เขาได้อ่านสคริปต์แล้ว สนใจบทประธานาธิบดีสโนว์ ตอนแรก ผกก. ก็ไม่แน่ใจว่านักแสดงระดับนี้อยากเล่นจริงเหรอ ภาคแรกมีบทแค่มายืนกล่าวสุนทรพจน์แค่นั้นนะ แต่พอได้อ่านจดหมายที่ซัทเธอร์แลนด์อธิบายมุมมองของเขาที่มีต่อบทสโนว์ รอสก็ประทับใจมาก จนเพิ่มบทที่ไม่มีในหนังสือให้อีกสองฉากเลย

อัปเดตข้อมูลล่าสุดที่รู้ในส่วนของเนื้อหาหนัง Hunger Games ใครไม่กลัวสปอยล์ก็ตามมา

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

Serena - Ron Rash

คะแนน : 7

ถ้าหนึ่งภาพสามารถแทนได้พันคำจริง นี่คือกราฟความรู้สึกของเราตอนอ่านนิยายเรื่องนี้

เรื่องย่อคือ คู่สามีภรรยาแต่งงานใหม่ จอร์จและเซรีน่า เพมเบอร์ตัน เดินทางมาถึงผืนป่าอุดมสมบูรณ์บนภูเขาในมลรัฐนอร์ธแคโรไลน่า เพื่อสร้างชีวิตใหม่ร่วมกัน เซรีน่าเป็นหญิงที่ไม่เหมือนใคร เธอสั่งการคนงานในปางไม้ ล่างูหางกระดิ่ง แม้กระทั่งยิงสัตว์ร้ายเพื่อช่วยชีวิตสามี แต่แล้วเมื่อเซรีน่ารู้ตัวว่า เธอจะไม่มีวันมีลูกได้ กลับกลายเป็นแรงขับเคลื่อนเหตุการณ์ต่างๆ นานาที่เปลี่ยนชีวิตทุกผู้คนในชุมชนนี้

จากเรื่องย่อบนปกหลังกับตามรีวิวต่างๆ ไม่กี่บรรทัด เรานึกว่ามันจะเป็นการเกริ่นนำเข้าเรื่องแค่นั้น เอาเข้าจริง มันกินใจความของเนื้อเรื่องไป 2/3 เล่มเลย ตอนอ่านถึงฉากที่รู้ว่าจะมีลูกไม่ได้ แปลกใจว่าเขาสปอยล์เรื่องมาไกลเหมือนกันนะ แต่มาคิดอีกทีก็เข้าใจ เนื้อเรื่องจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรมาก เป็นดราม่าของตัวละครเอกหญิงชาย กับภาพชีวิตในแคมป์ตัดไม้ยุคเศรษฐกิจตกต่ำช่วงปี 1929

จากรีวิวเขาเปรียบเทียบเรื่องนี้ว่าเป็น Macbeth ในยุคปัจจุบัน ก็พอมองเห็นว่าเรื่องนี้ดำเนินตามรอยแบบนั้น เพมเบอร์ตันกับเซรีน่าเป็นเจ้าของสัมปทานป่าไม้ เซรีน่าก็เป็นเหมือนเลดี้แม็คเบ็ธ ยุสามีให้กำจัดหุ้นส่วนทางธุรกิจ ใครขัดผลประโยชน์ก็ฆ่าทิ้งไปทีละคนสองคน ไม่เคยอ่านนิยายเรื่องไหนที่มีการตายเกิดขึ้นเกือบทุกบท แต่ไม่ทำให้รู้สึกอะไรเลยสักนิดทั้งเรื่องแบบนี้เลย เพราะเราไม่ได้เห็นเวลามีคนตาย คนอ่านรู้ก็จากการที่ตัวละครประกอบสองคนมายืนคุยกัน บอกว่าคนนั้นตายคนนี้ตาย แบบว่าพวกคนที่ตายถูกเอ่ยถึงผ่านๆ โดยเฉพาะพวกคนงาน ราวกับไม่มีหน้า ไม่มีชื่อ เหมือนใบไม้ร่วงปลิวๆ ไป ก็เข้าใจว่าการใช้ตัวประกอบมาบอกบทที่เกิดนอกฉากให้คนรู้เป็นเทคนิคที่เอามาจากบทละครเวที แต่เป็นนิยายแล้วเล่าเรื่องแบบนี้รู้สึกมันแปลกๆ

เซรีน่าเป็นตัวละครที่อยู่บนชื่อเรื่อง แต่คนอ่านจะไม่ได้รู้สึกใกล้ชิดกับเธอเลย เนื้อเรื่องดำเนินไปกับตัวเพมเบอร์ตันมากกว่า แต่เป็นการเดินตามเพมเบอร์ตันที่ส่งสายตามองเซรีน่าอยู่ตลอดเวลา พอเข้าใจนะว่าเมื่อสร้างเป็นหนัง บทเซรีน่าจะเป็นบทเด่นที่ได้โชว์ฝีมือการแสดงเยอะ ถึงได้มีข่าวว่าแอนเจลิน่า โจลี่ เคยสนใจบทนี้ เพราะหยิ่ง โหดเหี้ยม ฉลาดเจ้าเล่ห์ ทะเยอทะยาน ฆ่าไม่ปรานีเพื่อกุมอำนาจ น่าจะต้องเล่นให้เหมือน อัล ปาชิโน ใน God Father II หรือเคต แบลนเชตต์ ใน Elizabeth ตอนใกล้จบเรื่อง

แต่ตอนอ่านเป็นนิยายนี่ เราไม่เคยอินกับเซรีน่าเลย เพราะเป็นนางเอกที่เลวเกิน ถ้าอย่างเรื่องอื่นๆ ที่พระเอกนางเอกออกแนวโฉดหน่อย ตัวเอกจะเริ่มต้นจากการเป็นคนดีก่อนแล้วค่อยๆ ถลำลงสู่ด้านมืด แบบสองเรื่องข้างบน หรืออนาคิน หรือแม้แต่ยางามิ ไลท์ ก็ยังน่าติดตาม รู้สึกว่าเป็นพัฒนาการของตัวละคร แต่เซรีน่าเหมือนเข็มทิศจิตสำนึกหัก เราไม่เข้าใจความคิดของคนแบบนี้ ไม่ปูพื้นหลังให้คนอ่านมีส่วนร่วมกับตัวละครด้วย นอกจากการเขียนที่ไม่ดึงดูดให้ผูกพันกับตัวละครแล้ว อีกอย่างก็คงเป็นที่สำนวน เหมือนภาษาเขาจะสวยนะ แต่เราอ่านแล้วรู้สึกว่ามันเรื่อยเปื่อยไร้อารมณ์มาก

ตกลงว่าตัวละครก็ไม่ชอบ เนื้อเรื่องก็ไม่สนุก แต่อีกสองปีหนังฉายก็ต้องดูแน่ๆ เพราะเหตุผลเดียวคือชื่อเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ตามดูมาตั้งแต่ Winter's Bone แล้ว เข้าใจว่า แบรดลีย์ คูเปอร์ กับ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ คงจะกลัวคนติดภาพการเล่นหนังบล็อคบัสเตอร์ ระหว่างรอเล่นภาคต่อของ Hangover กับ Hunger Games เลยพยายามฉีกตัวมารับบทในเรื่องดราม่าแนวนี้บ้าง ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มันจะถึงระดับ Oscar potential อย่างที่นักวิจารณ์ว่าจริงรึเปล่า แต่คิดว่าในบ็อกซ์ออฟฟิศ ไม่น่าจะทำเงิน