วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

Pretties & Specials - Scott Westerfeld

Pretties (Uglies Series #2)
คะแนน : 7

ช่วงต้น 1/3 ของเรื่องก็ยังน่าสนใจอยู่ แทลลี่เปลี่ยนเป็นพริตตี้ และทำให้อยากรู้ว่าจะเธอจะหาทางออกจากเงื้อมมือของนครอย่างไร แต่พอเข้ากลางเรื่อง หลังจากที่แทลลี่หนีออกมาได้ ก็เหมือนเนื้อเรื่องสูญเสียเป้าหมายและไม่มีทิศทางอะไร ตอนไปติดอยู่หมู่บ้านคนป่านี่อะไรก็ไม่รู้ รู้สึกเรื่องมั่วๆ เนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไปทีละช่วง ไม่ค่อยมีจุดให้อยากลุ้นอยากตาม ว่าแต่ เชย์ทำเกินกว่าเหตุรึเปล่า ไม่เห็นจะต้องมีเหตุผลให้แค้นเคืองขนาดนั้น จะโทษว่าเป็นเพราะการถูกล้างสมองหรือ ทำให้บุคลิกตัวละครเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่รู้แฮะ แต่ไม่อินกับพฤติกรรมของตัวละครและเนื้อเรื่อง

Specials (Uglies Series #3)
คะแนน : 7.5


นี่เป็นเล่มจบของไตรภาค Uglies ดั้งเดิม ที่มีแทลลี่เป็นตัวเอก ไม่นับเล่ม Extras ที่ตามหลังมา จากท้ายเล่มที่แล้ว เนื้อเรื่องพลิกอีกรอบ แทลลี่กลายเป็นสเปเชียล ถูกผ่าตัดเปลี่ยนแปลงร่างกายให้เป็นอาวุธมีชีวิต อืมม์ จะว่าไป เนื้อเรื่องเล่มนี้สนุกนะ แต่อ่านแล้วมันไม่ลุ้นไม่ติดตามเท่าที่ควร เพราะว่าผู้แต่งไม่สามารถดึงเราให้รู้สึกผูกพันกับตัวละครได้เลย แทลลี่เหมือนไม่ค่อยมีความคิดอะไร เป้าหมายในการกระทำก็มักจะคิดแคบๆ เฉพาะหน้า ตอนเริ่มต้นเล่มนี้ก็เพราะแทลลี่อยากจะช่วยเซน ก็เลยทำโน่นทำนี่ เป็นเหตุให้เนื้อเรื่องมันค่อยๆ บังเอิญขยายขอบเขตขึ้นไปเรื่อยๆ จนใหญ่โตกลายเป็นการโจมตีข้ามนคร จนนำไปสู่การปลดปล่อยอิสรภาพของคนทั้งหมดในที่สุด

ทั้งที่เนื้อเรื่องดูน่าอ่าน ฉากแอกชั่นก็เขียนได้ดี จินตนาการไซไฟในเรื่องก็น่าสนใจ แต่เราก็ยังติดปัญหาที่ตัวละครอยู่ดี ความคิดจิตใจอารมณ์ความรู้สึกของแทลลี่นี่มันดูแบนราบ ความสัมพันธ์ของเธอกับตัวละครในเรื่องอย่าง เชย์ เซน หรือเดวิด ก็ดูปลอมๆ กลวงๆ ไม่เคยรู้สึกว่าแทลลี่จะแคร์ใครจริงๆ สักเท่าไหร่ ตัวละครที่เราว่าแต่งดีที่สุดในเรื่องคือ ดร. เคเบิล ตัวร้ายของเรื่อง โดยเฉพาะการกระทำสุดท้ายนั่นแหละ

เพราะพวกตัวละครเอกไม่มีเสน่ห์ ความรู้สึกประทับใจต่อหนังสือชุดนี้ก็ไม่เกิด กราฟความชอบมันก็เลยขึ้นไปไม่สุด

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

Uglies - Scott Westerfeld

คะแนน : 7.5

นิยาย YA action/sci-fi เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นแนว Dystopia คือ เรื่องที่ใช้ฉากโลกอนาคตที่ชีวิตคนถูกปกครองโดยการควบคุมเข้มงวด แบบเรื่อง 1984 หรือเรื่อง Hunger Games ก็เป็นแนวนี้ หรือจะเป็นหนังอย่างพวก Matrix ก็ใช่

Uglies เป็นเรื่องในโลกอนาคตประมาณ 300 ปีข้างหน้า มนุษย์ถูกแบ่งเป็น 2 จำพวก คือ พวกอั๊กลี่กับพวกพริตตี้ อั๊กลี่คือเด็กธรรมดาที่ยังไม่ผ่านการแปลงโฉม เมื่อทุกคนอายุครบ 16 ปี ก็จะเข้ารับการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาให้สวย แล้วจึงจะเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองของพวกพริตตี้ และได้สิทธิพิเศษต่างๆ เป็นพลเมืองสมบูรณ์ ตัวเอกคือ แทลลี่ ยังบลัด ที่กำลังจะอายุครบ 16 ในอีก 3 เดือน เธอแอบเข้ามาในเมืองของพริตตี้ เพื่อพบกับเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นพริตตี้ไป ขากลับเธอก็ได้พบกับเชย์ สาวอั๊กลี่อีกคนหนึ่งที่ไม่อยากกลายเป็นคนสวย และนั่นนำชีวิตแทลลี่เข้าทางผกผัน สู่การผจญภัยโลดแล่นโดดดิ่งวูบวาบขึ้นลงแบบโรลเลอร์โคสเตอร์

ครึ่งเล่มแรกสนุกมาก เนื้อเรื่องประชดประชันเสียดสีสังคมปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตา ต้องทำศัลยกรรม ให้หน้าตาออกมาพิมพ์เดียวกัน รูปร่างก็ต้องหุ่นดีห้ามอ้วน เลยแต่งเรื่องให้อนาคตโดนบังคับทำสวยหล่อซะเลย แถมมีการหลอกด่าการใช้ชีวิตยุคปัจจุบันของพวกเราไปหลายที การบริโภคทรัพยากรฟุ่มเฟือย ตัดต้นไม้ทำลายป่าเอาไปทำทุ่งเลี้ยงสัตว์ ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ ทำสปีชีส์สูญพันธ์ไปไม่รู้เท่าไหร่ แลกกับเนื้อทำแฮมเบอร์เกอร์ หายนะของคนยุคเราซึ่งถูกเรียกว่า พวก Rusty ก็มาจากการใช้น้ำมัน

แต่พอเลยกลางเรื่องไปหน่อย ช่วงที่พยายามจะใส่เรื่องความรักเข้ามา มันดูฝืนและก็ขัดๆ เหมือนเพิ่งนึกได้ว่าควรต้องใส่มาเพื่อเอาใจนักอ่านสมัยนี้ ช่วงนี้ไม่ค่อยชอบพฤติกรรมตัวละครทั้งตัวเอกและพวกคนอื่นซะเท่าไหร่ อ่านแล้วอืดไปนิด แต่พอเข้าช่วงท้ายเรื่อง ฉากแอกชั่นมันส์มาก จบเรื่องแบบต้องไปลุ้นต่อเล่มสอง แต่ว่าโดยรวมๆ แล้วเฉพาะเล่มหนึ่ง ยังไม่ได้ทำให้ประทับใจซีรีส์นี้มากเท่าไหร่

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

Cleopatra : A Life - Stacy Schiff

คะแนน : 7

โดนหวัดกินอีกรอบ ปกติไม่ค่อยเป็นอะไร ปีนี้ไม่สบายรอบที่สองตั้งแต่ยังไม่พ้นเดือนแรกเลย แถมเข้าช่วงวุ่นๆ หยุดพักก็ไม่ได้

Cleopatra : A Life เป็นหนังสือที่พยายามถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของคลีโอพัตราออกมา แบบพยายามแยกข้อเท็จจริงออกมาจากเรื่องแต่งเติม โดยอ้างอิงจากเอกสารหลักฐานที่มีการบันทึกไว้ โดยงานของนักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยหรือหลังจากยุคคลีโอพัตราไม่นาน แต่เรื่องราวของคลีโอพัตราก็รู้กันอยู่ว่าชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย เพราะฉะนั้นถึงแม้จะตัดความเป็นละครดราม่าออกแล้ว เรื่องราวของฟาโรห์องค์สุดท้ายของอียิปต์ก็ยังน่าสนใจอยู่ดี ไม่ได้เขียนเป็นนิยาย แต่ก็ไม่ถึงขนาดตำราวิชาการ เป็นการเอาข้อมูลมาเรียบเรียงเล่าเป็นเรื่องราวให้น่าอ่าน

โครงเรื่องหลักก็ไม่ได้แตกต่างจากที่รู้ๆ กันอยู่เท่าไหร่ อ่านต่วยตูนเจอบ่อย เรื่องราวของคลีโอพัตราก็เริ่มต้นที่ความเป็นมาของราชวงศ์ปโตเลมี ต่อมาชีวิตเธอก็มาเกี่ยวพันเป็นชู้รักของ จูเลียส ซีซาร์ จนมาถึง มาร์ค แอนโธนี และสุดท้ายก็จบชีวิตตนเพื่อให้พ้นเงื้อมมือศัตรูคู่แค้นอย่าง ออคเตเวียน แต่ในเล่มนี้ก็จะเล่าเรื่องอย่างลงลึกรายละเอียด คลีโอพัตราน่าจะเกิดที่ไหน โตยังไง เรียนหนังสืออะไร การกินอยู่ เสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับ บอกหมด บทสนทนาของบุคคลถ้ามีในบันทึก ก็จะถูกใส่มาด้วย ถ้าชมก็ต้องบอกว่า เนื้อหาเล่มนี้รุ่มรวยไปด้วยรายละเอียด ผู้แต่งหาข้อมูลมาใส่แน่นเอี้ยด จนถึงขนาดที่หมายเหตุกับบรรณานุกรมข้างท้าย หนาถึง 1/4 ของเล่มเลยทีเดียวเชียว

แต่ก็นั่นแหละ เพราะความที่มันละเอียดมากๆ เลย ตอนอ่านก็เลยไม่ติด ทั้งที่ก็คิดว่ามันน่าสนใจนะ แต่กลับวางบ่อยมาก อ่านแค่ทีละหน่อย (เพราะไม่สบายตาพร่าอ่านนานไม่ได้ด้วย) บางช่วงตอนกลางๆ หลังซีซาร์ตาย เรื่องการเมืองในยุคท้ายของสาธารณรัฐโรมันจะมีบุคคลที่ถูกกล่าวถึงเยอะมาก ก็จะรู้สึกหน่อยๆ ว่า จะอ่านไปทำไมเนี่ย ยังไงก็จำไม่ได้หรอก แต่ช่วงท้ายก็กลับมาสนุกดี ชอบบทที่หนึ่งกับบทสุดท้ายในเล่มนี้ ผู้แต่งที่เป็นนักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์ (จากผลงานก่อนหน้านี้) เขียนเกริ่นนำและสรุปเรื่องได้ดีมาก มันก็จริงนะ นักประวัติศาสตร์ไม่ค่อยให้เครดิตผู้หญิงที่มีอำนาจทางการเมืองเท่าไหร่หรอก สตรีที่เป็นผู้ปกครองก็มักจะถูกวาดภาพไว้ว่า ต้องพลีกายแลกบัลลังก์และดินแดนมาทั้งนั้น แถมชอบยกให้เป็นสาเหตุของการสิ้นสุดราชวงศ์อีกต่างหาก

อ่านเรื่องในประวัติศาสตร์แล้วสิ่งที่คิดคือ มนุษย์เมื่อสองพันปีก่อนเป็นยังไง สองพันปีหลัง ธรรมชาติมนุษย์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ แก่งแย่งชิงอำนาจ รักโลภโกรธหลงอยู่แค่นี้

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

Call Me Irresistible - Susan Elizabeth Phillips

คะแนน : 8

SEP บอกในเว็บของตัวเองนานแล้วตั้งแต่ปี 2009 ว่า เรื่องใหม่ของเธอจะเป็นเรื่องของเท็ด ที่มีแฟนๆ เรียกร้องเข้าไปมากว่าอยากอ่านเรื่องของเขา เท็ดเป็นเด็กเนิร์ด 9 ขวบใน Fancy Pants และเป็นหนุ่มน้อยเจ้าเสน่ห์ใน Lady Be Good ตั้งแต่รู้ข่าว เราก็เข้าไปเช็คความคืบหน้าในเว็บไซต์เป็นระยะๆ ตอนแรก SEP บอกว่า ตั้งใจจะให้เท็ดคู่ลูซี่ เด็กหญิงเจ้าเล่ห์จาก First Lady แต่แล้วเม็กจาก What I Did For Love ก็เข้ามาป่วนในหัว จนสุดท้าย SEP ต้องเปลี่ยนใจให้เท็ดคู่เม็กแทน พอปีที่แล้ว SEP ก็เอาตัวอย่างบทแรกมาขึ้นเว็บ ตอนแรกอ่านแล้ว ว้า ไม่ชอบเลย เท็ดกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับลูซี่ เม็กมาเป็นเพื่อนเจ้าสาว คือ ไม่ชอบกรณีพระเอกนางเอกไปคบกับคนที่เป็นอดีตของเพื่อนอ่ะค่ะ แต่พอความผิดหวังวูบแรกผ่านไป ก็คิดขึ้นมาว่า เอาน่า เชื่อใจ SEP แล้วกัน เดี๋ยวเธอก็ทำให้เราชอบได้อยู่ดีแหละ

หลังจากได้อ่านตัวอย่างบทแรกก็ต้องรอมาอีกเป็นปีกว่าหนังสือจะออกจริง ตอนเริ่มอ่านเล่มนี้ตื่นเต้นมาก เรื่องน่าสนใจ สนุกตั้งแต่เริ่ม เท็ด โบดีน ชายหนุ่มสุดเพอร์เฟกต์ ลูกชายของโปรกอล์ฟระดับตำนานกับพิธีกรโทรทัศน์คนดัง (Fancy Pants) เขากำลังจะแต่งงานกับลูซี่ จอร์ริก หญิงสาวผู้เพียบพร้อม ลูกสาวบุญธรรมของอดีตประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา (First Lady) ในงานเลี้ยงก่อนวันพิธีจริง เม็ก โครันด้า เพื่อนเจ้าสาวที่เพิ่งเดินทางมาถึง ก็ได้พบกับว่าที่เจ้าบ่าวของเพื่อนสนิทเป็นครั้งแรก และเพียงได้เห็นเวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เม็กก็แน่ใจว่า ทั้งคู่ไม่เหมาะสมกันเลย ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน เม็กจึงบอกลูซี่ตรงๆ ให้รู้ตัว และแล้ว ลูซี่ก็ขอยกเลิกการแต่งงานกับเท็ดในวันพิธีนั่นเอง แล้วลูซี่ก็หนีหายไป ทิ้งเม็กให้ตกเป็นเป้าหมายความเกลียดชังของคนทั้งเมือง โทษฐานเป็นตัวการทำลายงานแต่งของเท็ด นายกเทศมนตรีที่พวกเขารักและชื่นชม

เม็กเป็นลูกสาวของเซเลบ A-list เช่นกัน พ่อแม่ของเธอคือนักแสดงชายชื่อก้อง/นักเขียนบทรางวัลพูลิตเซอร์ กับอดีตนางแบบซูเปอร์โมเดลที่มีคนยกย่องว่าสวยที่สุดในโลก (Glitter Baby) แต่เม็กกลับใช้ชีวิตล่องลอยไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ก่อนหน้าที่จะมางานแต่งครั้งนี้เอง พ่อแม่เธอเพิ่งยื่นคำขาดไม่ยอมให้เงินช่วยเหลือเม็กอีกต่อไป ตอนนี้ เม็กจึงค้างค่าโรงแรม ออกจากเมืองไม่ได้ ต้องทำงานใช้หนี้ และมีหรือที่เท็ด โบดีน จะไม่อยากเอาคืนผู้หญิงที่เขาเห็นเป็นยัยตัวแสบคนนี้

เนื้อเรื่องก็อยู่ในเมือง Wynette, Texas มีตัวละครจากในเรื่อง Lady Be Good มาโผล่ในเล่มนี้เยอะมาก แทบจะครบเซ็ต ถึงจะมีเยอะหลายคน แต่ก็กระจายบทกันดี ไม่ดึงความสนใจออกไปจากตัวเอก ใครชอบเลดี้เอมม่าก็ต้องชอบบทเธอในเล่มนี้ โคตรฮาตอนที่เธอพูดถึงเคียร่า ไนท์ลีย์ ส่วนทอรี่ น้องสาวเคนนี่ก็มาแจม พวกพ่อๆ แม่ๆ ของเท็ดกับเม็กก็ได้บทสร้างสีสันกำลังดีเลย โดยเฉพาะฟรานเชสก้า

และก็เป็นไปตามสูตรของ SEP นางเอกที่กำลังตกกระป๋อง แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ กัดฟันสู้ โดนพระเอกแกล้ง ก็แก้เผ็ดคืนแบบให้ต้องขำ มีฉากตลกๆ น่ารัก บางทีก็ต้องปล่อยก๊ากหลายที แต่ช่วงกลางๆ เรื่องจะมีจังหวะที่เรื่องอืดไปหน่อย โฟกัสอยู่กับเม็กเป็นหลัก จนบางทีรู้สึกเหมือนเท็ดเป็นตัวประกอบ แต่เพราะเม็กน่ารักมากๆ ก็ไม่ว่าอะไร แต่เพราะเราไม่ค่อยได้เห็นมุมมองฝั่งเท็ดเท่าไหร่ ก็เลยไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง จู่ๆ พอเลิกกัดกัน จูบเดียวตอนกลางวัน แล้วถึงขึ้นเตียงตอนกลางคืนในวันเดียวกันเลย ก็ทำเอางงไปเหมือนกัน มันน่าจะมีฉากสปาร์กกันก่อนหน้านี้ซะหน่อยนะ อ้อ แต่ไม่ต้องห่วง เม็กเคลียร์ประเด็นอดีตแฟนเพื่อนได้ชัดเจนตรงไปตรงมาดีค่ะ

ถึงจะไม่อินกับเท็ดมาเกือบทั้งเรื่อง เพราะเล่นวางฟอร์มจัดมาตลอด แต่พอถึงตอนท้าย ฉากที่เท็ดมาเปิดใจกับเม็ก เขาก็พูดให้เราประทับใจมาก แสดงความรู้สึกของเขาออกมาได้หมดใจ จนรู้สึกว่ามันเป็นถ้อยคำที่คุ้มค่าในการรอฟังมาตลอดเรื่อง อ่านจบแล้วชอบ ไม่ผิดหวังเลยค่ะ

ป.ล. ตอนอ่านถึงเว็บไซต์ของเท็ด ขำกลิ้งเลย อ่านจบแล้วมาเช็ค มีเว็บจริงด้วย 555

เรื่องชุด Wynette, Texas
ก่อนหน้านี้ นอกจากชุดชิคาโก้สตาร์ นิยายของ SEP ส่วนมากก็เป็นเรื่องเดี่ยว แต่พอ Call Me Irresistible นิยายใหม่ล่าสุดของ SEP เล่มนี้ออกมา กลายเป็นเล่มรวมที่เชื่อมโยงเรื่องเก่าๆ เข้าด้วยกัน ทำให้จู่ๆ ก็เกิดซีรีส์ที่มีตัวละครเกี่ยวพันกันเป็นชุดใหญ่เลย 6 เล่ม + 1 เล่มที่จะมีแน่ๆ ในอนาคต เนื่องจากพระเอก-นางเอกในเล่ม คือ เท็ด กับ เม็ก เป็นลูกชายลูกสาวของพระเอก-นางเอกเรื่องเก่าๆ แถมลูซี่ ที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวของเท็ดในเรื่องนี้ ก็เป็นลูกบุญธรรมพระเอกนางเอกอีกเรื่อง ก็เลยอีรุงตุงนังกันน่าดู



ตอนจะอ่านเรื่องนี้ไปแอบพลิกเล่มเก่าๆ ก่อนเพื่อไม่ให้ตัวเองงง และไปดูแผนผังจากเว็บของ SEP มาว่า แต่ละเล่มมันเกี่ยวกันยังไง ชื่อชุด Wynette, Texas เป็นชื่อเมืองที่เป็นฉากของเรื่อง ที่เรียงลำดับมาโดยตรงคือ 1. Fancy Pants --> 2. Lady Be Good --> 3. Call Me Irresistible นี่เป็นสายของเท็ด พระเอก

#1 Fancy Pants เรื่องของดัลลัส + ฟรานเชสก้า พ่อแม่ของเท็ด เรื่องนี้ไม่ค่อยสนุกเลย ไม่ค่อยชอบ แต่ทวนเนื้อเรื่องเก่าที่เกี่ยวพันมาถึงปัจจุบันหน่อยแล้วกัน ในเล่มนี้มีเรื่องราวของเท็ด ตอนเป็นเด็ก 9 ขวบ ตอนเด็กเท็ดขี้เหร่มาก แต่ไอคิวอัจฉริยะ ฟรานเชสก้าเลิกกับดัลลี่ก่อนจะรู้ตัวว่าท้อง ฟรานเชสก้าไม่ยอมบอกความจริงให้ดัลลี่รู้ บอกว่าเป็นลูกแฟนเก่า พอคลอดคนก็ไม่สงสัย เพราะหน้าตาผิดกับพ่อแม่ที่หล่อสวยมาก สีผมสีตาก็ไม่เหมือน แต่พอเท็ด 9 ขวบ ดัลลี่บังเอิญมาเจอ ดัลลี่เห็นแล้วจำได้ว่าเท็ดหน้าเหมือนพ่อตัวเอง สรุปคือเท็ดหน้าเหมือนปู่ ความเลยแตก ดัลลี่ก็เลยลักพาตัวเท็ดมา เป็นเหตุให้ได้กลับมาคืนดีกับฟรานเชสก้า

#2 Lady Be Good เรื่องของเคนนี่ + เลดี้เอมม่า เล่มนี้เท็ดโตเป็นหนุ่มน้อย อายุ 22 เป็นเพื่อนรุ่นน้องพระเอก พอโตมาเท็ดไม่เป็นเด็กเนิร์ดแล้ว เพราะรูปหน้ามีเหลี่ยมมีคมแบบผู้ชาย ตอนเด็กขี้เหร่ พอโตหน้าขยายก็หล่อ เริ่มเห็นแววมีเสน่ห์

มาสายของเม็ก นางเอกบ้าง
#031 Glitter Baby เรื่องของเจค + เฟลอร์ พ่อแม่ของเม็ก เป็นนักแสดง + นางแบบ อันนี้นับเป็น Prequel แล้วกัน งานเก่าโบราณ จริงๆ ตอนแรกไม่เกี่ยวกับเรื่องไหนเลย ฉากก็ไม่ใช่เท็กซัส เรื่องนี้ก็ไม่สนุกเท่าไหร่ มีกล่าวถึงเม็กนิดเดียว ตอนประมาณสองขวบใน Epilogue

#033 What I Did for Love เรื่องของแบรม + จอร์จี้ เพราะเป็นเรื่องในแวดวงดารา SEP เลยพูดถึงตัวละครเก่าจาก Glitter Baby ในเล่มนี้ มีบทของเม็กตอนอายุยี่สิบกว่า เป็นเพื่อนรุ่นน้องของนางเอก

อีกเรื่องแยกย่อยเป็นฝั่งของลูซี่
#032 First Lady แมท + นีลลี่ นีลลี่เป็นภรรยาม่ายของประธานาธิบดีหนุ่ม พอสามีตายก็แอบหนีมา ตอนหลังก็ได้เป็นประธานาธิบดีหญิงของสหรัฐฯ เรื่องนี้ตอนแรกก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องไหนทั้งสิ้นเช่นกัน พระเอกนางเอกเป็นพ่อแม่บุญธรรมของลูซี่ ในเล่มกล่าวถึงลูซี่ตอนเป็นเด็ก มีบทบาทสำคัญในเรื่องเหมือนกัน

รหัสเราตั้งเองเพื่อความเข้าใจ เลข 0 คือเรื่อง Prequel เลข 3 คือเชื่อมกับ Call Me Irresistible ส่วนเลขหลักที่สาม เรียงลำดับก่อนหลังตามปีที่ตีพิมพ์

เล่มถัดไปในซีรีส์นี้ ก็จะเป็นเรื่องของลูซี่ เจ้าสาวที่หนีออกจากพิธีหายตัวไป จะไปเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง รอติดตามกันต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

ย้อนเรื่องเก่า ลุ้นเรื่องใหม่ Susan Elizabeth Phillips

Susan Elizabeth Phillips เป็นนักเขียนที่แหกเกือบทุกกฎที่เราตั้งไว้

1. เราไม่ชอบเรื่องที่นางเอกไม่เวอร์จิ้น
นางเอกของ SEP มีอยู่แค่สัก 2-3 คนเองมั้งที่ผ่านกฎข้อนี้ แต่เวลาเราอ่านเรื่องของ SEP ไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นประเด็นคาใจอะไรเลย จนทำให้เดี๋ยวนี้ถ้าเป็นเรื่องยุคปัจจุบัน เราจะไม่ถือสาแล้ว แต่ถ้าเป็นย้อนยุค ก็ยังแคร์อยู่ เอ๊ะ ทำไมสองมาตรฐาน คือ เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่อง integrity ของตัวละคร สังคมสมัยนี้ไม่เห็นเรื่องนี้ผิด เพราะฉะนั้นนางเอกมีอะไรกับใครมาก่อนก็ไม่แปลก แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนที่เรื่องนี้ยังต้องห้าม ถ้านางเอกเคยมา ก็แปลว่ามันคงมีประเด็นอะไรที่ทำให้อ่านแล้วเสียความรู้สึกได้ จริงๆ มันคงไม่ใช่สำคัญที่สถานะทางกายหรอก แต่มันเป็นเรื่องที่จิตใจของตัวนางเอกมากกว่า เพราะบางเรื่องถ้านางเอกเป็นม่ายสามีตาย แบบนี้ก็ไม่ค่อยติดใจ

2. เราไม่อ่านเรื่องที่นางเอกเคยถูกข่มขืน
เพราะอ่านแล้วไม่สบายใจไม่อยากอ่าน นิยายแนวอื่นไม่เท่าไหร่ แต่โรแมนซ์อ่านเพื่อพักสมอง ถ้ารู้ว่ามีประเด็นนี้จะไม่เอา ตอนไล่อ่านเรื่องของ SEP ก็ข้าม It Had To Be You ไปมาอยู่ตั้งนาน จนในที่สุดก็คิดว่า เอาวะ อ่านก็อ่าน แล้วมันก็กลายเป็นเรื่องที่เราชอบมากๆ จนคิดว่า ต่อไปถ้าจะต้องอ่านนิยายโรแมนซ์เรื่องที่นางเอกเคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายมาจริงๆ ก็อยากให้นางเอกทุกเรื่องทำใจและเข้มแข็งได้แบบนี้ (อีกเรื่องเดียวที่มีนางเอกเคยเคราะห์ร้าย แต่เป็นเรื่องที่เราชอบมากๆ คือ Sea Swept - Nora Roberts เรื่องนั้นเป็นเรื่องแรกที่สร้างภูมิคุ้มกันให้เราเลย)

3. เราไม่ชอบเรื่องที่พี่น้องมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนเดียวกัน
ปรกติแอนตี้ประเด็นนี้มาก รับไม่ค่อยได้ แบบผิดหวังจากรุ่นแม่แล้วมาสมหวังกับลูก รักกับพี่เขย/น้องเขย หรือพระเอกเป็นแฟนเก่าพี่สาว/น้องสาวตัวเอง ไม่ตะขิดตะขวงใจกันมั่งหรือไง แต่ Ain't She Sweet? ก็ทำให้เราชอบสุดๆ จนมองข้ามประเด็นแฟนเก่านางเอกที่ไปแต่งงานกับน้องสาวนางเอกในเรื่องนี้ได้หมด อันที่จริง ชูการ์เบ็ธ นี่ she ไม่ทำลายสเปกนางเอกในฝันของเราข้อไหนบ้าง ทั้งไม่จิ้น ทั้งแต่งงานมาแล้ว 3 ครั้ง ทั้งเคยนิสัยไม่ดีใจร้ายแกล้งคนอื่น เอาแต่ใจตัวเอง แต่เธอก็เป็นนางเอกของ SEP ที่เราชอบที่สุดเลย

4. เราไม่ชอบนางเอกที่ดูไม่มีความคิด
ตอนอ่านช่วงเปิดเรื่อง Natural Born Charmer อ่านสภาพนางเอกที่จนตรอกสุดๆ ใส่ชุดมาสคอตเดินอยู่ข้างถนน ไม่มีตังค์ติดตัว เพราะถูกแฟนทิ้งเชิดเงินไปหมด เราก็นิ่วหน้าในใจ อะไรวะเนี่ย ผู้หญิงสติดีที่ไหนจะปล่อยให้ชีวิตตัวเองตกต่ำสุดขีดจนมาอยู่ในสภาพนี้ได้ ว้า เรื่องนี้ไม่น่าเวิร์ก แต่สุดท้ายมันก็ทำให้เราชอบได้อยู่ดี เช่นเดียวกันกับ Dream a Little Dream นางเอกเป็นอดีตภรรยาของนักบวชที่เทศน์ออกโทรทัศน์ต้มตุ๋นเงินบริจาคของประชาชนไปเยอะแยะ กว่าเราจะยอมเอาเรื่องนี้มาอ่านเกือบจะเป็นเรื่องสุดท้าย เพราะสาเหตุว่า นางเอกดูเป็นผู้หญิงไม่มีวิจารณญาณ ที่ทนอยู่กับคนเลวๆ ตั้งนาน แต่ในที่สุดเราก็ชอบเรื่องนี้อีกแหละ นั่นเลยทำให้เรารู้สึกว่า SEP เขียนอะไรมา ถึงจะดูไม่เข้าท่าแค่ไหน เธอก็เอาตัวรอดได้หมด ดูราวกับว่า เธอทำอะไรก็ไม่ผิดในสายตาเรา

นั่นแหละค่ะ คนไหนที่เรายกตำแหน่งนักเขียนคนโปรดให้แล้วนี่ ไม่ต้องมากหรอกค่ะ เขียนเรื่องให้โดนใจเราถึงระดับ 9 ได้สัก 2-3 เรื่อง เราก็พร้อมเทใจให้นักเขียนคนนั้นหมด เล่มที่เหลือก็จะได้คะแนนลำเอียงเต็มที่ เพราะฉะนั้น คะแนนที่เห็นต่อไปนี้คงใช้วัดมาตรฐานอะไรไม่ได้



เรื่องแรกที่เราได้อ่านเรื่องของ SEP คือ "ข้ามฟ้ามาพบรัก" น่าจะประมาณ 5 ปีก่อน เรายังไม่กรี๊ดเรื่องนั้นแฮะ ต่อด้วย "กรงเกียรติยศ" ก็ชอบแค่พอๆ กัน ก็เลยหยุดพักไปสองสามปีเลย จนช่วงนึงไม่รู้จะอ่านอะไร ก็ลองเอา SEP เรื่องอื่นมาลองอีกที เลือก Nobody's Baby But Mine ก่อน พล็อตถูกใจที่สุด และเราก็ชอบเรื่องนั้นมากๆ จนความรู้สึกชอบเหมือนลมที่พัดมาอย่างแรงทำหัวใจเรากระเจิง ฟังให้มันเป็นคำชมนะคะ เหมือนดูหนังแล้วมีเอฟเฟกต์พัดกระดาษปลิวหมุนรอบๆ ตัว แล้วทำไมเราไม่ปิ๊งสองเรื่องก่อนล่ะนั่น ไม่รู้เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่เราอ่าน SEP แบบภาษาอังกฤษรึเปล่า บทเรียนที่ได้จากกรณีนี้มีว่า

- ถ้าเรื่องแรกยังไม่ปิ๊ง อาจต้องลองเรื่องอื่นอีก บางทีมือไม่ดี เล่มที่เลือกตอนแรกยังไม่โดน
- เลิกอ่านนิยายแปล ไม่ได้ว่าแปลไทยไม่ดีนะคะ แต่อ่านต้นฉบับมันได้อรรถรสกว่าจริงๆ

หลังจากนั้นเราก็ไล่อ่านชุดชิคาโก้สตาร์กับพวกเรื่องเดี่ยวไปเรื่อยๆ แบบไม่เรียงลำดับ เลือกตามพล็อตเรื่อง บวกกับคะแนนรีวิว แต่ก็ยังคอยหลบเรื่องที่มีนางเอกต้องห้ามตามกฎอยู่ เรื่องที่เราชอบที่สุดคือ This Heart of Mine มอลลี่กับเควิน ชอบเรื่องนี้มากๆ เลย ลงตัวไปซะทุกอย่าง จนในที่สุดกำแพงเบอร์ลินก็ทลาย ยอมอ่านชิคาโก้สตาร์ครบ แล้วก็ชอบทุกเรื่องเลย แล้วก็ค่อยๆ ไล่อ่านเรื่องที่เหลือไปเรื่อยๆ จนถึง Ain't She Sweet? ก็ชอบแบบสุดๆ อีก จนเราปวารณาตนเป็นสาวกของเธอเลย แต่พอไล่อ่านถึงงานยุคเก่าที่เป็นนิยายผู้หญิง ไม่ใช่โรแมนซ์ ก็เลยไม่ค่อยชอบ ก็ทิ้งช่วงห่างในการอ่านหน่อย

เหตุผลที่เราชอบ SEP หลักๆ ก็คือ
1. เรื่องของเธอมีอารมณ์ขัน น่ารัก อ่านแล้วอมยิ้มตลอด หรือบางทีก็ต้องหัวเราะก๊าก
2. พล็อตเรื่อง สนุก ดราม่า น้ำเน่านิดๆ ถูกใจ
3. พระเอก โอเคทุกคน
4. ข้อนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้เราชอบเรื่องของ SEP และก็เป็นสิ่งที่ทำลายอคติที่เราตั้งไว้ทุกข้อที่บอกข้างบนนั้นด้วย คือ ตัวนางเอก เราชอบนางเอกของ SEP มากๆ ทุกคน

ดูจากเนื้อเรื่องก่อนอ่าน นางเอกของ SEP จะไม่ตรงสเปกเราเลย นางเอกของเธอมักจะมีชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ เวลาตกต่ำก็ตกต่ำสุดๆ น่าใจหาย ชนิดไม่มีที่ซุกหัวนอน และหลายครั้งไม่ใช่เพราะเธอโชคร้ายถูกเคราะห์กรรมเล่นงานอะไร บ่อยไปที่พวกเธอเจอเรื่องเดือดร้อนเพราะทำตัวเอง ตัดสินใจพลาดเอง เลือกทางชีวิตผิด ทำตัวไม่เข้าท่า หรือคบคนไม่เอาไหน แต่ทำไมเราถึงไม่เกลียดพวกเธอ เพราะขณะที่ทำสิ่งเหล่านั้น เธอคิดว่ามันดีแล้ว กล้าใช้ชีวิตตามใจตัวเอง แต่ถ้าพลาดมา พวกเธอไม่เคยพิรี้พิไร โทษโน่นโทษนี่ หรือโทษตัวเองว่าฉันไม่ควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ พวกเธอเลือกชีวิตตัวเองและรับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง ผิดพลาดก็ยอมรับเป็นบทเรียน แต่ไม่มีใครนั่งพร่ำเพ้อกับอดีตที่มันผ่านไปแล้ว ทุกคนไม่เคยยอมแพ้กับโชคชะตา และเชิดหน้าสู้ต่อไป แม้บางทีจะอยู่ในสถานการณ์น่าอดสูที่สุด ก็ไม่ยอมจำนน เรานับถือพวกเธอค่ะ

เรื่องของ SEP มักจะแต่งให้พระเอกถือไพ่เหนือกว่าเสมอ แม้จะเป็นเบี้ยล่าง แต่นางเอกก็ไม่เคยยอมลงให้ง่ายๆ มีการแก้แค้นแบบที่ทำให้ต้องขำได้เสมอ แม้ภายนอกจะแสบซ่าเฮี้ยว แต่พวกเธอทุกคนเป็นผู้หญิงที่มีเนื้อในอ่อนโยนและจิตใจดี ในความสัมพันธ์กับพระเอกของพวกเธอแต่ละคน นางเอกของ SEP จะแสดงออกด้วยความจริงใจ เมื่อถึงเวลาที่พร้อม เธอก็ยอมรับในความรัก และไม่หลบเลี่ยงหัวใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รักษาศักดิ์ศรีในตัวเอง พวกเธอไม่เรียกร้องตั้งแง่ ให้อีกฝ่ายต้องมาพยายามรับผิดชอบความรู้สึกของเธอ ถ้าเป็นนางเอกแบบอื่น "ฉันรักเธอ ทำไมเธอไม่รักฉัน โอ๊ย ฉันเจ็บเหลือเกิน" แต่นางเอกของ SEP "ฉันรักเธอ ฉันจะทุ่มให้เธอ แต่ถ้าเธอผิดต่อฉัน ฉันก็พร้อมจะไป" ตรงไปตรงมาดี สังเกตว่าส่วนใหญ่ ประเด็นที่สร้างข้อขัดแย้งท้ายเรื่องในนิยายของ SEP มันจะมีสาเหตุมาจากพระเอกทั้งนั้นค่ะ นางเอกไม่ค่อยทำอะไรผิด และสุดท้ายพระเอกก็ต้องมาง้อ ชอบ เข้าสเปกเราอีกแล้ว ฮ่าฮ่า ^_^

นั่งเขียนถึงความรู้สึกที่เรามีต่อเรื่องเก่าๆ ของ SEP เพราะเรากำลังจะเริ่มต้นอ่าน Call Me Irresistible เรื่องใหม่ล่าสุดที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ ก่อนจะเปิดหน้าแรก เลยนั่งย้อนความทรงจำตัวเองสักหน่อย ด้วยอารมณ์ลุ้นมากๆ ว่า นิยายเล่มที่เรารออ่านมานานกว่าปีครึ่ง นับแต่ที่เห็นในเว็บประกาศ ตั้งแต่ยังไม่มีชื่อเรื่อง เมื่ออ่านจบแล้วจะทำให้เรารู้สึกเช่นไร

Just Imagine - Susan Elizabeth Phillips

คะแนน : 8

ระหว่างรอเรื่องใหม่ของ SEP เราตามเก็บเรื่องเก่าที่ยังไม่ได้อ่านก่อน เห็นเรื่องนี้เคยได้ดาว Amazon ไม่ค่อยดี มีช่วงนึงได้แค่ 2.5 ก็เลยขี้เกียจอ่าน ตอนนี้ดาวขึ้นมาเป็น 3.5 แล้ว นึกว่าไม่สนุกก็เลยปล่อยไว้ซะนาน อ่านจบแล้วเสียดาย โอ๊ย ทำไมเราเพิ่งเอามาอ่านเนี่ย

สนุกดีค่ะ เป็นนิยายย้อนยุคเรื่องเดียวของ SEP เป็นฉากในยุคหลังสงครามกลางเมืองอเมริกา นางเอกเป็นลูกสาวเจ้าของไร่ฝ้าย แต่พ่อดันยกสมบัติให้เมียใหม่ แม่เลี้ยงตายอีกแต่ดันยกสมบัติให้ลูกชายตัวเอง คือพระเอก เป็นอดีตทหารฝ่ายเหนือ ฮีโร่สงคราม ตอนแรกนางเอกปลอมตัวมาเป็นเด็กโรงม้าของพระเอกเพื่อจะมาลอบฆ่า จะได้บ้านไร่คืน

โครงเรื่องยังรู้สึกว่าเก่าๆ เพราะมันมาจากนิยายเรื่องแรกของ SEP คือ Risen Glory แต่ตอนอ่านมันก็สนุกดีนะคะ นางเอกซ่าดี มีขำอยู่หลายฉาก ตอนท้ายเครียดไปหน่อย และหมั่นไส้พระเอก แต่สรุปก็อ่านสนุกอ่ะค่ะ ชอบ

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

Xenocide & Children of the Mind - Orson Scott Card

ไหนๆ อ่านมาแล้วครึ่งทาง อ่านชุด Ender ให้จบ 4 เล่มก่อน แล้วเล่มที่เหลือในชุด Shadow ค่อยคิดอีกที

Xenocide (Ender Series #3)
คะแนน : 7

Xenocide จับใจความต่อเนื่องจาก Speaker for the Dead ปมปัญหาจากเล่มก่อนนำมาสู่เล่มนี้ คือกองยานที่สภาดาราจักรส่งมาเพื่อทำลายดาว กำลังเดินทางใกล้มาถึงแล้ว เอนเดอร์ซึ่งรั้งอยู่ที่ดาวลูซิตาเนียก็แก่ไปอีก 30 ปี กลายเป็นชายสูงอายุ วาเลนไทน์เดินทางมาหาเขา และพวกเขาทั้งหมดต้องหาหนทางรับมือ ทั้งกับกองยานและความลึกลับของไวรัสเดสโคลาดา เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์พิกกี้ บั๊กเกอร์ เจน และมนุษย์ทุกคนบนดาวลูซิตาเนีย ในเล่มนี้มีการแนะนำตัวละครที่มีบทบาทสำคัญอยู่บนดาวใหม่ชื่อ Path (เต๋า) เป็นดาวคนจีน ที่ได้รับมอบหน้าที่จากสภาดาราให้สืบหาความลึกลับการหายไปของกองยาน

ก่อนอ่านพยายามวางอุเบกขาเต็มที่แล้วนะ เออ จะนำเสนอไอเดียอะไรก็ว่ามา แต่พออ่านจริงๆ ก็ยังรู้สึกเหนื่อยใจอยู่ดี ที่จริงแล้วนิยายเรื่องนี้มีพล็อตเรื่องที่สนุกและแหวกแนวดีนะ แต่สไตล์การเขียนมันเยิ่นเย้อยืดยาดมากเลย เวลาตัวละครคุยกัน พูดแค่ประโยคสองประโยคก็น่าจะรู้เรื่องได้ แต่ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เพราะ OSC ต้องเขียนให้มันวกวนวุ่นวายไปครึ่งหน้า ต้องพยายามพูดให้มันแฝงนัยไปซะทุกคำ ยอมรับตรงๆ ว่า เราด้อยปัญญาเกินจะเข้าใจ ขี้เกียจตีความ ถ้าเราอยากอ่านเพื่อหาสัจธรรม ก็คงไม่เลือกเล่มนี้หรอก

แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ผสมปรัชญาในหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่แค่หลุดโลก เพราะมันหลุดจักรวาล สร้างยานอวกาศที่เร็วเหนือแสงได้สำเร็จ หลุดไป Outside แล้วมีคนตัวเป็นๆ กระโดดออกมาจากความคิดในสมองได้อีก เหอเหอ จินตนาการช่างล้ำลึกเหนือระดับสามัญสำนึก คิดได้ไงฟะ การเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของมนุษย์กับเอเลี่ยนแต่ละพันธุ์ มันเลื่อนลอยและไปไกลเหลือเกิน มองให้เชื่อมกับคนเรายาก

ตัวละครในเรื่องนี้ทุกคนเป็นพวกอัจฉริยะผสมวิกลจริต ไม่มีใครปรกติสักคน ขอเอ่ยชื่อเป็นพิเศษหนึ่งคน โนวีนญ่าเป็นผู้หญิงโรคจิตชัดๆ เธอไม่ใช่คนไม่ดี แต่มีจิตใจที่บิดเบี้ยวผกผันสุดทานทน เป็นผู้หญิงที่ไร้ความสุขขนาดที่ว่า ตัวเองแย่ไม่พอ ยังทำตัวเหมือนพืชติดโรค แพร่เชื้อลุกลามกัดกินทุกคนรอบตัวเธอไปด้วย ทำให้เรารู้สึกอยากอยู่ห่างจากผู้หญิงคนนี้ให้ไกลที่สุด ตัวละครอื่นๆ ก็ไม่มีใครเป็นมนุษย์ที่มีสภาพจิตสมบูรณ์สักคน จิตตกมากบ้างน้อยบ้างเป็นคนๆ แค่เดินหนึ่งก้าวคิดไกลไปหนึ่งปีแสง แต่ถ้ายืนหรือนั่งเฉยๆ จะคิดไปอีกสิบปีแสง ฉันจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ดีมั้ยนะ นี่ตัวฉันรึเปล่า รักหรือไม่รักดี รักแล้วมันผิดมั้ย ความรู้สึกที่น่าจะง่ายๆ แบบความรักพี่น้องยังต้องคิดละอายว่ามันจะทำให้ใครหึงหวงมั้ยเลย หรือจะโกรธ จะเสียใจ ก็ยังต้องคิดอีก อ่านแล้วก็จะประสาทกินตาม ตัวละครที่ดูดีที่สุดในเรื่องคือ เจน ก็ดันไม่ใช่มนุษย์ซะอีก

ถ้าอนาคตข้างหน้ามีเอเลี่ยนมาถึงโลกจริง และหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านเพื่อศึกษาทำความเข้าใจกับมนุษย์โลก ภาพที่พวกเขาจะได้รับรู้ก็คือ ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยมีความสุข สกปรก น่ารังเกียจ ฟุ้งซ่าน ย้ำคิดย้ำทำ รู้สึกผิดบาปในทุกการกระทำ สงสัยและไม่แน่ใจถึงคุณค่าการมีชีวิตอยู่ของตนเอง โอ้ อนิจจา มนุษย์ต่างดาวผู้น่าสงสาร ถ้ามีโอกาสเราอยากบอกพวกเขาผู้มาเยือนว่า ท่านเข้าใจผิดถนัดแล้ว มนุษย์อาจมีแง่มุมเหล่านั้น แต่ในทั้งหมดของความเป็นมนุษย์นั้น หลากหลายกว่าที่ท่านเห็นในหนังสือเล่มนี้มาก

ย้ำอีกครั้งว่า เนื้อเรื่องสนุก ถ้าชอบหรือสามารถอดทนกับคำบรรยายเยอะๆ ศัพท์แปลกๆ อย่างเช่น Aiùa ได้ เพราะมีศัพท์พวกนี้เยอะมาก มันก็ถือว่าเป็นหนังสือน่าอ่านนะ เพียงแต่มันไม่ใช่แบบที่เราชอบเท่านั้นเอง


Children of the Mind (Ender Series #4)
คะแนน : 7


ฉบับภาษาไทยของเล่มนี้ตั้งชื่อเรื่องเพราะมากเลย "จิตาวตาร" ในคำนำบอกว่า ตอนแรก OSC ทำสัญญาไว้เป็นไตรภาค แต่ดันเขียน Xenocide ยาวมาก มีรายละเอียดเยอะ จนต้องแยกออกมาอีกเล่ม เนื้อหาสองเล่มนี้จึงต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน อันที่จริงถ้าลดน้ำๆ ลง ก็น่าจะรวบเป็นเล่มเดียวกันได้ไม่เห็นต้องแยก

เล่มนี้บทบาทของเอนเดอร์น้อยลงไปกว่าเล่มที่แล้วอีก เรื่องเน้นที่ตัวละครจิตาวตารสองคนนั้นแหละ คนหนึ่งจับคู่กับมีโร่กระโดดข้ามใน-นอกจักรวาลไป-มา หาดาวอาณานิคมเพื่ออพยพ กับตามล่าต้นตอไวรัส อีกคนจับคู่กับซีหวางหมู่ เราชอบคู่นี้ เดินทางไปตามดาว เพื่อตามหาผู้มีอำนาจจะเปลี่ยนความตั้งใจของสภาดาราจักร มีการเดินทางมาดาว Divine Wind คำแปลของกามิกาเซ่ เป็นดาวญี่ปุ่น ถึงแม้ OSC จะพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับจีนและญี่ปุ่น แต่ก็เห็นชัดว่ายังขาดความเข้าใจถึงวัฒนธรรมตะวันออก ดูง่ายๆ แค่เรื่องชื่อนี่แหละ คงไม่มีคนจีนที่ไหนตั้งชื่อลูกว่า "หวางหมู่" แปลว่า "เจ้าแม่" หรอก ผู้แต่งรู้คำแปลทุกคำ ย้ำความหมายหลายครั้ง แต่การเอาชื่อเทพหรือบุคคลยิ่งใหญ่ในอดีตมาตั้งชื่อ มันเป็นวิธีคิดแบบตะวันตกมาก แล้วมีสาวใช้ชื่อ "เคนจิ" อีก มันชื่อผู้ชายชัดๆ นะ

เล่มนี้พล็อตหลักไม่มีอะไรมาก เนื้อหาหลักส่วนใหญ่มันอยู่ในเล่มที่แล้ว แต่เล่มนี้มันจะเป็นบทสรุปเรื่องราวของเอนเดอร์ซีรีส์ ตอนท้ายไอเดียบรรเจิดเข้าไปอีก อ่านแล้วโคตรงงเลย คนนี้ย้ายวิญญาณไปเข้าร่างนั้น คนนั้นย้ายวิญญาณไปเข้าร่างโน้น ประมาณว่า อ่านในเล่มแล้วต้องออกมาอ่านสรุปเรื่องย่อในเว็บถึงจะรู้เรื่อง ในคำตามท้ายเล่ม OSC บอกว่า เขานับถือนิกายมอร์มอน อืมม์ หนังสือเรื่องนี้ก็เลยออกมาแนวนี้ใช่มั้ย

สรุปทั้งซีรีส์เอนเดอร์ ชอบเล่มแรกเล่มเดียว และมันก็ไม่เหมือนเล่มอื่นๆ เลย ดาวของ Amazon ก็ฟ้องนะ สองเล่มหลังดาวลด คนรีวิวน้อยลงเยอะ เหลือแต่พวกแฟนฮาร์ดคอร์ แต่เดี๋ยวจะลองซื้อภาษาไทย "เกมพลิกโลก" มาอ่านซะหน่อย ส่วนเล่มที่เหลือสงสัยจะบาย เออ แต่ความจริงก็อยากรู้ว่า ดร. ยรรยง เต็งอำนวย แปลพวกศัพท์ประหลาดๆ ว่าอะไรเหมือนกันนะ

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

The Lady Most Likely...

คะแนน : 6.75

เพราะเกิดอาการขัดใจเล็กๆ จาก Ender เล่ม 2 กำลังตัดสินใจว่าจะอ่านเล่มที่เหลือต่อดีหรือเปล่า ก็เลยอยากหาหนังสือเบาๆ มาเบรกก่อนสักนิดนึง

The Lady Most Likely... เป็นนิยายที่มีผู้แต่งร่วมกัน 3 คน ไม่ได้แต่งแยกเป็นเรื่องสั้นของแต่ละคน แต่รวมเป็นเรื่องเดียวกัน โดยสร้างสถานการณ์ให้ตัวละครทั้งหมดเป็นแขกรับเชิญมาพักที่บ้านมารฺ์ควิส เพราะเลดี้เจ้าของบ้าน พยายามหาคู่ให้พี่ชาย เรื่องก็แบ่งเป็นสามส่วน มีพระเอก-นางเอก 3 คู่ คู่แรกเบาๆ ไม่มีอะไร แต่ก็โอเค อ่านดูรู้ทันทีว่านี่ Julia Quinn ส่วนผู้แต่งอีกสองคนไม่เคยอ่านเลยแยกไม่ออกต้องดูชื่อถึงจะรู้ คู่ที่สองไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เรื่องนี้ของ Connie Brockway คู่ที่สาม ของ Eloisa James เหมือนจะดีที่สุดในเล่มแต่ก็ยังไม่โดนใจ

โดยรวมมันก็เหมือนพวกเล่มรวม Anthology แค่รวมกันเนียนกว่า พอเป็นเหมือนเรื่องสั้น ยังไงก็ไม่มีเวลาพัฒนาตัวละครและเนื้อเรื่อง ทั้งที่ไม่คาดหวังอะไรมาก แต่อ่านแล้วก็ยังไม่รู้สึกประทับใจอะไรเลย สรุปว่า ทั้งที่ตั้งใจอยากอ่านเรื่องที่ไม่โดนคนแต่งยัดเยียดความคิดอะไรให้ แต่พอมันไม่มีอะไรเลยเข้าจริงๆ ก็กลับรู้สึกว่ามันช่างว่างเปล่าเบาหวิว กลวงโบ๋จริงๆ อาจเพราะช่วงนี้ไม่ค่อยสบาย เลยอยู่ในอารมณ์เอาใจยากมั้ง

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

Ender's Game - Orson Scott Card

ไม่สบายตั้งแต่ต้นปีเลย เจ็บคอ ปวดหัว ตัวร้อน หลายวันแล้วยังไม่หายง่ายๆ ด้วย อยากนอนท่าเดียว แย่จัง เสาร์-อาทิตย์นี้ก็ต้องทำงานอีก เมื่อไหร่จะได้พักเนี่ย

Ender's Game (Ender Series #1)
คะแนน : 8

เราอาจเหมือนเพิ่งออกจากหลังเขา ที่มารู้จักเรื่อง Ender's Game เอาป่านนี้ นิยายที่คว้าได้ทั้งรางวัล Nebula 1985 และ Hugo 1986 และถือเป็นนิยายไซไฟคลาสสิคเล่มหนึ่ง ภาษาไทยก็ออกมาหลายปีแล้ว คือ เราชอบอ่าน Isaac Asimov แต่อ่าน Arthur C. Clark ไปได้เล่มเดียว เป็นสาวกที่บูชา Star Wars แต่ก็ไม่เก็ทกับ Star Trek ก็เลยคิดเอาเองว่า คงไม่ได้ชอบที่มันเป็นไซไฟหรอก แต่ชอบความแฟนตาซีของมันต่างหาก ก็เลยไม่ค่อยได้สนใจไซไฟเท่าไหร่ แต่หลังจากที่เอา "จุดดับแห่งนิรันดร์" มาอ่านใหม่อีกรอบแล้ว ก็ทำให้อยากลองอ่านเรื่องอื่นๆ ดูบ้าง

Ender's Game เล่มแรกในชุด Ender Wiggin เริ่มต้นเรื่องราวในอนาคต โลกถูกรุกรานจากบั๊กเกอร์ สิ่งมีชีวิตต่างดาวที่มีลักษณะคล้ายแมลง ตัวเอกคือเอนเดอร์ วิกกิ้น เด็กชายอัจฉริยะวัย 6 ขวบ ที่ถูกเลือกให้มาเข้าโรงเรียนแบทเทิลสกูล ต้องจากครอบครัวไปฝึกในโรงเรียนซึ่งเป็นสถานีอวกาศนอกโลก นอกจากการฝึกยุทธวิธีแล้ว เขาก็ต้องเรียนรู้การปรับตัว และปรับสภาพจิตใจเพื่อรับภาระอันหนักหนาสาหัส เอนเดอร์ต้องเข้าแข่งเกมต่อสู้ โดยเข้าร่วมกับทีม และก็วางแผนเอาชนะทีมอื่นๆ เขาไต่เต้าขึ้นไปเรื่อยๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพียงอายุ 12 ปี ก็ถูกเลื่อนชั้นไปเข้าโรงเรียนผู้บัญชาการ เพื่อฝึกให้เขาเป็นผู้บังคับบัญชากองยาน พร้อมการเดินทางสู่แนวหน้าของสงคราม ที่จะชี้ชะตาอนาคตของมวลมนุษยชาติ

เนื้อเรื่องเล่มแรกก็สนุกดี ตอนแข่งเกม เอนเดอร์เคลียร์ด่านไปเรื่อยๆ บางทีบรรยากาศก็เหมือนวิดีโอเกมสงครามอวกาศ แต่ต้องอ่านมาจนถึงฉากที่ปีเตอร์กับวาเลนไทน์ พี่ชายพี่สาวของเอนเดอร์ที่อยู่บนโลก ร่วมมือกันวางแผนเขียนบทความการเมืองเพื่อกุมอำนาจของโลก นั่นแหละที่เราเริ่มรู้สึกว่านี่ไม่ใช่นิยายไซไฟแอกชั่นธรรมดาซะแล้ว แต่อ่านแล้วต่อให้ไม่รู้ปีที่พิมพ์ก็ยังรู้เลยว่านิยายเรื่องนี้เก่า เพราะยังพูดประเด็นเรื่องรัสเซียกับสนธิสัญญาวอร์ซอว์อยู่เลย เนื้อเรื่องน่าติดตามอ่านสนุก แต่เดาเนื้อเรื่องตอนเอนเดอร์เล่นซิมูเลชั่นบังคับยานได้นะ ไม่ยากเท่าไหร่เห็นมาแต่ไกล ตอนจบที่กล่าวถึงหนังสือที่ Speaker for the Dead แต่ง ก็ทำให้รู้สึกว่า ซีรีส์นี้น่าจะมีอะไรลึกซึ้งรออยู่ข้างหน้า


Speaker for the Dead (Ender Series #2)

คะแนน : 7.5

นิยายเล่มสองที่ต่อจาก Ender's Game ที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในสมัยนั้น โดยการเบิ้ลรางวัล Hugo และรางวัล Nebula ซ้ำได้อีกครั้งเป็นปีที่สองติดต่อกัน เริ่มต้นเล่มด้วยคำนำยาวเหยียดจากผู้แต่ง อธิบายที่มาที่ไปจากเล่มก่อนจนถึงเล่มนี้ มีจุดหนึ่งที่ Orson Scott Card พูดเองว่า มีนิยายจำนวนมากเลือกตัวเอกเป็นเด็ก ไม่ได้แปลว่าตั้งใจเขียนนิยายสำหรับเด็กเสมอไป แต่เพราะพระเอกที่อายุน้อยจะยังมีความหวั่นไหวไม่แน่ใจในจิตใจสูงกว่า ซึ่งทำให้แต่งเรื่องได้ง่าย และเปิดโอกาสให้มีทางเลือกมากมายแก่ตัวละคร ต่างจากตัวละครที่โตเป็นผู้ใหญ่สมบูรณ์แล้ว เป็นการยืนยันสิ่งที่เราคิดตอนอ่านเล่มแรก เพราะเราอ่านแล้วไม่เคยเชื่อว่า เอนเดอร์เป็นเด็ก 6 ขวบเลย IQ อาจจะเป็นได้ แต่ EQ ไม่น่าเชื่อ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับประเด็นนี้ เพราะถึงไม่บอกก็เข้าใจว่า ไม่ได้ตั้งใจแต่งบุคลิกของเด็กให้สมจริงอยู่แล้ว

ในเล่มนี้ เวลาผ่านมา 3,000 ปีจากเล่มก่อน แต่เอนเดอร์ยังมีชีวิตอยู่ เป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 35 ปี สืบเนื่องมาจากการใช้ชีวิตส่วนใหญ่เดินทางอยู่ในอวกาศ คงเป็นตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของเวลา ที่ชอบยกตัวอย่างว่า ฝาแฝดคนที่อยู่บนโลกจะแก่ชราลงไปตามเวลาที่ผ่านไปปกติ แต่ฝาแฝดที่กลับมาจากการเดินทางในอวกาศยังหนุ่มอยู่ เดี๋ยวคงต้องไปหาข้อมูลเรื่องนี้ซะหน่อยว่า ตามทฤษฎีที่ว่าอยู่ได้ถึง 3,000 ปีจริงเหรอเนี่ย ใช้ชีวิตธรรมดาไม่ต้องเข้าแคปซูลด้วย

อารมณ์ในการอ่านเล่มแรกกับเล่มนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง นอกจากการที่เอนเดอร์โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เนื้อเรื่องก็เปลี่ยนแนวไปด้วย ไม่มีสงครามต่อสู้แล้ว แต่กล่าวถึงการค้นพบดาวลูซิตาเนีย ที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เรียกกันว่าพิกกี้ อารยธรรมของพิกกี้ยังอยู่ในระดับเริ่มต้น มนุษย์จึงพยายามศึกษาและทำความเข้าใจกับพิกกี้ และเอนเดอร์จะได้มีโอกาสล้างบาป โดยการปกป้องไม่ให้มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตต่างดาวเผ่านี้

ครึ่งเล่มแรกอ่านสนุกมาก ดีกว่าเล่มแรกซะอีก ได้เห็นจินตนาการถึงโลกอนาคตที่มนุษย์ขยายขอบเขตไปครอบครองอาณานิคมพิภพต่างๆ นับร้อยดารา การศึกษาสิ่งมีชีวิตต่างดาว และตัวละครชื่อเจน AI คอมพิวเตอร์ที่อุบัติขึ้นจากเครือข่ายการสื่อสารแอนซิเบิล ก็สร้างมาได้น่าสนใจมาก แต่พอหลังจากกลางเรื่องที่เฉลยเรื่องพิกกี้ และเอนเดอร์แสดงวจนะถึงผู้วายชนม์แล้ว เนื้อเรื่องก็เข้าสู่ช่วงน่าเบื่อมากเช่นกัน บรรยายเยิ่นเย้อยืดยาว และผู้แต่งตั้งใจยัดเยียดสารที่เขาต้องการสื่อมากเกินไป ปรัชญา ความเชื่อ ศาสนา ศีลธรรมคุณธรรมความเป็นมนุษย์ วิถีปฏิบัติต่อผู้ด้อยกว่า สภาพสังคมมนุษย์ และความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตต่างดาว บางช่วงแทบจะรู้สึกว่ากำลังอ่านคัมภีร์อยู่

เราไม่ชอบเรื่องความสัมพันธ์ของเอนเดอร์และโนวีนญ่าเลยแม้แต่น้อย เห็นหน้าครั้งเดียวผ่านจอ เข้าใจถึงความเจ็บปวดที่เค้าแบกรับความรู้สึกผิดก็หลงรักแล้ว ตลกน่ะ ตัวละครลูกๆ ของโนวีนญ่าทั้งโขยงก็ไม่ปลื้มใครเลย รวมทั้งตัวเอนเดอร์เองก็น่ารำคาญ เก่งกาจรู้ดีไปหมด ทำตัวเหนือคนอื่น คนแบบนี้น่าเบื่อค่ะ และท้ายเรื่อง เอนเดอร์ก็กระทำในสิ่งที่ทำให้เราหมดความรู้สึกดีต่อเขาโดยสิ้นเชิง อาจฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อยมากนะ ไม่ได้มีอะไรสำคัญกับเนื้อเรื่องเลย แค่คำพูดประโยคเดียว แต่มันสะดุดใจเราแรงพอดู ตอนที่เอนเดอร์คิดถึงพ่อแม่ตัวเองว่า พ่อแม่คงไม่ได้รักเขาเท่าไหร่ ดูสิ ตอนนี้เขารักลูกเลี้ยงตัวเองมากกว่าที่พ่อแม่รักเขาซะอีก โคตร hypocrite เลย ตัวเองบอกโนวีนญ่าว่า เขาไม่ประณามความผิดใคร เพราะเขายังไม่เจอคนที่เขารู้สึกว่าทำบาปมาสาหัสกว่าเขาเลย แล้วมาเปรียบเทียบว่าตัวเองดีกว่าพ่อแม่ในใจทำไม ปากอย่างใจอย่าง ทุเรศอ่ะ

อ่านถึงตรงนี้แล้ว เรารู้สึกว่านิยายเรื่องนี้เสแสร้ง พยายามจะบอกว่า ฉันเป็นนิยายไม่ไร้สาระนะ มีแนวคิดลึกซึ้งซ่อนอยู่ให้คนอ่านคิด แต่เราไม่ชอบนิยายที่พยายามสั่งสอน มันไม่ธรรมชาติ การอ่านช่วง 10% สุดท้ายก็เลยทำให้เราเซ็งเรื่องนี้พอดู ทั้งที่เนื้อเรื่องดี แต่ลงท้ายด้วยความรู้สึกไม่ค่อยแฮปปี้กับการอ่านเล่มนี้เท่าไหร่

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

You'll Never Walk Alone




คงไม่มีเวลาไหนที่พวกเราจะต้องการกันและกันมากไปกว่ายามนี้
ขอร่วมส่งกำลังใจให้เดอะค็อปทุกคน

When you walk through a storm
Hold your head up high
And don't be afraid of the dark
Walk on walk on with hope in your heart
And you'll never walk alone

เมื่อเธอเดินฝ่าพายุร้าย
จงเชิดหน้าท้าทาย
อย่าหวั่นไหวกับความมืดมน
ก้าวเดินเถิด ก้าวต่อไป ด้วยความหวังฝังหัวใจ
แล้วเธอจะไม่เดินเดียวดาย

หลังจากนี้ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร
You'll Never Walk Alone
พวกเราจะไม่มีวันเดินเดียวดายค่ะ

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

Room - Emma Donoghue

คะแนน : 7.5

เห็นเรื่องนี้ติดอยู่ในอันดับเบสต์เซลเลอร์ของร้านคิโนะฯ อยู่เมื่อปลายปี เป็นหนังสือเข้ารอบสุดท้ายรางวัล Man Booker 2010 ดูน่าสนใจ แต่มาคิดอีกที ใกล้สิ้นปีไม่อยากอ่านเรื่องที่จะทำให้ไม่สบายใจข้ามปี เลยมาอ่านตอนนี้แทน ช่วงนี้ชาร์จพลัง HP กับ MP มาเต็มๆ อยู่ น่าจะพอรับไหว ทำไมต้องเตรียมตัวเตรียมใจก่อนอ่านขนาดนี้ จำข่าวต่างประเทศที่ดังครึกโครมสะเทือนใจคนทั่วโลก เรื่องพ่อที่จับลูกสาวขังไว้ในห้องใต้ดินเป็นสิบๆ ปีได้มั้ยล่ะ หนังสือเล่มนี้น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากข่าวนั้น

Room เป็นเรื่องราวที่เล่าผ่านมุมมองของแจ็ค เด็กชายวัย 5 ขวบ ที่โลกทั้งโลกของเขาคือห้องขนาด 11x11 ฟุต เขาอาศัยอยู่ในห้องกับแม่สองคน ในความคิดของเขา โลกภายนอกห้องคือห้วงอวกาศที่พวกเขาไม่อาจออกไปสัมผัส ภาพที่เห็นในทีวีแต่ละช่องก็ไม่ใช่ของจริง สิ่งของรอบตัว ผนัง โต๊ะ พรม หม้อ ช้อน โถส้วม ทุกอย่างเกือบจะเป็นบุคคลสำหรับแจ็คไปทั้งหมด

ว่าที่จริงไม่น่าจะมีเด็ก 5 ขวบเล่าเรื่องเก่งขนาดนี้ แต่สำนวนบรรยายแทนเด็กก็เขียนได้เป็นธรรมชาติ เหมือนออกมาจากความคิดเด็กจริง มีการใช้คำผิดแบบเด็ก แต่ศัพท์ของแจ็คนี่บางทีแปลก อย่างเช่น scave กว่าจะเข้าใจว่า มันมาจาก scared + brave นี่ต้องนึกอยู่พักใหญ่ แต่อ่านแล้วได้อารมณ์เหมือนคุยกับเด็ก 5 ขวบดีเหมือนกัน แบบบางทีผู้ใหญ่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง พอให้เขาอธิบายก็ฟังแล้วบางทีขำ บางทีเศร้า อ่านการมองโลกของเขาทำให้มุมมองที่เรามีต่อโลกเปลี่ยนไปด้วย ส่วนกลวิธีการเขียนยาวต่อกันไปโดยไม่แบ่งเป็นบทๆ ตอนอ่านมันให้ความรู้สึกกดดัน อ่านไปเรื่อยๆ เหมือนค่อยๆ โดนบีบเข้ามา อารมณ์เข้ากับเนื้อเรื่องพอดี

การเลือก POV ในการเล่าเรื่องแบบนี้ช่างเป็นแนวคิดที่สร้างสรรค์สุดยอด เหตุการณ์ในเรื่องที่น่าเศร้าหดหู่สะเทือนขวัญกลับถูกนำมาเล่าโดยผ่านดวงตาและความคิดไร้เดียงสาของเด็ก การบรรยายความเป็นไปในโลกใบเล็กของแจ็คเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าทึ่ง ถ้อยคำที่แจ็คเล่าออกมาไม่มีตรงไหนทารุณเลย หลายสิ่งหลายอย่างถูกเล่าออกมาด้วยอารมณ์สนุกของเด็ก อยากรู้อยากเห็นกับเรื่องราวรอบตัว และมีแม่คอยอธิบายสิ่งต่างๆ ให้ฟัง โดยปิดบังไม่ให้รับรู้ความจริงอันโหดร้าย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เราเกือบอ่านไม่ผ่าน 10% แรกของหนังสือแล้ว เพราะหลายครั้งที่ประโยคบอกเล่าแสนซื่อของแจ็ค มันสะท้อนสภาพชีวิตอันสุดแสนรันทดในนั้นให้พวกเราได้รับรู้แจ่มชัดเหลือเกิน



อ่านตอนที่แจ็คเล่าว่า เขาต้องเข้าไปนอนในตู้เสื้อผ้าตอนกลางคืน แม่ห้ามไม่ให้เขาออกมา และห้ามส่งเสียงเป็นอันขาด เพราะตาแก่นิคจะมา ได้ยินเสียงตาแก่นิคทำเตียงลั่น แจ็คนอนนับจำนวนครั้งของเสียงเอี๊ยดอ๊าดไปเรื่อยๆ เราก็แทบหยุดอ่านแล้ว คืนนี้ฉันจะนอนฝันร้ายมั้ย

บางทีอ่านเรื่องที่พวกสัตว์นรกในคราบคนกระทำแล้วนี่ ทำให้ศรัทธาในความเป็นมนุษย์ของเราสั่นคลอน ในทางชีวะฉันเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เดียวกับไอ้พวกนี้เหรอ นี่ขนาดหนังสือเล่มนี้ลดความเลวร้ายลงมาจากคดีที่เกิดขึ้นจริงแล้วด้วยซ้ำนะ ก็ยังเกือบทำใจไม่ได้แน่ะ บ่นตัวเองในใจว่า อ่านข่าวประเภทนี้ในโลกจริงโหดร้ายไม่พอหรือไง ทำไมต้องทรมานตัวเองด้วยการอ่านเรื่องแบบนี้ในเวลาพักผ่อน การอ่านนิยายนี่เพื่อ escape นะ แต่ก็พยายามปลอบตัวเองให้แข็งใจอ่านต่อจนได้ ดีที่หลังจากนั้นไม่นาน เนื้อเรื่องก็เข้าสู่ช่วงของการเอาตัวรอดจากห้อง ตอนนี้ลุ้นมาก เขียนได้ยอดเยี่ยมจริงๆ

สถานการณ์หลังออกจากห้องได้ แจ็คต้องปรับเปลี่ยนการรับรู้ และความสำนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใหม่หมด นิยายเรื่องนี้เล่นกับจิตวิทยาของมนุษย์เยอะมาก อ่านช่วงนี้แล้ว เรารู้สึกสำนึกตัวเองนิดหน่อยว่า เรารุนแรงกับอาริมะ โซอิจิโร่ จาก "เรื่องธรรมดาของเธอกับฉัน" เกินไปรึเปล่า ลืมนึกไปว่า ชีวิตและประสบการณ์ช่วงแรกเกิดถึงรู้ความ เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดต่อพัฒนาการของมนุษย์ แบบที่หนังสือชื่อว่า "กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว" บอก

อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วต้องคิดเยอะจริงๆ หลายเรื่องในชีวิตมนุษย์ที่เราคิดว่าธรรมดา มันก็เป็นของมันอย่างนี้ แต่จริงๆ มันไม่ได้ธรรมดานะ มันต้องผ่านการเรียนรู้และประสบการณ์ คิดได้เยอะมาก ถ้าไม่โตมาแบบนี้ ก็คงไม่เป็นแบบนั้น ถ้าขาดอย่างนี้ แล้วจะส่งผลยังไง ไม่ใช่แค่คนลูกเท่านั้น แต่ผลกระทบทางจิตใจของคนแม่ก็มากมายมหาศาลด้วย ในหนังสือไม่ได้เอ่ยชื่อแม่ เพราะสำหรับแจ็ค เธอคือ Ma คำเดียวเท่านั้น คนเดียวที่เทียบเท่าโลกสำหรับเขา ตอนอ่านฉากที่พิธีกรโทรทัศน์สัมภาษณ์แม่ สงสารหัวอกผู้เสียหายที่เป็นข่าวขึ้นมาเลย พอเป็นข่าวแล้ว นอกจากการถูกย้ำเตือนถึงสิ่งที่สะเทือนใจมากๆ แล้ว ทุกการกระทำที่เกิดขึ้นจะถูกซักไซ้อย่างละเอียด ตอนนั้นทำไมถึงทำอย่างนี้ แล้วทำไมไม่ทำอย่างนั้นล่ะ บีบคั้นมาก

ลงท้ายดื้อๆ แล้วกันว่า Room เป็นเรื่องที่เขียนดีมาก ไอเดียและเทคนิคการเขียนเลิศ แต่เราคงไม่กล้าเอามาอ่านซ้ำแน่ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

คินดะอิจิยอดนักสืบ ตอนที่ 18-21 - โยโคมิโซะ เซชิ

รู้จักชื่อคินดะอิจิจากฉบับการ์ตูนก่อน นักสืบ ม.ปลาย ผมยาวที่ชอบแอบอ้างเอาชื่อปู่มาเป็นเดิมพัน แรกๆ ชอบการ์ตูนเรื่องนี้มาก แต่คดีหลังๆ มันก็ห่วยลงทุกที จนเฉยๆ แล้ว ไอ้เล่มหลังๆ ที่ออกมาทีละคดี 2-3 เล่มจบ ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าซื้อครบรึเปล่า แต่อ่านจากใน K.C. Weekly ตลอดอยู่แล้ว

ส่วนฉบับนิยายก็อ่านมาตลอด อาศัยยืมเพื่อนเอา เพราะลองอ่านเล่มแรกๆ แล้วเราว่า เราคงอ่านนิยายชุดนี้รอบเดียว นิยายนักสืบที่เล่นกับทริกแบบนี้ สนุกเฉพาะตอนอ่านครั้งแรก เวลาหยิบมาอ่านใหม่จำตัวฆาตกรได้มันไม่ค่อยสนุกแล้ว หนังสือที่แน่ใจว่าไม่อยากเอากลับมาอ่านซ้ำอีก ถ้าหาเช่าหายืมได้ก็ไม่อยากซื้อน่ะค่ะ แค่นี้ก็ถูกกึ่งล้อกึ่งบ่นแล้วว่า ไม่กลัวบ้านถล่มเพราะน้ำหนักหนังสือเหรอ พูดเว่อร์ไปมากค่ะ เพราะมันไม่ได้เยอะขนาดนั้นซะหน่อย

เพิ่งมีโอกาสได้เจอเพื่อนคนนี้ จริงๆ บ้านมันกับบ้านเรานี่อยู่บนถนนเส้นเดียวกันนะ แต่ก็ขึ้นชื่อเรื่องรถติด ต่างคนต่างทำงานไม่ได้เจอกันเลย ได้แค่โทรคุยกัน หลังปีใหม่ได้เจอ ตอนโทรนัดก็บอกให้มันเอานิยายมาให้ยืมหน่อย มันบอกเลิกซื้อแมวสามสี ซายากะ กับนักสืบขนมแล้ว เหลือแต่คินดะอิจิ เออ แกเอามาเถอะ คราวที่แล้วอ่านถึงตอน 17 แล้ว เอาเล่มต่อมาให้หน่อย

ถามกลับว่า แล้วแกอยากยืมเรื่องอะไรของชั้นบ้างรึเปล่า คำพูดนี้พิสูจน์ระดับมิตรภาพมากนะคะ ในโลกมีแค่คนสามคนที่เราจะกล้าให้ยืมหนังสือ มีบางคนสนิทกว่านี้แต่เราไม่ให้แตะ ทุกคนที่รู้จักเรารู้ถึงอาการหวงหนังสือของเราดี เจอมาเยอะแล้ว อ่านไม่ถนอม อ่านแล้วไม่คืน ตัดปัญหาไม่ให้ใครยืมทั้งสิ้น เหลือแค่คนที่ไว้ใจได้จริงๆ แต่มันดันบอกว่า ไม่มีเวลาอ่าน เอาเรื่องที่แกคิดว่า ถ้าชั้นไม่ได้อ่านแล้วเสียชาติเกิดมาให้แล้วกัน เล่นพูดอย่างงี้ทำเราคิดหนักเลย หนังสือนี่มันเป็นเรื่องรสนิยมเฉพาะตัวมาก เวลาใครบอกให้แนะนำเกร็งขึ้นมาทันที คนเรามันชอบไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แล้วเจ้าเพื่อนคนนี้นี่ มันชอบเหมือนเราซะที่ไหน แฮร์รี่ พอตเตอร์ยังไม่เอาเลย อ่านแค่เล่ม 1 ก็บอกไม่ชอบ ยุให้อ่านต่อ บอกว่าแฮร์รี่นี่อ่านยังไม่ถึงเล่ม 3 ยังตัดสินไม่ได้นะ ก็ไม่ยอม สรุปว่า ไม่ได้เอาอะไรไปให้เลย เจอหน้ากันก็เลยหัวเราะขำเรื่องนี้ เชียร์ให้มันซื้อ Kindle แทน แล้วอยากอ่านอะไรว่ามา เดี๋ยวจัดการให้ อุตส่าห์เอาไปสาธิตโชว์ ก็ส่ายหัวอีก บอกไม่มีเวลาอ่าน แต่ก็เข้าใจ เดี๋ยวนี้ชีวิตไม่มีเวลากันจริงๆ แหละ

นอกเรื่องเยอะมากเลยนะนี่ คราวนี้ได้คินดะอิจินิยายมา 4 เล่ม จัดไปอย่าให้เสีย


คินดะอิจิยอดนักสืบ ตอนที่ 18 บันทึกมรณะ
คะแนน : 7
พบศพท้ายรถมีไพ่ควีนโพธิ์แดงตกอยู่ เล่มนี้ค่อนข้างสั้น เหมือนเป็นเรื่องสั้นขนาดยาวมากกว่า อ่านแล้วเฉยๆ

คินดะอิจิยอดนักสืบ ตอนที่ 19 งานเต้นรำสวมหน้ากาก
คะแนน : 7.5
แม่ม่ายที่ผ่านการหย่าร้างมา 4 ครั้ง อดีตสามีตายไปทีละคนแบบมีเงื่อนงำ นี่เป็นเรื่องยาวและมีความซับซ้อนของคดีเยอะ ตอนอ่านสนุกดีมากเลย แต่พอเฉลยตัวฆาตกรกับเรื่องที่เป็นมูลเหตุของคดี ก็ทำเอาเราผวากับด้านมืดของมนุษย์ อ่านแล้วไม่สบายใจ คะแนนความชอบก็ตกวูบลงเลย

คินดะอิจิยอดนักสืบ ตอนที่ 20 ข้างหลังบานประตู
เล่มนี้มีเรื่องสั้น 3 เรื่อง
- ข้างหลังบานประตู (คะแนน : 8) ชอบเรื่องนี้ สนุกดี ชอบที่ได้เห็นคินดะอิจิไถเงินลูกค้าด้วย ตลกดี
- ฆาตกรรมริมชายหาด (คะแนน : 7.5) เรื่องนี้ก็ชอบ ลงตัวในเนื้อเรื่องสั้นๆ
- เกาะภาพลวงตา (คะแนน : 7) ตอนนี้เฉยๆ

คินดะอิจิยอดนักสืบ ตอน 21 หญิงผู้ถือพัดจีน
- หญิงผู้ถือพัดจีน (คะแนน : 7) ตอนอ่านสนุก แต่พอเฉลยแล้วรู้สึกมันไม่ค่อยสมเหตุสมผลที่ฆาตกรจะต้องทำขนาดนั้น
- การต่อสู้ระหว่างสองหญิง (คะแนน : 7.5) ชอบเรื่องนี้นะ องค์ประกอบลงตัว แต่เรื่องมันสั้นก็เดาง่ายหน่อย
- ทะเลสีเลือด (คะแนน : 7) เล่มนี้ก็ด้านมืดอีกแล้ว ไม่ค่อยปลื้ม

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

มหากาพย์ภูผามหานที ตอน ปาฏิหาริย์แห่งผู้กล้า - เฟิ่งเกอ

คะแนน : 7.25

เปิดศักราชใหม่แล้ว วันหยุดปีใหม่นี่มีความสุขดีนะคะ ถือโอกาสอู้ต่อสองสามวัน มีคนบอกเราว่า พออายุมากขึ้น บางทีเราก็ต้องการอะไรน้อยลง มีความสุขง่ายขึ้น อืมม์ มันก็จริงนะ แค่ได้วันหยุดหลายวันอยู่สบายเฉยๆ ก็แฮปปี้แล้ว ทบทวนปีที่ผ่านมา เราว่าเป็นปีที่ตัวเองมีความสุขดี ต่างจากบางปีที่ยุ่งวุ่นวาย จนหนังสือที่ซื้อมายังไม่ได้แกะพลาสติกมีกองท่วม ปีนี้อ่านหนังสือได้เยอะพอสมควร แต่เพราะมันเป็นปีที่ค่อนข้างสบาย ก็ไม่ค่อยได้อะไรมาเป็นชิ้นเป็นอัน ปีนี้ล่ะ อาจจะต้องหยุดเที่ยวเล่นลดการอ่านนิยาย ทุ่มเทเพื่ออนาคตซะที

ทิ้งช่วงจากภาควีรกรรมผู้กล้ามานานพอสมควรแล้ว ได้เวลากลับมาอ่านเรื่องนี้ให้จบซะที เนื้อเรื่องไม่ได้ต่อเนื่องจากภาคที่แล้วเท่าไหร่นะนี่ เวลาผ่านไปหลายร้อยปี มาถึงยุคราชวงศ์หมิง ชื่อเหลียงเซียวเหลือมาถึงภาคนี้แค่เป็นตำนาน วิชาฝีมือที่กล่าวถึงก็ดัดแปลงไปเยอะแทบไม่เหลือเค้าเดิม จริงๆ จะบอกว่าเป็นคนละเรื่องก็ยังได้ แต่ผู้แต่งอยากจะเชื่อมโยงก็โอ เป็นสีสันให้มีความต่อเนื่อง

วิชาฝีมือภาคนี้นี่มันการ์ตูนชัดๆ เลยนิ เราไม่มีปัญหาเพราะโตมากับการ์ตูนอยู่แล้ว แต่สงสัยว่า พวกคอกำลังภายในรุ่นเดอะ อ่านแล้วจะทำหน้ายังไง ศพผีน้ำ วิทยายุทธ์อิทธิฤทธิ์ สิทธิฤทธิ์ เนตรกระบี่ จุดไฟออกจากตาได้ด้วย โอ้โฮเฮะ นึกว่ากำลังอ่าน BOOM อยู่ซะอีก

ภาคนี้ก็อ่านสนุกนะ ดำเนินเรื่องเร็ว แต่ปัญหาจากภาคที่แล้วก็ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่มีแก่นหลักของเรื่อง ตัวเอกไม่มีเป้าหมาย สู้ไปเรื่อยๆ เจอคนนั้นคนนี้ ผ่านประสบการณ์พิสดารไม่หยุดหย่อน ไปเป็นฉากๆ เนื้อเรื่องไม่ค่อยปะติดปะต่อ แล้วจะไปญี่ปุ่นเจอ โอดะ โนบุนากะ ทำไมฟะ ไม่เห็นสำคัญกับเนื้อเรื่องตรงไหน ตัวละครที่เป็นคนจริงในประวัติศาสตร์ไม่ใช่นึกอยากใส่ก็ใส่นะ ถ้าไม่มีความหมายก็ไม่ต้องใส่มาก็ได้ ลองดูตัวอย่างจากกิมย้ง ดูบทเจ็งกิสข่านในมังกรหยก หรือคังซีในอุ้ยเซี่ยวป้อ เป็นต้น

เนื้อเรื่องจะว่าสนุกก็สนุก แต่บางทีก็ เอิ่ม.. ตอนเฉลยชาติกำเนิดลู่เจี้ยนเล่ม 6 ไม่รู้จะหัวเราะหรือไม่หัวเราะดี โห มุกนี้ยังเล่นอยู่อีก แล้วเสิ่นโจวซวี กับ กู่เสินทง ตายโคตรง่ายเลย ตอนหลังออกทะเลก็ออกทะเลจริงๆ ไปถึงอังกฤษ แก้ปริศนาหาไอเทม ยังกะเกม RPG เนื้อเรื่องเป็นแบบอ่านเอามันส์ แต่มันไม่งดงามแบบภูษิตฟ้าไร้ตะเข็บ ที่รายละเอียดทุกอย่างเชื่อมกันหมดจด

ตัวละครน่าเบื่อ ไม่มีมิติ ลู่เจี้ยนไม่มีบุคลิกอะไรเด่นเลย กู่เจินคล้ายเซียวฮื้อยี้ แต่ไม่มีเสน่ห์เท่า เหยาฉิงนี่ร้ายเกินไป ไม่น่ารักจริงๆ นั่นแหละ นางเอกน่ะเป็นนางมารน้อยได้ แต่อาฉิงนี่เกือบจะเป็นอาจี่แห่งแปดเทพฯ ได้แล้วนะ เฟิ่งเกอคงยังไม่ค่อยได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมากมาย การเขียนเรื่องความสัมพันธ์ของผู้คนมันถึงไม่ค่อยลึกซึ้ง เรื่องบุญคุณความแค้นนี่เป็นไปตามแบบฉบับมาก เรื่องความรักภาคนี้ก็ไม่ได้พัฒนาจากภาคก่อนเท่าไหร่ แหม มีนักอ่านชายยุว่าทำไมพระเอกไม่รวบสอง ไม่ดีค่ะ อย่าเลย คนรุ่นใหม่ รักเดียวใจเดียวแบบนี้ดีแล้ว ลู่เจี้ยนที่ทื่อๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์งัดคำพูดเท่ๆ มาพูดให้โดนใจเราได้นิดนึง มันไม่ได้แปลกใหม่มากหรอก แต่ก็โดน

"ข้าพเจ้ายอมตายเพื่อแม่นางหนิง
แต่ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อท่านคนเดียว"


มหานทีกับภูผา เทียบกันยากว่าภาคไหนดีกว่า มันมีจุดเด่นจุดด้อยคนละแบบ สรุปง่ายๆ แล้วกันว่า ภาคมหานทีนี้อ่านสนุก แต่เรายังประเมินอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยถูก คงชอบประมาณ 7 - 7.5 นี่แหละ คะแนนอาจดูเหมือนถูกกด เพราะเราอดเอาไปเปรียบเทียบกับงานของกิมย้งไม่ได้ ซึ่งก็รู้ว่ามันไม่ยุติธรรม แต่ทำไงได้ เฟิ่งเกอบอกเองว่า เขาได้รับอิทธิพลจากกิมย้งสูง อ่านแล้วก็ทำให้อดเทียบไม่ได้ ยังไงก็รู้สึกว่ามันก็ยังขึ้นไม่ถึงชั้นยอดนิยายกำลังภายในอยู่ดี มีคนเขียนในเว็บบอร์ดว่า เฟิ่งเกอเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาอยากสร้างผลงานที่มี impact ดุจเดียวกับ Lord of The Rings ให้วงการวรรณกรรมจีน เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่นะ แต่ถ้าดูจากผลงานตอนนี้ ก็ยังห่างเป้าหมายไกลโข แต่ยังไงก็ให้กำลังใจ เฟิ่งเกอยังมีเส้นทางอีกยาวไกล นี่ยังเป็นผลงานชิ้นแรกๆ ลีลาเขียนนี่ดีแล้ว จินตนาการก็ได้ น่าจะพัฒนาได้เต็มที่กว่านี้ในอนาคต ก็จะรอดูผลงานต่อไปแล้วกัน

ป.ล. พอมาดูรูปปกเรียงกัน เพิ่งสังเกตว่า ปกเล่ม 7-8 นี่มันเอาปก 1-4 มาผสมกันนี่นา ฮ่าฮ่า เพราะฉบับภาษาจีนมี 6 เล่ม พอฉบับไทยมากระจายเป็น 8 เล่ม เลยต้องทำอย่างนี้