คะแนน : 7.5
ยังไม่เคยอ่านงานของ Sherry Thomas เลย แต่ที่หยิบเรื่องนี้มา เพราะเห็นโฆษณาเรื่อง His at Night ในเว็บ AAR แล้วเกิดสนใจ เห็นว่ามีเล่มก่อนหน้าที่มีตัวละครเกี่ยวพัน ก็เลยเอา Not Quite a Husband มาอ่านก่อน
นี่คือศตวรรษที่ 19 ยุคสมัยแห่งการผจญภัย การเดินทางข้ามทวีป และประวัติศาสตร์ของยุคจักรวรรดินิยมรุ่งเรือง เป็นฉากของเรื่องราวความรักและการให้อภัยในเรื่องนี้ ลีโอแอบรักไบรโอนี่สาวเพื่อนบ้านที่มีอายุมากกว่า 4 ปี มาตลอดชีวิต เมื่อทั้งสองมาพบกันตอนโต ไบรโอนี่ แพทย์หญิงสาวโสด (หรือสาวแก่ เพราะอายุ 28 สมัยนั้นถือว่าขึ้นคานแล้ว) ที่แหวกธรรมเนียมผู้ดีทำงานเป็นหมอ โดยไม่แยแสสังคม ก็เกิดตกหลุมรักลีโอ หนุ่มนักวิชาการอัจฉริยะ ดาวเด่นของสังคม และขอแต่งงานกับเขา แต่เมื่อแต่งงานกันไปไม่นาน ชีวิตสมรสก็พังทลาย ไบรโอนี่ขอยกเลิกการแต่งงานเป็นโมฆะ และร่อนเร่ข้ามโลกไปทำงานในประเทศต่างๆ ผ่านมาสามปี ณ พรมแดนประเทศอินเดีย ลีโอมาตามไบรโอนี่กลับบ้านเพราะพ่อของเธอป่วย การได้ร่วมเดินทางกลับด้วยกันกลายเป็นโอกาสที่ทำให้ทั้งสองได้ทำความรู้จักตัวตนของกันและกันมากขึ้น และได้เรียนรู้สาเหตุที่แท้จริงของความผิดพลาดที่ทำให้ชีวิตคู่ล้มเหลว
เราอยากจะชอบเรื่องนี้ เพราะเราไม่อยากจะเสียความอยากอ่าน His at Night ไป แต่พออ่านจบ โดยรวมๆ แล้วเราก็รู้สึกแค่ว่า ก็โอเคนะ แต่ไม่มีจุดที่น่าประทับใจเป็นพิเศษสำหรับเรา บอกไม่ค่อยถูกว่าทำไม ก็ไม่มีตรงไหนที่บอกได้ชัดเจนว่า นี่แหละเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่ชอบ จะพยายามไล่ประเด็นที่ติดใจไปทีละจุดแล้วกันนะ
- ทำไมลีโอถึงรักไบรโอนี่ตั้งแต่เด็กก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เห็นเหตุการณ์ไหนที่น่าจะทำให้เด็กชายเล็กๆ คนหนึ่งรู้สึกรักเด็กผู้หญิงที่โตกว่าได้ เรารู้สึกว่าในความเป็นจริง เด็กผู้หญิงจะแก่แดดกว่าผู้ชาย การแอบปิ๊งผู้ชายอายุมากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอกลับข้างกัน โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนพอ เราก็ว่าแปลก แล้วไม่รู้จริงๆ ว่ารักเพราะอะไร ก็เลยรู้สึกว่าพระเอกรักนางเอกเพราะงมงาย และก็เพราะแค่คนแต่งอยากจะสร้างพล็อตเรื่องอย่างนี้
- ไบรโอนี่เป็นนางเอกที่แปลกๆ เราไม่รู้จะชอบหรือไม่ชอบเธอดี บางครั้งเราคิดว่าเธอแข็งไป เธอคิดถึงแต่ตัวเองและไม่ใส่ใจความรู้สึกคนอื่นเลย แต่เราก็เข้าใจเธอ 100% เลยในจุดที่ว่า เมื่อรักแล้วก็รักอย่างทุ่มเท ก็เลยคาดหวังความสมบูรณ์แบบ ไม่ให้อภัยคนที่ทำให้ตัวเองผิดหวัง
- ในแง่หนึ่ง ลีโอทำผิดไม่น่าให้อภัยจากสิ่งที่เขาทำก่อนแต่งงาน แต่ตอนหลังลีโอก็ดีเกินไปสำหรับไบรโอนี่ โดยเฉพาะตอนที่ไบรโอนี่ดื้อรั้นเดินทางต่อ จนทำให้ทั้งคู่ต้องไปติดอยู่ท่ามกลางการลุกฮือต่อต้านของชาวอาณานิคม แต่ลีโอพร่ำพูดว่า ไม่เป็นไรๆ ผมผิดเอง จนเราหมั่นไส้เขาเลยล่ะ
- ตอนจบ ในชีวิตจริงเราไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตคู่ที่สมบูรณ์จำเป็นต้องมีลูก แต่ทำไมในนิยายโรแมนซ์ เรากลับชอบฉากจบแบบที่มัน HEA มากๆ แต่เล่มนี้ ถึงแม้อนาคตของทั้งคู่ก็ดูมีความสุขดี แต่เรากลับรู้สึกว่ามันขาดอะไรไปไม่รู้ อาจไม่ใช่เพราะเด็กก็ได้ แต่ฟังดูมันเป็นชีวิตที่แห้งแล้งบอกไม่ถูก วันๆ กลับมานั่งเล่นหมากรุกกันสองคน ไม่ได้ความรู้สึกและอารมณ์อิ่มเอมใจ แบบที่มักจะได้จากการอ่านนิยายโรแมนซ์ซึ้งๆ เรื่องอื่นเลย
ไล่มาแต่ละจุดที่เหมือนจะไม่ดีทั้งนั้นเลย จริงๆ ไอ้สาเหตุข้างต้นทั้งหมด ฟังดูเล็กๆ น้อยๆ มันคงเป็นเรื่องของรสนิยมล้วนๆ เพราะสำหรับคนอื่น อาจจะเป็นจุดที่น่าชอบมากๆ ก็ได้ คงพูดได้เพียงว่า เนื้อเรื่องและสไตล์แบบนี้ยังไม่โดนใจเราเท่านั้น แต่ตอนอ่านก็อ่านได้สนุกดีนะคะ ฉากของเรื่องก็แปลกดีด้วย การเดินทางเลาะชายแดนอินเดียในสมัยนั้น ฟังดูลำบาก คนต่างถิ่นที่มาเดินทางแบบนั้นนี่ เจ๋งเนอะ ยิ่งเหตุการณ์ตอนที่ติดอยู่ในป้อม สนุกมาก และพระเอก-นางเอกแสดงแคแรกเตอร์ที่น่าชื่นชมมากๆ ออกมา เดี๋ยวจะลองอ่าน His at Night ที่เราสนใจเนื้อเรื่องอีกเล่ม แต่ถ้ายังไม่ประทับใจอีก เราก็จะผ่านนักเขียนคนนี้แล้ว
วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Branded by Fire & Blaze of Memory - Nalini Singh
Branded by Fire (Psy/Changeling 6)
คะแนน : 8
เรื่องนี้พระเอกนางเอกต่างก็เป็นเชนจลิงก์ ก็เลยไม่มีใครต้องต่อต้านความรู้สึกตัวเองแบบชาวไซ เปิดเรื่องมาทั้งคู่ก็หักห้ามอารมณ์ไม่ได้ มีอะไรกันซะแล้ว Hot มาก เล่มอื่นกว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์กันถึงจุดนั้นได้ก็มักจะประมาณ 2/3 ของเรื่อง ถึงจะมีความสัมพันธ์ทางกายเร็ว แต่ในทางจิตใจก็ใช่ว่าจะลงเอยกันได้ง่ายๆ เมอร์ซี่แม้เป็นหญิง แต่เธอก็เป็นหนึ่งในกลุ่มทหารเอกของฝูงดาร์คริเวอร์ ส่วนไรลีย์เป็นมือขวาของอัลฟ่าฝูงสโนว์แดนเซอร์ ซึ่งเสือดาวและหมาป่าต่างเป็นเผ่าพันธุ์นักล่า ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารทั้งคู่ ก็เลยนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้ง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สัญชาติญาณในตัวจะยอมลงให้กันง่ายๆ และถ้าเมอร์ซี่ยอมรับไรลีย์ แล้วสายสัมพันธ์ในเผ่าของเธอจะเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกันแล้ว ปมปัญหาที่เป็นความขัดแย้งทางความรู้สึกระหว่างพระ-นางของเรื่องก็เบากว่าเล่มอื่นๆ ในชุดอยู่พอสมควร เมอร์ซี่เป็นตัวละครเอกคนเดียวเลยมั้งที่มีครอบครัวอบอุ่นสมบูรณ์ มีทั้งพ่อแม่บวกกับน้องชายสามคน ฉากที่พาไรลีย์มาดินเนอร์ที่บ้านน่ารักดีค่ะ เมื่อปัญหาความขัดแย้งในความสัมพันธ์ไม่มาก เล่มนี้จะไปเน้นเนื้อเรื่องด้านการพยายามขัดขวางกลุ่ม Human Alliance แทน ซึ่งก็สนุกดีค่ะ และได้เห็นสภาพแวดล้อมของโลกมากขึ้นกว่าเล่มก่อนๆ
Blaze of Memory (Psy/Changeling 7)
คะแนน : 7.5
เรามีปัญหากับการอ่านชื่อพระเอกเรื่องนี้ เพราะตัวละครในโลกของ Psy/Changeling เป็นสังคมพหุเชื้อชาติปะปนกันยุ่งเหยิงไปหมด (ตามภูมิหลังของผู้แต่ง นลินี ซิงห์ ชื่อแขก เกิดฟิจิ โตนิวซีแลนด์ เคยไปทำงานอยู่ญี่ปุ่น) ชื่อตัวละครก็จะหลากหลายมาก ตอน Ashaya & Amara อชยากับอมรา คงจะเป็นชื่อแขก แต่เราอ่านสำเนียงไทยเลย ไม่ขัดหูเท่าไหร่ เพราะอ่านง่ายกว่าอชาย่า อมาร่า แล้วรู้สึกชื่อมันสื่อความหมายสะท้อนบุคลิกตัวละครดีน่ะค่ะ เดาว่ามันคงแปลว่า ไม่แพ้ กับ ไม่ตาย แต่ชื่อ Dev จะเรียก เดฟ ก็ขัดกับชื่อเต็ม Devraj เพราะในเรื่องบอกชัดว่ามาจากภาษาฮินดี เวลาถอดตัวสะกดเป็นแบบไทยก็น่าจะได้ว่า เทวราช / เทพราช แต่จะเรียก เทพ ก็ฟังลิเกยังไงไม่รู้ ตอนอ่านก็สลับไปสลับมาในหัว เด๊ฟ / เด้พ / เทพ ตกลงใจไม่ได้ว่าจะอ่านยังไงดีจนจบเรื่องก็ยังเรียกสลับอยู่
เล่มนี้นางเอกเป็นไซ นักวิทยาศาสตร์ผู้ช่วยของอชยา ที่ใครๆ คิดว่าตายไปแล้ว อีคัทเธรีน่าถูกหมิง เลอบง สมาชิกสภาไซจับตัวไปทรมาน และถูกปล่อยตัวมาไว้ที่หน้าบ้านของ Dev ซึ่งเป็นผู้อำนวยการมูลนิธิไชน์ องค์กรของกลุ่มผู้ถูกลืม ลูกหลานของกลุ่มไซกบฏที่ไม่ยอมรับการปิดกั้นอารมณ์และแยกตัวออกจาก PsyNet เมื่อร้อยปีก่อน หมิงวางกับดักไว้ในจิตใจของหญิงสาวเพื่อใช้เธอเป็นอาวุธ ความขัดแย้งของพระ-นางเรื่องนี้จึงเห็นชัด เพราะถึงแม้เธอจะอยู่ในสภาพสูญเสียความทรงจำ อ่อนแอ แต่เขาก็รู้ดีว่าเธอเป็นตัวอันตราย ช่วงแรกๆ Dev เข้มกับแคทย่าพอสมควรเลย แคทย่าก็เป็นนางเอกที่ดูเปราะบางที่สุดในชุดนี้ เพราะความไม่แน่ใจในจิตใจตัวเองว่าถูกแฝงเล่ห์กลอะไรไว้ แต่เธอก็พยายามต่อสู้กับมัน เราชอบเธอนะ แต่บางทีก็คิดว่า บางครั้งเธอปล่อยให้พระเอกทำตามใจตัวเองมากไปหน่อย
เนื่องจากทั้งคู่ไม่ใช่เชนจลิงก์ เนื้อเรื่องเล่มนี้ก็เลยดูโดดๆ ห่างๆ จากเล่มอื่น ที่ปกติเรื่องราวจะวนเวียนเกี่ยวพันอยู่กับฝูงดาร์คริเวอร์เป็นหลัก แล้วเล่มนี้เนื้อเรื่องในโลกแวดล้อมโดยรวม ไม่คืบหน้าไปมากเท่าไหร่ บางช่วงรู้สึกอืดๆ ไปบ้าง (เอ หรือจะเป็นเอฟเฟกต์ทางอารมณ์จากการดูอังกฤษแพ้เยอรมันตกรอบบอลโลก) แต่รวมๆ ซีรีส์นี้ก็ยังน่าติดตามอยู่มากๆ โชคดีที่เดือนหน้าจะมีเล่มใหม่ออกแล้ว อยากอ่านๆ แต่เล่ม 8 กับเล่ม 9 ก็ยังไม่ใช่เรื่องของตัวละครสำคัญในซีรีส์ เราอยากอ่านเรื่องของฮอว์คกับเรื่องของคาเล็บมากๆ แต่เดาว่า ถ้ามีเรื่องของคาเล็บ น่าจะเป็นเล่มอวสานของเรื่องชุดนี้
Update: เรามั่วจริงๆ ค่ะ ลองหาดูในเว็บตั้งชื่อ เจอบอกว่า Ashaya มาจากชื่ออารบิก แปลว่า Life and Hope
คะแนน : 8
เรื่องนี้พระเอกนางเอกต่างก็เป็นเชนจลิงก์ ก็เลยไม่มีใครต้องต่อต้านความรู้สึกตัวเองแบบชาวไซ เปิดเรื่องมาทั้งคู่ก็หักห้ามอารมณ์ไม่ได้ มีอะไรกันซะแล้ว Hot มาก เล่มอื่นกว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์กันถึงจุดนั้นได้ก็มักจะประมาณ 2/3 ของเรื่อง ถึงจะมีความสัมพันธ์ทางกายเร็ว แต่ในทางจิตใจก็ใช่ว่าจะลงเอยกันได้ง่ายๆ เมอร์ซี่แม้เป็นหญิง แต่เธอก็เป็นหนึ่งในกลุ่มทหารเอกของฝูงดาร์คริเวอร์ ส่วนไรลีย์เป็นมือขวาของอัลฟ่าฝูงสโนว์แดนเซอร์ ซึ่งเสือดาวและหมาป่าต่างเป็นเผ่าพันธุ์นักล่า ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารทั้งคู่ ก็เลยนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้ง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สัญชาติญาณในตัวจะยอมลงให้กันง่ายๆ และถ้าเมอร์ซี่ยอมรับไรลีย์ แล้วสายสัมพันธ์ในเผ่าของเธอจะเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกันแล้ว ปมปัญหาที่เป็นความขัดแย้งทางความรู้สึกระหว่างพระ-นางของเรื่องก็เบากว่าเล่มอื่นๆ ในชุดอยู่พอสมควร เมอร์ซี่เป็นตัวละครเอกคนเดียวเลยมั้งที่มีครอบครัวอบอุ่นสมบูรณ์ มีทั้งพ่อแม่บวกกับน้องชายสามคน ฉากที่พาไรลีย์มาดินเนอร์ที่บ้านน่ารักดีค่ะ เมื่อปัญหาความขัดแย้งในความสัมพันธ์ไม่มาก เล่มนี้จะไปเน้นเนื้อเรื่องด้านการพยายามขัดขวางกลุ่ม Human Alliance แทน ซึ่งก็สนุกดีค่ะ และได้เห็นสภาพแวดล้อมของโลกมากขึ้นกว่าเล่มก่อนๆ
Blaze of Memory (Psy/Changeling 7)
คะแนน : 7.5
เรามีปัญหากับการอ่านชื่อพระเอกเรื่องนี้ เพราะตัวละครในโลกของ Psy/Changeling เป็นสังคมพหุเชื้อชาติปะปนกันยุ่งเหยิงไปหมด (ตามภูมิหลังของผู้แต่ง นลินี ซิงห์ ชื่อแขก เกิดฟิจิ โตนิวซีแลนด์ เคยไปทำงานอยู่ญี่ปุ่น) ชื่อตัวละครก็จะหลากหลายมาก ตอน Ashaya & Amara อชยากับอมรา คงจะเป็นชื่อแขก แต่เราอ่านสำเนียงไทยเลย ไม่ขัดหูเท่าไหร่ เพราะอ่านง่ายกว่าอชาย่า อมาร่า แล้วรู้สึกชื่อมันสื่อความหมายสะท้อนบุคลิกตัวละครดีน่ะค่ะ เดาว่ามันคงแปลว่า ไม่แพ้ กับ ไม่ตาย แต่ชื่อ Dev จะเรียก เดฟ ก็ขัดกับชื่อเต็ม Devraj เพราะในเรื่องบอกชัดว่ามาจากภาษาฮินดี เวลาถอดตัวสะกดเป็นแบบไทยก็น่าจะได้ว่า เทวราช / เทพราช แต่จะเรียก เทพ ก็ฟังลิเกยังไงไม่รู้ ตอนอ่านก็สลับไปสลับมาในหัว เด๊ฟ / เด้พ / เทพ ตกลงใจไม่ได้ว่าจะอ่านยังไงดีจนจบเรื่องก็ยังเรียกสลับอยู่
เล่มนี้นางเอกเป็นไซ นักวิทยาศาสตร์ผู้ช่วยของอชยา ที่ใครๆ คิดว่าตายไปแล้ว อีคัทเธรีน่าถูกหมิง เลอบง สมาชิกสภาไซจับตัวไปทรมาน และถูกปล่อยตัวมาไว้ที่หน้าบ้านของ Dev ซึ่งเป็นผู้อำนวยการมูลนิธิไชน์ องค์กรของกลุ่มผู้ถูกลืม ลูกหลานของกลุ่มไซกบฏที่ไม่ยอมรับการปิดกั้นอารมณ์และแยกตัวออกจาก PsyNet เมื่อร้อยปีก่อน หมิงวางกับดักไว้ในจิตใจของหญิงสาวเพื่อใช้เธอเป็นอาวุธ ความขัดแย้งของพระ-นางเรื่องนี้จึงเห็นชัด เพราะถึงแม้เธอจะอยู่ในสภาพสูญเสียความทรงจำ อ่อนแอ แต่เขาก็รู้ดีว่าเธอเป็นตัวอันตราย ช่วงแรกๆ Dev เข้มกับแคทย่าพอสมควรเลย แคทย่าก็เป็นนางเอกที่ดูเปราะบางที่สุดในชุดนี้ เพราะความไม่แน่ใจในจิตใจตัวเองว่าถูกแฝงเล่ห์กลอะไรไว้ แต่เธอก็พยายามต่อสู้กับมัน เราชอบเธอนะ แต่บางทีก็คิดว่า บางครั้งเธอปล่อยให้พระเอกทำตามใจตัวเองมากไปหน่อย
เนื่องจากทั้งคู่ไม่ใช่เชนจลิงก์ เนื้อเรื่องเล่มนี้ก็เลยดูโดดๆ ห่างๆ จากเล่มอื่น ที่ปกติเรื่องราวจะวนเวียนเกี่ยวพันอยู่กับฝูงดาร์คริเวอร์เป็นหลัก แล้วเล่มนี้เนื้อเรื่องในโลกแวดล้อมโดยรวม ไม่คืบหน้าไปมากเท่าไหร่ บางช่วงรู้สึกอืดๆ ไปบ้าง (เอ หรือจะเป็นเอฟเฟกต์ทางอารมณ์จากการดูอังกฤษแพ้เยอรมันตกรอบบอลโลก) แต่รวมๆ ซีรีส์นี้ก็ยังน่าติดตามอยู่มากๆ โชคดีที่เดือนหน้าจะมีเล่มใหม่ออกแล้ว อยากอ่านๆ แต่เล่ม 8 กับเล่ม 9 ก็ยังไม่ใช่เรื่องของตัวละครสำคัญในซีรีส์ เราอยากอ่านเรื่องของฮอว์คกับเรื่องของคาเล็บมากๆ แต่เดาว่า ถ้ามีเรื่องของคาเล็บ น่าจะเป็นเล่มอวสานของเรื่องชุดนี้
Update: เรามั่วจริงๆ ค่ะ ลองหาดูในเว็บตั้งชื่อ เจอบอกว่า Ashaya มาจากชื่ออารบิก แปลว่า Life and Hope
วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Mine to Possess & Hostage To Pleasure - Nalini Singh
Mine to Possess (Psy/Changeling 4)
คะแนน : 8
ทาลินเป็นหญิงสาวมนุษย์ นักสังคมสงเคราะห์ที่ทำงานให้มูลนิธิไชน์ เด็กที่เธอดูแลหายตัวไป เธอจึงมาขอความช่วยเหลือจากเคลย์ ทหารเอกของดาร์คริเวอร์ ซึ่งเป็นลูกครึ่งเชนจลิงก์-มนุษย์ ที่เธอเคยผูกพันด้วยสมัยเด็ก
ในที่สุดก็เจอนางเอกที่เราไม่ชอบจนได้ ทาลินมีอดีตที่มืดมนมาก เราพยายามจะเข้าใจและเห็นใจนางเอกที่มีบาดแผลทางใจจากการถูกล่วงละเมิดตอนเด็กนะ แต่มันทำให้เราเหนื่อยใจมากๆ เลยว่า เธอจะเอาไงกับเคลย์กันแน่ ระหว่างที่เธอยังจัดการกับปัญหาในใจของตัวเองไม่ได้ เหมือนเคลย์ถูกปั่นหัวเล่นเลย แม้มันจะไม่ใช่มาจากความตั้งใจของเธอก็ตาม ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าถ้าทั้งสองคนไม่ได้มีอดีตร่วมกันตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่จะมาลงเอยกันได้มั้ย เราก็เลยไม่ชอบเรื่องความสัมพันธ์ที่เหมือนถูกโชคชะตากำหนดไว้ก่อนแล้ว โชคดีที่เคลียร์ปมปัญหาทางใจกันได้ภายใน 1/3 เล่ม เพราะเรากำลังตัดสินใจจะอ่านผ่านๆ อยู่แล้ว เนื่องจากประเด็นนี้เครียดและหนักสมองมากไปสำหรับเรา แต่เรื่องราวหลังจากนั้นก็สนุกมากๆ ในการพยายามช่วยตามหาเด็กที่ถูกลักพาตัวไป เนื้อเรื่องในโลกของไซกับเชนจลิงก์ก็ขยายเพิ่มเติมไปอีก ยิ่งทำให้ซีรีส์นี้น่าติดตามยิ่งขึ้น
Hostage To Pleasure (Psy/Changeling 5)
คะแนน : 8.25
เล่มนี้เนื้อเรื่องต่อเนื่องจากเล่มที่แล้วที่จบลงตอนกำลังสนุกเลย อชยาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แอบปล่อยเด็กที่ถูกจับไปเล่มที่แล้ว ดาร์คริเวอร์ช่วยลูกชายของเธอออกมาเป็นการตอบแทน และเธอก็หนีออกมาจากห้องทดลองได้สำเร็จ เราชอบอชยาค่ะ ในบรรดาตัวละครแต่ละเผ่าพันธุ์นี่ รู้สึกเราจะชอบตัวเอกที่มาจากเผ่าไซที่สุดเลย ดอเรียนก็โอเคค่ะ เซนติเนลเผ่าเสือดาวคนเดียวที่กลายร่างไม่ได้ ถึงแม้บุคลิกดอเรียนในเล่มนี้จะก้าวร้าวขึ้นกว่าเล่ม 4 ที่กำลังน่ารักเชียว แต่ก็เข้าใจได้ตามเนื้อเรื่อง ความรู้สึกเจ็บปวดที่สูญเสียน้องสาวไปตามกลับมาหลอกหลอน ว่าแต่ว่า เรากำลังจะเริ่มเบื่อหนุ่มเชนจลิงก์เผ่าเสือดาวดาร์คริเวอร์แล้วนะ อยากอ่านฝั่งหมาป่าสโนว์แดนเซอร์มากกว่า
เล่มนี้เนื้อเรื่องด้านแอกชั่นเยอะดี เนื้อเรื่องก็ขยายขอบเขต เพิ่มกลุ่มตัวละครใหม่ๆ เข้ามาอีก พล็อตเรื่องสร้างสรรค์ สนุกมาก หนังสือชุดนี้อ่านข้ามไม่ได้เลย การพัฒนาตัวละครและเนื้อเรื่องต่อเนื่องกันไปตลอด เหมือนดูหนังเรื่องยาวหนึ่งเรื่องที่แบ่งเป็นตอนๆ โดยสลับกันเป็นตัวเอก และเราชอบที่ตัวเอกจากเล่มก่อนๆ ในซีรีส์ โดยเฉพาะลูคัสกับซาช่า ก็ยังมีบทบาทสำคัญ และมีส่วนในการพัฒนาเนื้อเรื่อง ไม่ใช่เป็นแค่ตัวประกอบ
Beat of Temptation (An Enchanted Season)
คะแนน : 8
เป็นตอนพิเศษ Prequel เรื่องราวของแทมซินกับเนท กับบรรยากาศคริสต์มาสในโลกของเชนจลิงก์ ก็สนุกดีค่ะ ถึงแม้เนื้อเรื่องจะไม่ยาวมาก แต่ก็ทำให้รู้จักตัวละครดีขึ้น ได้เห็นลูคัสตอนวัยรุ่นด้วย
The Cannibal Princess (Psy/Changeling 1.5)
คะแนน : 7
เรื่องสั้นมากๆ ฉากเดียว ลูคัสกับซาช่ารับดูแลเด็กแฝดลูกๆ ของแทมซินกับเนท ลูคัสเล่านิทานเรื่องเจ้าหญิงกินคนให้เด็กๆ ฟัง ถึงจะสั้นแต่น่ารักมากค่ะ โดยเฉพาะตอนเปิดเรื่องที่เด็กๆ เรียกซาช่าว่า ซาช่าดาร์ลิ่ง
คะแนน : 8
ทาลินเป็นหญิงสาวมนุษย์ นักสังคมสงเคราะห์ที่ทำงานให้มูลนิธิไชน์ เด็กที่เธอดูแลหายตัวไป เธอจึงมาขอความช่วยเหลือจากเคลย์ ทหารเอกของดาร์คริเวอร์ ซึ่งเป็นลูกครึ่งเชนจลิงก์-มนุษย์ ที่เธอเคยผูกพันด้วยสมัยเด็ก
ในที่สุดก็เจอนางเอกที่เราไม่ชอบจนได้ ทาลินมีอดีตที่มืดมนมาก เราพยายามจะเข้าใจและเห็นใจนางเอกที่มีบาดแผลทางใจจากการถูกล่วงละเมิดตอนเด็กนะ แต่มันทำให้เราเหนื่อยใจมากๆ เลยว่า เธอจะเอาไงกับเคลย์กันแน่ ระหว่างที่เธอยังจัดการกับปัญหาในใจของตัวเองไม่ได้ เหมือนเคลย์ถูกปั่นหัวเล่นเลย แม้มันจะไม่ใช่มาจากความตั้งใจของเธอก็ตาม ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าถ้าทั้งสองคนไม่ได้มีอดีตร่วมกันตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่จะมาลงเอยกันได้มั้ย เราก็เลยไม่ชอบเรื่องความสัมพันธ์ที่เหมือนถูกโชคชะตากำหนดไว้ก่อนแล้ว โชคดีที่เคลียร์ปมปัญหาทางใจกันได้ภายใน 1/3 เล่ม เพราะเรากำลังตัดสินใจจะอ่านผ่านๆ อยู่แล้ว เนื่องจากประเด็นนี้เครียดและหนักสมองมากไปสำหรับเรา แต่เรื่องราวหลังจากนั้นก็สนุกมากๆ ในการพยายามช่วยตามหาเด็กที่ถูกลักพาตัวไป เนื้อเรื่องในโลกของไซกับเชนจลิงก์ก็ขยายเพิ่มเติมไปอีก ยิ่งทำให้ซีรีส์นี้น่าติดตามยิ่งขึ้น
++++++++++++++++++++++++
Hostage To Pleasure (Psy/Changeling 5)
คะแนน : 8.25
เล่มนี้เนื้อเรื่องต่อเนื่องจากเล่มที่แล้วที่จบลงตอนกำลังสนุกเลย อชยาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แอบปล่อยเด็กที่ถูกจับไปเล่มที่แล้ว ดาร์คริเวอร์ช่วยลูกชายของเธอออกมาเป็นการตอบแทน และเธอก็หนีออกมาจากห้องทดลองได้สำเร็จ เราชอบอชยาค่ะ ในบรรดาตัวละครแต่ละเผ่าพันธุ์นี่ รู้สึกเราจะชอบตัวเอกที่มาจากเผ่าไซที่สุดเลย ดอเรียนก็โอเคค่ะ เซนติเนลเผ่าเสือดาวคนเดียวที่กลายร่างไม่ได้ ถึงแม้บุคลิกดอเรียนในเล่มนี้จะก้าวร้าวขึ้นกว่าเล่ม 4 ที่กำลังน่ารักเชียว แต่ก็เข้าใจได้ตามเนื้อเรื่อง ความรู้สึกเจ็บปวดที่สูญเสียน้องสาวไปตามกลับมาหลอกหลอน ว่าแต่ว่า เรากำลังจะเริ่มเบื่อหนุ่มเชนจลิงก์เผ่าเสือดาวดาร์คริเวอร์แล้วนะ อยากอ่านฝั่งหมาป่าสโนว์แดนเซอร์มากกว่า
เล่มนี้เนื้อเรื่องด้านแอกชั่นเยอะดี เนื้อเรื่องก็ขยายขอบเขต เพิ่มกลุ่มตัวละครใหม่ๆ เข้ามาอีก พล็อตเรื่องสร้างสรรค์ สนุกมาก หนังสือชุดนี้อ่านข้ามไม่ได้เลย การพัฒนาตัวละครและเนื้อเรื่องต่อเนื่องกันไปตลอด เหมือนดูหนังเรื่องยาวหนึ่งเรื่องที่แบ่งเป็นตอนๆ โดยสลับกันเป็นตัวเอก และเราชอบที่ตัวเอกจากเล่มก่อนๆ ในซีรีส์ โดยเฉพาะลูคัสกับซาช่า ก็ยังมีบทบาทสำคัญ และมีส่วนในการพัฒนาเนื้อเรื่อง ไม่ใช่เป็นแค่ตัวประกอบ
Beat of Temptation (An Enchanted Season)
คะแนน : 8
เป็นตอนพิเศษ Prequel เรื่องราวของแทมซินกับเนท กับบรรยากาศคริสต์มาสในโลกของเชนจลิงก์ ก็สนุกดีค่ะ ถึงแม้เนื้อเรื่องจะไม่ยาวมาก แต่ก็ทำให้รู้จักตัวละครดีขึ้น ได้เห็นลูคัสตอนวัยรุ่นด้วย
The Cannibal Princess (Psy/Changeling 1.5)
คะแนน : 7
เรื่องสั้นมากๆ ฉากเดียว ลูคัสกับซาช่ารับดูแลเด็กแฝดลูกๆ ของแทมซินกับเนท ลูคัสเล่านิทานเรื่องเจ้าหญิงกินคนให้เด็กๆ ฟัง ถึงจะสั้นแต่น่ารักมากค่ะ โดยเฉพาะตอนเปิดเรื่องที่เด็กๆ เรียกซาช่าว่า ซาช่าดาร์ลิ่ง
วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Visions of Heat & Caressed by Ice - Nalini Singh
Visions of Heat (Psy/Changeling 2)
คะแนน : 8
Psy & Changeling เล่ม 2 ตอนอ่านรู้สึก on & off สลับกันเป็นพักๆ บางช่วงสนุก บางช่วงก็อืด ชอบน้อยกว่าเล่มแรก คงเพราะเราเริ่มรู้จักโลกในเรื่องแล้ว ความรู้สึกแปลกใหม่อาจลดน้อยลง และเราว่า วอห์น พระเอกเรื่องนี้ ยังด้อยกว่าลูคัส ยิ่งช่วงแรกๆ ที่เขาพยายามแตะต้องตัวเฟธ นางเอก เพื่อให้เธอคุ้นเคยกับการสัมผัส ก็ขัดใจเรานิดหน่อย ถึงจะเข้าใจดีว่า ด้วยบุคลิกตัวละคร ด้วยความจำเป็น ถ้ามัวแต่โอ๋ก็อาจไม่เป็นผลดี แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นการ push มากเกินไป แต่ยังดีที่เป็นเฉพาะช่วงแรกๆ
ความลงตัวของเนื้อเรื่องเล่มนี้ก็ด้อยไปนิด เพราะเนื้อเรื่องช่วงท้ายหลังแก้สถานการณ์วิกฤติเรื่องฆาตกรได้แล้ว ก็เริ่มขยายโลกในเรื่องเพื่อปูทางสู่เล่มต่อๆ ไป แต่ก็ดีสำหรับการเป็นเรื่องชุด ทำให้อยากติดตามอ่านเล่มต่อไปมากขึ้น
Caressed by Ice (Psy/Changeling 3)
คะแนน : 8.5
คราวนี้เปลี่ยนบรรยากาศจากสาวไซกับหนุ่มเชนจลิงก์ มาเป็นสาวเชนจลิงก์กับหนุ่มไซบ้าง ดีค่ะ ได้กลับบทบาทมาเป็นฝ่ายพระเอกต้องพยายามต่อสู้กับจิตใจตัวเองบ้าง นางเอกคือ เบรนน่า สาวเผ่าหมาป่า ที่เคยถูกลักพาตัวไปโดยฆาตกรโรคจิตในเล่มแรก พระเอกคือ จัดด์ ลอเรน หนุ่มพลังจิต ที่หลบหนีออกจากเครือข่าย PsyNet ปรากฏตัวตั้งแต่ในเล่มแรกเหมือนกัน
เราชอบเล่ม 3 มากกว่าเล่ม 2 เพราะอันนั้นรู้สึกเหมือนดำเนินตามสูตรเล่มแรกแต่สู้ไม่ได้ ในขณะที่เล่มนี้แปลกใหม่กว่า เราชอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกในเล่มนี้มากๆ จัดด์ถึงจะต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเองแค่ไหน เพราะทุกเวลาที่เขาคิดถึงหรือสัมผัสเบรนน่าก็จะนำความเจ็บปวดมาสู่เขา แต่เขาก็ปกป้องดูแลเบรนน่าเสมอ ไม่ผลักไสหรือทำร้ายจิตใจเธอเลย ส่วนเบรนน่า ถึงจะผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายมา แต่เธอก็เข้มแข็งและกล้าหาญมากๆ
เรารู้สึกว่า Nalini เขียนตัวละครนางเอกได้ดีมากๆ เลย ทุกเล่ม นางเอกของเธอเข้มแข็งแต่อ่อนโยน โดยไม่ต้องพิรี้พิไรหรืออวดดีจนน่ารำคาญ และกล้าตัดสินใจเพื่อตัวเอง รู้จักความต้องการของหัวใจตัวเองดี และยอมรับความอ่อนแอของตัวเองได้ในบางเวลา เป็นผู้หญิงในอุดมคติมากๆ
ป.ล. หน้าปกสองเล่มนี้ไม่สวยเลยนะคะถ้าดูแต่ปกคงไม่อยากอ่านแน่ๆ สู้หน้าปกฉบับภาษาไทยไม่ได้เลย
คะแนน : 8
Psy & Changeling เล่ม 2 ตอนอ่านรู้สึก on & off สลับกันเป็นพักๆ บางช่วงสนุก บางช่วงก็อืด ชอบน้อยกว่าเล่มแรก คงเพราะเราเริ่มรู้จักโลกในเรื่องแล้ว ความรู้สึกแปลกใหม่อาจลดน้อยลง และเราว่า วอห์น พระเอกเรื่องนี้ ยังด้อยกว่าลูคัส ยิ่งช่วงแรกๆ ที่เขาพยายามแตะต้องตัวเฟธ นางเอก เพื่อให้เธอคุ้นเคยกับการสัมผัส ก็ขัดใจเรานิดหน่อย ถึงจะเข้าใจดีว่า ด้วยบุคลิกตัวละคร ด้วยความจำเป็น ถ้ามัวแต่โอ๋ก็อาจไม่เป็นผลดี แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นการ push มากเกินไป แต่ยังดีที่เป็นเฉพาะช่วงแรกๆ
ความลงตัวของเนื้อเรื่องเล่มนี้ก็ด้อยไปนิด เพราะเนื้อเรื่องช่วงท้ายหลังแก้สถานการณ์วิกฤติเรื่องฆาตกรได้แล้ว ก็เริ่มขยายโลกในเรื่องเพื่อปูทางสู่เล่มต่อๆ ไป แต่ก็ดีสำหรับการเป็นเรื่องชุด ทำให้อยากติดตามอ่านเล่มต่อไปมากขึ้น
++++++++++++++++++++++++
Caressed by Ice (Psy/Changeling 3)
คะแนน : 8.5
คราวนี้เปลี่ยนบรรยากาศจากสาวไซกับหนุ่มเชนจลิงก์ มาเป็นสาวเชนจลิงก์กับหนุ่มไซบ้าง ดีค่ะ ได้กลับบทบาทมาเป็นฝ่ายพระเอกต้องพยายามต่อสู้กับจิตใจตัวเองบ้าง นางเอกคือ เบรนน่า สาวเผ่าหมาป่า ที่เคยถูกลักพาตัวไปโดยฆาตกรโรคจิตในเล่มแรก พระเอกคือ จัดด์ ลอเรน หนุ่มพลังจิต ที่หลบหนีออกจากเครือข่าย PsyNet ปรากฏตัวตั้งแต่ในเล่มแรกเหมือนกัน
เราชอบเล่ม 3 มากกว่าเล่ม 2 เพราะอันนั้นรู้สึกเหมือนดำเนินตามสูตรเล่มแรกแต่สู้ไม่ได้ ในขณะที่เล่มนี้แปลกใหม่กว่า เราชอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกในเล่มนี้มากๆ จัดด์ถึงจะต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเองแค่ไหน เพราะทุกเวลาที่เขาคิดถึงหรือสัมผัสเบรนน่าก็จะนำความเจ็บปวดมาสู่เขา แต่เขาก็ปกป้องดูแลเบรนน่าเสมอ ไม่ผลักไสหรือทำร้ายจิตใจเธอเลย ส่วนเบรนน่า ถึงจะผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายมา แต่เธอก็เข้มแข็งและกล้าหาญมากๆ
เรารู้สึกว่า Nalini เขียนตัวละครนางเอกได้ดีมากๆ เลย ทุกเล่ม นางเอกของเธอเข้มแข็งแต่อ่อนโยน โดยไม่ต้องพิรี้พิไรหรืออวดดีจนน่ารำคาญ และกล้าตัดสินใจเพื่อตัวเอง รู้จักความต้องการของหัวใจตัวเองดี และยอมรับความอ่อนแอของตัวเองได้ในบางเวลา เป็นผู้หญิงในอุดมคติมากๆ
ป.ล. หน้าปกสองเล่มนี้ไม่สวยเลยนะคะถ้าดูแต่ปกคงไม่อยากอ่านแน่ๆ สู้หน้าปกฉบับภาษาไทยไม่ได้เลย
วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Slave To Sensation - Nalini Singh
คะแนน : 8.5
เพิ่งหยิบเรื่องนี้มาอ่าน เพราะปกติเราคิดว่า แนวพารานอร์มอลคงไม่ใช่แนวที่เราชอบ เราอ่านชุด Dark-Hunter ของ Sherrilyn Kenyon ไป 1-2 เล่ม ซึ่งก็โอเค แต่ก็ไม่ได้ทำให้ติดใจเท่าไหร่ ส่วน J.R Ward ไม่รู้เป็นไรเราอ่าน Lover Awakened ไปได้สองสามบท ก็ถอดใจซะแล้ว ได้แต่ทำใจว่าเราคงไม่ถนัดอ่านแนวนี้ แต่เพราะกระแสความดังของหนังสือแนวเหนือจริง โดยเฉพาะชุด Psy/Changeling Series ทั้งในไทยและต่างประเทศ ทำให้เราเกิดความรู้สึกคาใจอยู่ตลอดเวลาว่า เอ๊ะ นี่เราพลาดอะไรไปรึเปล่า แล้วก็ตั้งใจอยู่ว่า สักวันคงต้องลองอ่านดูสักที และไม่ผิดหวังเลยกับผลลัพธ์ที่ออกมา
เราคงไม่ต้องพูดถึงเนื้อเรื่องนะคะ เพราะเรื่องนี้ดังมาก ตามบอร์ดตามเว็บพูดกันเยอะ ขอพูดถึงความรู้สึกที่เรามีต่อ Slave To Sensation เล่มเปิดตัวนิยายชุดนี้เลยแล้วกัน
1. เราชอบฉากของเรื่อง โลกอนาคตที่คล้ายแต่ไม่ใช่โลกของเรา มีมนุษย์พลังจิต มนุษย์กลายร่าง และเราชอบสไตล์การบรรยายของ Nalini Singh มากๆ เวลาพูดถึงฉาก สถานที่ สภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ สังคมในเรื่อง เธอไม่ได้เล่ายัดเยียดเป็นหน้าๆ ว่า โลกนี้มีอะไร ไม่มีอะไร ไอ้ศัพท์ใหม่ๆ แปลกๆ มันหมายความว่าอะไร แต่มันสอดแทรกอยู่ในเนื้อเรื่องและบทสนทนาอย่างแนบเนียนเป็นธรรมชาติ มันดึงให้เรารู้สึกอยากติดตามได้ตั้งแต่แรกที่เริ่มอ่านเลย
2. เนื้อเรื่อง สนุกดีค่ะ การตามล่าฆาตกรต่อเนื่อง การพบกันในฝันของตัวเอก
3. ตัวละคร ยอดเยี่ยม สมเป็นพระเอกนางเอกยุคใหม่จริงๆ ซาช่า เก่ง ฉลาด มีความคิด อ่อนโยน เข้มแข็ง พูดง่ายๆ คือ perfect ในขณะที่ ลูคัส ก็กล้าหาญ เก่งกาจ ช่างปกป้อง โดยเฉพาะจุดที่เราชอบคือ ถึงเขาจะมีความหลังเลวร้ายที่สูญเสียครอบครัวที่เขารักไปตั้งแต่ยังเด็ก แทนที่จะเลือกโดดเดี่ยวตนเอง แต่เขากลับกลายเป็นคนที่ขี้หวงขี้ห่วงคนที่เขาแคร์ขึ้นไปอีก
4. ฉากการผจญภัยใน PsyNet เราชอบการบรรยายที่เทียบกับศัพท์คอมพิวเตอร์ อ่านแล้วรู้สึกว่า NS เป็นนักเขียนที่มีความรู้/ค้นข้อมูล ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมาดี ไวรัส ไฟร์วอลล์ แฮกกิ้ง โกสต์ ฯลฯ ไม่พลาดเลย แล้วเอามาสร้างสรรค์เข้ากับการดำเนินเรื่องได้ดี เป็นพารานอร์มอลผสมไซไฟ โดยเฉพาะถ้าเทียบกับ Digital Fortress ของ Dan Brown ที่อ่านสนุกแต่รู้เลยว่า นักเขียนไม่แม่นเรื่องเทคนิคจริง
ถึงจะค้นพบเรื่องชุดนี้ช้าไปหน่อย แต่ก็ดีเหมือนกันที่เราอ่านตอนที่หนังสือในชุดออกมาหลายเล่มแล้ว จะได้อ่านต่อเนื่องกันเลย สงสัยช่วงนี้จะต้องอดหลับอดนอนอ่านไปอีกหลายคืนแน่เลย
เพิ่งหยิบเรื่องนี้มาอ่าน เพราะปกติเราคิดว่า แนวพารานอร์มอลคงไม่ใช่แนวที่เราชอบ เราอ่านชุด Dark-Hunter ของ Sherrilyn Kenyon ไป 1-2 เล่ม ซึ่งก็โอเค แต่ก็ไม่ได้ทำให้ติดใจเท่าไหร่ ส่วน J.R Ward ไม่รู้เป็นไรเราอ่าน Lover Awakened ไปได้สองสามบท ก็ถอดใจซะแล้ว ได้แต่ทำใจว่าเราคงไม่ถนัดอ่านแนวนี้ แต่เพราะกระแสความดังของหนังสือแนวเหนือจริง โดยเฉพาะชุด Psy/Changeling Series ทั้งในไทยและต่างประเทศ ทำให้เราเกิดความรู้สึกคาใจอยู่ตลอดเวลาว่า เอ๊ะ นี่เราพลาดอะไรไปรึเปล่า แล้วก็ตั้งใจอยู่ว่า สักวันคงต้องลองอ่านดูสักที และไม่ผิดหวังเลยกับผลลัพธ์ที่ออกมา
เราคงไม่ต้องพูดถึงเนื้อเรื่องนะคะ เพราะเรื่องนี้ดังมาก ตามบอร์ดตามเว็บพูดกันเยอะ ขอพูดถึงความรู้สึกที่เรามีต่อ Slave To Sensation เล่มเปิดตัวนิยายชุดนี้เลยแล้วกัน
1. เราชอบฉากของเรื่อง โลกอนาคตที่คล้ายแต่ไม่ใช่โลกของเรา มีมนุษย์พลังจิต มนุษย์กลายร่าง และเราชอบสไตล์การบรรยายของ Nalini Singh มากๆ เวลาพูดถึงฉาก สถานที่ สภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ สังคมในเรื่อง เธอไม่ได้เล่ายัดเยียดเป็นหน้าๆ ว่า โลกนี้มีอะไร ไม่มีอะไร ไอ้ศัพท์ใหม่ๆ แปลกๆ มันหมายความว่าอะไร แต่มันสอดแทรกอยู่ในเนื้อเรื่องและบทสนทนาอย่างแนบเนียนเป็นธรรมชาติ มันดึงให้เรารู้สึกอยากติดตามได้ตั้งแต่แรกที่เริ่มอ่านเลย
2. เนื้อเรื่อง สนุกดีค่ะ การตามล่าฆาตกรต่อเนื่อง การพบกันในฝันของตัวเอก
3. ตัวละคร ยอดเยี่ยม สมเป็นพระเอกนางเอกยุคใหม่จริงๆ ซาช่า เก่ง ฉลาด มีความคิด อ่อนโยน เข้มแข็ง พูดง่ายๆ คือ perfect ในขณะที่ ลูคัส ก็กล้าหาญ เก่งกาจ ช่างปกป้อง โดยเฉพาะจุดที่เราชอบคือ ถึงเขาจะมีความหลังเลวร้ายที่สูญเสียครอบครัวที่เขารักไปตั้งแต่ยังเด็ก แทนที่จะเลือกโดดเดี่ยวตนเอง แต่เขากลับกลายเป็นคนที่ขี้หวงขี้ห่วงคนที่เขาแคร์ขึ้นไปอีก
4. ฉากการผจญภัยใน PsyNet เราชอบการบรรยายที่เทียบกับศัพท์คอมพิวเตอร์ อ่านแล้วรู้สึกว่า NS เป็นนักเขียนที่มีความรู้/ค้นข้อมูล ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมาดี ไวรัส ไฟร์วอลล์ แฮกกิ้ง โกสต์ ฯลฯ ไม่พลาดเลย แล้วเอามาสร้างสรรค์เข้ากับการดำเนินเรื่องได้ดี เป็นพารานอร์มอลผสมไซไฟ โดยเฉพาะถ้าเทียบกับ Digital Fortress ของ Dan Brown ที่อ่านสนุกแต่รู้เลยว่า นักเขียนไม่แม่นเรื่องเทคนิคจริง
ถึงจะค้นพบเรื่องชุดนี้ช้าไปหน่อย แต่ก็ดีเหมือนกันที่เราอ่านตอนที่หนังสือในชุดออกมาหลายเล่มแล้ว จะได้อ่านต่อเนื่องกันเลย สงสัยช่วงนี้จะต้องอดหลับอดนอนอ่านไปอีกหลายคืนแน่เลย
วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Ten Things I Love About You - Julia Quinn
คะแนน : 7.5
เรื่องใหม่ของ Julia Quinn ก่อนอ่านไม่คาดหวังอะไรมากเลย เพราะทั้งๆ ที่ JQ เป็นนักเขียนที่เราเคยชอบมาก จากชุด Bridgerton (พี่น้อง 8 คนที่มีชื่อต้นเรียงตามลำดับตัวอักษร A-H) แต่นับหลังจากเรื่อง Romancing Mister Bridgerton เป็นต้นมา ก็ไม่มีงานเล่มไหนของเธอที่เราชอบมากๆ อีกเลย โดยเฉพาะเล่มหลังๆ ที่ไม่ใช่ Bridgerton ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ จนไม่น่าอ่านเลย จนเคยคิดว่าจะเลิกอ่าน JQ แล้วด้วยซ้ำ ทั้งที่เป็นนักเขียนที่เราเคยอ่านผลงานมาเกือบครบทุกเรื่อง
เล่มนี้ Ten Things I Love About You เป็นเรื่องที่มีตัวละครต่อจากเรื่อง What Happens In London ซึ่งเราลืมเนื้อเรื่องไปเกือบหมดแล้ว จำได้แต่ว่ามันไม่สนุกและน่าเบื่อมาก แต่ถึงจะไม่เคยอ่านเล่มนั้นมา ก็คงไม่มีปัญหาอะไรกับการอ่านเรื่องนี้
พระเอกคือ เซบาสเตียน เกรย์ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระเอกเรื่อง WHIL และปรากฏตัวครั้งแรกในเรื่องนั้น เขาเคยเป็นทหารและมีบาดแผลใจจากสงครามเลยทำให้เป็นโรคนอนไม่หลับ วันหนึ่งก็เลยลุกมาเขียนนิยายโกธิค โดยใช้นามแฝงเป็นผู้หญิง กลายเป็นนิยายขายดี ประเด็นนี้จะถูกใช้เป็นมุกตลกแฝงในการดำเนินเรื่องตลอดเล่มนี้
นางเอกคือ แอนนาเบล วินสโลว์ ซึ่งเป็นพี่สาวคนโตของครอบครัวที่มีลูก 8 คน ซึ่งหลังจากพ่อตายก็ทำให้สถานการณ์การเงินของครอบครัวลำบากมาก ตากับยายของเธอจึงรับเธอมาอยู่ด้วย เพื่อเป็นสปอนเซอร์ให้หญิงสาวสามารถหาสามีร่ำรวยมีบรรดาศักดิ์ได้ และคนที่ตายายของเธอหมายตาไว้คือ เอิร์ลแห่งนิวเบอรี ตาแก่ซึ่งเพิ่งเสียลูกชายที่เป็นทายาทของตัวเองไป ก็เลยพยายามจะแต่งงานใหม่ เพื่อให้มีลูกสืบตระกูล เพราะไม่เช่นนั้น ตำแหน่งเอิร์ลจะตกเป็นของหลานชายที่ท่านเอิร์ลเกลียดน้ำหน้าที่สุด ซึ่งหลายชายคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ เซบาสเตียนนั่นเอง! ทำให้แอนนาเบลต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก กลายเป็นคนกลางอยู่ท่ามกลางสงครามความขัดแย้งระหว่างลุงกับหลานโดยไม่ตั้งใจ
ช่วงแรกเรื่องจะยืดๆ หน่อย เป็นช่วงแนะนำตัวละครที่ยืดยาวพอดู และความพยายามเล่นคำเล่นสำนวนตามสไตล์ของ JQ ในช่วงต้นก็ยังไม่ถูกใจเรานัก รู้สึกฝืดๆ แต่พออ่านไปไม่นาน เนื้อเรื่องและตัวละครก็เริ่มแสดงเสน่ห์ของตัวเองออกมา แอนนาเบลเป็นนางเอกที่โอเคทีเดียว ตลก โผงผางตรงไปตรงมา แต่มีความคิด มีเหตุผล ไม่ซิลลี่แบบนางเอกเล่มก่อน และเซบาสเตียนก็น่ารักมาก เตือนให้นึกถึงคอลิน (Bridgerton เล่ม 4) ที่เป็นพระเอกคนโปรดของเราเลย และเอกลักษณ์ของ JQ ที่เราเคยชอบคือสำนวนการเขียนที่มีอารมณ์ขัน ก็เริ่มทำงานได้ผล เราอ่านไปยิ้มไปอยู่หลายฉากทีเดียว
จะว่าไปในด้านเนื้อเรื่องมันอาจไม่ใช่จุดแข็งของเรื่องนี้นัก ท่านเอิร์ลชั่วร้ายเลวทรามแบบไร้เหตุผลไปหน่อย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะตัวละครหลักดำเนินเรื่องได้ดี แม้เราจะอยากให้นางเอกจัดการกับสถานการณ์ของตัวเองให้ดีกว่านี้ เพราะเราไม่คิดว่า เธออับจนหนทางสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดที่จะต้องลังเลใจอะไรมากมายกับทางเลือกทั้งสอง ส่วนตัวละครรองอื่น เช่น เลดี้หลุยซ่า ลูกพี่ลูกน้องนางเอก หรือ โอลิเวีย นางเอกเล่มที่แล้ว รวมทั้งยายของนางเอก ก็เป็นส่วนประกอบให้เรื่องราวน่าสนใจและช่วยเสริมให้มีฉากตลกๆ หลายฉาก แต่ก็ไม่มีบทมากไปจนดึงความสนใจจากพระเอกนางเอก
สรุปว่า เล่มนี้โอเคเลย และเราว่า JQ เริ่มกลับมาเดินถูกทางแล้ว หลังจากพยายามทดลองเขียนอะไรแปลกๆ ไปหลายเล่ม
เรื่องใหม่ของ Julia Quinn ก่อนอ่านไม่คาดหวังอะไรมากเลย เพราะทั้งๆ ที่ JQ เป็นนักเขียนที่เราเคยชอบมาก จากชุด Bridgerton (พี่น้อง 8 คนที่มีชื่อต้นเรียงตามลำดับตัวอักษร A-H) แต่นับหลังจากเรื่อง Romancing Mister Bridgerton เป็นต้นมา ก็ไม่มีงานเล่มไหนของเธอที่เราชอบมากๆ อีกเลย โดยเฉพาะเล่มหลังๆ ที่ไม่ใช่ Bridgerton ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ จนไม่น่าอ่านเลย จนเคยคิดว่าจะเลิกอ่าน JQ แล้วด้วยซ้ำ ทั้งที่เป็นนักเขียนที่เราเคยอ่านผลงานมาเกือบครบทุกเรื่อง
เล่มนี้ Ten Things I Love About You เป็นเรื่องที่มีตัวละครต่อจากเรื่อง What Happens In London ซึ่งเราลืมเนื้อเรื่องไปเกือบหมดแล้ว จำได้แต่ว่ามันไม่สนุกและน่าเบื่อมาก แต่ถึงจะไม่เคยอ่านเล่มนั้นมา ก็คงไม่มีปัญหาอะไรกับการอ่านเรื่องนี้
พระเอกคือ เซบาสเตียน เกรย์ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระเอกเรื่อง WHIL และปรากฏตัวครั้งแรกในเรื่องนั้น เขาเคยเป็นทหารและมีบาดแผลใจจากสงครามเลยทำให้เป็นโรคนอนไม่หลับ วันหนึ่งก็เลยลุกมาเขียนนิยายโกธิค โดยใช้นามแฝงเป็นผู้หญิง กลายเป็นนิยายขายดี ประเด็นนี้จะถูกใช้เป็นมุกตลกแฝงในการดำเนินเรื่องตลอดเล่มนี้
นางเอกคือ แอนนาเบล วินสโลว์ ซึ่งเป็นพี่สาวคนโตของครอบครัวที่มีลูก 8 คน ซึ่งหลังจากพ่อตายก็ทำให้สถานการณ์การเงินของครอบครัวลำบากมาก ตากับยายของเธอจึงรับเธอมาอยู่ด้วย เพื่อเป็นสปอนเซอร์ให้หญิงสาวสามารถหาสามีร่ำรวยมีบรรดาศักดิ์ได้ และคนที่ตายายของเธอหมายตาไว้คือ เอิร์ลแห่งนิวเบอรี ตาแก่ซึ่งเพิ่งเสียลูกชายที่เป็นทายาทของตัวเองไป ก็เลยพยายามจะแต่งงานใหม่ เพื่อให้มีลูกสืบตระกูล เพราะไม่เช่นนั้น ตำแหน่งเอิร์ลจะตกเป็นของหลานชายที่ท่านเอิร์ลเกลียดน้ำหน้าที่สุด ซึ่งหลายชายคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ เซบาสเตียนนั่นเอง! ทำให้แอนนาเบลต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก กลายเป็นคนกลางอยู่ท่ามกลางสงครามความขัดแย้งระหว่างลุงกับหลานโดยไม่ตั้งใจ
ช่วงแรกเรื่องจะยืดๆ หน่อย เป็นช่วงแนะนำตัวละครที่ยืดยาวพอดู และความพยายามเล่นคำเล่นสำนวนตามสไตล์ของ JQ ในช่วงต้นก็ยังไม่ถูกใจเรานัก รู้สึกฝืดๆ แต่พออ่านไปไม่นาน เนื้อเรื่องและตัวละครก็เริ่มแสดงเสน่ห์ของตัวเองออกมา แอนนาเบลเป็นนางเอกที่โอเคทีเดียว ตลก โผงผางตรงไปตรงมา แต่มีความคิด มีเหตุผล ไม่ซิลลี่แบบนางเอกเล่มก่อน และเซบาสเตียนก็น่ารักมาก เตือนให้นึกถึงคอลิน (Bridgerton เล่ม 4) ที่เป็นพระเอกคนโปรดของเราเลย และเอกลักษณ์ของ JQ ที่เราเคยชอบคือสำนวนการเขียนที่มีอารมณ์ขัน ก็เริ่มทำงานได้ผล เราอ่านไปยิ้มไปอยู่หลายฉากทีเดียว
จะว่าไปในด้านเนื้อเรื่องมันอาจไม่ใช่จุดแข็งของเรื่องนี้นัก ท่านเอิร์ลชั่วร้ายเลวทรามแบบไร้เหตุผลไปหน่อย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะตัวละครหลักดำเนินเรื่องได้ดี แม้เราจะอยากให้นางเอกจัดการกับสถานการณ์ของตัวเองให้ดีกว่านี้ เพราะเราไม่คิดว่า เธออับจนหนทางสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดที่จะต้องลังเลใจอะไรมากมายกับทางเลือกทั้งสอง ส่วนตัวละครรองอื่น เช่น เลดี้หลุยซ่า ลูกพี่ลูกน้องนางเอก หรือ โอลิเวีย นางเอกเล่มที่แล้ว รวมทั้งยายของนางเอก ก็เป็นส่วนประกอบให้เรื่องราวน่าสนใจและช่วยเสริมให้มีฉากตลกๆ หลายฉาก แต่ก็ไม่มีบทมากไปจนดึงความสนใจจากพระเอกนางเอก
สรุปว่า เล่มนี้โอเคเลย และเราว่า JQ เริ่มกลับมาเดินถูกทางแล้ว หลังจากพยายามทดลองเขียนอะไรแปลกๆ ไปหลายเล่ม
วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Under the Mistletoe - Mary Balogh
คะแนน : 7
รวมเรื่องสั้นเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาส เป็นการเอาโนเวลล่าเก่าๆ ของ Mary Balogh ที่อยู่ในหนังสือเล่มอื่นๆ มารวมกันในเล่มเดียว โดยเพิ่มเรื่องใหม่ 1 เรื่อง ออกมานานแล้ว แต่เพิ่งเอามาอ่าน เพราะค่อยๆ ไล่ตามอ่านงานของ MB อยู่ เรื่องเด่นหลักๆ อ่านไปเกือบหมดแล้ว ช่วงไหนไม่มีเรื่องใหม่ของนักเขียนอื่นที่อยากอ่าน ก็สลับมาเก็บเล่มที่ไม่ค่อยเด่นของนักเขียนที่ชอบ
ในนี้มี 5 เรื่อง ชอบเรื่องแรก "A Family Christmas" ที่เป็นเรื่องเอกของเล่มมากที่สุด บางเรื่องอย่าง "Playing House" ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่รวมๆ ทั้งเล่มแล้วก็รู้สึกดี ทั้งๆ ที่ปกติไม่ค่อยชอบอ่านเรื่องสั้นโรแมนซ์เท่าไหร่ เพราะเนื้อเรื่องไม่ค่อยมีอะไร แต่เพราะ MB เขียนเรื่องเกี่ยวกับคริสต์มาสได้ดี เห็นภาพ เข้าถึงจิตใจ ถึงจะไม่เคยสัมผัสบรรยากาศแบบนั้น เพราะเคยแต่ฉลองตรุษจีน รวมญาติ ไหว้เจ้า กินเลี้ยง แต๊ะเอีย แต่อ่านเล่มนี้ก็รู้สึกได้ถึงสปิริตของการฉลองคริสต์มาสเลย อีกอย่างอ่านแล้วอิจฉา อยากเล่นปาหิมะ เล่นเลื่อนหิมะบ้าง
รวมเรื่องสั้นเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาส เป็นการเอาโนเวลล่าเก่าๆ ของ Mary Balogh ที่อยู่ในหนังสือเล่มอื่นๆ มารวมกันในเล่มเดียว โดยเพิ่มเรื่องใหม่ 1 เรื่อง ออกมานานแล้ว แต่เพิ่งเอามาอ่าน เพราะค่อยๆ ไล่ตามอ่านงานของ MB อยู่ เรื่องเด่นหลักๆ อ่านไปเกือบหมดแล้ว ช่วงไหนไม่มีเรื่องใหม่ของนักเขียนอื่นที่อยากอ่าน ก็สลับมาเก็บเล่มที่ไม่ค่อยเด่นของนักเขียนที่ชอบ
ในนี้มี 5 เรื่อง ชอบเรื่องแรก "A Family Christmas" ที่เป็นเรื่องเอกของเล่มมากที่สุด บางเรื่องอย่าง "Playing House" ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่รวมๆ ทั้งเล่มแล้วก็รู้สึกดี ทั้งๆ ที่ปกติไม่ค่อยชอบอ่านเรื่องสั้นโรแมนซ์เท่าไหร่ เพราะเนื้อเรื่องไม่ค่อยมีอะไร แต่เพราะ MB เขียนเรื่องเกี่ยวกับคริสต์มาสได้ดี เห็นภาพ เข้าถึงจิตใจ ถึงจะไม่เคยสัมผัสบรรยากาศแบบนั้น เพราะเคยแต่ฉลองตรุษจีน รวมญาติ ไหว้เจ้า กินเลี้ยง แต๊ะเอีย แต่อ่านเล่มนี้ก็รู้สึกได้ถึงสปิริตของการฉลองคริสต์มาสเลย อีกอย่างอ่านแล้วอิจฉา อยากเล่นปาหิมะ เล่นเลื่อนหิมะบ้าง
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553
The Time Weaver (Drakon 5) - Shana Abé
คะแนน : 7
นี่เป็นนิยายเล่มที่ 5 ในซีรีส์ Drakon ของ Shana Abe เรื่องราวของเผ่าดราคอนหรือมนุษย์มังกร เผ่ามนุษย์ที่สามารถแปลงเป็นมังกรได้ หรือที่ถูกคือ เดิมสายเลือดเป็นมังกร แต่เพื่อหลบซ่อนตัวจึงแปลงอยู่ในร่างมนุษย์ แล้วสืบทอดลูกหลานมา อาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลในอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 18 ตามปกติทุกคนในเผ่าใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดา โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่สายเลือดเจือจางลงจนแทบไม่มีใครแปลงร่างได้ หมู่บ้านถูกปกครองอยู่ใต้กฎระเบียบเคร่งครัดของสภา ในการนำของอัลฟ่าซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำของเผ่า ซึ่งมีตำแหน่งขุนนางของมนุษย์เป็นมาร์ควิสเพื่อบังหน้าด้วย
หลังจากผิดหวังกับเล่ม 4 คือ The Treasure Keeper (อ่านความรู้สึกของเราที่มีต่อเล่มนั้นได้ที่นี่) มาเล่มนี้เราก็เลยไม่คาดหวังอะไรมาก แต่เราก็หยิบมาอ่านหลังหนังสือออกไม่นาน เพราะเรารู้สึกว่า พล็อตเรื่องน่าสนใจกว่าเล่มที่แล้ว และติดใจตรงประเด็นของตัวร้ายที่ทิ้งท้ายมาจากเล่ม 4 ด้วย ต่อไปนี้สปอยล์เต็มที่นะคะ เพราะพูดถึงเล่มนี้โดยไม่สปอยล์เล่มก่อนหน้าไม่ได้
จากการอ่านเล่ม 4 ทำให้เรารู้ว่า หญิงชราผู้นำของ Sanf Inimicus กลุ่มศํตรูตัวฉกาจที่คอยไล่ล่าดราคอน ที่แท้คือ ออนเนอร์ คาร์ไลเซิล ซึ่งเป็นเด็กสาวเผ่าดราคอนที่ถูกลักพาตัวไปในเล่ม 3 (Queen of Dragons) เป็นไปได้อย่างไรที่เด็กสาวเรียบร้อยขี้อายคนหนึ่งที่เพิ่งหายตัวไปไม่นานนัก กลับมาปรากฏตัวกลายเป็นหญิงชราร้ายกาจผู้ฆ่าชาวเผ่าไปหลายคนแล้วได้! นั่นเพราะออนเนอร์มีพลังที่ไม่มีใครเหมือน เธอเป็นผู้ถักทอเวลา เธอไม่มีความสามารถแปลงร่างเป็นมังกรเหมือนพวกที่มีสายเลือดอัลฟ่า แต่ความสามารถพิเศษของเธอ คือ การเดินทางข้ามเวลาไปมาได้ทั้งอดีตและอนาคต เพียงแต่พลังนั้นก็ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่เธอควบคุมไม่ได้ทั้งหมด
ออนเนอร์ถูกลักพาตัวออกจากหมู่บ้านตั้งแต่อายุ 14 เพื่อรักษาชีวิตของเธอเอง แล้วมาอาศัยที่ประเทศสเปนอยู่กับอมาเลียและเซน พระเอก-นางเอก เล่ม 2 (The Dream Thief) ในฐานะลูกเลี้ยง ตามนิมิตฝันของลีอา ในการข้ามเวลาไปมานั้น ดึงดูดออนเนอร์ให้มาพบกับ ซานดู หรือเจ้าชายอเล็กซานดรู ผู้ปกครองของเผ่ามนุษย์มังกรแห่งซาฮาเรน ซานดูเป็นน้องชายของนางเอกเล่ม 3 และเคยปรากฏตัวในเล่ม 4 ตอนนั้นยังเป็นเด็กหนุ่ม ความสัมพันธ์รักระหว่างทั้งสอง จะนำไปสู่หายนะทั้งของเผ่ามังกรซาฮาเรน และเผ่ามังกรอังกฤษ และจะทำให้ชะตาชีวิตของออนเนอร์พลิกผันกลายเป็นศัตรูของเผ่าตัวเอง แล้วจะทำอย่างไรเพื่อเปลี่ยนอนาคตอันมืดมนนั้น
แค่ประเด็นเดียวว่า จะทำยังไงให้รอดจากชะตากรรมนั้น ก็ดึงเราให้ติดตามอ่านเรื่องนี้ได้ตลอดเล่มแล้ว เพราะอยากรู้ว่าจะลงเอยยังไง แต่ในส่วนการดำเนินเรื่องไม่ได้เน้นเรื่องว่าจะแก้ปัญหายังไงนะคะ เพราะเจ้าตัวนางเอกเองก็ไม่รู้อนาคตตัวเองว่า จะกลายเป็นยายแก่นั่นได้ เรื่องราวส่วนใหญ่อยู่ที่การข้ามเวลาไปมาเพื่อเจอกันระหว่างพระเอกนางเอก ตอนอ่านก็นึกว่าคล้ายกับเรื่อง The Time Traveler's Wife ของ Audrey Niffenegger เหมือนกันนะ แต่นี่เป็นโรแมนซ์ยุคโบราณปนแฟนตาซี ฉากที่ซานดูแปลงเป็นมังกร ให้ออนเนอร์ขี่หลัง เหาะเหนือท้องฟ้าราตรี เป็นฉาก seducing ที่เราว่า แปลกใหม่ดี
เราอ่านเรื่องนี้ไม่เบื่อเลยนะ แต่ก็ไม่ได้ชอบเต็มที่ เพราะบอกตามตรงว่า เราไม่ชอบไอ้เผ่าดราคอนนี้เลย พระเอกนางเอกแต่ละคน ดูเย็นชาห่างเหินจากคนอ่านยังไงไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่าตัวละครในเรื่องเย็นชา ทั้งคู่ออนเนอร์-ซานดู ลีอา-เซน ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากๆ ในเรื่องนี้ รักกันลึกซึ้งนะคะ แต่เรารู้สึกว่า สำนวนการเขียนเว้นวรรคตัวละครกับคนอ่าน มักจะบรรยายการกระทำ แต่ไม่ค่อยบรรยายจิตใจและความรู้สึกภายใน ทำให้เราไม่อินไปกับตัวละครเผ่านี้เลย และเล่มนี้ เผ่าดราคอนอังกฤษนี่รับบทตัวร้ายเต็มที่เลย ทำให้เรายิ่งรู้สึกแย่กับไอ้เผ่านี้เข้าไปใหญ่ และผิดหวังกับชีวิตของลีอากับเซนนิดหน่อย ที่ดูไม่มีความสุขเท่าไหร่ เพราะต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ จากเผ่า ผิดฟอร์มนิยายโรแมนซ์เวลากล่าวถึงตัวละครจากเรื่องก่อนๆ
ส่วนตอนจบก็ตลกดีค่ะ พระเอกนางเอกเรื่องนี้แปลกดี ปล่อยให้คนอื่นขโมยซีนจัดการแก้ปัญหาทั้งหมดไป โดยตัวเองแค่ยืนรอรับคำสั่ง คือ ถ้าอ่านในฐานะเรื่องชุดก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าในฐานะเล่มเอกเทศของตัวเอง นับว่าผิดวิสัยตัวเอกมากๆ แต่รวมๆ แล้วก็โอเคกับเล่มนี้นะคะ พลิกฟื้นความรู้สึกขึ้นมาได้ เราก็จะยังตามอ่านซีรีส์นี้ต่อไป เพราะปมปัญหาที่ทิ้งไว้จากเล่มก่อนๆ ก็ยังเคลียร์ไม่หมด
นี่เป็นนิยายเล่มที่ 5 ในซีรีส์ Drakon ของ Shana Abe เรื่องราวของเผ่าดราคอนหรือมนุษย์มังกร เผ่ามนุษย์ที่สามารถแปลงเป็นมังกรได้ หรือที่ถูกคือ เดิมสายเลือดเป็นมังกร แต่เพื่อหลบซ่อนตัวจึงแปลงอยู่ในร่างมนุษย์ แล้วสืบทอดลูกหลานมา อาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลในอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 18 ตามปกติทุกคนในเผ่าใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดา โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่สายเลือดเจือจางลงจนแทบไม่มีใครแปลงร่างได้ หมู่บ้านถูกปกครองอยู่ใต้กฎระเบียบเคร่งครัดของสภา ในการนำของอัลฟ่าซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำของเผ่า ซึ่งมีตำแหน่งขุนนางของมนุษย์เป็นมาร์ควิสเพื่อบังหน้าด้วย
หลังจากผิดหวังกับเล่ม 4 คือ The Treasure Keeper (อ่านความรู้สึกของเราที่มีต่อเล่มนั้นได้ที่นี่) มาเล่มนี้เราก็เลยไม่คาดหวังอะไรมาก แต่เราก็หยิบมาอ่านหลังหนังสือออกไม่นาน เพราะเรารู้สึกว่า พล็อตเรื่องน่าสนใจกว่าเล่มที่แล้ว และติดใจตรงประเด็นของตัวร้ายที่ทิ้งท้ายมาจากเล่ม 4 ด้วย ต่อไปนี้สปอยล์เต็มที่นะคะ เพราะพูดถึงเล่มนี้โดยไม่สปอยล์เล่มก่อนหน้าไม่ได้
++++++++++++++++++++++++
จากการอ่านเล่ม 4 ทำให้เรารู้ว่า หญิงชราผู้นำของ Sanf Inimicus กลุ่มศํตรูตัวฉกาจที่คอยไล่ล่าดราคอน ที่แท้คือ ออนเนอร์ คาร์ไลเซิล ซึ่งเป็นเด็กสาวเผ่าดราคอนที่ถูกลักพาตัวไปในเล่ม 3 (Queen of Dragons) เป็นไปได้อย่างไรที่เด็กสาวเรียบร้อยขี้อายคนหนึ่งที่เพิ่งหายตัวไปไม่นานนัก กลับมาปรากฏตัวกลายเป็นหญิงชราร้ายกาจผู้ฆ่าชาวเผ่าไปหลายคนแล้วได้! นั่นเพราะออนเนอร์มีพลังที่ไม่มีใครเหมือน เธอเป็นผู้ถักทอเวลา เธอไม่มีความสามารถแปลงร่างเป็นมังกรเหมือนพวกที่มีสายเลือดอัลฟ่า แต่ความสามารถพิเศษของเธอ คือ การเดินทางข้ามเวลาไปมาได้ทั้งอดีตและอนาคต เพียงแต่พลังนั้นก็ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่เธอควบคุมไม่ได้ทั้งหมด
ออนเนอร์ถูกลักพาตัวออกจากหมู่บ้านตั้งแต่อายุ 14 เพื่อรักษาชีวิตของเธอเอง แล้วมาอาศัยที่ประเทศสเปนอยู่กับอมาเลียและเซน พระเอก-นางเอก เล่ม 2 (The Dream Thief) ในฐานะลูกเลี้ยง ตามนิมิตฝันของลีอา ในการข้ามเวลาไปมานั้น ดึงดูดออนเนอร์ให้มาพบกับ ซานดู หรือเจ้าชายอเล็กซานดรู ผู้ปกครองของเผ่ามนุษย์มังกรแห่งซาฮาเรน ซานดูเป็นน้องชายของนางเอกเล่ม 3 และเคยปรากฏตัวในเล่ม 4 ตอนนั้นยังเป็นเด็กหนุ่ม ความสัมพันธ์รักระหว่างทั้งสอง จะนำไปสู่หายนะทั้งของเผ่ามังกรซาฮาเรน และเผ่ามังกรอังกฤษ และจะทำให้ชะตาชีวิตของออนเนอร์พลิกผันกลายเป็นศัตรูของเผ่าตัวเอง แล้วจะทำอย่างไรเพื่อเปลี่ยนอนาคตอันมืดมนนั้น
แค่ประเด็นเดียวว่า จะทำยังไงให้รอดจากชะตากรรมนั้น ก็ดึงเราให้ติดตามอ่านเรื่องนี้ได้ตลอดเล่มแล้ว เพราะอยากรู้ว่าจะลงเอยยังไง แต่ในส่วนการดำเนินเรื่องไม่ได้เน้นเรื่องว่าจะแก้ปัญหายังไงนะคะ เพราะเจ้าตัวนางเอกเองก็ไม่รู้อนาคตตัวเองว่า จะกลายเป็นยายแก่นั่นได้ เรื่องราวส่วนใหญ่อยู่ที่การข้ามเวลาไปมาเพื่อเจอกันระหว่างพระเอกนางเอก ตอนอ่านก็นึกว่าคล้ายกับเรื่อง The Time Traveler's Wife ของ Audrey Niffenegger เหมือนกันนะ แต่นี่เป็นโรแมนซ์ยุคโบราณปนแฟนตาซี ฉากที่ซานดูแปลงเป็นมังกร ให้ออนเนอร์ขี่หลัง เหาะเหนือท้องฟ้าราตรี เป็นฉาก seducing ที่เราว่า แปลกใหม่ดี
เราอ่านเรื่องนี้ไม่เบื่อเลยนะ แต่ก็ไม่ได้ชอบเต็มที่ เพราะบอกตามตรงว่า เราไม่ชอบไอ้เผ่าดราคอนนี้เลย พระเอกนางเอกแต่ละคน ดูเย็นชาห่างเหินจากคนอ่านยังไงไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่าตัวละครในเรื่องเย็นชา ทั้งคู่ออนเนอร์-ซานดู ลีอา-เซน ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากๆ ในเรื่องนี้ รักกันลึกซึ้งนะคะ แต่เรารู้สึกว่า สำนวนการเขียนเว้นวรรคตัวละครกับคนอ่าน มักจะบรรยายการกระทำ แต่ไม่ค่อยบรรยายจิตใจและความรู้สึกภายใน ทำให้เราไม่อินไปกับตัวละครเผ่านี้เลย และเล่มนี้ เผ่าดราคอนอังกฤษนี่รับบทตัวร้ายเต็มที่เลย ทำให้เรายิ่งรู้สึกแย่กับไอ้เผ่านี้เข้าไปใหญ่ และผิดหวังกับชีวิตของลีอากับเซนนิดหน่อย ที่ดูไม่มีความสุขเท่าไหร่ เพราะต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ จากเผ่า ผิดฟอร์มนิยายโรแมนซ์เวลากล่าวถึงตัวละครจากเรื่องก่อนๆ
ส่วนตอนจบก็ตลกดีค่ะ พระเอกนางเอกเรื่องนี้แปลกดี ปล่อยให้คนอื่นขโมยซีนจัดการแก้ปัญหาทั้งหมดไป โดยตัวเองแค่ยืนรอรับคำสั่ง คือ ถ้าอ่านในฐานะเรื่องชุดก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าในฐานะเล่มเอกเทศของตัวเอง นับว่าผิดวิสัยตัวเอกมากๆ แต่รวมๆ แล้วก็โอเคกับเล่มนี้นะคะ พลิกฟื้นความรู้สึกขึ้นมาได้ เราก็จะยังตามอ่านซีรีส์นี้ต่อไป เพราะปมปัญหาที่ทิ้งไว้จากเล่มก่อนๆ ก็ยังเคลียร์ไม่หมด
วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553
A Princess of Landover - Terry Brooks
คะแนน : 6.5
หนังสือเล่มที่ 6 ในชุด Magic Kingdom of Landover หรือในชื่อไทยคือ ประกาศขายอาณาจักรแห่งเวทมนตร์ เรื่องของ เบ็น ฮอลิเดย์ ชายชาวมนุษย์ที่สิ้นหวังกับชีวิตในโลกปัจจุบัน จึงสั่งซื้ออาณาจักรเวทมนตร์จากแคตาล็อก แล้วได้ไปเป็นพระราชาปกครองดินแดนแลนโดเวอร์ ต้องกอบกู้อาณาจักร ปัดเป่าเภทภัยจากปิศาจและแม่มดราตรี เป็นผลงานของ Terry Brooks ซึ่งเป็นผู้แต่งซีรีส์ Shannara ซึ่งเป็นนิยายแฟนตาซีที่เราชอบมากๆ นั่นเอง แต่ชุด Magic Kingdom จะเป็นแฟนตาซีแบบเบาๆ กว่า
ซีรีส์นี้เล่มแรกๆ เราก็ยังชอบอยู่ ถึงจะรู้สึกว่ามันเบาไปหน่อย ไม่ใช่แฟนตาซีเข้มข้น แต่พอมาเล่มหลังๆ เราก็เริ่มชอบน้อยลงเรื่อยๆ จนอยู่ในระดับธรรมดา โดยเฉพาะตั้งแต่เล่ม 5 ที่เริ่มกล่าวถึงเรื่องราวลูกสาวของเบ็น มาในเล่ม 6 นี้ ตัวเอกของเรื่องเปลี่ยนเป็น มิสตาย่า ลูกสาวของเบ็นเต็มตัวแล้ว
ตอนนี้ มิสตาย่า โตเป็นเด็กสาววัยรุ่น อายุ 15 ปี ถูกพ่อส่งมาเรียนที่โรงเรียนประจำในโลกมนุษย์ แต่ก็ก่อเรื่องใช้เวทมนตร์จนถูกโรงเรียนสั่งพักการเรียน มิสตาย่าจึงกลับบ้านมา เบ็นจึงลงโทษด้วยการจะส่งเธอไปทำงานฟื้นฟูที่ไลบิริส ซึ่งเป็นห้องสมุดร้างของอาณาจักร ด้วยความน้อยใจบวกความดื้อรั้น มิสตี้จึงหนีออกจากบ้าน แต่สุดท้ายเพื่อไม่ให้ใครตามเจอ ก็ไปลงเอยซ่อนตัวอยู่ที่ไลบิริสนั่นเอง ที่นั่นเธอต้องปิดบังตัวตน และทำงานจัดเรียงหนังสือ ท่ามกลางคนและสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นมาและจุดประสงค์ไม่แน่ชัด และเธอต้องแก้ไขสถานการณ์ยุ่งยากที่เกิดขึ้นที่นั่น
เป็นเล่มที่อ่านไปเรื่อยๆ ไม่มีความรู้สึกประทับใจอะไรเป็นพิเศษ เนื้อเรื่องไม่มีอะไร เดาได้หมด อีกอย่างเรารำคาญมิสตาย่าด้วย เธอเป็นเด็กดื้อ หัวแข็ง เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ มานึกๆ ดู มันก็เป็นเรื่องปกติของเด็กวัยนั้นมั้ง แต่มันทำให้เราเบื่อเธอมากๆ เวลาเธอพูดตะคอกคนนู้นคนนี้ หลายครั้งที่เราบ่นในใจว่า เด็กเวรเอ๊ย! เลยทำให้อ่านไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ เพราะไม่แคร์กับความเป็นไปของเธอ กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่า ถ้าฉบับแปลไทยซึ่งเราซื้อเก็บอยู่ออกวางขาย ควรจะซื้ออ่านต่อดีมั้ย แล้วท่าทางซีรีส์ยังไม่จบด้วย เพราะทิ้งท้ายแบบมีเล่มต่อไป ทั้งๆ ที่แฟนตาซีเป็นแนวที่เราชอบอ่านมากที่สุดตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่สมัยที่อ่านนาร์เนียตอนประถม แต่ตอนนี้กลับไม่ค่อยอินกับแฟนตาซีสไตล์เบาๆ แล้ว สงสัยเราคงแก่เกินวัยที่จะอ่านหนังสือเด็กๆ แบบนี้แล้วมั้ง
หนังสือเล่มที่ 6 ในชุด Magic Kingdom of Landover หรือในชื่อไทยคือ ประกาศขายอาณาจักรแห่งเวทมนตร์ เรื่องของ เบ็น ฮอลิเดย์ ชายชาวมนุษย์ที่สิ้นหวังกับชีวิตในโลกปัจจุบัน จึงสั่งซื้ออาณาจักรเวทมนตร์จากแคตาล็อก แล้วได้ไปเป็นพระราชาปกครองดินแดนแลนโดเวอร์ ต้องกอบกู้อาณาจักร ปัดเป่าเภทภัยจากปิศาจและแม่มดราตรี เป็นผลงานของ Terry Brooks ซึ่งเป็นผู้แต่งซีรีส์ Shannara ซึ่งเป็นนิยายแฟนตาซีที่เราชอบมากๆ นั่นเอง แต่ชุด Magic Kingdom จะเป็นแฟนตาซีแบบเบาๆ กว่า
ซีรีส์นี้เล่มแรกๆ เราก็ยังชอบอยู่ ถึงจะรู้สึกว่ามันเบาไปหน่อย ไม่ใช่แฟนตาซีเข้มข้น แต่พอมาเล่มหลังๆ เราก็เริ่มชอบน้อยลงเรื่อยๆ จนอยู่ในระดับธรรมดา โดยเฉพาะตั้งแต่เล่ม 5 ที่เริ่มกล่าวถึงเรื่องราวลูกสาวของเบ็น มาในเล่ม 6 นี้ ตัวเอกของเรื่องเปลี่ยนเป็น มิสตาย่า ลูกสาวของเบ็นเต็มตัวแล้ว
ตอนนี้ มิสตาย่า โตเป็นเด็กสาววัยรุ่น อายุ 15 ปี ถูกพ่อส่งมาเรียนที่โรงเรียนประจำในโลกมนุษย์ แต่ก็ก่อเรื่องใช้เวทมนตร์จนถูกโรงเรียนสั่งพักการเรียน มิสตาย่าจึงกลับบ้านมา เบ็นจึงลงโทษด้วยการจะส่งเธอไปทำงานฟื้นฟูที่ไลบิริส ซึ่งเป็นห้องสมุดร้างของอาณาจักร ด้วยความน้อยใจบวกความดื้อรั้น มิสตี้จึงหนีออกจากบ้าน แต่สุดท้ายเพื่อไม่ให้ใครตามเจอ ก็ไปลงเอยซ่อนตัวอยู่ที่ไลบิริสนั่นเอง ที่นั่นเธอต้องปิดบังตัวตน และทำงานจัดเรียงหนังสือ ท่ามกลางคนและสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นมาและจุดประสงค์ไม่แน่ชัด และเธอต้องแก้ไขสถานการณ์ยุ่งยากที่เกิดขึ้นที่นั่น
เป็นเล่มที่อ่านไปเรื่อยๆ ไม่มีความรู้สึกประทับใจอะไรเป็นพิเศษ เนื้อเรื่องไม่มีอะไร เดาได้หมด อีกอย่างเรารำคาญมิสตาย่าด้วย เธอเป็นเด็กดื้อ หัวแข็ง เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ มานึกๆ ดู มันก็เป็นเรื่องปกติของเด็กวัยนั้นมั้ง แต่มันทำให้เราเบื่อเธอมากๆ เวลาเธอพูดตะคอกคนนู้นคนนี้ หลายครั้งที่เราบ่นในใจว่า เด็กเวรเอ๊ย! เลยทำให้อ่านไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ เพราะไม่แคร์กับความเป็นไปของเธอ กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่า ถ้าฉบับแปลไทยซึ่งเราซื้อเก็บอยู่ออกวางขาย ควรจะซื้ออ่านต่อดีมั้ย แล้วท่าทางซีรีส์ยังไม่จบด้วย เพราะทิ้งท้ายแบบมีเล่มต่อไป ทั้งๆ ที่แฟนตาซีเป็นแนวที่เราชอบอ่านมากที่สุดตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่สมัยที่อ่านนาร์เนียตอนประถม แต่ตอนนี้กลับไม่ค่อยอินกับแฟนตาซีสไตล์เบาๆ แล้ว สงสัยเราคงแก่เกินวัยที่จะอ่านหนังสือเด็กๆ แบบนี้แล้วมั้ง
วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553
The Short Second Life of Bree Tanner - Stephenie Meyer
คะแนน : 7
เล่มนี้เป็นโนเวลล่า หรือนิยายขนาดสั้น ที่แยกย่อยออกมาจาก Eclipse ซึ่งเป็นเล่มที่ 3 ของ Twilight Saga (คะแนน 8) ตอนแรกที่เห็นชื่อเรื่องเล่มนี้ตอนก่อนหนังสือจะออก สารภาพตามตรงว่า เราจำชื่อตัวละครตัวนี้ไม่ได้เลย ใครวะ พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เห็นบอกว่าเป็นแวมไพร์ที่ปรากฏตัวใน Eclipse เราคงอ่านนานจนลืมไปแล้ว พอได้เล่มนี้มา ก็คิดอยู่ว่าจะกลับไปเปิด Eclipse ดูก่อนดีมั้ย เผื่อจะจำได้ แต่ก็คิดว่าช่างมันเถอะแล้วก็เริ่มอ่านเลย
บรี เป็นหนึ่งในกองทัพแวมไพร์เกิดใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยวิคตอเรีย ศัตรูของเบลล่าและครอบครัวคัลเลน บรีเป็นเด็กหญิงวัยรุ่นหนีออกจากบ้านที่ถูกทำให้กลายเป็นแวมไพร์ โดยไม่รู้อะไรในโลกของแวมไพร์เลย ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือล้างแค้นเท่านั้น ใช้ชีวิตด้วยการล่าเหยื่อมนุษย์ตอนกลางคืน และหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดินเวลากลางวัน บรีจะแตกต่างจากแวมไพร์ตนอื่น เพราะมีความคิดของตนเอง และพยายามค้นหาว่าเป้าหมายของไรลีย์ สมุนของวิคตอเรีย คืออะไรกันแน่
แต่เนื่องจากเล่มนี้เป็นนิยายขนาดสั้น อ่านจบเร็วมาก แทบไม่มีเรื่องราวอะไร เหมือนเล่าชีวิตประจำวันของบรี ในช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนที่จะถูกพามาสู้กับพวกคัลเลน แต่เวลาในเรื่องก็สั้นเหลือเกินกว่าที่เธอจะทำอะไรได้ สั้นจริงๆ เหมือนชื่อเรื่อง เราในฐานะนักอ่านรู้เรื่องราวว่าอะไรเป็นอะไรมากกว่าตัวบรี แต่ด้วยฝีมือของผู้แต่ง จากเรื่องราวที่รู้อยู่แล้ว ก็ยังเขียนให้เราอยากติดตามได้ บทสรุปของบรีจบลงห้วนๆ ซึ่งก็น่าเสียดายนิดๆ เหมือนกัน เพราะเป็นตัวละครที่มีศักยภาพจะพัฒนาให้มีเรื่องราวที่น่าติดตามได้ อย่างการไปผจญภัยกับเฟร็ด
พออ่านเล่มนี้จบ เราก็กลับไปเปิด Eclipse เฉพาะบทนั้นอีกรอบ ชื่อบรีถูกเอ่ยอยู่แค่ 12 ครั้ง ปรากฏตัวในเรื่องนั้นอยู่ประมาณ 5 นาทีเท่านั้น ไม่แปลกเลยที่เราจำไม่ได้ ถ้าไม่เคยอ่านเรื่องชุด Twilight มาก่อน หนังสือเล่มนี้ก็แทบไม่มีอะไรให้น่าสนใจเลย แต่สำหรับแฟนซีรีส์นี้ ก็พออ่านได้โอเค เป็นแง่มุมใหม่เล็กๆ ที่เพิ่มเข้ามา ถึงจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักของเบลล่าและเอ็ดเวิร์ด แต่ก็ได้รู้จักมุมมองของฝั่งแวมไพร์อื่นๆ บ้าง
เล่มนี้เป็นโนเวลล่า หรือนิยายขนาดสั้น ที่แยกย่อยออกมาจาก Eclipse ซึ่งเป็นเล่มที่ 3 ของ Twilight Saga (คะแนน 8) ตอนแรกที่เห็นชื่อเรื่องเล่มนี้ตอนก่อนหนังสือจะออก สารภาพตามตรงว่า เราจำชื่อตัวละครตัวนี้ไม่ได้เลย ใครวะ พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เห็นบอกว่าเป็นแวมไพร์ที่ปรากฏตัวใน Eclipse เราคงอ่านนานจนลืมไปแล้ว พอได้เล่มนี้มา ก็คิดอยู่ว่าจะกลับไปเปิด Eclipse ดูก่อนดีมั้ย เผื่อจะจำได้ แต่ก็คิดว่าช่างมันเถอะแล้วก็เริ่มอ่านเลย
บรี เป็นหนึ่งในกองทัพแวมไพร์เกิดใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยวิคตอเรีย ศัตรูของเบลล่าและครอบครัวคัลเลน บรีเป็นเด็กหญิงวัยรุ่นหนีออกจากบ้านที่ถูกทำให้กลายเป็นแวมไพร์ โดยไม่รู้อะไรในโลกของแวมไพร์เลย ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือล้างแค้นเท่านั้น ใช้ชีวิตด้วยการล่าเหยื่อมนุษย์ตอนกลางคืน และหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดินเวลากลางวัน บรีจะแตกต่างจากแวมไพร์ตนอื่น เพราะมีความคิดของตนเอง และพยายามค้นหาว่าเป้าหมายของไรลีย์ สมุนของวิคตอเรีย คืออะไรกันแน่
แต่เนื่องจากเล่มนี้เป็นนิยายขนาดสั้น อ่านจบเร็วมาก แทบไม่มีเรื่องราวอะไร เหมือนเล่าชีวิตประจำวันของบรี ในช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนที่จะถูกพามาสู้กับพวกคัลเลน แต่เวลาในเรื่องก็สั้นเหลือเกินกว่าที่เธอจะทำอะไรได้ สั้นจริงๆ เหมือนชื่อเรื่อง เราในฐานะนักอ่านรู้เรื่องราวว่าอะไรเป็นอะไรมากกว่าตัวบรี แต่ด้วยฝีมือของผู้แต่ง จากเรื่องราวที่รู้อยู่แล้ว ก็ยังเขียนให้เราอยากติดตามได้ บทสรุปของบรีจบลงห้วนๆ ซึ่งก็น่าเสียดายนิดๆ เหมือนกัน เพราะเป็นตัวละครที่มีศักยภาพจะพัฒนาให้มีเรื่องราวที่น่าติดตามได้ อย่างการไปผจญภัยกับเฟร็ด
พออ่านเล่มนี้จบ เราก็กลับไปเปิด Eclipse เฉพาะบทนั้นอีกรอบ ชื่อบรีถูกเอ่ยอยู่แค่ 12 ครั้ง ปรากฏตัวในเรื่องนั้นอยู่ประมาณ 5 นาทีเท่านั้น ไม่แปลกเลยที่เราจำไม่ได้ ถ้าไม่เคยอ่านเรื่องชุด Twilight มาก่อน หนังสือเล่มนี้ก็แทบไม่มีอะไรให้น่าสนใจเลย แต่สำหรับแฟนซีรีส์นี้ ก็พออ่านได้โอเค เป็นแง่มุมใหม่เล็กๆ ที่เพิ่มเข้ามา ถึงจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักของเบลล่าและเอ็ดเวิร์ด แต่ก็ได้รู้จักมุมมองของฝั่งแวมไพร์อื่นๆ บ้าง
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Sex and the Single Earl - Vanessa Kelly
คะแนน : 5.5
นี่เป็นนิยายที่เพิ่งออกไม่นาน ช่วงนี้มีเรื่องใหม่ๆ ออกมาเยอะมาก เราเลือกเรื่องนี้มาอ่านเพราะมันได้คะแนน 5 ดาวจาก Amazon ถึงแม้จะยังมีจำนวนคนมารีวิวไม่มากแค่ 6 คน แต่ก็ได้เต็ม 5 จากทุกคน ซึ่งที่จริงไม่ได้รับประกันอะไรเลยว่ามันจะเป็นงานที่เราชอบ เพราะจำนวนคนน้อยไป แต่เราก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า นี่จะเป็นเรื่องที่ห่วยแตกสำหรับเราขนาดนี้
เปิดเรื่องที่บทนำมาก็ยังโอเคนะคะ ไซม่อน เซนต์เจมส์ เอิร์ลแห่งทราสค์ ต้องการขยายธุรกิจโรงงานของตน ซึ่งต้องอาศัยพลังงานจากถ่านหิน ซึ่งที่ดินที่มีถ่านหินอยู่จำนวนมากผืนที่เขาต้องการนั้น มันเป็นสินติดตัวเจ้าสาวของโซเฟีย สแตนตัน เพื่อนบ้านสาวที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง เขาจึงตัดสินใจว่าจะแต่งงานกับเธอ แต่พอเริ่มต้นบทที่หนึ่ง เริ่มกล่าวถึงนางเอกปุ๊บ เราก็เริ่มผิดหวังนิดๆ แล้ว โซฟีเป็นนางเอกติงต๊องงี่เง่า ที่ชอบทำให้ตัวเองเดือดร้อน เป็นที่อิดหนาระอาใจของครอบครัวและตัวไซม่อนเอง ที่ต้องคอยดูแลเธออยู่เสมอ เธอถูกเด็กชายข้างถนนขโมยกระเป๋าถือ ในนั้นมีกำไลที่เป็นสมบัติประจำตระกูลอยู่ เธอจึงวิ่งไล่ตามเด็กคนนั้นไป จนถึงละแวกสลัมของเมือง ไซม่อนบังเอิญเห็นก็พาเธอออกมาโดยสั่งว่า อย่าไปที่นั่นอีก แต่โซฟีก็เกิดความสงสารเด็กชายคนนั้นก็เลยพยายามไปตามหา เพื่อจะช่วยเหลือ เมื่อเจอเด็กแล้วได้กำไลกลับมา ก็ไปรับรู้เรื่องพี่สาวของเด็กคนนั้นที่กำลังจะถูกบังคับให้ขายตัว เธอก็พยายามจะเข้าไปยุ่งอีก จนนำไปสู่อันตรายต่อตัวเอง
ระหว่างที่อ่านไปๆ ความอดทนที่เรามีกับนางเอกคนนี้ก็หมดไปเรื่อยๆ คุณศัพท์ที่เราใช้บรรยายเธอในใจไล่ไปตั้งแต่ ติงต๊อง งี่เง่า ไร้ความคิด ไม่มีสติ ปัญญาอ่อน ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่เลย ไปช่วยนังโง่นี่ทำไม บอกตามตรงว่า พอถึงช่วงท้ายๆ เราไม่อยากให้พระเอกแต่งงานกับผู้หญิงพรรค์นี้เลย ชีวิตจะมีความสุขได้ไงไม่ทราบ กับผู้หญิงที่ดิ้นรนหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะด้วยเจตนาดี แต่มันไม่มีหัวคิดเลย ขอร้อง จะอวดเก่งไปทำไม ถ้าไม่มีความสามารถแก้ไขปัญหาเองได้ ต้องให้พระเอกวิ่งมาช่วย
โซฟีแอบรักไซม่อนมาตลอดชีวิต แต่พอเขามาสานสัมพันธ์ด้วย เธอก็เล่นตัวซะเฉยๆ แล้วถ้าเธอไม่แน่ใจในเจตนาที่ไซม่อนมาขอแต่งงาน แล้วเธอยอมมีเซ็กส์กับเขาทำไมไม่ทราบ ยอมเขาแล้วมาบอกว่าอย่าเพิ่งแต่ง หมั้นไปแล้วมาบอกว่าอย่าเพิ่งประกาศ ประกาศไปแล้วก็ขอถอนหมั้น เพราะถูกอดีตนางบำเรอพระเอกขู่ ทนอ่านไม่ไหวแล้วจริงๆ แทบอยากจะปาทิ้ง ความคิดและการกระทำของนางเอก ไม่ใช่ผู้หญิงที่อยู่ในยุคนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเหมือนเด็กสิ้นคิดลูกคุณหนูในยุคปัจจุบันนี่แหละ
พระเอกก็ใช่ว่าจะดีนะคะ ถ้าเขาเป็นผู้ชายที่มีความคิดสักหน่อย เห็นนางเอกงี่เง่าแบบนี้ ก็ควรจัดการดูแลให้ดี ไม่ใช่สักแต่วางอำนาจห้ามโน่นห้ามนี่ ถ้าเป็นพระเอกของผู้แต่งคนอื่น เขาคงจัดการช่วยเด็กสองพี่น้องนั่นออกมาตั้งแต่แรก ไม่ปล่อยให้นางเอกวิ่งเข้าไปวุ่นวายก่อเรื่องไม่เว้นอยู่นั่น แล้วเราก็ไม่รู้สึกว่า พระเอกรักนางเอกตรงไหน โอเค แคร์น่ะแคร์ ห่วงใย อยากดูแล แต่นั่นใช่ความรักเหรอ หรือว่าเซ็กส์ที่มีกับนางเอกเร่าร้อนผิดคาด ก็เลยรัก แหวะ
ที่ไล่มาทั้งหมด ยังไม่นับจุดที่เราไม่ชอบใจอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ความจริงสิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นความผิดพลาดที่เราเห็นนักเขียนฝั่งอเมริกาเป็นกันหลายคน แต่ถ้ามีความดีอย่างอื่น เราก็มองข้ามรายละเอียดพวกนี้ไปได้ แต่สำหรับเรื่องนี้มันทำให้เราหงุดหงิดมากๆ เรื่องนี้ใช้ฉากในยุครีเจนซี่ แต่ไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามยุคสมัยเลยแม้แต่น้อย พระเอกนางเอกเรียกชื่อตัวกันอย่างสนิทสนม ซึ่งตามธรรมเนียมอังกฤษสมัยนั้น ไม่มีใครเรียกท่านเอิร์ลด้วยชื่อตัว แม้แต่ภรรยาเองก็ตาม ถึงจะรู้จักกันตั้งแต่เด็ก แต่ในวงสังคมพระเอกก็ควรเรียกนางเอกว่ามิสสแตนตัน แล้วนางเอกตะลอนไปไหนต่อไหนโดยไม่มีผู้ติดตามเลยสักคนได้ยังไง แล้วพระเอกมาขอแต่งงานกับนางเอกเอง ไม่ต้องไปพูดจาตกลงกับญาติผู้ใหญ่ก่อนหรือไง ไหนจะตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงด้วยกัน พี่ชายนางเอกก็อยู่ แต่ให้พระเอกมาส่งนางเอกกลับบ้านสองต่อสอง แล้วก็มีอะไรกันในห้องรับแขกนั่นแหละ เนื้อเรื่องไร้เหตุผลสิ้นดี
ไม่ไหว ผิดหวังมากค่ะ เจ็บใจ เสียเวลา เสียความรู้สึก คราวหลังต้องเช็คดีๆ กว่านี้ ที่เว็บไซต์ AAR ให้เรื่องนี้ที่ B- แต่เราว่า มันก็ยังมากเกินไป ต่อไปไม่ควรรีบอ่านเรื่องที่เพิ่งออกใหม่ของนักเขียนที่เรายังไม่เคยอ่าน อย่างน้อยต้องรอให้มีคนมารีวิวใน Amazon เยอะๆ กว่านี้ก่อน
นี่เป็นนิยายที่เพิ่งออกไม่นาน ช่วงนี้มีเรื่องใหม่ๆ ออกมาเยอะมาก เราเลือกเรื่องนี้มาอ่านเพราะมันได้คะแนน 5 ดาวจาก Amazon ถึงแม้จะยังมีจำนวนคนมารีวิวไม่มากแค่ 6 คน แต่ก็ได้เต็ม 5 จากทุกคน ซึ่งที่จริงไม่ได้รับประกันอะไรเลยว่ามันจะเป็นงานที่เราชอบ เพราะจำนวนคนน้อยไป แต่เราก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า นี่จะเป็นเรื่องที่ห่วยแตกสำหรับเราขนาดนี้
เปิดเรื่องที่บทนำมาก็ยังโอเคนะคะ ไซม่อน เซนต์เจมส์ เอิร์ลแห่งทราสค์ ต้องการขยายธุรกิจโรงงานของตน ซึ่งต้องอาศัยพลังงานจากถ่านหิน ซึ่งที่ดินที่มีถ่านหินอยู่จำนวนมากผืนที่เขาต้องการนั้น มันเป็นสินติดตัวเจ้าสาวของโซเฟีย สแตนตัน เพื่อนบ้านสาวที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง เขาจึงตัดสินใจว่าจะแต่งงานกับเธอ แต่พอเริ่มต้นบทที่หนึ่ง เริ่มกล่าวถึงนางเอกปุ๊บ เราก็เริ่มผิดหวังนิดๆ แล้ว โซฟีเป็นนางเอกติงต๊องงี่เง่า ที่ชอบทำให้ตัวเองเดือดร้อน เป็นที่อิดหนาระอาใจของครอบครัวและตัวไซม่อนเอง ที่ต้องคอยดูแลเธออยู่เสมอ เธอถูกเด็กชายข้างถนนขโมยกระเป๋าถือ ในนั้นมีกำไลที่เป็นสมบัติประจำตระกูลอยู่ เธอจึงวิ่งไล่ตามเด็กคนนั้นไป จนถึงละแวกสลัมของเมือง ไซม่อนบังเอิญเห็นก็พาเธอออกมาโดยสั่งว่า อย่าไปที่นั่นอีก แต่โซฟีก็เกิดความสงสารเด็กชายคนนั้นก็เลยพยายามไปตามหา เพื่อจะช่วยเหลือ เมื่อเจอเด็กแล้วได้กำไลกลับมา ก็ไปรับรู้เรื่องพี่สาวของเด็กคนนั้นที่กำลังจะถูกบังคับให้ขายตัว เธอก็พยายามจะเข้าไปยุ่งอีก จนนำไปสู่อันตรายต่อตัวเอง
ระหว่างที่อ่านไปๆ ความอดทนที่เรามีกับนางเอกคนนี้ก็หมดไปเรื่อยๆ คุณศัพท์ที่เราใช้บรรยายเธอในใจไล่ไปตั้งแต่ ติงต๊อง งี่เง่า ไร้ความคิด ไม่มีสติ ปัญญาอ่อน ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่เลย ไปช่วยนังโง่นี่ทำไม บอกตามตรงว่า พอถึงช่วงท้ายๆ เราไม่อยากให้พระเอกแต่งงานกับผู้หญิงพรรค์นี้เลย ชีวิตจะมีความสุขได้ไงไม่ทราบ กับผู้หญิงที่ดิ้นรนหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะด้วยเจตนาดี แต่มันไม่มีหัวคิดเลย ขอร้อง จะอวดเก่งไปทำไม ถ้าไม่มีความสามารถแก้ไขปัญหาเองได้ ต้องให้พระเอกวิ่งมาช่วย
โซฟีแอบรักไซม่อนมาตลอดชีวิต แต่พอเขามาสานสัมพันธ์ด้วย เธอก็เล่นตัวซะเฉยๆ แล้วถ้าเธอไม่แน่ใจในเจตนาที่ไซม่อนมาขอแต่งงาน แล้วเธอยอมมีเซ็กส์กับเขาทำไมไม่ทราบ ยอมเขาแล้วมาบอกว่าอย่าเพิ่งแต่ง หมั้นไปแล้วมาบอกว่าอย่าเพิ่งประกาศ ประกาศไปแล้วก็ขอถอนหมั้น เพราะถูกอดีตนางบำเรอพระเอกขู่ ทนอ่านไม่ไหวแล้วจริงๆ แทบอยากจะปาทิ้ง ความคิดและการกระทำของนางเอก ไม่ใช่ผู้หญิงที่อยู่ในยุคนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเหมือนเด็กสิ้นคิดลูกคุณหนูในยุคปัจจุบันนี่แหละ
พระเอกก็ใช่ว่าจะดีนะคะ ถ้าเขาเป็นผู้ชายที่มีความคิดสักหน่อย เห็นนางเอกงี่เง่าแบบนี้ ก็ควรจัดการดูแลให้ดี ไม่ใช่สักแต่วางอำนาจห้ามโน่นห้ามนี่ ถ้าเป็นพระเอกของผู้แต่งคนอื่น เขาคงจัดการช่วยเด็กสองพี่น้องนั่นออกมาตั้งแต่แรก ไม่ปล่อยให้นางเอกวิ่งเข้าไปวุ่นวายก่อเรื่องไม่เว้นอยู่นั่น แล้วเราก็ไม่รู้สึกว่า พระเอกรักนางเอกตรงไหน โอเค แคร์น่ะแคร์ ห่วงใย อยากดูแล แต่นั่นใช่ความรักเหรอ หรือว่าเซ็กส์ที่มีกับนางเอกเร่าร้อนผิดคาด ก็เลยรัก แหวะ
ที่ไล่มาทั้งหมด ยังไม่นับจุดที่เราไม่ชอบใจอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ความจริงสิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นความผิดพลาดที่เราเห็นนักเขียนฝั่งอเมริกาเป็นกันหลายคน แต่ถ้ามีความดีอย่างอื่น เราก็มองข้ามรายละเอียดพวกนี้ไปได้ แต่สำหรับเรื่องนี้มันทำให้เราหงุดหงิดมากๆ เรื่องนี้ใช้ฉากในยุครีเจนซี่ แต่ไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามยุคสมัยเลยแม้แต่น้อย พระเอกนางเอกเรียกชื่อตัวกันอย่างสนิทสนม ซึ่งตามธรรมเนียมอังกฤษสมัยนั้น ไม่มีใครเรียกท่านเอิร์ลด้วยชื่อตัว แม้แต่ภรรยาเองก็ตาม ถึงจะรู้จักกันตั้งแต่เด็ก แต่ในวงสังคมพระเอกก็ควรเรียกนางเอกว่ามิสสแตนตัน แล้วนางเอกตะลอนไปไหนต่อไหนโดยไม่มีผู้ติดตามเลยสักคนได้ยังไง แล้วพระเอกมาขอแต่งงานกับนางเอกเอง ไม่ต้องไปพูดจาตกลงกับญาติผู้ใหญ่ก่อนหรือไง ไหนจะตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงด้วยกัน พี่ชายนางเอกก็อยู่ แต่ให้พระเอกมาส่งนางเอกกลับบ้านสองต่อสอง แล้วก็มีอะไรกันในห้องรับแขกนั่นแหละ เนื้อเรื่องไร้เหตุผลสิ้นดี
ไม่ไหว ผิดหวังมากค่ะ เจ็บใจ เสียเวลา เสียความรู้สึก คราวหลังต้องเช็คดีๆ กว่านี้ ที่เว็บไซต์ AAR ให้เรื่องนี้ที่ B- แต่เราว่า มันก็ยังมากเกินไป ต่อไปไม่ควรรีบอ่านเรื่องที่เพิ่งออกใหม่ของนักเขียนที่เรายังไม่เคยอ่าน อย่างน้อยต้องรอให้มีคนมารีวิวใน Amazon เยอะๆ กว่านี้ก่อน
วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Wicked Becomes You - Meredith Duran
คะแนน : 7
หยิบเรื่องของนักเขียนที่ไม่เคยอ่านมาก่อนมาลอง เพราะเป็นเรื่องแรกที่อ่าน ก็เลยไม่ค่อยคุ้นกับสไตล์ของเธอ อ่านช่วงต้นๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องเลย เธอเขียนเหมือนเรารู้จักตัวละครต่างๆ ดีอยู่แล้ว เราก็เลยงงๆ อยู่ตั้งนาน กว่าจะเริ่มตั้งตัวติดว่าใครเป็นใคร ก็ได้แต่สงสัยว่า มันคงมีเรื่องอื่นมาก่อนหน้านี้ แต่พอไปไล่คร่าวๆ ดูเรื่องอื่นๆ ของเธอ ก็ไม่เห็นมีชื่อตัวละครพวกนี้นี่นา ถือเป็นข้อด้อยตั้งแต่แรกของเรื่องนี้
นางเอกคือ เกว็นโดลีน มอดสลีย์ ทายาทสาวของมหาเศรษฐีที่สร้างตัวขึ้นมาจากคนสามัญ เธอต้องพยายามทำตัวดีตลอดเวลาเพื่อให้สังคมผู้ดียอมรับเธอ รวมถึงความพยายามแต่งงานโดยปราศจากความรักกับผู้ที่มีบรรดาศักดิ์ เธอเคยถูกถอนหมั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ในพิธีแต่งงาน เจ้าบ่าวของเธอก็ผละหนีไปเฉยๆ จากหน้าแท่นพิธีนั่นเอง แต่เขานำแหวนดูต่างหน้าพี่ชายของเธอติดตัวไปด้วย เกว็นจึงตัดสินใจว่า จะเลิกทำตัวตามความคาดหวังของใคร เลิกอยู่ในกรอบ และจะใช้ชีวิตสำราญตามใจตัวเองเสียที โดยเริ่มต้นที่การเดินทางมาปารีสเพื่อทวงแหวนคืน พระเอกคือ อเล็กซิส แรมซีย์ เขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายเกว็นที่เสียชีวิตไป อเล็กซ์รู้จักเกว็นมานาน และแอบสนใจเธออยู่ แต่เพราะไม่ต้องการความผูกมัดใดๆ เขาจึงไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับเธอ แต่เมื่อเขาได้เจอเธอที่ปารีส เขาก็จำเป็นต้องดูแลเธอ เกว็นขอร้องให้อเล็กซ์เป็นผู้สอนให้เธอทำเรื่องเซี้ยวๆ พาไปเที่ยวในแหล่งที่สาวเรียบร้อยจะไม่ได้ไป เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปทั่วตั้งแต่มูแลงรูจ จนถึงบ่อนในมอนติคาร์โล มิลาน จนกลับมาที่ลอนดอนอีกที
ช่วงต้นเรื่องอย่างที่บอกว่าอ่านไปอย่างงงๆ เพราะเหมือนพระเอกนางเอกรู้จักกันมาอยู่ก่อนแล้ว โดยไม่มีคำอธิบายอะไรชัดเจน ต้องค่อยๆ อ่านไปสักพักถึงจะต่อเรื่องติด ช่วงแรกเรื่องอืดมาก กว่าจะเริ่มต้นมีสีสันก็ปาเข้าไป 1/3 ของเล่ม ตอนที่นางเอกไปร้องเพลง ฉากในเรื่องเป็นยุควิคตอเรีย และเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดในอังกฤษ แต่เป็นฝรั่งเศส ก็เลยได้บรรยากาศที่แตกต่างไปอีกแบบ อย่างตอนกล่าวถึงมูแลงรูจ พูดถึงช้างกับกังหัน นึกถึงฉากในหนัง Moulin Rouge เลย แต่เพราะฉากที่กระโดดไปมา ทำให้อ่านแล้วรู้สึกสะดุดแปลกๆ บางที จู่ๆ เนื้อเรื่องก็โดดพาไปที่ใหม่อีกแล้ว แล้วพล็อตเรื่องที่ต้องปลอมตัวเข้าไปสืบที่บ้านของชายลึกลับนี่ก็รู้สึกมันไม่มีที่มาที่ไปยังไงก็ไม่รู้ แล้วเราไม่ชินกับสำนวนของเธอมั้งคะ บางทีพระเอกหรือนางเอกก็จะคิดอะไรของตัวเองยืดยาว ซึ่งบางทีมันไม่เกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะหน้า บางทีอ่านผ่านไปแล้วต้องพลิกมาอ่านใหม่อีกว่า พูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย
ประเด็นของเรื่องจริงๆ คือ การค้นหาตัวตน และการยอมรับความต้องการของตนเอง สำหรับตัวเอกทั้งสอง ไอ้พล็อตเรื่องตามแหวนกับสืบเรื่องการขายที่ดินเป็นแค่เครื่องมือให้นางเอกได้เดินทางร่วมกับพระเอก เพื่อจะได้คุย ได้ทำความรู้จัก ยั่วเย้ายั่วยวนกันไปเรื่อยๆ และช่วยให้ต่างฝ่ายต่างยอมรับตัวตนของตนเอง เพื่อจะได้พร้อมรับกับความรักที่เกิดขึ้นระหว่างกัน แต่ก็ต้องยอมรับนะว่า คู่นี้มีสปาร์คแรง เข้ากันได้ดี เอาเป็นว่า ถือเป็นเรื่องที่อ่านได้เพลินๆ แล้วกันค่ะ
ขึ้นเดือนใหม่นี้ งานเข้าเต็มเลย ต่อไปอาจจะไม่ค่อยมีเวลาได้เข้ามาอัปเดตบล็อกเท่าไหร่แล้ว
หยิบเรื่องของนักเขียนที่ไม่เคยอ่านมาก่อนมาลอง เพราะเป็นเรื่องแรกที่อ่าน ก็เลยไม่ค่อยคุ้นกับสไตล์ของเธอ อ่านช่วงต้นๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องเลย เธอเขียนเหมือนเรารู้จักตัวละครต่างๆ ดีอยู่แล้ว เราก็เลยงงๆ อยู่ตั้งนาน กว่าจะเริ่มตั้งตัวติดว่าใครเป็นใคร ก็ได้แต่สงสัยว่า มันคงมีเรื่องอื่นมาก่อนหน้านี้ แต่พอไปไล่คร่าวๆ ดูเรื่องอื่นๆ ของเธอ ก็ไม่เห็นมีชื่อตัวละครพวกนี้นี่นา ถือเป็นข้อด้อยตั้งแต่แรกของเรื่องนี้
นางเอกคือ เกว็นโดลีน มอดสลีย์ ทายาทสาวของมหาเศรษฐีที่สร้างตัวขึ้นมาจากคนสามัญ เธอต้องพยายามทำตัวดีตลอดเวลาเพื่อให้สังคมผู้ดียอมรับเธอ รวมถึงความพยายามแต่งงานโดยปราศจากความรักกับผู้ที่มีบรรดาศักดิ์ เธอเคยถูกถอนหมั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ในพิธีแต่งงาน เจ้าบ่าวของเธอก็ผละหนีไปเฉยๆ จากหน้าแท่นพิธีนั่นเอง แต่เขานำแหวนดูต่างหน้าพี่ชายของเธอติดตัวไปด้วย เกว็นจึงตัดสินใจว่า จะเลิกทำตัวตามความคาดหวังของใคร เลิกอยู่ในกรอบ และจะใช้ชีวิตสำราญตามใจตัวเองเสียที โดยเริ่มต้นที่การเดินทางมาปารีสเพื่อทวงแหวนคืน พระเอกคือ อเล็กซิส แรมซีย์ เขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายเกว็นที่เสียชีวิตไป อเล็กซ์รู้จักเกว็นมานาน และแอบสนใจเธออยู่ แต่เพราะไม่ต้องการความผูกมัดใดๆ เขาจึงไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับเธอ แต่เมื่อเขาได้เจอเธอที่ปารีส เขาก็จำเป็นต้องดูแลเธอ เกว็นขอร้องให้อเล็กซ์เป็นผู้สอนให้เธอทำเรื่องเซี้ยวๆ พาไปเที่ยวในแหล่งที่สาวเรียบร้อยจะไม่ได้ไป เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปทั่วตั้งแต่มูแลงรูจ จนถึงบ่อนในมอนติคาร์โล มิลาน จนกลับมาที่ลอนดอนอีกที
ช่วงต้นเรื่องอย่างที่บอกว่าอ่านไปอย่างงงๆ เพราะเหมือนพระเอกนางเอกรู้จักกันมาอยู่ก่อนแล้ว โดยไม่มีคำอธิบายอะไรชัดเจน ต้องค่อยๆ อ่านไปสักพักถึงจะต่อเรื่องติด ช่วงแรกเรื่องอืดมาก กว่าจะเริ่มต้นมีสีสันก็ปาเข้าไป 1/3 ของเล่ม ตอนที่นางเอกไปร้องเพลง ฉากในเรื่องเป็นยุควิคตอเรีย และเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดในอังกฤษ แต่เป็นฝรั่งเศส ก็เลยได้บรรยากาศที่แตกต่างไปอีกแบบ อย่างตอนกล่าวถึงมูแลงรูจ พูดถึงช้างกับกังหัน นึกถึงฉากในหนัง Moulin Rouge เลย แต่เพราะฉากที่กระโดดไปมา ทำให้อ่านแล้วรู้สึกสะดุดแปลกๆ บางที จู่ๆ เนื้อเรื่องก็โดดพาไปที่ใหม่อีกแล้ว แล้วพล็อตเรื่องที่ต้องปลอมตัวเข้าไปสืบที่บ้านของชายลึกลับนี่ก็รู้สึกมันไม่มีที่มาที่ไปยังไงก็ไม่รู้ แล้วเราไม่ชินกับสำนวนของเธอมั้งคะ บางทีพระเอกหรือนางเอกก็จะคิดอะไรของตัวเองยืดยาว ซึ่งบางทีมันไม่เกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะหน้า บางทีอ่านผ่านไปแล้วต้องพลิกมาอ่านใหม่อีกว่า พูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย
ประเด็นของเรื่องจริงๆ คือ การค้นหาตัวตน และการยอมรับความต้องการของตนเอง สำหรับตัวเอกทั้งสอง ไอ้พล็อตเรื่องตามแหวนกับสืบเรื่องการขายที่ดินเป็นแค่เครื่องมือให้นางเอกได้เดินทางร่วมกับพระเอก เพื่อจะได้คุย ได้ทำความรู้จัก ยั่วเย้ายั่วยวนกันไปเรื่อยๆ และช่วยให้ต่างฝ่ายต่างยอมรับตัวตนของตนเอง เพื่อจะได้พร้อมรับกับความรักที่เกิดขึ้นระหว่างกัน แต่ก็ต้องยอมรับนะว่า คู่นี้มีสปาร์คแรง เข้ากันได้ดี เอาเป็นว่า ถือเป็นเรื่องที่อ่านได้เพลินๆ แล้วกันค่ะ
ขึ้นเดือนใหม่นี้ งานเข้าเต็มเลย ต่อไปอาจจะไม่ค่อยมีเวลาได้เข้ามาอัปเดตบล็อกเท่าไหร่แล้ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)