วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555
Mayme Angel - Igarashi Yumiko
*หมายเหตุ: มีความจำเป็นต้องแก้ไขข้อความค่ะ รู้สึกว่าคนทำเขาไม่สบายใจ ก็ไม่พูดถึงดีกว่านะ
การ์ตูนเรื่องนี้เป็นผลงานของ อิงาราชิ ยูมิโกะ คนวาดเรื่องแคนดี้จอมแก่น และจอร์จี้ที่รัก แคนดี้นี่เรื่องในตำนาน ความจริงตอนเด็กเราจำอะไรเกี่ยวกับแคนดี้ไม่ค่อยได้ แต่ตอน VBK ทำเวอร์ชันปกแข็งก็ซื้อเก็บนะ มันก็ดีจริงแฮะ ส่วนจอร์จี้นี่อ่านใน Gift Mag แล้วมาตามต่อรวมเล่ม ของสยามสปอร์ตมั้ง โดนชั่งกิโลขายหมด โชคดีที่ Evolution X พิมพ์ใหม่ ฉากที่จอร์จี้ไปหาอาเบลในคุก จำได้ว่าสมัยนั้นอ่านแล้วตาโต ว้ายกรี๊ด ตอนนั้นถือว่าโป๊มากนะ แต่พอมาเจอการ์ตูนผู้หญิงยุคหลัง แบบในจอร์จี้ก็เด็กๆ ไปเลย เราอ่านอยู่จนถึงรุ่น MiMi, LaLa แต่พอเจอแต่แนว ชินโจ มายู ที่เอะอะอะไรก็จับกด ก็เลิกอ่านโชโจไปเกือบหมดก็เพราะช่วงนั้นแหละ
ไมมี่แองเจิล เป็นเรื่องในอเมริกายุคบุกเบิกตะวันตก ตอนที่ไมมี่ยังเด็กได้รู้จักกับจอห์นนี่ เพราะเขาช่วยสุนัขตกน้ำจนตัวเองบาดเจ็บ จอห์นนี่เดินทางตามพ่อที่ไปตั้งรกรากทางตะวันตก ทั้งสองก็เลยต้องแยกกัน ไมมี่ตั้งใจจะเป็นเจ้าสาวของจอห์นนี่ในอนาคต เวลาผ่านไป ในที่สุดครอบครัวของไมมี่ก็ตัดสินใจออกเดินทางร่วมไปกับกองคาราวาน มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางมุ่งสู่ตะวันตก เมื่อมาถึงเขตแดนโอเรกอน ไมมี่ได้พบกับจอห์นนี่ที่แกล้งทำเป็นไม่รู้จักเธอ เขาเปลี่ยนแปลงไปเพราะความแค้นที่พ่อถูกฆ่า และไมมี่ก็ได้เจอกับอัลแมน ลูกพี่ลูกน้องของเธอ ที่พยายามต่อต้านดัลตั้น คนเลวที่ตั้งตัวแผ่อิทธิพลข่มขู่เหล่านักบุกเบิกทั้งหลายให้อยู่ใต้อำนาจ ถึงแม้อัลแมนจะแสนดี แต่ไมมี่ก็หยุดคิดถึงจอห์นนี่ไม่ได้เลย
ไมมี่เป็นเรื่องที่วาดหลังจากแคนดี้ ก่อนจอร์จี้ งานภาพก็ถือว่าเป็นช่วงที่วาดสวยที่สุด วาดเหมือนกันสามเรื่องนี้ ลายเส้นคงที่ตลอดเรื่อง ตาโตวิ้งๆ เนื้อเรื่องก็อ่านสนุกดีนะ พอมาอ่านตอนโต ไมมี่นี่เธอโลกสวยมาก ท่องมนตร์แต่ว่า สันติ อภัย เลิกสู้ เลิกแก้แค้น แล้วก็ยึดติดกับจอห์นนี่จนเว่อร์เลย เคยเจอกันตอนเด็กแป๊บเดียวเอง แต่พอดีเราก็เชียร์จอห์นนี่ เพราะชอบหน้าตาที่หน้าเหมือนอาเธอร์ เลยรอดไปเชียร์ถูกคน ฮ่าฮ่า ไม่งั้นสงสารอัลแมนแย่เลย
วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555
5 ฉากประทับใจ ตอนประกาศข่าวใหญ่
หลังจากผิดหวังกับ A Tapestry of Spells ไปหาอ่านรีวิวเล่ม 5-6 แบบสปอยล์มาแล้ว คิดว่าถึงไม่อ่านก็คงไม่ได้พลาดอะไรไปนัก งั้นแค่นี้ก็โอเคแล้วมั้ง แก้เซ็งด้วยการกลับไปอ่านบางตอนที่เราชอบในภาคก่อน อ่านแล้วก็ยิ้มได้ ช่วยฟื้นความรู้สึกดีกับเรื่องชุดนี้ขึ้นมาได้เยอะเลย
สปอยล์มากๆ เรื่องไหนยังไม่อ่านก็ข้ามๆ ไป
Princess of the Sword (Nine Kingdoms #3) - Lynn Kurland
นี่เป็นฉาก Epilogue ของเล่ม พระเอกนางเอกแต่งงานกันมา 4 เดือนแล้ว เป็นราชากับราชินีปกครองอาณาจักร พระเอกคือ เมียช (ไม่รู้อ่านถูกรึเปล่า Miach ชื่อเต็มว่า Mochriadhemiach เป็นพระเอกชื่ออ่านยากที่สุดคนหนึ่งที่เคยเห็นมา ตอนอ่านบางทีก็เรียกชื่อในใจแค่ เอ็ม) พระเอกยืนดูนางเอก มอร์แกน ฝึกดาบกับทหารองครักษ์ คือนางเอกเป็นสาวแกร่ง เป็นนักดาบที่เก่งกล้า และเป็นสาวซึน ตลอดเรื่องก็งอนพระเอกไปหลายรอบ ทีนี้มอร์แกนก็หน้าซีด วิงเวียน พอพระเอกรีบเข้าไปดู นางเอกก็บอกว่า ไม่รู้เป็นอะไร พักนี้กินอะไรก็คลื่นเหียนอาเจียน สงสัยฉันอาจจะเป็นโรคร้าย อยู่ได้อีกไม่นาน เราสองคนคงจะมีช่วงเวลาแห่งความสุขกันได้แค่นี้ พระเอกก็เลยบอกว่า อาจจะเพราะว่าเธอกำลังท้องก็ได้นะ แล้วก็โคร้ม พระเอกถูกผลักตกน้ำไปเลย นางเอกตกใจไม่ทันตั้งตัว น่ารักมากกกก
ทีนี้ก็ทำให้นึกถึงฉากแบบนี้ในเรื่องอื่นๆ บ้าง ตอนที่นางเอกบอกข่าวใหญ่เรื่องท้องให้พระเอกรู้ ที่เด่นๆ ประทับใจก็มีประมาณนี้ ไม่ได้เรียงลำดับความชอบนะ
สปอยล์มากๆ เรื่องไหนยังไม่อ่านก็ข้ามๆ ไป
Princess of the Sword (Nine Kingdoms #3) - Lynn Kurland
นี่เป็นฉาก Epilogue ของเล่ม พระเอกนางเอกแต่งงานกันมา 4 เดือนแล้ว เป็นราชากับราชินีปกครองอาณาจักร พระเอกคือ เมียช (ไม่รู้อ่านถูกรึเปล่า Miach ชื่อเต็มว่า Mochriadhemiach เป็นพระเอกชื่ออ่านยากที่สุดคนหนึ่งที่เคยเห็นมา ตอนอ่านบางทีก็เรียกชื่อในใจแค่ เอ็ม) พระเอกยืนดูนางเอก มอร์แกน ฝึกดาบกับทหารองครักษ์ คือนางเอกเป็นสาวแกร่ง เป็นนักดาบที่เก่งกล้า และเป็นสาวซึน ตลอดเรื่องก็งอนพระเอกไปหลายรอบ ทีนี้มอร์แกนก็หน้าซีด วิงเวียน พอพระเอกรีบเข้าไปดู นางเอกก็บอกว่า ไม่รู้เป็นอะไร พักนี้กินอะไรก็คลื่นเหียนอาเจียน สงสัยฉันอาจจะเป็นโรคร้าย อยู่ได้อีกไม่นาน เราสองคนคงจะมีช่วงเวลาแห่งความสุขกันได้แค่นี้ พระเอกก็เลยบอกว่า อาจจะเพราะว่าเธอกำลังท้องก็ได้นะ แล้วก็โคร้ม พระเอกถูกผลักตกน้ำไปเลย นางเอกตกใจไม่ทันตั้งตัว น่ารักมากกกก
ทีนี้ก็ทำให้นึกถึงฉากแบบนี้ในเรื่องอื่นๆ บ้าง ตอนที่นางเอกบอกข่าวใหญ่เรื่องท้องให้พระเอกรู้ ที่เด่นๆ ประทับใจก็มีประมาณนี้ ไม่ได้เรียงลำดับความชอบนะ
วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555
A Tapestry of Spells - Lynn Kurland
คะแนน : 7
ช่วงก่อนหน้านี้วุ่นมาก ต้องไปทั้งงานแต่ง งานศพหลายวัน ลางานก็ไม่ได้ ไม่รู้เพราะเล่มนี้ถูกเลือกมาอ่านตอนที่พอดีมีเรื่องเยอะ หรือว่าเพราะมันไม่สนุกเองก็ไม่รู้ อ่านแล้ววาง อ่านแล้ววาง เป็นอาทิตย์เลย
เล่มนี้เป็นเรื่องในชุด Nine Kingdoms เล่ม 4 ซึ่งเราชอบไตรภาคแรกอยู่พอสมควรทีเดียว พอมันมีไตรภาคที่สองก็รอจนมันออกเล่มจบเมื่อต้นเดือนนี้ค่อยเอามาอ่าน เรื่องชุดนี้เป็นแนวโรแมนติกแฟนตาซี คือฉากเป็นโลกแฟนตาซี มีเวทมนตร์ มีเมจ มีเอลฟ์ และก็มีเรื่องความรักระหว่างพระเอกนางเอก ก็อาจจะดีสำหรับคนที่ชอบอ่านทั้งสองแนว แต่พอเอาเข้าจริง มันอาจทำให้กลุ่มคนอ่านมีน้อยก็ได้ เพราะมันไม่สุดไปสักทาง
เนื้อเรื่องเล่มนี้มีแค่ว่า นางเอกชื่อซาร่าห์ มาขอให้รุธ พ่อมดที่เก็บตัวเงียบ ช่วยร่วมเดินทางไปติดตามพี่ชายของเธอ ที่ไปพบเศษกระดาษครึ่งแผ่นที่เป็นคาถาอันตรายของแกร์ จอมเวทย์ที่ตกเข้าสู่ด้านมืด ผู้ก่อให้เกิดหายนะกับทั้งครอบครัวตัวเองเมื่อยี่สิบปีก่อนที่บ่อน้ำมรณะ รุธกับซาร่าห์ก็เดินทางผ่านหมู่บ้าน ผ่านเมือง ผ่านป่า ได้ขบวนผู้ติดตามมาเรื่อยๆ ทีละคนสองคน คุยกับคนนั้นนิดคนนี้หน่อย สู้กับโทรลล์เล็กน้อย ช่วงท้ายเหมือนจะมีอะไรขึ้นมานิดนึง แล้วก็จบ งั้นๆ มากเลย
ไตรภาคแรกเราว่ามันก็ยังผสมกันกำลังดี แฟนตาซีสัก 60 โรแมนติกอีก 40 พระเอกนางเอกน่ารักมาก แต่เล่มนี้มีฉากพระ-นางจีบกันนิดเดียวเอง ไอ้ส่วนที่เป็นแฟนตาซีก็ไม่สนุก เพราะเนื้อเรื่องของเล่มนี้ก็เป็นเหตุการณ์ในช่วงเวลาเดียวกับไตรภาคแรก โดยเปลี่ยนมุมมองของตัวละครแค่นั้นเอง รุธเป็นพี่ชายของนางเอกไตรภาคที่แล้ว เพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องความเป็นไปของตัวละคร ความลับเรื่องอดีตต่างๆ คนอ่านก็รู้อยู่แล้ว ถ้าคนที่ไม่เคยอ่านภาคก่อนมาอ่านเล่มนี้เลยอาจจะโอเคก็ได้ แต่สำหรับเรา ความสนุกในส่วนนี้หายไปครึ่งหนึ่งเลย
รุธไม่มีเสน่ห์ ซาร่าห์ก็ธรรมดามาก แล้วถ้าเนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างนี้ สุดท้ายก็จะไปจบสรุปเหมือนเนื้อเรื่องไตรภาคแรก แล้วจะอ่านไปทำไมล่ะในเมื่อรู้อยู่แล้ว อาจจะไม่อ่านเล่มต่อแล้วล่ะ ปีนี้คิดว่าจะลดละการบันเทิง ดูหนังอ่านนิยายให้น้อยลง ถ้าเรื่องไหนไม่รู้สึกคุ้มค่าเวลาจริงๆ ก็จะไม่ฝืนแล้ว ดีนะยังไม่ได้คลิกซื้อเล่มถัดๆ ไป
ช่วงก่อนหน้านี้วุ่นมาก ต้องไปทั้งงานแต่ง งานศพหลายวัน ลางานก็ไม่ได้ ไม่รู้เพราะเล่มนี้ถูกเลือกมาอ่านตอนที่พอดีมีเรื่องเยอะ หรือว่าเพราะมันไม่สนุกเองก็ไม่รู้ อ่านแล้ววาง อ่านแล้ววาง เป็นอาทิตย์เลย
เล่มนี้เป็นเรื่องในชุด Nine Kingdoms เล่ม 4 ซึ่งเราชอบไตรภาคแรกอยู่พอสมควรทีเดียว พอมันมีไตรภาคที่สองก็รอจนมันออกเล่มจบเมื่อต้นเดือนนี้ค่อยเอามาอ่าน เรื่องชุดนี้เป็นแนวโรแมนติกแฟนตาซี คือฉากเป็นโลกแฟนตาซี มีเวทมนตร์ มีเมจ มีเอลฟ์ และก็มีเรื่องความรักระหว่างพระเอกนางเอก ก็อาจจะดีสำหรับคนที่ชอบอ่านทั้งสองแนว แต่พอเอาเข้าจริง มันอาจทำให้กลุ่มคนอ่านมีน้อยก็ได้ เพราะมันไม่สุดไปสักทาง
เนื้อเรื่องเล่มนี้มีแค่ว่า นางเอกชื่อซาร่าห์ มาขอให้รุธ พ่อมดที่เก็บตัวเงียบ ช่วยร่วมเดินทางไปติดตามพี่ชายของเธอ ที่ไปพบเศษกระดาษครึ่งแผ่นที่เป็นคาถาอันตรายของแกร์ จอมเวทย์ที่ตกเข้าสู่ด้านมืด ผู้ก่อให้เกิดหายนะกับทั้งครอบครัวตัวเองเมื่อยี่สิบปีก่อนที่บ่อน้ำมรณะ รุธกับซาร่าห์ก็เดินทางผ่านหมู่บ้าน ผ่านเมือง ผ่านป่า ได้ขบวนผู้ติดตามมาเรื่อยๆ ทีละคนสองคน คุยกับคนนั้นนิดคนนี้หน่อย สู้กับโทรลล์เล็กน้อย ช่วงท้ายเหมือนจะมีอะไรขึ้นมานิดนึง แล้วก็จบ งั้นๆ มากเลย
ไตรภาคแรกเราว่ามันก็ยังผสมกันกำลังดี แฟนตาซีสัก 60 โรแมนติกอีก 40 พระเอกนางเอกน่ารักมาก แต่เล่มนี้มีฉากพระ-นางจีบกันนิดเดียวเอง ไอ้ส่วนที่เป็นแฟนตาซีก็ไม่สนุก เพราะเนื้อเรื่องของเล่มนี้ก็เป็นเหตุการณ์ในช่วงเวลาเดียวกับไตรภาคแรก โดยเปลี่ยนมุมมองของตัวละครแค่นั้นเอง รุธเป็นพี่ชายของนางเอกไตรภาคที่แล้ว เพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องความเป็นไปของตัวละคร ความลับเรื่องอดีตต่างๆ คนอ่านก็รู้อยู่แล้ว ถ้าคนที่ไม่เคยอ่านภาคก่อนมาอ่านเล่มนี้เลยอาจจะโอเคก็ได้ แต่สำหรับเรา ความสนุกในส่วนนี้หายไปครึ่งหนึ่งเลย
รุธไม่มีเสน่ห์ ซาร่าห์ก็ธรรมดามาก แล้วถ้าเนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างนี้ สุดท้ายก็จะไปจบสรุปเหมือนเนื้อเรื่องไตรภาคแรก แล้วจะอ่านไปทำไมล่ะในเมื่อรู้อยู่แล้ว อาจจะไม่อ่านเล่มต่อแล้วล่ะ ปีนี้คิดว่าจะลดละการบันเทิง ดูหนังอ่านนิยายให้น้อยลง ถ้าเรื่องไหนไม่รู้สึกคุ้มค่าเวลาจริงๆ ก็จะไม่ฝืนแล้ว ดีนะยังไม่ได้คลิกซื้อเล่มถัดๆ ไป
วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555
Silver - Penny Jordan
คะแนน : 7.5
เพิ่งทราบจากเว็บบอร์ดว่า เพนนี จอร์แดน เสียชีวิตเมื่อวันสิ้นปีที่ผ่านมาในวัย 65 ปี ก่อนหน้านี้เราเคยอ่านงานของ เพนนี จอร์แดน มาแค่สองเรื่อง และไม่ได้ติดใจมากมาย เฉยๆ กับ "ตามหัวใจไปสุดหล้า" แต่เคยมีเพื่อนสมัยเรียนสองสามคนที่กรี๊ดเรื่องนั้นเอามากๆ ในฐานะนักอ่าน หนทางที่จะแสดงความคารวะต่อนักเขียน ก็คงเป็นที่การอ่านล่ะนะ ไม่รู้จะเลือกเรื่องไหนดี เขียนไว้เยอะมากเป็นร้อยเรื่อง เอาเรื่อง Silver นี้แล้วกัน เห็นเคยมีแปลไทย แล้วมีเป็นฉบับการ์ตูนที่ฟูจิตะ คาซุโกะ วาดด้วย (VBK ลอยแพ Rising แล้วใช่ม้ายยย) อ่า แต่แบบการ์ตูนอ่านได้แค่ตอนแรกก็เลิกค่ะ มันจั๊กจี้
นางเอกเป็นลูกสาวท่านเอิร์ล เคยเป็นเด็กขี้เหร่ ไปทำศัลยกรรมใบหน้าให้สวยเลิศ และสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า ซิลเวอร์ เพื่อจะกลับไปแก้แค้นญาติหนุ่มผู้พี่ที่เคยหลอกลวงเธอให้หลงรัก และเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อของเธอตาย แต่เพื่อให้แผนการสำเร็จได้เธอต้องรู้จักวิธียั่วยวนผู้ชายซะก่อน เธอจึงจ้างวาน เจค อดีตมือปราบ ปปส. ที่ตาบอดจากเหตุระเบิด ให้ช่วยสอนบทเรียนบนเตียงให้ แล้วเธอก็กลับไปลอนดอนเพื่อดำเนินตามแผน แต่เจคก็ติดตามมาด้วย เพราะเขาก็มีแผนการล่าตัวผู้อยู่เบื้องหลังคนที่ฆ่าภรรยาของเขาเช่นกัน
เตือนสปอยล์
ก็อ่านสนุกดีนะ แต่ว่าทั้งที่เนื้อเรื่องไม่ได้เยอะ หนังสือกลับยาวมากทีเดียว เนื้อหาส่วนแรก เป็นช่วงที่ซิลเวอร์จ้างเจค ในนิยายนี่มันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีฉากติดเรตมากมายอะไร น่าติดตามดี แต่พอส่วนที่สองกลับไปเล่าย้อนถึงความหลังของนางเอก ส่วนที่สามเล่าเรื่องพระเอก ช่วงนี้เรื่องมันอืดไปนิด เล่าเรื่องละเอียดยิบ ตัวละครแต่ละคนนี่บอกความเป็นมาตั้งแต่โคตรเหง้าศักราช ชีวิตวัยเด็ก วัยรุ่น ตอนโต บอกทุกอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร บางทีแค่กินกาแฟหรือเปิดประตูยังมีบรรยายเลยว่ารู้สึกยังไง ไม่ใช่แค่ตัวเอกนะ ตัวร้ายด้วย แทบทุกคนที่โผล่มาก็ว่าได้ อธิบายปมประเด็นปัญหาชีวิตทุกอย่าง ไม่ต้องปวดหัวตีความทั้งสิ้น บอกมาให้รู้เสร็จสรรพหมดแล้ว
อ่านแล้วก็ไม่ได้เบื่อนะ แต่ขำๆ นิดหน่อยว่า แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าเขียนแบบมุมมองของพระเจ้า เล่าได้ทุกอย่างเหมือนมองจากเบื้องบน แต่อีตอนเล่าเรื่องของพระเอกกับภรรยาน่ะ เขียนซะเราชอบเบ็ธมากกว่านางเอกซะอีก แล้วก็คิดขึ้นมาว่าเดี๋ยวตัวนี้ก็ต้องตายอยู่ดีไม่ใช่เหรอ จะหลอกให้เผลอเอาใจช่วยทำไม เล่าความหลังกันยาวจริงๆ
ช่วงที่สี่ค่อยมาดำเนินตามแผนแก้แค้น ช่วงนี้สนุก ตามล่านักค้ายาเสพติดไปด้วย เนื้อเรื่องเดาไม่ยากหรอก ตามสูตร แต่เขียนอ่านเพลินดี ตัวละครก็โอเค เราชอบซิลเวอร์กับเจคนะ แต่เวลาอยู่ด้วยกันน้อยไปหน่อย ส่วนแรกไม่นับ เพราะยังไม่ดีกัน น่าจะตัดๆ ช่วงตรงกลางออกบ้าง แล้วขยายเรื่องช่วงท้าย ซิลเวอร์ตอนเป็นวัยรุ่นดูน่ารำคาญนิดหน่อยที่ทำอะไรไม่เป็นเลย แต่เจคนี่เป็นพระเอกที่ค่อนข้างดีทีเดียว ชอบจุดที่นางเอกทำศัลยกรรมเสริมสวยมา แต่พระเอกตาบอด "ผมเห็นความงามของคุณจากภายใน" ใช้ได้เลยล่ะ
เพิ่งทราบจากเว็บบอร์ดว่า เพนนี จอร์แดน เสียชีวิตเมื่อวันสิ้นปีที่ผ่านมาในวัย 65 ปี ก่อนหน้านี้เราเคยอ่านงานของ เพนนี จอร์แดน มาแค่สองเรื่อง และไม่ได้ติดใจมากมาย เฉยๆ กับ "ตามหัวใจไปสุดหล้า" แต่เคยมีเพื่อนสมัยเรียนสองสามคนที่กรี๊ดเรื่องนั้นเอามากๆ ในฐานะนักอ่าน หนทางที่จะแสดงความคารวะต่อนักเขียน ก็คงเป็นที่การอ่านล่ะนะ ไม่รู้จะเลือกเรื่องไหนดี เขียนไว้เยอะมากเป็นร้อยเรื่อง เอาเรื่อง Silver นี้แล้วกัน เห็นเคยมีแปลไทย แล้วมีเป็นฉบับการ์ตูนที่ฟูจิตะ คาซุโกะ วาดด้วย (VBK ลอยแพ Rising แล้วใช่ม้ายยย) อ่า แต่แบบการ์ตูนอ่านได้แค่ตอนแรกก็เลิกค่ะ มันจั๊กจี้
นางเอกเป็นลูกสาวท่านเอิร์ล เคยเป็นเด็กขี้เหร่ ไปทำศัลยกรรมใบหน้าให้สวยเลิศ และสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า ซิลเวอร์ เพื่อจะกลับไปแก้แค้นญาติหนุ่มผู้พี่ที่เคยหลอกลวงเธอให้หลงรัก และเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อของเธอตาย แต่เพื่อให้แผนการสำเร็จได้เธอต้องรู้จักวิธียั่วยวนผู้ชายซะก่อน เธอจึงจ้างวาน เจค อดีตมือปราบ ปปส. ที่ตาบอดจากเหตุระเบิด ให้ช่วยสอนบทเรียนบนเตียงให้ แล้วเธอก็กลับไปลอนดอนเพื่อดำเนินตามแผน แต่เจคก็ติดตามมาด้วย เพราะเขาก็มีแผนการล่าตัวผู้อยู่เบื้องหลังคนที่ฆ่าภรรยาของเขาเช่นกัน
เตือนสปอยล์
ก็อ่านสนุกดีนะ แต่ว่าทั้งที่เนื้อเรื่องไม่ได้เยอะ หนังสือกลับยาวมากทีเดียว เนื้อหาส่วนแรก เป็นช่วงที่ซิลเวอร์จ้างเจค ในนิยายนี่มันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีฉากติดเรตมากมายอะไร น่าติดตามดี แต่พอส่วนที่สองกลับไปเล่าย้อนถึงความหลังของนางเอก ส่วนที่สามเล่าเรื่องพระเอก ช่วงนี้เรื่องมันอืดไปนิด เล่าเรื่องละเอียดยิบ ตัวละครแต่ละคนนี่บอกความเป็นมาตั้งแต่โคตรเหง้าศักราช ชีวิตวัยเด็ก วัยรุ่น ตอนโต บอกทุกอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร บางทีแค่กินกาแฟหรือเปิดประตูยังมีบรรยายเลยว่ารู้สึกยังไง ไม่ใช่แค่ตัวเอกนะ ตัวร้ายด้วย แทบทุกคนที่โผล่มาก็ว่าได้ อธิบายปมประเด็นปัญหาชีวิตทุกอย่าง ไม่ต้องปวดหัวตีความทั้งสิ้น บอกมาให้รู้เสร็จสรรพหมดแล้ว
อ่านแล้วก็ไม่ได้เบื่อนะ แต่ขำๆ นิดหน่อยว่า แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าเขียนแบบมุมมองของพระเจ้า เล่าได้ทุกอย่างเหมือนมองจากเบื้องบน แต่อีตอนเล่าเรื่องของพระเอกกับภรรยาน่ะ เขียนซะเราชอบเบ็ธมากกว่านางเอกซะอีก แล้วก็คิดขึ้นมาว่าเดี๋ยวตัวนี้ก็ต้องตายอยู่ดีไม่ใช่เหรอ จะหลอกให้เผลอเอาใจช่วยทำไม เล่าความหลังกันยาวจริงๆ
ช่วงที่สี่ค่อยมาดำเนินตามแผนแก้แค้น ช่วงนี้สนุก ตามล่านักค้ายาเสพติดไปด้วย เนื้อเรื่องเดาไม่ยากหรอก ตามสูตร แต่เขียนอ่านเพลินดี ตัวละครก็โอเค เราชอบซิลเวอร์กับเจคนะ แต่เวลาอยู่ด้วยกันน้อยไปหน่อย ส่วนแรกไม่นับ เพราะยังไม่ดีกัน น่าจะตัดๆ ช่วงตรงกลางออกบ้าง แล้วขยายเรื่องช่วงท้าย ซิลเวอร์ตอนเป็นวัยรุ่นดูน่ารำคาญนิดหน่อยที่ทำอะไรไม่เป็นเลย แต่เจคนี่เป็นพระเอกที่ค่อนข้างดีทีเดียว ชอบจุดที่นางเอกทำศัลยกรรมเสริมสวยมา แต่พระเอกตาบอด "ผมเห็นความงามของคุณจากภายใน" ใช้ได้เลยล่ะ
วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555
The Silver Linings Playbook - Matthew Quick
คะแนน : 7.5
เราไม่ได้อยากอ่านนิยายเล่มนี้เพราะตัวหนังสือเองหรอก แต่อยากรู้ว่ามันเป็นยังไงก่อนที่หนังจะฉายปลายปีนี้ ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่บนปกหลังก็โปรยไว้ว่าเป็นหนังสือฟีลกู๊ด เลยเลือกมาเป็นเล่มแรกของปี
แพต พีเพิลส์ ชายหนุ่มอายุ 35 ถูกปล่อยตัวจากสถาบันประสาทกลับมาอยู่กับพ่อแม่ แพตจดจำเหตุการณ์ช่วง 3-4 ปีก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย เมื่อกลับมาอยู่บ้าน เขาก็พยายามปรับปรุงตัว ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ เชียร์ฟุตบอล ไปพบจิตแพทย์ทุกสัปดาห์ เพื่อเป้าหมายจะกลับไปคืนดีกับภรรยา แล้วก็ได้เจอหญิงสาวเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ที่ผ่านปัญหาชีวิตขนาดหนักมาเช่นกัน จะเป็นยังไงถ้าแพตรู้ว่า ผู้หญิงที่ฝันถึงไม่ใช่คนที่จะอยู่กับเขาในชีวิตจริง
ตอนเราอ่านสรุปย่อเรื่องนี้ใน IMDb นี่ก็ขัดใจนะ สองบรรทัดแค่นี้เหรอ แล้วจะรู้มั้ยว่ามันน่าดูรึเปล่า แนวไหนก็ไม่รู้ แต่พออ่านจบแล้วเราก็เข้าใจ เรื่องนี้มันย่อเรื่องยากจริง เต็มที่ได้ 4 บรรทัดนี้ล่ะ นอกนั้นมันก็เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเรื่อง พูดมากกว่านี้ก็อาจสปอยล์ถึงตอนจบ แต่ความจริงถึงรู้เนื้อเรื่องทั้งหมดก็อาจจะไม่เป็นไร เพราะบางครั้งเนื้อเรื่องของนิยายก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับวิธีการเล่าเรื่อง
เรื่องเล่าจากมุมมองของพระเอก แพตมีอาการทางประสาท แต่เขาไม่ได้บ้านะ คุยรู้เรื่องทุกอย่าง แต่ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวอาละวาด หลอนๆ เพี้ยนๆ บ้างบางครั้ง ที่สำคัญคือปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงเรื่องภรรยา เขาคิดว่า ชีวิตของเขาเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ที่มีพระเจ้าเป็นผู้กำกับ เรื่องของเขาอาจเป็นหนังแนว Romantic Comedy และไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไรก็ตาม จะต้องมีตอนจบ Happy Ending ที่เขาจะได้ภรรยากลับมา
นั่นเป็นมุมมองของแพต แต่ในมุมมองคนอ่าน นี่ไม่ใช่เรื่องตลกโรแมนติกแน่ๆ ไม่มีฉากไหนที่เราหัวเราะเลย ส่วนมากจะเป็นแค่ยิ้มมุมปาก อ่านจบแล้วก็ไม่รู้จะบอกว่าตัวเองรู้สึกยังไง ไม่ตลก ไม่เครียด ไม่เบื่อ แล้วฟีลกู๊ดจริงมั้ย ก็งั้นมั้ง เรื่องฟีลกู๊ดนี่มันคือยังไงล่ะ เราก็ยังงงๆ อยู่ เห็นแต่ละเรื่องที่เขาแนะนำกัน หัวเราะทั้งน้ำตา เศร้าแต่มีหวัง อะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกชีวิตยังมีค่า แบบนั้นเหรอ
ฟังดูเหมือนเรากำลังพล่ามอะไรไม่รู้นะนี่ พระเอกในหนังสือก็ร่ายไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ ในเมื่อเราสรุปความคิดตัวเองจากนิยายเล่มนี้ไม่ได้ ก็ขอยก quote ที่เราชอบจากในหนังสือมาใส่แทนแล้วกัน ชอบประโยคสำคัญที่พระเอกพร่ำพูดอยู่บ่อยๆ ตลอดเรื่อง "I try to be kind, not to be right."
และชอบฉากนี้
แพตอ่านหนังสือตามรายการที่ภรรยาที่เป็นครูสอนวรรณคดีใส่ไว้ในรายวิชา พอเจอเรื่องที่จบเศร้าตัวเอกฆ่าตัวตาย เขาก็ไประบายให้จิตแพทย์ฟังว่า ทำไมต้องบังคับให้เด็กวัยรุ่นอ่านเรื่องรันทดหดหู่ขนาดนี้ ชีวิตมันต้องมีหวังสิ มีประกายแสงสีเงินบนก้อนเมฆ เราควรจะสอนพวกวัยรุ่นว่า -- จิตแพทย์ขัดเขาว่า
การอ่านเรื่องราวของแพต (พ่วงเรื่องของทิฟฟานีนิดหน่อย) ก็เหมือนการได้รับรู้ประสบการณ์ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง เรื่องพวกเขาไม่ใช่พวกเรา ความคิดพวกเราไม่เหมือนพวกเขา แต่ก็ทำให้ได้รู้ว่า มีคนที่คิดแบบนี้อยู่บนโลกน่ะนะ
เราไม่ได้อยากอ่านนิยายเล่มนี้เพราะตัวหนังสือเองหรอก แต่อยากรู้ว่ามันเป็นยังไงก่อนที่หนังจะฉายปลายปีนี้ ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่บนปกหลังก็โปรยไว้ว่าเป็นหนังสือฟีลกู๊ด เลยเลือกมาเป็นเล่มแรกของปี
แพต พีเพิลส์ ชายหนุ่มอายุ 35 ถูกปล่อยตัวจากสถาบันประสาทกลับมาอยู่กับพ่อแม่ แพตจดจำเหตุการณ์ช่วง 3-4 ปีก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย เมื่อกลับมาอยู่บ้าน เขาก็พยายามปรับปรุงตัว ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ เชียร์ฟุตบอล ไปพบจิตแพทย์ทุกสัปดาห์ เพื่อเป้าหมายจะกลับไปคืนดีกับภรรยา แล้วก็ได้เจอหญิงสาวเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ที่ผ่านปัญหาชีวิตขนาดหนักมาเช่นกัน จะเป็นยังไงถ้าแพตรู้ว่า ผู้หญิงที่ฝันถึงไม่ใช่คนที่จะอยู่กับเขาในชีวิตจริง
ตอนเราอ่านสรุปย่อเรื่องนี้ใน IMDb นี่ก็ขัดใจนะ สองบรรทัดแค่นี้เหรอ แล้วจะรู้มั้ยว่ามันน่าดูรึเปล่า แนวไหนก็ไม่รู้ แต่พออ่านจบแล้วเราก็เข้าใจ เรื่องนี้มันย่อเรื่องยากจริง เต็มที่ได้ 4 บรรทัดนี้ล่ะ นอกนั้นมันก็เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเรื่อง พูดมากกว่านี้ก็อาจสปอยล์ถึงตอนจบ แต่ความจริงถึงรู้เนื้อเรื่องทั้งหมดก็อาจจะไม่เป็นไร เพราะบางครั้งเนื้อเรื่องของนิยายก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับวิธีการเล่าเรื่อง
เรื่องเล่าจากมุมมองของพระเอก แพตมีอาการทางประสาท แต่เขาไม่ได้บ้านะ คุยรู้เรื่องทุกอย่าง แต่ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวอาละวาด หลอนๆ เพี้ยนๆ บ้างบางครั้ง ที่สำคัญคือปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงเรื่องภรรยา เขาคิดว่า ชีวิตของเขาเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ที่มีพระเจ้าเป็นผู้กำกับ เรื่องของเขาอาจเป็นหนังแนว Romantic Comedy และไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไรก็ตาม จะต้องมีตอนจบ Happy Ending ที่เขาจะได้ภรรยากลับมา
นั่นเป็นมุมมองของแพต แต่ในมุมมองคนอ่าน นี่ไม่ใช่เรื่องตลกโรแมนติกแน่ๆ ไม่มีฉากไหนที่เราหัวเราะเลย ส่วนมากจะเป็นแค่ยิ้มมุมปาก อ่านจบแล้วก็ไม่รู้จะบอกว่าตัวเองรู้สึกยังไง ไม่ตลก ไม่เครียด ไม่เบื่อ แล้วฟีลกู๊ดจริงมั้ย ก็งั้นมั้ง เรื่องฟีลกู๊ดนี่มันคือยังไงล่ะ เราก็ยังงงๆ อยู่ เห็นแต่ละเรื่องที่เขาแนะนำกัน หัวเราะทั้งน้ำตา เศร้าแต่มีหวัง อะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกชีวิตยังมีค่า แบบนั้นเหรอ
ฟังดูเหมือนเรากำลังพล่ามอะไรไม่รู้นะนี่ พระเอกในหนังสือก็ร่ายไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ ในเมื่อเราสรุปความคิดตัวเองจากนิยายเล่มนี้ไม่ได้ ก็ขอยก quote ที่เราชอบจากในหนังสือมาใส่แทนแล้วกัน ชอบประโยคสำคัญที่พระเอกพร่ำพูดอยู่บ่อยๆ ตลอดเรื่อง "I try to be kind, not to be right."
และชอบฉากนี้
แพตอ่านหนังสือตามรายการที่ภรรยาที่เป็นครูสอนวรรณคดีใส่ไว้ในรายวิชา พอเจอเรื่องที่จบเศร้าตัวเอกฆ่าตัวตาย เขาก็ไประบายให้จิตแพทย์ฟังว่า ทำไมต้องบังคับให้เด็กวัยรุ่นอ่านเรื่องรันทดหดหู่ขนาดนี้ ชีวิตมันต้องมีหวังสิ มีประกายแสงสีเงินบนก้อนเมฆ เราควรจะสอนพวกวัยรุ่นว่า -- จิตแพทย์ขัดเขาว่า
"ชีวิตคนเป็นเรื่องยากนะ แพต และเด็กๆ ควรจะได้รู้ว่า ชีวิตคนนั้นยากเย็นแสนเข็ญได้ขนาดไหน"
"ทำไมล่ะ"
"เพื่อพวกเขาจะได้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น พวกเขาจะได้เข้าใจว่า หลายคนลำบากกว่าพวกเขา และในการเดินทางผ่านโลกนี้ของแต่ละคนก็เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างกันได้อย่างไพศาล ขึ้นอยู่กับว่าสารเคมีตัวไหนที่พล่านผ่านจิตใจของแต่ละคน"
การอ่านเรื่องราวของแพต (พ่วงเรื่องของทิฟฟานีนิดหน่อย) ก็เหมือนการได้รับรู้ประสบการณ์ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง เรื่องพวกเขาไม่ใช่พวกเรา ความคิดพวกเราไม่เหมือนพวกเขา แต่ก็ทำให้ได้รู้ว่า มีคนที่คิดแบบนี้อยู่บนโลกน่ะนะ
วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555
The Girl with the Dragon Tattoo (2011) - David Fincher
เราเป็นแฟนหนังสือ Millennium Trilogy น่ะนะคะ ไปดูหนังมาแล้วก็กลับมาอ่านข่าว บทความนิตยสาร ดูคลิปสัมภาษณ์ ย้อนอ่านนิยายบางตอน ยังไม่ได้อ่านอะไรใหม่เป็นชิ้นเป็นอัน ก็ยังไม่เขียนบล็อกถึงหนังสือ แต่ขอพูดถึงหนังหน่อยแล้วกัน วันนี้ฉายเป็นทางการแล้ว ภาพยนตร์ The Girl with the Dragon Tattoo (2011) ฉบับฮอลลีวู้ด ของผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ หรือในชื่อไทยว่า พยัคฆ์สาวรอยสักมังกร (ชื่อเหมือนหนังจีนแฮะ อย่างนี้ภาคสองจะกลายเป็นอะไรล่ะ พยัคฆ์สาวเพลิงอัคคีเหรอ อืมม์) ถึงแม้ตัวเลขรายได้เปิดตัวที่สหรัฐอเมริกาจะไม่เปรี้ยงอย่างที่คิด แต่นี่ก็เป็นหนังที่เราตั้งตารอดูมากที่สุดในช่วงนี้เลย
นี่ไม่ใช่วิจารณ์ภาพยนตร์นะ เพราะเขียนแบบมีหลักการเชิงภาพยนตร์ไม่เป็น ขอให้คิดว่าเป็นเพียงความรู้สึกของแฟน Millennium Trilogy คนหนึ่ง หลังจากที่ไปชมหนังเรื่องนี้มาเท่านั้น แล้วเพราะว่าเราเป็นแฟนเต็มขั้นของเรื่องชุดนี้ ถ้าฟังแล้วรู้สึกว่าเว่อร์ไปหน่อยก็อย่าว่ากัน
เตือนสปอยล์
ขอเตือนว่า เนื้อหาต่อจากนี้จะมีการพูดถึงเนื้อเรื่องและฉากในภาพยนตร์อย่างอิสระ ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้โปรดหลีกเลี่ยง และเนื่องจากเราอ่านทั้งนิยาย กับเคยดูหนังฉบับสวีเดนมาแล้วด้วย ดังนั้นคงจะต้องมีเปรียบเทียบกันบ้าง จึงอาจมีสปอยล์เลยเถิดไปถึงพวกนั้นด้วย
สรุปในภาพรวมของหนังเวอร์ชันนี้ เรายกให้ฉบับของฮอลลีวู้ดชนะฉบับสวีเดนแบบใสๆ ถ้าเป็นฟุตบอลก็คงประมาณสกอร์ 3-1 เพราะดีกว่าเกือบทุกอย่าง ทั้งด้านภาพ การดำเนินเรื่อง และตัวนักแสดง ตอนนี้ก็คงต้องเอาใจช่วยเรื่องรายได้ของหนังกันหน่อย โซนี่ยืนยันแล้วว่าสร้างภาคต่อแน่นอน แต่เราอยากให้หนังประสบความสำเร็จเต็มที่ คงต้องไปอุดหนุนกันอีกสักรอบ เพราะอยากให้เดวิด ฟินเชอร์ มากำกับภาค 2-3 ต่อ อาจมีแฟนของฟินเชอร์บางคนที่ยังไม่พอใจ Dragon Tattoo แต่แฟน Dragon Tattoo อย่างเราโคตรพอใจฟินเชอร์เลยค่ะ หนังสวีเดนภาค Fire กับ Hornet นี่โปรดักชันไม่ค่อยดี เนื้อเรื่องก็ตัดไปเยอะมาก มีช่องให้พัฒนาได้อีกเยอะ รับรองว่า ฟินเชอร์จะทำได้เหนือกว่าขึ้นไปอีกแน่นอน
และอีกอย่างที่เราต้องขอบคุณ Dragon Tattoo เวอร์ชันนี้ก็คือ มันทำให้คนทั่วไปรู้จักไตรภาคมิลเลนเนียมเยอะขึ้นมาก เมื่อปีก่อนโน้นตอนไปดูที่ House เห็นมีคนดูนับหัวได้เราก็แอบเศร้า แต่นี่ขนาดรอบพิเศษตอนดึกก็ยังมีคนดูพอสมควร อยากให้เรื่องชุดนี้มีคนรู้จักกันในวงกว้าง ได้ความสนใจจากผู้คนในระดับคู่ควรกับที่นิยายเรื่องนี้สมควรได้รับ
ป.ล. รอบพิเศษนี่ซื้อตั๋วดูเองนะ
นี่ไม่ใช่วิจารณ์ภาพยนตร์นะ เพราะเขียนแบบมีหลักการเชิงภาพยนตร์ไม่เป็น ขอให้คิดว่าเป็นเพียงความรู้สึกของแฟน Millennium Trilogy คนหนึ่ง หลังจากที่ไปชมหนังเรื่องนี้มาเท่านั้น แล้วเพราะว่าเราเป็นแฟนเต็มขั้นของเรื่องชุดนี้ ถ้าฟังแล้วรู้สึกว่าเว่อร์ไปหน่อยก็อย่าว่ากัน
เตือนสปอยล์
ขอเตือนว่า เนื้อหาต่อจากนี้จะมีการพูดถึงเนื้อเรื่องและฉากในภาพยนตร์อย่างอิสระ ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้โปรดหลีกเลี่ยง และเนื่องจากเราอ่านทั้งนิยาย กับเคยดูหนังฉบับสวีเดนมาแล้วด้วย ดังนั้นคงจะต้องมีเปรียบเทียบกันบ้าง จึงอาจมีสปอยล์เลยเถิดไปถึงพวกนั้นด้วย
ขึ้นต้นมาด้วยฉากไตเติลที่เป็นภาพกราฟิกส์คอมพิวเตอร์ พร้อมเพลงประกอบแรงๆ มันส์ๆ ชอบภาพช่วงนี้มากๆ เลย ทำให้ตื่นเต้นดึงดูดตั้งแต่แรก จากนั้นก็เข้าสู่เรื่องด้วยฉากกรอบรูปดอกไม้ปริศนาที่มีผู้ส่งมาให้เฮนริก แวงเกอร์ ต่อมาด้วยการเล่าถึงตัวละครเอกฝ่ายชายของเรื่อง คือ มิคาเอล บลอมควิสต์ (หนังฮอลลีวู้ด ออกเสียงแบบอเมริกัน ก็เรียกตามหนังไป) ช่วงนี้ธรรมดาไม่มีอะไรมากนัก อาจจะเน้นอารมณ์ดราม่าน้อยกว่าหนังสวีเดนหน่อย แต่การดำเนินเรื่องตรงตามนิยายต้นฉบับมากกว่า
และคนดูก็ไม่ต้องรอนาน เพราะลิสเบ็ธ ซาลันเดอร์ คนใหม่ ก็ปรากฏตัวในไม่ช้า ลิสเบ็ธเวอร์ชันนี้อาจจะดูออกแนวพังค์มากกว่าที่เคยนึกภาพไว้ในนิยาย แต่รูปร่างหน้าตารูนีย์ มาร่า นี่บอกได้เลยว่า ใช่จริงๆ ตัวเล็กและหน้าอ่อนเหมือนเด็กวัยรุ่น ฉากเคี้ยวหมากฝรั่งตอบคำถามคุณทนายในออฟฟิศนั่น กรี๊ดอยู่ในใจ เป๊ะจริง ละสายตาจากเธอไม่ได้เลย
บลอมควิสต์ตกลงรับงานสืบคดีหลานสาวมหาเศรษฐีเมื่อ 40 ปีก่อน เราชอบบทภาพยนตร์ตรงนี้ที่ไม่ละเลยการย้ำว่า สาเหตุที่แท้จริงที่บลอมควิสต์รับงานเพราะต้องการข้อมูลของเวนเนอร์สตรอม ไม่ใช่เรื่องเงินหรือแค่อยากหลบหน้าผู้คนเท่านั้น สะท้อนตัวตนในมุมที่น่าชื่นชมของพระเอก ไม่งั้นตัวละครนี้ก็จะไม่ค่อยเหลืออะไร
ฉากที่บลอมควิสต์ เดินทางขึ้นเหนือ และย้ายเข้าบ้านพัก ตอนเดินหาสัญญาณมือถือนั่น ให้ทั้งบรรยากาศและการเล่าเรื่อง ยะเยือกกับความหนาวเย็นห่างไกล ถ้าเปรียบกับฉบับสวีเดน ฉากทิวทัศน์อาจจะไม่แตกต่างกัน บ้านในพื้นที่โล่งกว้าง หิมะขาวโพลน แต่ในฉบับ 2011 เราได้สัมผัสถึงอารมณ์ความทึ่งแผ่ซ่านออกมาจากจอ มุมมองที่เดวิด ฟินเชอร์ เลือกนำเสนอผ่านเลนส์กล้อง เหมือนกับว่า ผู้กำกับถ่ายทอดความตื่นตาของเขาออกมาให้เราเห็นด้วย
ในขณะที่ตอนดูเวอร์ชันสวีเดนเราไม่รู้สึกแบบนี้ เป็นได้ว่าคนแถวนั้น (ฉบับ 2009 ผู้กำกับเป็นคนเดนมาร์ก) อาจจะไม่รู้สึกแปลกตาแปลกใจกับภูมิประเทศของตัวเอง คงเหมือนกับที่บางทีเราเห็นรูปที่ฝรั่งถ่ายรูปเมืองไทยสวยกว่าเราคนไทยถ่ายเอง เห็นมุมภาพแล้วเรารู้สึกว่าเขาทึ่งกับอะไรที่มันชินตาของเรา อย่างฉากที่พระเอกไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ฉบับสวีเดนไม่มีหรอก เห็นไม่สำคัญแค่ซื้อของเข้าบ้านเอง แต่เวอร์ชัน 2011 นี้มีถึงแม้จะแว้บเดียว แต่แค่นี้มันก็ดูแปลกตาแล้ว ของที่ขายกับการจัดร้านมันไม่ค่อยเหมือน 7-11 บ้านเรา รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดในสวีเดนจริงๆ ไม่ใช่เนื้อเรื่องที่เกิดที่ไหนก็ได้ สมกับที่ฟินเชอร์เคยบอกว่า ยังไงภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต้องถ่ายทำที่สวีเดน เพราะฉากของเรื่องนี้สำคัญเหมือนเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งเลย
ชอบการแสดงของรูนีย์ มาร่า ในบทลิสเบ็ธ ฉากที่ลิสเบ็ธสู้กับคนที่วิ่งราวในสถานีรถไฟนั่นถึงจะไม่ยาว แต่ชอบมาก สาวรอยสักของเราเท่จริง ส่วนฉากนั่งซุกที่มุมที่นั่งโดยสารในรถไฟใต้ดินนั่น แสดงถึงด้านที่เปราะบางของลิสเบ็ธได้ดีมาก แต่ขนาดนั้นก็ยังแผ่รังสี ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลย
มาถึงฉากสำคัญของเรื่องตอนข่มขืน โอย แรงมาก ขนาดรู้เรื่องอยู่แล้ว เคยดูเวอร์ชันก่อนมาแล้วด้วย ก็ยังคิดว่าภาพในฉบับนี้แรงมากจริงๆ เรต R 18+ เต็มๆ ดูไปหน้าเหยเกไป แอบหลบสายตาจากจอไปตั้งหลายที ต้องพยายามเตือนตัวเองให้แข็งใจดู แต่ก็พร่ำภาวนาในใจไปว่า ผ่านฉากนี้ไปเร็วๆ หน่อยสิ ไม่อยากเห็นอะไรแบบนี้เลย ถึงจะคิดว่ามันแรงมาก แต่ถ้าถามว่า เกินความจำเป็นมั้ยก็พูดได้ไม่เต็มปาก การนำเสนอความรุนแรงที่ผู้หญิงถูกกระทำอย่างตรงไปตรงมา มันก็เป็นการช่วยกระตุ้นตอกย้ำหนักๆ ให้คนดูสำนึกถึงปัญหาเรื่องนี้ แล้วฉากแก้แค้นก็ทำได้สะใจมากกกก
จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่การสืบคดีอย่างจริงจัง ตัวเอกทั้งสองคนได้มาอยู่ร่วมกัน ช่วงนี้ดูสนุกดีมาก การดำเนินเรื่องทำได้น่าติดตาม ค่อยๆ คลี่คลายปริศนาไปเรื่อยๆ จนรู้ตัวคนร้ายในที่สุด อารมณ์ระทึกช่วงนี้ทำได้ยอดเยี่ยม กับการเผชิญหน้าฆาตกร ตอนคนร้ายนั่งไขว่ห้างแล้วสาธยายสั่งสอน จิตกว่าในฉบับสวีเดนมากๆ ในส่วนของเรื่องราวหลังจากนั้น ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Dragon Tattoo ฉบับนี้จะเปลี่ยนตอนจบจากในนิยาย ก็ทำให้เราหวั่นใจอยู่ แต่พอได้ดูจริงๆ จุดที่เปลี่ยนแปลงจากในนิยายมีน้อยมาก ไม่ได้เปลี่ยนสาระสำคัญของเรื่องเลย คงจิตวิญญาณของนิยายต้นฉบับได้ครบถ้วน ถึงแม้เนื้อเรื่องบางจุดอาจไม่เคลียร์ เช่น จะไม่เฉลยให้คนที่ไม่อ่านนิยายรู้หน่อยหรือว่าใครส่งดอกไม้มา
มาพูดเรื่องตัวนักแสดงบ้าง เราไม่รู้จะเอ่ยชมรูนีย์ มาร่า ยังไง ไม่ให้ฟังแล้วรู้สึกว่าการแสดงของนูมี่ ราพาซ ดูด้อยค่าลง เพราะที่จริงเราไม่ได้ตั้งใจให้หมายความอย่างนั้น ลิสเบ็ธของราพาซนั้นถูกถ่ายทอดได้อย่างยอดเยี่ยมและมีพลังมากๆ แล้ว แต่เอาเป็นว่าตอนเราดูหนังเวอร์ชันอเมริกัน เราไม่ได้นึกถึงภาพของราพาซเลยสักครั้งเดียว ความจริงแล้วสำหรับเรา คงไม่มีนักแสดงคนไหนสามารถถ่ายทอดความเป็นลิสเบ็ธออกมาได้สมบูรณ์ 100% เพราะลิสเบ็ธเป็นตัวละครหญิงที่กล่าวได้ว่า โดดเด่นสุดยอดที่สุดตั้งแต่เริ่มศตวรรษนี้มา ความสุดยอดของเธอไม่ใช่สิ่งที่จะแสดงออกมาให้คนเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิด ตัวตนและวิญญาณของตัวละครตัวนี้ แต่เราก็คิดว่า รูนีย์ มาร่า ดูใกล้เคียงกับลิสเบ็ธในฉบับนิยายยิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด มันคงเป็นที่การตีความตัวละครมากกว่าที่ฝีมือการแสดง
เรื่องรูปร่างหน้าตาไม่ต้องพูดซ้ำ แต่รูนีย์ มาร่า มีมิติซับซ้อนกว่า ส่วนหนึ่งเพราะบทภาพยนตร์เอื้อกว่า หลายฉากช่วยถ่ายทอดให้เราเห็นลิสเบ็ธในหลายๆ ด้านมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นฉากการตอบโต้ที่ไม่ปรานีปราศรัย อารมณ์เคว้งไม่รู้จะทำยังไงตอนที่พาล์มเกรน ผู้ปกครองคนเก่า ป่วยหนัก เธอมีช่วงอารมณ์ให้เล่นได้กว้างและหลากหลายกว่า ไหนจะฉากที่รูนีย์ มาร่า เล่นแบบทุ่มสุดตัว ทั้งฉากข่มขืนและฉากที่อยู่กับบลอมควิสต์บนเตียง พูดตามตรง ตอนดูแอบเบือนหน้าหนีอีกแล้ว คิดว่าไม่ต้องลงทุนเปลืองตัวขนาดนี้ ละไว้ในฐานที่เข้าใจหน่อยก็ได้ แต่มันก็สะท้อนตัวตนของลิสเบ็ธให้เห็นมากขึ้นน่ะนะ ลิสเบ็ธนั้นมีรูปแบบความคิดเฉพาะของเธอเอง ที่ไม่ค่อยจะสนใจว่าสังคมหรือคนอื่นจะว่ายังไง มีเซ็กส์ได้โดยไม่แคร์ว่า กับผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นพ่อเขาผัวใคร บทบาททางเพศของเธอก็ไม่ใช่เยี่ยงผู้ถูกกระทำ
ถ้าจะมีอะไรที่ยังไม่ได้ดั่งใจเราก็คงเป็นเรื่องความรักของลิสเบ็ธ เราไม่รู้สึกสักนิดว่าลิสเบ็ธเริ่มเปิดใจ ฉากที่นอนคุยกันเล่าความหลังมันสื่อได้น้อยไป ที่จริงก็ช่วยไม่ได้มันเป็นข้อจำกัดของหนังที่พรรณนาเรื่องได้ไม่เท่าตัวหนังสือ และฉากจบสุดท้ายตอนทิ้งของขวัญนั้น มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายเรื่องราวได้แจ่มแจ้งเหมือนในนิยาย
ในส่วนของแดเนียล เคร็ก ความจริงก็ไม่ได้เล่นแย่ แต่ก็ยังดูขาดเสน่ห์ของบลอมควิสต์ และเมื่อเทียบกับรูนีย์ มาร่า เขาก็แทบดับไปเลย สำหรับคนที่เหลือ คนที่เล่นเป็นฆาตกรนั่นก็ชมไปแล้ว คนอื่นๆ ก็รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่บทมันไม่มีอะไรให้เล่นมากนักหรอก
และคนดูก็ไม่ต้องรอนาน เพราะลิสเบ็ธ ซาลันเดอร์ คนใหม่ ก็ปรากฏตัวในไม่ช้า ลิสเบ็ธเวอร์ชันนี้อาจจะดูออกแนวพังค์มากกว่าที่เคยนึกภาพไว้ในนิยาย แต่รูปร่างหน้าตารูนีย์ มาร่า นี่บอกได้เลยว่า ใช่จริงๆ ตัวเล็กและหน้าอ่อนเหมือนเด็กวัยรุ่น ฉากเคี้ยวหมากฝรั่งตอบคำถามคุณทนายในออฟฟิศนั่น กรี๊ดอยู่ในใจ เป๊ะจริง ละสายตาจากเธอไม่ได้เลย
บลอมควิสต์ตกลงรับงานสืบคดีหลานสาวมหาเศรษฐีเมื่อ 40 ปีก่อน เราชอบบทภาพยนตร์ตรงนี้ที่ไม่ละเลยการย้ำว่า สาเหตุที่แท้จริงที่บลอมควิสต์รับงานเพราะต้องการข้อมูลของเวนเนอร์สตรอม ไม่ใช่เรื่องเงินหรือแค่อยากหลบหน้าผู้คนเท่านั้น สะท้อนตัวตนในมุมที่น่าชื่นชมของพระเอก ไม่งั้นตัวละครนี้ก็จะไม่ค่อยเหลืออะไร
ฉากที่บลอมควิสต์ เดินทางขึ้นเหนือ และย้ายเข้าบ้านพัก ตอนเดินหาสัญญาณมือถือนั่น ให้ทั้งบรรยากาศและการเล่าเรื่อง ยะเยือกกับความหนาวเย็นห่างไกล ถ้าเปรียบกับฉบับสวีเดน ฉากทิวทัศน์อาจจะไม่แตกต่างกัน บ้านในพื้นที่โล่งกว้าง หิมะขาวโพลน แต่ในฉบับ 2011 เราได้สัมผัสถึงอารมณ์ความทึ่งแผ่ซ่านออกมาจากจอ มุมมองที่เดวิด ฟินเชอร์ เลือกนำเสนอผ่านเลนส์กล้อง เหมือนกับว่า ผู้กำกับถ่ายทอดความตื่นตาของเขาออกมาให้เราเห็นด้วย
ในขณะที่ตอนดูเวอร์ชันสวีเดนเราไม่รู้สึกแบบนี้ เป็นได้ว่าคนแถวนั้น (ฉบับ 2009 ผู้กำกับเป็นคนเดนมาร์ก) อาจจะไม่รู้สึกแปลกตาแปลกใจกับภูมิประเทศของตัวเอง คงเหมือนกับที่บางทีเราเห็นรูปที่ฝรั่งถ่ายรูปเมืองไทยสวยกว่าเราคนไทยถ่ายเอง เห็นมุมภาพแล้วเรารู้สึกว่าเขาทึ่งกับอะไรที่มันชินตาของเรา อย่างฉากที่พระเอกไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ฉบับสวีเดนไม่มีหรอก เห็นไม่สำคัญแค่ซื้อของเข้าบ้านเอง แต่เวอร์ชัน 2011 นี้มีถึงแม้จะแว้บเดียว แต่แค่นี้มันก็ดูแปลกตาแล้ว ของที่ขายกับการจัดร้านมันไม่ค่อยเหมือน 7-11 บ้านเรา รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดในสวีเดนจริงๆ ไม่ใช่เนื้อเรื่องที่เกิดที่ไหนก็ได้ สมกับที่ฟินเชอร์เคยบอกว่า ยังไงภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต้องถ่ายทำที่สวีเดน เพราะฉากของเรื่องนี้สำคัญเหมือนเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งเลย
ชอบการแสดงของรูนีย์ มาร่า ในบทลิสเบ็ธ ฉากที่ลิสเบ็ธสู้กับคนที่วิ่งราวในสถานีรถไฟนั่นถึงจะไม่ยาว แต่ชอบมาก สาวรอยสักของเราเท่จริง ส่วนฉากนั่งซุกที่มุมที่นั่งโดยสารในรถไฟใต้ดินนั่น แสดงถึงด้านที่เปราะบางของลิสเบ็ธได้ดีมาก แต่ขนาดนั้นก็ยังแผ่รังสี ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลย
มาถึงฉากสำคัญของเรื่องตอนข่มขืน โอย แรงมาก ขนาดรู้เรื่องอยู่แล้ว เคยดูเวอร์ชันก่อนมาแล้วด้วย ก็ยังคิดว่าภาพในฉบับนี้แรงมากจริงๆ เรต R 18+ เต็มๆ ดูไปหน้าเหยเกไป แอบหลบสายตาจากจอไปตั้งหลายที ต้องพยายามเตือนตัวเองให้แข็งใจดู แต่ก็พร่ำภาวนาในใจไปว่า ผ่านฉากนี้ไปเร็วๆ หน่อยสิ ไม่อยากเห็นอะไรแบบนี้เลย ถึงจะคิดว่ามันแรงมาก แต่ถ้าถามว่า เกินความจำเป็นมั้ยก็พูดได้ไม่เต็มปาก การนำเสนอความรุนแรงที่ผู้หญิงถูกกระทำอย่างตรงไปตรงมา มันก็เป็นการช่วยกระตุ้นตอกย้ำหนักๆ ให้คนดูสำนึกถึงปัญหาเรื่องนี้ แล้วฉากแก้แค้นก็ทำได้สะใจมากกกก
จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่การสืบคดีอย่างจริงจัง ตัวเอกทั้งสองคนได้มาอยู่ร่วมกัน ช่วงนี้ดูสนุกดีมาก การดำเนินเรื่องทำได้น่าติดตาม ค่อยๆ คลี่คลายปริศนาไปเรื่อยๆ จนรู้ตัวคนร้ายในที่สุด อารมณ์ระทึกช่วงนี้ทำได้ยอดเยี่ยม กับการเผชิญหน้าฆาตกร ตอนคนร้ายนั่งไขว่ห้างแล้วสาธยายสั่งสอน จิตกว่าในฉบับสวีเดนมากๆ ในส่วนของเรื่องราวหลังจากนั้น ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Dragon Tattoo ฉบับนี้จะเปลี่ยนตอนจบจากในนิยาย ก็ทำให้เราหวั่นใจอยู่ แต่พอได้ดูจริงๆ จุดที่เปลี่ยนแปลงจากในนิยายมีน้อยมาก ไม่ได้เปลี่ยนสาระสำคัญของเรื่องเลย คงจิตวิญญาณของนิยายต้นฉบับได้ครบถ้วน ถึงแม้เนื้อเรื่องบางจุดอาจไม่เคลียร์ เช่น จะไม่เฉลยให้คนที่ไม่อ่านนิยายรู้หน่อยหรือว่าใครส่งดอกไม้มา
มาพูดเรื่องตัวนักแสดงบ้าง เราไม่รู้จะเอ่ยชมรูนีย์ มาร่า ยังไง ไม่ให้ฟังแล้วรู้สึกว่าการแสดงของนูมี่ ราพาซ ดูด้อยค่าลง เพราะที่จริงเราไม่ได้ตั้งใจให้หมายความอย่างนั้น ลิสเบ็ธของราพาซนั้นถูกถ่ายทอดได้อย่างยอดเยี่ยมและมีพลังมากๆ แล้ว แต่เอาเป็นว่าตอนเราดูหนังเวอร์ชันอเมริกัน เราไม่ได้นึกถึงภาพของราพาซเลยสักครั้งเดียว ความจริงแล้วสำหรับเรา คงไม่มีนักแสดงคนไหนสามารถถ่ายทอดความเป็นลิสเบ็ธออกมาได้สมบูรณ์ 100% เพราะลิสเบ็ธเป็นตัวละครหญิงที่กล่าวได้ว่า โดดเด่นสุดยอดที่สุดตั้งแต่เริ่มศตวรรษนี้มา ความสุดยอดของเธอไม่ใช่สิ่งที่จะแสดงออกมาให้คนเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิด ตัวตนและวิญญาณของตัวละครตัวนี้ แต่เราก็คิดว่า รูนีย์ มาร่า ดูใกล้เคียงกับลิสเบ็ธในฉบับนิยายยิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด มันคงเป็นที่การตีความตัวละครมากกว่าที่ฝีมือการแสดง
เรื่องรูปร่างหน้าตาไม่ต้องพูดซ้ำ แต่รูนีย์ มาร่า มีมิติซับซ้อนกว่า ส่วนหนึ่งเพราะบทภาพยนตร์เอื้อกว่า หลายฉากช่วยถ่ายทอดให้เราเห็นลิสเบ็ธในหลายๆ ด้านมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นฉากการตอบโต้ที่ไม่ปรานีปราศรัย อารมณ์เคว้งไม่รู้จะทำยังไงตอนที่พาล์มเกรน ผู้ปกครองคนเก่า ป่วยหนัก เธอมีช่วงอารมณ์ให้เล่นได้กว้างและหลากหลายกว่า ไหนจะฉากที่รูนีย์ มาร่า เล่นแบบทุ่มสุดตัว ทั้งฉากข่มขืนและฉากที่อยู่กับบลอมควิสต์บนเตียง พูดตามตรง ตอนดูแอบเบือนหน้าหนีอีกแล้ว คิดว่าไม่ต้องลงทุนเปลืองตัวขนาดนี้ ละไว้ในฐานที่เข้าใจหน่อยก็ได้ แต่มันก็สะท้อนตัวตนของลิสเบ็ธให้เห็นมากขึ้นน่ะนะ ลิสเบ็ธนั้นมีรูปแบบความคิดเฉพาะของเธอเอง ที่ไม่ค่อยจะสนใจว่าสังคมหรือคนอื่นจะว่ายังไง มีเซ็กส์ได้โดยไม่แคร์ว่า กับผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นพ่อเขาผัวใคร บทบาททางเพศของเธอก็ไม่ใช่เยี่ยงผู้ถูกกระทำ
ถ้าจะมีอะไรที่ยังไม่ได้ดั่งใจเราก็คงเป็นเรื่องความรักของลิสเบ็ธ เราไม่รู้สึกสักนิดว่าลิสเบ็ธเริ่มเปิดใจ ฉากที่นอนคุยกันเล่าความหลังมันสื่อได้น้อยไป ที่จริงก็ช่วยไม่ได้มันเป็นข้อจำกัดของหนังที่พรรณนาเรื่องได้ไม่เท่าตัวหนังสือ และฉากจบสุดท้ายตอนทิ้งของขวัญนั้น มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายเรื่องราวได้แจ่มแจ้งเหมือนในนิยาย
ในส่วนของแดเนียล เคร็ก ความจริงก็ไม่ได้เล่นแย่ แต่ก็ยังดูขาดเสน่ห์ของบลอมควิสต์ และเมื่อเทียบกับรูนีย์ มาร่า เขาก็แทบดับไปเลย สำหรับคนที่เหลือ คนที่เล่นเป็นฆาตกรนั่นก็ชมไปแล้ว คนอื่นๆ ก็รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่บทมันไม่มีอะไรให้เล่นมากนักหรอก
สรุปในภาพรวมของหนังเวอร์ชันนี้ เรายกให้ฉบับของฮอลลีวู้ดชนะฉบับสวีเดนแบบใสๆ ถ้าเป็นฟุตบอลก็คงประมาณสกอร์ 3-1 เพราะดีกว่าเกือบทุกอย่าง ทั้งด้านภาพ การดำเนินเรื่อง และตัวนักแสดง ตอนนี้ก็คงต้องเอาใจช่วยเรื่องรายได้ของหนังกันหน่อย โซนี่ยืนยันแล้วว่าสร้างภาคต่อแน่นอน แต่เราอยากให้หนังประสบความสำเร็จเต็มที่ คงต้องไปอุดหนุนกันอีกสักรอบ เพราะอยากให้เดวิด ฟินเชอร์ มากำกับภาค 2-3 ต่อ อาจมีแฟนของฟินเชอร์บางคนที่ยังไม่พอใจ Dragon Tattoo แต่แฟน Dragon Tattoo อย่างเราโคตรพอใจฟินเชอร์เลยค่ะ หนังสวีเดนภาค Fire กับ Hornet นี่โปรดักชันไม่ค่อยดี เนื้อเรื่องก็ตัดไปเยอะมาก มีช่องให้พัฒนาได้อีกเยอะ รับรองว่า ฟินเชอร์จะทำได้เหนือกว่าขึ้นไปอีกแน่นอน
และอีกอย่างที่เราต้องขอบคุณ Dragon Tattoo เวอร์ชันนี้ก็คือ มันทำให้คนทั่วไปรู้จักไตรภาคมิลเลนเนียมเยอะขึ้นมาก เมื่อปีก่อนโน้นตอนไปดูที่ House เห็นมีคนดูนับหัวได้เราก็แอบเศร้า แต่นี่ขนาดรอบพิเศษตอนดึกก็ยังมีคนดูพอสมควร อยากให้เรื่องชุดนี้มีคนรู้จักกันในวงกว้าง ได้ความสนใจจากผู้คนในระดับคู่ควรกับที่นิยายเรื่องนี้สมควรได้รับ
ป.ล. รอบพิเศษนี่ซื้อตั๋วดูเองนะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)