คะแนน : 7
เล่มที่ 3 ในชุด The Bride Quartet เรื่องของเพื่อนสาวสี่คนเป็นหุ้นส่วนร่วมกันประกอบธุรกิจจัดงานแต่งงานด้วยกัน ความรู้สึกจากการอ่านเล่ม 1 กับเล่ม 2 เคยพูดถึงสั้นๆ ไปแล้วที่นี่
เล่มนี้เป็นเรื่องของลอเรล แมคเบน นักทำขนมเค้กสำหรับงานแต่ง กับ ดัลเลนีย์ บราวน์ ลอเรลรู้จักเดลมาตลอดชีวิต เพราะเดลเป็นพี่ชายของพาร์คเกอร์ (1 ใน 4 สาว) ลอเรลแอบหลงรักเดลมานาน แต่ไม่เคยเปิดเผย เพราะเธอรู้สึกว่าเดลมองทั้งสี่สาวเหมือนน้องสาว วันหนึ่งเมื่อเธอโกรธเดลขึ้นมาและจูบเขา นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปลี่ยนแปลงไป
ความขัดแย้งของลอเรลกับเดล ต่างจากคู่ของเอมม่ากับแจ็ค และแมคกับคาร์เตอร์ ทั้งลอเรลและเดลไม่มีใครมีปัญหาด้านกลัวการผูกมัด แต่ปัญหามาจากความแตกต่างทางสถานะของทั้งคู่ ปัญหาของลอเรลมาจากเรื่องภูมิหลังของครอบครัว ชีวิตเธอพลิกผัน พ่อประสบปัญหาทางการเงิน ครอบครัวแตกแยก เมื่อเธอยังอยู่ไฮสกูล และหลังจากนั้นก็ต้องดิ้นรนทำงานส่งเสียตัวเองมาตลอด ในขณะที่เดล มาจากครอบครัวชั้นนำของเมือง เป็นทนายความ เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ พรั่งพร้อมในด้านฐานะและชาติตระกูล
แม้นี่จะเป็นเรื่องสมัยใหม่ ปัญหาก็ไม่ได้ชัดเจนถึงขนาดเป็นเรื่องของความรักต่างชนชั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ฐานะที่แตกต่างกันมากระหว่างคนสองคนก็นำมาซึ่งความตึงเครียดในความสัมพันธ์ได้ ซึ่งต้องชื่นชม Nora Roberts ที่นำเสนอความขัดแย้งในแง่มุมนี้ได้ดี อย่างสมจริง และไม่น้ำเน่าดราม่าเว่อร์ๆ
อันที่จริง จะว่าไปในด้านพล็อตเรื่อง สิ่งที่ขวางความรู้สึกของลอเรลมีแค่ 1. เธอรักเดลแต่ไม่กล้าบอกเพราะกลัวว่าจะเป็นการทำให้เดลรู้สึกผิด 2. ฐานะแตกต่างทำให้ลอเรลค่อนข้างอ่อนไหวเวลาพูดเรื่องเงิน ซึ่งปัญหาสองอย่างนี้ ก็ไม่ได้แสดงอะไรเด่นชัดด้วยซ้ำ มันแค่เป็นสิ่งที่กรุ่นๆ ในใจ นางเอกของเราไม่ได้ฟูมฟายโวยวาย นั่งสงสารตัวเองอะไรมากมาย ไม่ถึงขนาดเป็นปมด้อย แต่ความรู้สึกเหมือนมีกำแพงแก้วขวางกั้นเป็นความรู้สึกที่เข้าใจได้ และเธอก็พยายามดำเนินชีวิตและความสัมพันธ์กับพระเอกไปให้ดีที่สุดที่ทำได้ ซึ่งเราคิดว่า มันเป็นการกระทำและท่าทีที่สมเหตุสมผล เป็นผู้ใหญ่ และเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ดีมาก
เพราะฉะนั้นถ้าอ่านเอาความโรแมนซ์ของเนื้อเรื่อง ระดับคะแนนด้านนี้จะน้อยมากค่ะ เพราะเนื้อเรื่องแทบไม่มีอะไรเลย ไม่มีจุดพลิกผันอารมณ์อะไรมากมาย แต่สิ่งสำคัญของนิยายชุดนี้จริงๆ แล้วอยู่ที่ มิตรภาพของเพื่อนสี่คนค่ะ ไม่รู้เป็นไร เราอ่านเรื่องชุดนี้กี่เล่ม เราก็นึกถึง Sex And The City ทุกที แต่เป็นเวอร์ชันที่ทั้งสี่สาวไม่แสบสันเป็นสาวชาวกรุง แต่เป็นสี่สาวที่อบอุ่นน่ารัก เป็นเพื่อนแท้ช่วยเหลือกันและตามหารักแท้ของเธอไปด้วย เราว่า ฉากที่ลอเรลนั่งคุยกับเพื่อนแต่ละคน มีส่วนสำคัญกับหนังสือพอๆ กับฉากที่เธออยู่กับเดล และเป็นสิ่งที่เราชอบอ่านมากกว่าด้วยซ้ำไป
และเอกลักษณ์ของ NR เรื่องการบรรยายอาชีพการงานของตัวละครของเธอ ก็แจ่มชัดมาก ตั้งแต่ชื่อเรื่อง เมื่อนางเอกเป็นตากล้อง ชื่อเรื่องคือ Vision in White เมื่อนางเอกเป็นนักจัดดอกไม้ ชื่อเรื่องคือ Bed of Roses และเมื่อนางเอกเป็นนักเบเกอรี่ ชื่อเรื่องคือ Savor The Moment และในเนื้อเรื่องก็จะเห็นภาพที่แจ่มชัด ความโกลาหลในธุรกิจการจัดงานแต่งงาน ฉากในครัว ภาพของเค้กแทบจะลอยออกมาจากหน้ากระดาษ
สรุปว่าเล่มนี้ถือเป็นเล่มที่ไม่ผิดหวังนะคะ แต่ความสัมพันธ์ของพาร์คเกอร์กับมัลคอล์ม ที่จะเป็นเล่มปิดท้าย เรื่องของทั้งคู่ที่มีอยู่ในในเล่มนี้นิดหน่อย เรากลับไม่ค่อยชอบเท่าไหร่แฮะ ทำให้ลดความรู้สึกร้อนรนอยากอ่านเรื่องของทั้งคู่ไปได้เยอะเลย จะได้ไม่ทรมานกับการรอคอยกว่าจะถึงปลายปีนี้มากนัก ^_^
ป.ล. ท้ายเล่มมีโฆษณาเกมของนิยายชุดนี้ด้วย แปลกดีนะคะ เกมจากนิยายโรแมนซ์ ลองเข้าไปดูที่เว็บได้ค่ะ
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553
Runaway & Captive - Heather Graham
เนื่องจากยังอินกับ Florida Saga ก็เลยคิดว่า ไหนๆ ก็อ่านมาขนาดนี้แล้ว ก็เลยหยิบ 2 เล่มแรกในชุดมาอ่านจนได้
Runaway
คะแนน : 7
ที่จริงเรื่องนี้เคยอ่านฉบับแปลมาก่อน เมื่อสมัยที่บ้าอ่านโรแมนซ์ใหม่ๆ ซึ่งก็ลืมเนื้อเรื่องไปหมดแล้ว จำได้แต่ความรู้สึกว่า ก็อ่านได้ แต่ไม่ได้ประทับใจมากเท่าไหร่ แต่เพราะยังติดใจกับเรื่องรุ่นลูกที่เพิ่งอ่านจบไป เลยหยิบมาอ่านอีกรอบ
ทาร่า นางเอกเป็นนักแสดงละคร ที่ถูกแผนการใส่ร้ายให้เธอเป็นฆาตกร จึงต้องหนีไปเรื่อยๆ จนมาเจอ จาร์เร็ตต์ แมคเคนซี่ พระเอกของเรา จาร์เร็ตต์ยอมช่วยทาร่า พาหนีออกจากเมืองนั้น แต่มีเงื่อนไขว่า เธอต้องแต่งงานกับเขา แล้วเขาจะพาเธอกลับไปอยู่กับเขาที่ฟลอริด้าด้วยกัน ซึ่งขณะนั้นฟลอริด้ายังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอยู่มาก เป็นยุคสมัยบุกเบิกที่คนขาวไล่รุกดินแดนของอินเดียนแดงไปเรื่อยๆ ทาร่าก็ตกลงแต่งงานกับจาร์เร็ตต์ แต่ปิดบังไม่ยอมเล่าความจริงถึงสาเหตุที่เธอต้องหนีมา
เมื่อทาร่ามาอยู่ฟลอริด้า ก็ค่อยๆ เรียนรู้ ปรับตัว แล้วก็หลงรักกับชีวิตที่นั่น รวมทั้งตัวจาร์เร็ตต์ แต่แล้ว... วายร้ายที่ไล่ล่าเธอมาตลอดก็ตามมาจนถึงฟลอริด้าจนได้
เรื่องนี้เคยอ่านมาแล้วรู้สึกยังไง มาอ่านอีกทีก็ยังรู้สึกอย่างนั้นนะคะ แบบว่า อ่านได้ แต่ไม่ปลื้มมาก เนื้อเรื่องมันไปเรื่อยๆ เดาได้ แล้วไม่ค่อยมีความขัดแย้งในใจตัวละคร หรือฉากบีบหัวใจ สะเทือนอารมณ์ เหมือนเรื่องอื่นของ Heather Graham ที่เราชอบ อีกอย่างคือ เราไม่ชอบฉากของเรื่องยุคนี้มั้งคะ
Captive
คะแนน : 7
พระเอกคือ เจมส์ แมคเคนซี่ น้องชายของจาร์เร็ตต์ เจมส์ปรากฏตัวครั้งแรกใน Runaway เขาเป็นน้องชายต่างแม่กับ จาร์เร็ตต์ แม่ของเขาเป็นหญิงอินเดียนแดง เจมส์เป็นลูกครึ่ง แต่เขาเลือกที่จะอาศัยอยู่อย่างอินเดียนมากกว่าคนขาว เขาแต่งงานกับหญิงอินเดียนเช่นกัน แต่เมื่อมาถึงเล่ม Captive ภรรยาและลูกสาวของเขาตายไป เนื่องจากเจ็บไข้จากการต้องดิ้นรนหนีการรุกรานของคนขาว ทำให้เจมส์กลายเป็นผู้ชายที่ขมขื่น และเกลียดชังทหารของรัฐบาลที่ไล่ล่าพวกอินเดียนแดง
นางเอกคือ ทีล่า เธอเป็นลูกเลี้ยงของนายทหารคนที่เจมส์เกลียดชังที่สุดนั่นเอง ทีล่าถูกพ่อเลี้ยงบังคับให้มาฟลอริด้า ทั้งๆ ที่เธอเกลียดเขาสุดๆ แต่ก็ต้องยอมทำตาม ทีล่าได้พบเจมส์ในงานเลี้ยงที่บ้านของจาร์เร็ตต์ ทีล่ารู้สึกถึงเสน่ห์ดึงดูดใจของเจมส์ แต่เจมส์กลับเห็นทีล่าเป็นลูกสาวศัตรู จึงเป็นความขัดแย้งของความรักในระหว่างสงครามคนขาว-อินเดียนแดง
ถ้าพูดถึงด้านเนื้อเรื่อง เรื่องนี้ก็สนุกดี แต่ไม่รู้ทำไม เราไม่เคยชอบเรื่องที่มีอินเดียนแดงเลยค่ะ แล้วสิ่งที่เราไม่ชอบอีกอย่างคือ เราไม่ชอบเจมส์เลย เขาน่ารำคาญมากๆ เรื่องความขมขื่นจากการสูญเสียภรรยาที่รัก ก็พอเข้าใจได้ แต่เราเบื่อเรื่องที่เขาเอาสายเลือดอินเดียนแดงของเขามาประชดประชันหาเรื่องทีล่าตลอด ไม่ว่าเธอจะบอกกี่ครั้งว่าไม่แคร์ ก็ยังยกมาพูดอยู่ได้ ถ้าไม่เรื่องนี้ก็เรื่องพ่อเลี้ยง มิไยที่ทีล่าจะบอกว่าเธอเกลียดพ่อเลี้ยงแค่ไหน และไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำของเขา เจมส์ก็ยังแขวะเธออยู่นั่น จนเรารำคาญผู้ชายเก็บกดมีปมด้อยคนนี้มากๆ ทำให้เรื่องนี้ได้คะแนนแค่เท่านี้
Runaway
คะแนน : 7
ที่จริงเรื่องนี้เคยอ่านฉบับแปลมาก่อน เมื่อสมัยที่บ้าอ่านโรแมนซ์ใหม่ๆ ซึ่งก็ลืมเนื้อเรื่องไปหมดแล้ว จำได้แต่ความรู้สึกว่า ก็อ่านได้ แต่ไม่ได้ประทับใจมากเท่าไหร่ แต่เพราะยังติดใจกับเรื่องรุ่นลูกที่เพิ่งอ่านจบไป เลยหยิบมาอ่านอีกรอบ
ทาร่า นางเอกเป็นนักแสดงละคร ที่ถูกแผนการใส่ร้ายให้เธอเป็นฆาตกร จึงต้องหนีไปเรื่อยๆ จนมาเจอ จาร์เร็ตต์ แมคเคนซี่ พระเอกของเรา จาร์เร็ตต์ยอมช่วยทาร่า พาหนีออกจากเมืองนั้น แต่มีเงื่อนไขว่า เธอต้องแต่งงานกับเขา แล้วเขาจะพาเธอกลับไปอยู่กับเขาที่ฟลอริด้าด้วยกัน ซึ่งขณะนั้นฟลอริด้ายังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอยู่มาก เป็นยุคสมัยบุกเบิกที่คนขาวไล่รุกดินแดนของอินเดียนแดงไปเรื่อยๆ ทาร่าก็ตกลงแต่งงานกับจาร์เร็ตต์ แต่ปิดบังไม่ยอมเล่าความจริงถึงสาเหตุที่เธอต้องหนีมา
เมื่อทาร่ามาอยู่ฟลอริด้า ก็ค่อยๆ เรียนรู้ ปรับตัว แล้วก็หลงรักกับชีวิตที่นั่น รวมทั้งตัวจาร์เร็ตต์ แต่แล้ว... วายร้ายที่ไล่ล่าเธอมาตลอดก็ตามมาจนถึงฟลอริด้าจนได้
เรื่องนี้เคยอ่านมาแล้วรู้สึกยังไง มาอ่านอีกทีก็ยังรู้สึกอย่างนั้นนะคะ แบบว่า อ่านได้ แต่ไม่ปลื้มมาก เนื้อเรื่องมันไปเรื่อยๆ เดาได้ แล้วไม่ค่อยมีความขัดแย้งในใจตัวละคร หรือฉากบีบหัวใจ สะเทือนอารมณ์ เหมือนเรื่องอื่นของ Heather Graham ที่เราชอบ อีกอย่างคือ เราไม่ชอบฉากของเรื่องยุคนี้มั้งคะ
Captive
คะแนน : 7
พระเอกคือ เจมส์ แมคเคนซี่ น้องชายของจาร์เร็ตต์ เจมส์ปรากฏตัวครั้งแรกใน Runaway เขาเป็นน้องชายต่างแม่กับ จาร์เร็ตต์ แม่ของเขาเป็นหญิงอินเดียนแดง เจมส์เป็นลูกครึ่ง แต่เขาเลือกที่จะอาศัยอยู่อย่างอินเดียนมากกว่าคนขาว เขาแต่งงานกับหญิงอินเดียนเช่นกัน แต่เมื่อมาถึงเล่ม Captive ภรรยาและลูกสาวของเขาตายไป เนื่องจากเจ็บไข้จากการต้องดิ้นรนหนีการรุกรานของคนขาว ทำให้เจมส์กลายเป็นผู้ชายที่ขมขื่น และเกลียดชังทหารของรัฐบาลที่ไล่ล่าพวกอินเดียนแดง
นางเอกคือ ทีล่า เธอเป็นลูกเลี้ยงของนายทหารคนที่เจมส์เกลียดชังที่สุดนั่นเอง ทีล่าถูกพ่อเลี้ยงบังคับให้มาฟลอริด้า ทั้งๆ ที่เธอเกลียดเขาสุดๆ แต่ก็ต้องยอมทำตาม ทีล่าได้พบเจมส์ในงานเลี้ยงที่บ้านของจาร์เร็ตต์ ทีล่ารู้สึกถึงเสน่ห์ดึงดูดใจของเจมส์ แต่เจมส์กลับเห็นทีล่าเป็นลูกสาวศัตรู จึงเป็นความขัดแย้งของความรักในระหว่างสงครามคนขาว-อินเดียนแดง
ถ้าพูดถึงด้านเนื้อเรื่อง เรื่องนี้ก็สนุกดี แต่ไม่รู้ทำไม เราไม่เคยชอบเรื่องที่มีอินเดียนแดงเลยค่ะ แล้วสิ่งที่เราไม่ชอบอีกอย่างคือ เราไม่ชอบเจมส์เลย เขาน่ารำคาญมากๆ เรื่องความขมขื่นจากการสูญเสียภรรยาที่รัก ก็พอเข้าใจได้ แต่เราเบื่อเรื่องที่เขาเอาสายเลือดอินเดียนแดงของเขามาประชดประชันหาเรื่องทีล่าตลอด ไม่ว่าเธอจะบอกกี่ครั้งว่าไม่แคร์ ก็ยังยกมาพูดอยู่ได้ ถ้าไม่เรื่องนี้ก็เรื่องพ่อเลี้ยง มิไยที่ทีล่าจะบอกว่าเธอเกลียดพ่อเลี้ยงแค่ไหน และไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำของเขา เจมส์ก็ยังแขวะเธออยู่นั่น จนเรารำคาญผู้ชายเก็บกดมีปมด้อยคนนี้มากๆ ทำให้เรื่องนี้ได้คะแนนแค่เท่านี้
วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553
In for a Penny - Rose Lerner
คะแนน : 7.5
เป็นเรื่องแรกของนักเขียนหน้าใหม่ หยิบมาอ่านเพราะเห็นรีวิวที่ได้ระดับ A จาก All About Romance พอเริ่มอ่านไปได้สัก 3 บท ก็เริ่มรู้สึกเสียใจหน่อยๆ ว่าเอาอะไรมาอ่านนี่เสียเวลา สำนวนการเขียน การดำเนินเรื่อง มันกระชากไปเร็ว แล้วความรู้สึกกระตุกๆ เหมือนดูหนัง DVD ที่เราเล่นภาพแบบ Fast Forward มีอย่างที่ไหน พระเอกเจอหน้านางเอก 5 นาทีในงานเลี้ยง คุยกันไม่กี่คำ เนฟ พระเอกเป็นลูกท่านเอิร์ล เพนเนโลปี นางเอกเป็นลูกสาวพ่อค้ามหาเศรษฐีธุรกิจโรงเบียร์ ถัดมาพ่อพระเอกตาย พระเอกพบว่าตัวเองจมอยู่ในกองหนี้สิน หายนะมาอยู่ตรงหน้า แล้วก็แก้ปัญหาด้วยการวิ่งไปขอแต่งงานกับนางเอก โดยบอกดื้อๆ ว่า ผมต้องการเงิน คุณแต่งงานกับผมเถอะ นางเอกก็ตอบตกลงเฉยเลยแค่ถูกพระเอกจูบทีเดียว เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากเริ่มอ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที
เท่าที่อ่าน Rose Lerner คงจะชอบ Georgette Heyer เพราะเลียนแบบถ้อยคำหรือสำนวนบางอย่างที่เราได้เห็นในงานของ Heyer มา แต่ถ้าใครชอบ Heyer คงรับไม่ได้กับความประพฤติของเพนเนโลปีว่า เธอเป็นผู้หญิงที่ได้รับการอบรมในยุครีเจนซี่จริงหรือ จริงๆ นะ ความรู้สึกเราช่วงแรก ทำไมดูถูกคนอ่านยังงี้วะ เรื่องมันเบาหวิว ตัวละครดูเหมือนไร้ความคิด โชคดีที่หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ดีขึ้นเยอะเลย เริ่มจากลิสท์ที่นางเอกร่างขึ้น เพื่อให้พระเอกปรับปรุงพฤติกรรมก่อนการแต่งงาน เนฟน่ารักดี เหมือนจะไร้ความสามารถ เสเพล แต่พอเกิดเรื่อง ก็มีความคิดว่าตัวเองต้องรับผิดชอบ แล้วก็พร้อมจะปรับปรุงตัว
เมื่อทั้งสองแต่งงานกันแล้วไปอยู่ที่ชนบท ความดีของเรื่องค่อยปรากฏเห็นชัด เราพบคฤหาสถ์ที่อยู่ในสถานะย่ำแย่ สภาพแร้นแค้น และความยากลำบากของลูกบ้านที่อาศัยอยู่บนที่ดินของพระเอก ซึ่งไม่บ่อยนักที่เราจะเจอมุมมองด้านนี้ในนิยายโรแมนซ์ เนฟกับเพนเนโลปีค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากัน เพนนีช่วยดูแลการงาน ในขณะที่เนฟก็ช่วยเอาใจใส่ดูแลเพนนี ที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะถูกสังคมผู้ดีดูถูกชาติกำเนิดของเธอมาตลอด ความสัมพันธ์ของตัวละครมีพัฒนาการดี ค่อยๆ เรียนรู้กัน ก้าวข้ามความเข้าใจผิดที่เกิดจากความแตกต่างกัน และเติมเต็มสิ่งที่ขาดให้กัน ทำให้เรารู้สึกว่าทั้งสองเหมาะสมกันดี และเราชอบวิธีการปฏิบัติตัวของเนฟและเพนนี ที่มีต่ออดีตนางบำเรอของเนฟ
รวมๆ เราให้คะแนนเรื่องนี้ที่ 7.5 แม้จะไม่ได้ตามที่เราคาดหวังไว้ก่อนอ่าน จากรีวิวของ AAR แต่ถ้ามองว่านี่เป็นนิยายเล่มแรกของผู้แต่ง ก็ถือว่าใช้ได้ ถ้าตัดพล็อตเรื่องบางอย่างที่มันอ่อนไปหน่อยได้ บทของตัวละครรองและตัวร้ายที่แสนห่วยแตก ขัดเกลาสำนวนภาษา การเขียน การดำเนินเรื่อง ให้เป็นธรรมชาติของเธอเองกว่านี้ ก็น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ
เป็นเรื่องแรกของนักเขียนหน้าใหม่ หยิบมาอ่านเพราะเห็นรีวิวที่ได้ระดับ A จาก All About Romance พอเริ่มอ่านไปได้สัก 3 บท ก็เริ่มรู้สึกเสียใจหน่อยๆ ว่าเอาอะไรมาอ่านนี่เสียเวลา สำนวนการเขียน การดำเนินเรื่อง มันกระชากไปเร็ว แล้วความรู้สึกกระตุกๆ เหมือนดูหนัง DVD ที่เราเล่นภาพแบบ Fast Forward มีอย่างที่ไหน พระเอกเจอหน้านางเอก 5 นาทีในงานเลี้ยง คุยกันไม่กี่คำ เนฟ พระเอกเป็นลูกท่านเอิร์ล เพนเนโลปี นางเอกเป็นลูกสาวพ่อค้ามหาเศรษฐีธุรกิจโรงเบียร์ ถัดมาพ่อพระเอกตาย พระเอกพบว่าตัวเองจมอยู่ในกองหนี้สิน หายนะมาอยู่ตรงหน้า แล้วก็แก้ปัญหาด้วยการวิ่งไปขอแต่งงานกับนางเอก โดยบอกดื้อๆ ว่า ผมต้องการเงิน คุณแต่งงานกับผมเถอะ นางเอกก็ตอบตกลงเฉยเลยแค่ถูกพระเอกจูบทีเดียว เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากเริ่มอ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที
เท่าที่อ่าน Rose Lerner คงจะชอบ Georgette Heyer เพราะเลียนแบบถ้อยคำหรือสำนวนบางอย่างที่เราได้เห็นในงานของ Heyer มา แต่ถ้าใครชอบ Heyer คงรับไม่ได้กับความประพฤติของเพนเนโลปีว่า เธอเป็นผู้หญิงที่ได้รับการอบรมในยุครีเจนซี่จริงหรือ จริงๆ นะ ความรู้สึกเราช่วงแรก ทำไมดูถูกคนอ่านยังงี้วะ เรื่องมันเบาหวิว ตัวละครดูเหมือนไร้ความคิด โชคดีที่หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ดีขึ้นเยอะเลย เริ่มจากลิสท์ที่นางเอกร่างขึ้น เพื่อให้พระเอกปรับปรุงพฤติกรรมก่อนการแต่งงาน เนฟน่ารักดี เหมือนจะไร้ความสามารถ เสเพล แต่พอเกิดเรื่อง ก็มีความคิดว่าตัวเองต้องรับผิดชอบ แล้วก็พร้อมจะปรับปรุงตัว
เมื่อทั้งสองแต่งงานกันแล้วไปอยู่ที่ชนบท ความดีของเรื่องค่อยปรากฏเห็นชัด เราพบคฤหาสถ์ที่อยู่ในสถานะย่ำแย่ สภาพแร้นแค้น และความยากลำบากของลูกบ้านที่อาศัยอยู่บนที่ดินของพระเอก ซึ่งไม่บ่อยนักที่เราจะเจอมุมมองด้านนี้ในนิยายโรแมนซ์ เนฟกับเพนเนโลปีค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากัน เพนนีช่วยดูแลการงาน ในขณะที่เนฟก็ช่วยเอาใจใส่ดูแลเพนนี ที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะถูกสังคมผู้ดีดูถูกชาติกำเนิดของเธอมาตลอด ความสัมพันธ์ของตัวละครมีพัฒนาการดี ค่อยๆ เรียนรู้กัน ก้าวข้ามความเข้าใจผิดที่เกิดจากความแตกต่างกัน และเติมเต็มสิ่งที่ขาดให้กัน ทำให้เรารู้สึกว่าทั้งสองเหมาะสมกันดี และเราชอบวิธีการปฏิบัติตัวของเนฟและเพนนี ที่มีต่ออดีตนางบำเรอของเนฟ
รวมๆ เราให้คะแนนเรื่องนี้ที่ 7.5 แม้จะไม่ได้ตามที่เราคาดหวังไว้ก่อนอ่าน จากรีวิวของ AAR แต่ถ้ามองว่านี่เป็นนิยายเล่มแรกของผู้แต่ง ก็ถือว่าใช้ได้ ถ้าตัดพล็อตเรื่องบางอย่างที่มันอ่อนไปหน่อยได้ บทของตัวละครรองและตัวร้ายที่แสนห่วยแตก ขัดเกลาสำนวนภาษา การเขียน การดำเนินเรื่อง ให้เป็นธรรมชาติของเธอเองกว่านี้ ก็น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ
วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553
The Reluctant Widow - Georgette Heyer
คะแนน : 7
ช่วงนี้ไล่อ่านงานเก่าๆ ของนักเขียนที่ชอบ เพราะไม่ค่อยมีเรื่องที่ตัวเองรออ่านออกใหม่
The Reluctant Widow ของ Georgette Heyer ไม่ใช่เรื่องโรแมนซ์เต็มตัวเท่าไหร่นัก ซึ่งน่าเสียดาย เพราะเปิดเรื่องได้น่าสนใจมาก นางเอกเป็นครูพี่เลี้ยง ที่หลงเข้าใจผิดขึ้นรถม้า ที่พระเอกส่งไปรับคนที่เขาจ้างมาให้แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขา เพื่อปัดข้อครหาว่าเขาหวังสมบัติของลูกพี่ลูกน้องคนนี้ ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันอยู่เพิ่งจะรู้เรื่องว่าผิดตัว ก็เกิดเรื่อง ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นเกิดอุบัติเหตุถูกแทงกำลังจะตาย พระเอกก็เลยลากนางเอกไปแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องตัวเองซะเลย แต่งปุ๊บนางเอกก็เป็นม่ายปั๊บ ได้รับมรดกเข้าไปอยู่ในบ้านสามี
แต่หลังจากนั้นเรื่องก็กลับกลายไปเป็น Mystery มีคนบุกเข้ามาที่บ้านหลังนั้นตอนกลางคืน เพื่อหาเอกสาร เนื่องจากลูกพี่ลูกน้องที่ตายไปคนนั้น เป็นคนติดต่อกับสายลับของนโปเลียน และมีเอกสารลับสำคัญซ่อนอยู่ในบ้าน ซึ่งเนื้อเรื่องมันก็ไม่ยอกย้อนซับซ้อนเท่าไหร่ ผู้ร้ายก็โผล่มาง่ายๆ โจ่งแจ้งเห็นๆ
รวมๆ ก็อ่านได้เพลินๆ แต่ก็ยังอดเสียดายไม่ได้อยู่ดี เพราะบุคลิกนางเอกกับพระเอกนี่น่ารัก เคมีเข้ากันมากๆ เหมาะสมกันดี อยากรู้ว่าถ้าเป็นโรแมนซ์เต็มๆ จะเป็นยังไง
ช่วงนี้ไล่อ่านงานเก่าๆ ของนักเขียนที่ชอบ เพราะไม่ค่อยมีเรื่องที่ตัวเองรออ่านออกใหม่
The Reluctant Widow ของ Georgette Heyer ไม่ใช่เรื่องโรแมนซ์เต็มตัวเท่าไหร่นัก ซึ่งน่าเสียดาย เพราะเปิดเรื่องได้น่าสนใจมาก นางเอกเป็นครูพี่เลี้ยง ที่หลงเข้าใจผิดขึ้นรถม้า ที่พระเอกส่งไปรับคนที่เขาจ้างมาให้แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขา เพื่อปัดข้อครหาว่าเขาหวังสมบัติของลูกพี่ลูกน้องคนนี้ ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันอยู่เพิ่งจะรู้เรื่องว่าผิดตัว ก็เกิดเรื่อง ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นเกิดอุบัติเหตุถูกแทงกำลังจะตาย พระเอกก็เลยลากนางเอกไปแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องตัวเองซะเลย แต่งปุ๊บนางเอกก็เป็นม่ายปั๊บ ได้รับมรดกเข้าไปอยู่ในบ้านสามี
แต่หลังจากนั้นเรื่องก็กลับกลายไปเป็น Mystery มีคนบุกเข้ามาที่บ้านหลังนั้นตอนกลางคืน เพื่อหาเอกสาร เนื่องจากลูกพี่ลูกน้องที่ตายไปคนนั้น เป็นคนติดต่อกับสายลับของนโปเลียน และมีเอกสารลับสำคัญซ่อนอยู่ในบ้าน ซึ่งเนื้อเรื่องมันก็ไม่ยอกย้อนซับซ้อนเท่าไหร่ ผู้ร้ายก็โผล่มาง่ายๆ โจ่งแจ้งเห็นๆ
รวมๆ ก็อ่านได้เพลินๆ แต่ก็ยังอดเสียดายไม่ได้อยู่ดี เพราะบุคลิกนางเอกกับพระเอกนี่น่ารัก เคมีเข้ากันมากๆ เหมาะสมกันดี อยากรู้ว่าถ้าเป็นโรแมนซ์เต็มๆ จะเป็นยังไง
วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553
Florida Saga (Civil War) - Heather Graham
ช่วงนี้ได้หยุดหลายวัน ก็เลยไล่อ่านเรื่องชุดได้ยาว หนังสือชุด Florida Saga ของ Heather Graham ประกอบด้วยนิยาย 6 เล่ม สองเล่มแรกเป็นยุคบุกเบิกฟลอริด้า มีการต่อสู้ระหว่างคนขาวกับอินเดียนแดง อีกสี่เล่มหลังเป็นยุคสงครามกลางเมือง โดยเล่าผ่านเรื่องราวของคนในตระกูลแมคเคนซี่ เคยอ่านเล่มแรก Runaway มานานแล้ว รู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ก็เลยพักไปนาน แต่เนื่องจากเรื่องโปรดของเราที่แต่งโดย Heather Graham คือชุดสงครามกลางเมืองอเมริกา One Wore Blue กับ And One Wore Grey คราวนี้ก็เลยคิดว่าจะกลับมาอ่านเรื่องชุดนี้อีกที ปรากฏว่า เราชอบเรื่องชุดนี้ในยุคสงครามกลางเมืองนะ
ที่จริงถ้าใครเคยอ่านโรแมนซ์ย้อนยุคของ Heather Graham (a.k.a. Shannon Drake) มาบ้าง จะรู้ว่า เรื่องของเธอเป็นยังไง เพราะเธอเป็นนักเขียนที่เขียนตามสูตรมากๆ เกือบทุกเรื่องของเธอจะคล้ายๆ กันหมด คือ พระเอกนางเอกมักจะอยู่ตรงข้ามกันในความขัดแย้งของสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ-สกอต ไวกิ้ง-ไอริช อังกฤษ-อเมริกา เหนือ-ใต้ ดังนั้นพระเอกนางเอกจึงทะเลาะกันอยู่เสมอ แต่ก็มักจะมีเหตุจำเป็นให้ทั้งสองต้องมาอยู่ด้วยกันหรือแต่งงานกัน แล้วเนื้อเรื่องก็จะดำเนินไป โดยมีเหตุที่พระเอกจะต้องเข้าใจผิดว่านางเอกทรยศ กว่าจะเข้าใจกันได้ก็จบเรื่องพอดี แต่ข้อดีของนักเขียนที่เขียนเรื่องตามสูตรสำเร็จของตัวเองก็คือ ถ้าเราชอบสไตล์ของนักเขียนคนไหน เราก็มักจะชอบเรื่องของนักเขียนคนนั้นเกือบทุกเรื่อง
ที่จริงตอนนี้ Heather Graham คงเปลี่ยนสไตล์การเขียนของตัวเองไปแล้ว เพราะเห็นเรื่องยุคหลังๆ เป็น Paranormal ทั้งนั้น ซึ่งเป็นแนวที่เราไม่ชอบอ่าน แล้วเห็นคะแนนรีวิวไม่ดี ก็เลยไม่เคยหยิบงานแบบอื่นของเธอมาอ่านเลย
เอาล่ะ กลับเข้าเรื่อง Florida Saga ดีกว่า มาว่ากันทีละเล่มเลยแล้วกัน
Rebel
คะแนน : 7.5
เนื้อเรื่องเริ่มขึ้นตรงช่วงเวลาก่อนที่สงครามกลางเมืองจะเริ่มต้นขึ้น เงาแห่งสงครามเริ่มตั้งเค้า พระเอกในเล่มนี้คือ เอียน แมคเคนซี่ ลูกชายคนโตของพระเอก-นางเอกจากเล่มแรก Runaway เอียนกลับมาเยี่ยมบ้านเพื่อร่วมงานวันเกิดของพ่อ และในวันนั้น ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างนำให้เขาเข้าไปอยู่ในสภาพเปลือยอยู่กับนางเอก อเลน่า ซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องอื้อฉาว ทั้งสองจึงต้องรีบแต่งงานกัน ทั้งๆ ที่เอียนมีผู้หญิงที่เขาตั้งใจจะแต่งงานด้วยอยู่แล้ว การแต่งงานด้วยสภาพจำยอมเพื่อรักษาเกียรติ ทำให้ไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดีของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเลย เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไป เกิดสงครามขึ้น เอียนเป็นทหาร ถึงแม้รัฐฟลอริด้าบ้านเกิดของเขาจะเป็นฝ่ายใต้ แต่เอียนมีอุดมการณ์ตรงกับฝ่ายเหนือ ที่เห็นว่าการมีทาสเป็นสิ่งผิด เขาจึงยังคงทำงานให้รัฐบาลต่อไป ส่วนอเลน่า ก็เป็นสาวชาวใต้ของแท้ ที่ซื่อสัตย์ต่อรัฐตัวเอง ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น อเลน่าจับพลัดจับผลูเข้าไปทำงานเป็นสายลับให้ฝ่ายใต้ ในขณะที่เอียนก็ได้รับมอบหมายให้มาหยุดสายลับผู้นั้น
เรื่องนี้ก็อ่านได้เรื่อยๆ ตามสูตรที่บอก บางช่วงอาจมีน่าเบื่อบ้างเล็กน้อย เพราะเถียงกันบ่อยมาก แล้วพระเอกก็จะตัดบทด้วยเซ็กส์เสมอ ในขณะที่บางทีนางเอกก็ทำตัวเด็ก หรือทำอะไรโง่ๆ ไปหน่อย ให้คะแนนที่ 7.5 แล้วกัน
Surrender
คะแนน : 8
เรื่องนี้ต่อจาก Rebel แต่เราหยิบ Surrender มาอ่านก่อน จริงๆ เล่มนี้เป็นเล่มที่ 4 ในชุด แต่เนื่องจากอ่านรีวิวใน Amazon แล้วรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าอ่านที่สุด ก็เลยอ่านเล่มนี้ก่อน เผื่อไม่ชอบจะได้ข้ามซีรีส์นี้ไปเลย ปรากฏว่าชอบนะ นางเอกของเรื่องคือ ริซ่า เป็นลูกสาวนายพลฝ่ายเหนือ ซึ่งริซ่าปรากฏตัวครั้งแรกใน Rebel โดยเธอคือหญิงสาวที่เอียนตั้งใจจะแต่งงานด้วยนั่นเอง ส่วนพระเอก เจอโรม แมคเคนซี่ เป็นกัปตันเรือของฝ่ายใต้ เป็นลูกพี่ลูกน้องของเอียน เป็นลูกชายคนโตของพระเอก-นางเอก เรื่อง Captive ซึ่งเราข้ามไปยังไม่ได้อ่าน
เนื้อเรื่องเล่มนี้เริ่มขึ้นต่อจากช่วงท้ายของเรื่องก่อน ริซ่าตั้งใจเดินทางมาทางใต้ เพื่อจะมาช่วยส่งข่าวให้อเลน่ารู้ตัว ก่อนจะถูกจับได้ว่าเป็นสายลับ แล้วบังเอิญไปได้ยินแผนปฏิบัติการของเจอโรมเข้า เจอโรมจึงต้องบังคับเอาตัวริซ่าขึ้นเรือไปด้วย ริซ่าเป็นนางเอกที่ค่อนข้างโอเคเลย ถึงแม้จะตามสูตรของ HG ที่ต้องขัดแย้งกับพระเอก แต่นอกจากช่วงแรกที่พยายามหนีแบบโง่ๆ หลายทีแล้ว เราว่ารวมๆ เธอก็ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอเลน่า แล้วเนื้อเรื่องเล่มนี้ก็ดำเนินไปเร็วกว่า สถานการณ์การรบของสองฝ่ายเหนือใต้เริ่มเข้มข้นขึ้น น่าจะเป็นเรื่องที่สนุกที่สุดในชุด
Glory
คะแนน : 7.5
พระเอกคือ จูเลียน แมคเคนซี่ น้องชายของเอียน จูเลียนเป็นหมอให้กองทัพฝ่ายใต้ นางเอก เรียนน่อน เป็นม่าย สามีตายในการรบให้ฝ่ายเหนือ เธอมีความสามารถทางการแพทย์ และมีความสามารถพิเศษที่เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าในความฝันได้ เรียนน่อนยังเศร้าโศกกับการตายของสามีไม่หาย จึงหันเข้าหายาฝิ่นปลอบใจตัวเอง และในระหว่างที่ตกอยู่ในฤทธิ์ยา ก็พลาดพลั้งมีความสัมพันธ์กับจูเลียน เมื่อได้สติ เธอก็ปฏิเสธไม่ยอมรับอย่างสิ้นเชิงว่า มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ความฝัน
ในเล่มนี้ ความสัมพันธ์ของพระเอกนางเอกจะค่อนข้างห่างๆ กันหน่อย เพราะนางเอกไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็มีช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันนาน แถม HG ยังต้องไปกระจายบทให้พี่น้องตระกูลแมคเคนซี่ที่เหลือ ที่จะไม่ได้เล่มแยกของตัวเองอีก บางช่วงโฟกัสของเรื่องจึงแยกออกไป ซึ่งก็ไม่ใช่ไม่ดี เพราะเรื่องของซิดนีย์ และเบรนท์ ลูกพี่ลูกน้องของจูเลียน (หรือก็คือน้องสาวน้องชายของเจอโรม) ก็น่ารักดี โดยเฉพาะเรื่องของเบรนท์ เป็นคู่เดียวที่ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเหนือ-ใต้ แต่อย่างว่า เล่มนี้อ่านไปอ่านมา พระ-นางมีอะไรกันครั้งเดียวแบบไม่รู้ตัว แล้วแยกกันไปตั้งนาน โผล่มาอีกที นางเอกมายอมรับกับตัวเองเฉยเลยว่า รักพระเอก ก็เลยรู้สึกไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่ แต่ก็โอเค เพราะตอนนี้อินกับตัวละครในเรื่องชุดนี้แล้ว และเล่มนี้ดูจะมีจุดที่แตกต่างกว่าเล่มอื่นในชุดมากที่สุด เพราะพระเอกนางเอกไม่ใช่ทหารหรือสายลับ เนื้อเรื่องก็เลยไม่ซ้ำซากน่าเบื่อนัก แล้วบุคลิกนางเอกก็แปลกดี
Triumph
คะแนน : 7
เล่มสุดท้ายในชุด นางเอกคือ เทีย แมคเคนซี่ น้องสาวของเอียนและจูเลียน พระเอกคือ เทย์เลอร์ ดั๊กลัส ทหารม้าฝ่ายเหนือ ซึ่งเราว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แย่ที่สุดในชุด เพราะเทียเป็นนางเอกที่แย่มากๆ เป็นนางเอกประเภทที่ตรงกับที่นักอ่านโรแมนซ์ฝรั่งเรียกว่า TSTL (too stupid to live) heroine นางเอกที่โง่เกินกว่าจะมีชีวิตอยู่ หลายครั้งที่อ่านพฤติกรรมของเธอแล้วเราต้องส่ายหัว หรือสบถในใจ เหลือเชื่อมากว่า ทำไมงี่เง่าอะไรได้ขนาดนี้ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่พระเอกต้องมาจ๊ะเอ๋เจอเธอตกอยู่ในสถานการณ์คับขันในสภาพเปลือยหรือกึ่งเปลือย และเราก็ไม่ชอบเทย์เลอร์เท่าไหร่นัก คือจริงๆ ปกติพระเอกของ HG ก็จะแนวอัลฟ่าอยู่แล้ว แต่เราไม่ชอบผู้ชายที่ไม่ยอมหยุดเวลาที่ผู้หญิงบอกว่าไม่ แม้จะเป็นพระเอก แม้จะเป็นสามี หรือแม้ผู้หญิงจะปากไม่ตรงกับใจก็ตาม ปัญหาเดียวกับที่เราบอกว่าเราไม่ชอบสิ่งที่เอียนใน Rebel ทำ
ยังดีที่เล่มนี้มีตัวละครจากเรื่องก่อนๆ ในชุดปรากฏตัวครบครัน โดยเฉพาะบทสรุปความรักของซิดนีย์กับเจสซี่ และเบรนท์กับแมรี่ ที่ปูเรื่องค้างไว้ตั้งแต่เล่มก่อน และสงครามก็จบลงในเล่มนี้ บทสรุปทุกอย่างของคนในตระกูลแมคเคนซี่ก็ลงเอยด้วยดี ก็เลยยังทำให้ได้ความรู้สึกดีจากการอ่านเรื่องนี้ได้
ในการอ่านหนังสือเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองชุดนี้ เราว่าสิ่งหนึ่งที่ HG ทำได้ดี คือการบรรยายสภาพแวดล้อมในยุคนั้น และอธิบายความคิดและอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ระหว่างตัวละครสองฝ่ายให้ผู้อ่านเข้าใจได้ดี โดยไม่เข้าข้างใคร ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครถูกผิดชัดเจน ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง เรายอมรับได้โดยดีถึงเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของพระเอก-นางเอกที่ต้องมาอยู่ตรงข้ามกัน บางทีเราอาจรู้สึกว่าตัวละครทำอะไรโง่ๆ แต่เราไม่เคยสงสัยถึงอุดมการณ์ความเชื่อที่นำไปสู่การกระทำนั้น HG แสดงให้เห็นชัดถึงภาพความน่าเศร้าของสงครามที่พี่น้องญาติมิตร ต้องมารบราฆ่าฟันกันเอง ความที่แต่ละคนไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่เป็นไปในชาติได้ เพราะปัญหาและความขัดแย้งมันมีมิติมากเกินไป
ทำให้อดเปรียบเทียบกับบรรยากาศบ้านเมืองประเทศไทยตอนนี้ไม่ได้ ทำไมเราต้องมาอยู่ในสถานการณ์บ้าคลั่งแบบนี้ ก็เพราะแต่ละฝ่ายมีมุมมองที่แตกต่างกันเกินไป และไม่ยอมรับฟังความเห็นของคนอีกฝั่งหนึ่งเลย เมื่อคนฝั่งหนึ่งพร้อมจะดูแคลน ก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะพร้อมสู้ตาย และทำในสิ่งที่จะก่อให้เกิดปัญหารุนแรง สังคมในชาติแตกแยกร้าวลึก และผลักให้ช่องว่างของทั้งสองกว้างขึ้นไปอีก ในขณะที่คนเดียวเล็กๆ ก็ได้แต่มองความเป็นไปโดยแทบไม่สามารถทำอะไรได้เลย เฮ้อ----------
ที่จริงถ้าใครเคยอ่านโรแมนซ์ย้อนยุคของ Heather Graham (a.k.a. Shannon Drake) มาบ้าง จะรู้ว่า เรื่องของเธอเป็นยังไง เพราะเธอเป็นนักเขียนที่เขียนตามสูตรมากๆ เกือบทุกเรื่องของเธอจะคล้ายๆ กันหมด คือ พระเอกนางเอกมักจะอยู่ตรงข้ามกันในความขัดแย้งของสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ-สกอต ไวกิ้ง-ไอริช อังกฤษ-อเมริกา เหนือ-ใต้ ดังนั้นพระเอกนางเอกจึงทะเลาะกันอยู่เสมอ แต่ก็มักจะมีเหตุจำเป็นให้ทั้งสองต้องมาอยู่ด้วยกันหรือแต่งงานกัน แล้วเนื้อเรื่องก็จะดำเนินไป โดยมีเหตุที่พระเอกจะต้องเข้าใจผิดว่านางเอกทรยศ กว่าจะเข้าใจกันได้ก็จบเรื่องพอดี แต่ข้อดีของนักเขียนที่เขียนเรื่องตามสูตรสำเร็จของตัวเองก็คือ ถ้าเราชอบสไตล์ของนักเขียนคนไหน เราก็มักจะชอบเรื่องของนักเขียนคนนั้นเกือบทุกเรื่อง
ที่จริงตอนนี้ Heather Graham คงเปลี่ยนสไตล์การเขียนของตัวเองไปแล้ว เพราะเห็นเรื่องยุคหลังๆ เป็น Paranormal ทั้งนั้น ซึ่งเป็นแนวที่เราไม่ชอบอ่าน แล้วเห็นคะแนนรีวิวไม่ดี ก็เลยไม่เคยหยิบงานแบบอื่นของเธอมาอ่านเลย
เอาล่ะ กลับเข้าเรื่อง Florida Saga ดีกว่า มาว่ากันทีละเล่มเลยแล้วกัน
Rebel
คะแนน : 7.5
เนื้อเรื่องเริ่มขึ้นตรงช่วงเวลาก่อนที่สงครามกลางเมืองจะเริ่มต้นขึ้น เงาแห่งสงครามเริ่มตั้งเค้า พระเอกในเล่มนี้คือ เอียน แมคเคนซี่ ลูกชายคนโตของพระเอก-นางเอกจากเล่มแรก Runaway เอียนกลับมาเยี่ยมบ้านเพื่อร่วมงานวันเกิดของพ่อ และในวันนั้น ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างนำให้เขาเข้าไปอยู่ในสภาพเปลือยอยู่กับนางเอก อเลน่า ซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องอื้อฉาว ทั้งสองจึงต้องรีบแต่งงานกัน ทั้งๆ ที่เอียนมีผู้หญิงที่เขาตั้งใจจะแต่งงานด้วยอยู่แล้ว การแต่งงานด้วยสภาพจำยอมเพื่อรักษาเกียรติ ทำให้ไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดีของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเลย เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไป เกิดสงครามขึ้น เอียนเป็นทหาร ถึงแม้รัฐฟลอริด้าบ้านเกิดของเขาจะเป็นฝ่ายใต้ แต่เอียนมีอุดมการณ์ตรงกับฝ่ายเหนือ ที่เห็นว่าการมีทาสเป็นสิ่งผิด เขาจึงยังคงทำงานให้รัฐบาลต่อไป ส่วนอเลน่า ก็เป็นสาวชาวใต้ของแท้ ที่ซื่อสัตย์ต่อรัฐตัวเอง ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น อเลน่าจับพลัดจับผลูเข้าไปทำงานเป็นสายลับให้ฝ่ายใต้ ในขณะที่เอียนก็ได้รับมอบหมายให้มาหยุดสายลับผู้นั้น
เรื่องนี้ก็อ่านได้เรื่อยๆ ตามสูตรที่บอก บางช่วงอาจมีน่าเบื่อบ้างเล็กน้อย เพราะเถียงกันบ่อยมาก แล้วพระเอกก็จะตัดบทด้วยเซ็กส์เสมอ ในขณะที่บางทีนางเอกก็ทำตัวเด็ก หรือทำอะไรโง่ๆ ไปหน่อย ให้คะแนนที่ 7.5 แล้วกัน
Surrender
คะแนน : 8
เรื่องนี้ต่อจาก Rebel แต่เราหยิบ Surrender มาอ่านก่อน จริงๆ เล่มนี้เป็นเล่มที่ 4 ในชุด แต่เนื่องจากอ่านรีวิวใน Amazon แล้วรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าอ่านที่สุด ก็เลยอ่านเล่มนี้ก่อน เผื่อไม่ชอบจะได้ข้ามซีรีส์นี้ไปเลย ปรากฏว่าชอบนะ นางเอกของเรื่องคือ ริซ่า เป็นลูกสาวนายพลฝ่ายเหนือ ซึ่งริซ่าปรากฏตัวครั้งแรกใน Rebel โดยเธอคือหญิงสาวที่เอียนตั้งใจจะแต่งงานด้วยนั่นเอง ส่วนพระเอก เจอโรม แมคเคนซี่ เป็นกัปตันเรือของฝ่ายใต้ เป็นลูกพี่ลูกน้องของเอียน เป็นลูกชายคนโตของพระเอก-นางเอก เรื่อง Captive ซึ่งเราข้ามไปยังไม่ได้อ่าน
เนื้อเรื่องเล่มนี้เริ่มขึ้นต่อจากช่วงท้ายของเรื่องก่อน ริซ่าตั้งใจเดินทางมาทางใต้ เพื่อจะมาช่วยส่งข่าวให้อเลน่ารู้ตัว ก่อนจะถูกจับได้ว่าเป็นสายลับ แล้วบังเอิญไปได้ยินแผนปฏิบัติการของเจอโรมเข้า เจอโรมจึงต้องบังคับเอาตัวริซ่าขึ้นเรือไปด้วย ริซ่าเป็นนางเอกที่ค่อนข้างโอเคเลย ถึงแม้จะตามสูตรของ HG ที่ต้องขัดแย้งกับพระเอก แต่นอกจากช่วงแรกที่พยายามหนีแบบโง่ๆ หลายทีแล้ว เราว่ารวมๆ เธอก็ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอเลน่า แล้วเนื้อเรื่องเล่มนี้ก็ดำเนินไปเร็วกว่า สถานการณ์การรบของสองฝ่ายเหนือใต้เริ่มเข้มข้นขึ้น น่าจะเป็นเรื่องที่สนุกที่สุดในชุด
Glory
คะแนน : 7.5
พระเอกคือ จูเลียน แมคเคนซี่ น้องชายของเอียน จูเลียนเป็นหมอให้กองทัพฝ่ายใต้ นางเอก เรียนน่อน เป็นม่าย สามีตายในการรบให้ฝ่ายเหนือ เธอมีความสามารถทางการแพทย์ และมีความสามารถพิเศษที่เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าในความฝันได้ เรียนน่อนยังเศร้าโศกกับการตายของสามีไม่หาย จึงหันเข้าหายาฝิ่นปลอบใจตัวเอง และในระหว่างที่ตกอยู่ในฤทธิ์ยา ก็พลาดพลั้งมีความสัมพันธ์กับจูเลียน เมื่อได้สติ เธอก็ปฏิเสธไม่ยอมรับอย่างสิ้นเชิงว่า มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ความฝัน
ในเล่มนี้ ความสัมพันธ์ของพระเอกนางเอกจะค่อนข้างห่างๆ กันหน่อย เพราะนางเอกไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็มีช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันนาน แถม HG ยังต้องไปกระจายบทให้พี่น้องตระกูลแมคเคนซี่ที่เหลือ ที่จะไม่ได้เล่มแยกของตัวเองอีก บางช่วงโฟกัสของเรื่องจึงแยกออกไป ซึ่งก็ไม่ใช่ไม่ดี เพราะเรื่องของซิดนีย์ และเบรนท์ ลูกพี่ลูกน้องของจูเลียน (หรือก็คือน้องสาวน้องชายของเจอโรม) ก็น่ารักดี โดยเฉพาะเรื่องของเบรนท์ เป็นคู่เดียวที่ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเหนือ-ใต้ แต่อย่างว่า เล่มนี้อ่านไปอ่านมา พระ-นางมีอะไรกันครั้งเดียวแบบไม่รู้ตัว แล้วแยกกันไปตั้งนาน โผล่มาอีกที นางเอกมายอมรับกับตัวเองเฉยเลยว่า รักพระเอก ก็เลยรู้สึกไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่ แต่ก็โอเค เพราะตอนนี้อินกับตัวละครในเรื่องชุดนี้แล้ว และเล่มนี้ดูจะมีจุดที่แตกต่างกว่าเล่มอื่นในชุดมากที่สุด เพราะพระเอกนางเอกไม่ใช่ทหารหรือสายลับ เนื้อเรื่องก็เลยไม่ซ้ำซากน่าเบื่อนัก แล้วบุคลิกนางเอกก็แปลกดี
Triumph
คะแนน : 7
เล่มสุดท้ายในชุด นางเอกคือ เทีย แมคเคนซี่ น้องสาวของเอียนและจูเลียน พระเอกคือ เทย์เลอร์ ดั๊กลัส ทหารม้าฝ่ายเหนือ ซึ่งเราว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แย่ที่สุดในชุด เพราะเทียเป็นนางเอกที่แย่มากๆ เป็นนางเอกประเภทที่ตรงกับที่นักอ่านโรแมนซ์ฝรั่งเรียกว่า TSTL (too stupid to live) heroine นางเอกที่โง่เกินกว่าจะมีชีวิตอยู่ หลายครั้งที่อ่านพฤติกรรมของเธอแล้วเราต้องส่ายหัว หรือสบถในใจ เหลือเชื่อมากว่า ทำไมงี่เง่าอะไรได้ขนาดนี้ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่พระเอกต้องมาจ๊ะเอ๋เจอเธอตกอยู่ในสถานการณ์คับขันในสภาพเปลือยหรือกึ่งเปลือย และเราก็ไม่ชอบเทย์เลอร์เท่าไหร่นัก คือจริงๆ ปกติพระเอกของ HG ก็จะแนวอัลฟ่าอยู่แล้ว แต่เราไม่ชอบผู้ชายที่ไม่ยอมหยุดเวลาที่ผู้หญิงบอกว่าไม่ แม้จะเป็นพระเอก แม้จะเป็นสามี หรือแม้ผู้หญิงจะปากไม่ตรงกับใจก็ตาม ปัญหาเดียวกับที่เราบอกว่าเราไม่ชอบสิ่งที่เอียนใน Rebel ทำ
ยังดีที่เล่มนี้มีตัวละครจากเรื่องก่อนๆ ในชุดปรากฏตัวครบครัน โดยเฉพาะบทสรุปความรักของซิดนีย์กับเจสซี่ และเบรนท์กับแมรี่ ที่ปูเรื่องค้างไว้ตั้งแต่เล่มก่อน และสงครามก็จบลงในเล่มนี้ บทสรุปทุกอย่างของคนในตระกูลแมคเคนซี่ก็ลงเอยด้วยดี ก็เลยยังทำให้ได้ความรู้สึกดีจากการอ่านเรื่องนี้ได้
ในการอ่านหนังสือเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองชุดนี้ เราว่าสิ่งหนึ่งที่ HG ทำได้ดี คือการบรรยายสภาพแวดล้อมในยุคนั้น และอธิบายความคิดและอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ระหว่างตัวละครสองฝ่ายให้ผู้อ่านเข้าใจได้ดี โดยไม่เข้าข้างใคร ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครถูกผิดชัดเจน ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง เรายอมรับได้โดยดีถึงเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของพระเอก-นางเอกที่ต้องมาอยู่ตรงข้ามกัน บางทีเราอาจรู้สึกว่าตัวละครทำอะไรโง่ๆ แต่เราไม่เคยสงสัยถึงอุดมการณ์ความเชื่อที่นำไปสู่การกระทำนั้น HG แสดงให้เห็นชัดถึงภาพความน่าเศร้าของสงครามที่พี่น้องญาติมิตร ต้องมารบราฆ่าฟันกันเอง ความที่แต่ละคนไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่เป็นไปในชาติได้ เพราะปัญหาและความขัดแย้งมันมีมิติมากเกินไป
ทำให้อดเปรียบเทียบกับบรรยากาศบ้านเมืองประเทศไทยตอนนี้ไม่ได้ ทำไมเราต้องมาอยู่ในสถานการณ์บ้าคลั่งแบบนี้ ก็เพราะแต่ละฝ่ายมีมุมมองที่แตกต่างกันเกินไป และไม่ยอมรับฟังความเห็นของคนอีกฝั่งหนึ่งเลย เมื่อคนฝั่งหนึ่งพร้อมจะดูแคลน ก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะพร้อมสู้ตาย และทำในสิ่งที่จะก่อให้เกิดปัญหารุนแรง สังคมในชาติแตกแยกร้าวลึก และผลักให้ช่องว่างของทั้งสองกว้างขึ้นไปอีก ในขณะที่คนเดียวเล็กๆ ก็ได้แต่มองความเป็นไปโดยแทบไม่สามารถทำอะไรได้เลย เฮ้อ----------
วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553
A Christmas Promise - Mary Balogh
คะแนน : 7
งานเก่าของ Mary Balogh ที่เพิ่งหยิบมาอ่าน อ่านจบก็โอเคค่ะ เนื่อเรื่องไม่ยาว นางเอกเป็นลูกสาวพ่อค้าถ่านหินระดับมหาเศรษฐี พระเอกเป็นท่านเอิร์ลที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เนื่องจากเพิ่งได้ตำแหน่งต่อจากลูกพี่ลูกน้องที่ตายไป โดยทิ้งหนี้สินมากมายไว้ให้ พ่อนางเอกจึงเสนอให้พระเอกแต่งงานกับลูกสาวของตน เนื่องจากตัวเองป่วยหนักกำลังจะตาย อยากเห็นลูกเป็นฝั่งฝาก่อนตาย ทั้งสองแต่งงานกันโดยเกลียดชังกัน เพราะพระเอกคิดว่านางเอกหวังยกระดับตัวเอง และเย็นชาแม้แต่กับการตายของพ่อ นางเอกก็เกลียดพระเอกเพราะคิดว่าเขาเห็นแก่เงิน และเสเพล เล่นพนัน จนติดหนี้สินมากมาย
เนื่องจากเป็นงานเก่าก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ระหว่างที่อ่านก็รู้สึกถึงความเก่าจริงๆ ด้วย ตัวละครยังไม่ค่อยมีพัฒนาการ โดยเฉพาะนางเอก ต้นตำรับของนางเอกซึนเดเระจริงๆ เลยนะนี่ พวกปากไม่ตรงกับใจ ข้างนอกทำตัวเย็นชาแข็งกระด้าง แต่ในใจอยากให้เขาดีด้วย ยิ่งเฉพาะช่วงต้นหนึ่งในสามของเรื่อง นี่อ่านไปเบื่อไปเลยนะคะ เพราะการไม่เข้าใจกันของตัวละคร และการปฏิบัติตัวต่อกันของทั้งคู่
จนทั้งสองเริ่มกลับไปบ้านชนบท เพื่อฉลองเทศกาลคริสต์มาส เนื้อเรื่องก็เริ่มสนุกขึ้น พระเอกนางเอกก็เริ่มค่อยๆ สงบศึกและพัฒนาความสัมพันธ์กัน แล้วก็เริ่มเห็นแววของสิ่งที่เราชอบในงานของ Balogh สรุปว่าเป็นงานอ่านเล่นๆ ไม่ต้องคิดมากได้แล้วกันนะ
งานเก่าของ Mary Balogh ที่เพิ่งหยิบมาอ่าน อ่านจบก็โอเคค่ะ เนื่อเรื่องไม่ยาว นางเอกเป็นลูกสาวพ่อค้าถ่านหินระดับมหาเศรษฐี พระเอกเป็นท่านเอิร์ลที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เนื่องจากเพิ่งได้ตำแหน่งต่อจากลูกพี่ลูกน้องที่ตายไป โดยทิ้งหนี้สินมากมายไว้ให้ พ่อนางเอกจึงเสนอให้พระเอกแต่งงานกับลูกสาวของตน เนื่องจากตัวเองป่วยหนักกำลังจะตาย อยากเห็นลูกเป็นฝั่งฝาก่อนตาย ทั้งสองแต่งงานกันโดยเกลียดชังกัน เพราะพระเอกคิดว่านางเอกหวังยกระดับตัวเอง และเย็นชาแม้แต่กับการตายของพ่อ นางเอกก็เกลียดพระเอกเพราะคิดว่าเขาเห็นแก่เงิน และเสเพล เล่นพนัน จนติดหนี้สินมากมาย
เนื่องจากเป็นงานเก่าก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ระหว่างที่อ่านก็รู้สึกถึงความเก่าจริงๆ ด้วย ตัวละครยังไม่ค่อยมีพัฒนาการ โดยเฉพาะนางเอก ต้นตำรับของนางเอกซึนเดเระจริงๆ เลยนะนี่ พวกปากไม่ตรงกับใจ ข้างนอกทำตัวเย็นชาแข็งกระด้าง แต่ในใจอยากให้เขาดีด้วย ยิ่งเฉพาะช่วงต้นหนึ่งในสามของเรื่อง นี่อ่านไปเบื่อไปเลยนะคะ เพราะการไม่เข้าใจกันของตัวละคร และการปฏิบัติตัวต่อกันของทั้งคู่
จนทั้งสองเริ่มกลับไปบ้านชนบท เพื่อฉลองเทศกาลคริสต์มาส เนื้อเรื่องก็เริ่มสนุกขึ้น พระเอกนางเอกก็เริ่มค่อยๆ สงบศึกและพัฒนาความสัมพันธ์กัน แล้วก็เริ่มเห็นแววของสิ่งที่เราชอบในงานของ Balogh สรุปว่าเป็นงานอ่านเล่นๆ ไม่ต้องคิดมากได้แล้วกันนะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)