วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Fifty Shades Darker - E L James

คะแนน : 7.5
วันนี้เพิ่งเป็นวันแรกในรอบสองสัปดาห์ที่เราได้หยุด ก็กะว่าจะอ่านเรื่องนี้ต่อ เพราะถ้าทิ้งช่วงนานกว่านี้ อาจจะลืมเล่ม 1 หมด อ่านจบแล้วมีความรู้สึกปนเปกันหลายอย่าง สรุปค่อนข้างยาก

แต่อย่างน้อยคิดถูกเรื่องหนึ่งว่า มันไม่ได้ขายดีเพราะมีแต่ฉากอย่างว่า มีจังหวะที่อ่านแล้วนึกในใจว่า 'บ๊ะ มันก็สนุกนะ' อยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่เรื่องนี้ก็มีปัญหาใหญ่มากอยู่ประเด็นหนึ่งที่ระคายใจเรามากจนทำใจให้ชอบเรื่องนี้ไม่ได้

สงสัยอาจจะต้องเขียนยาว รอให้อ่านเล่ม 3 จบก่อนดีกว่าค่อยเขียนทีเดียว เฮ้อ แล้วก็ดันไปเอาเล่มกลางของไตรภาคมาอ่านตอนกำลังยุ่งนี่นะ

Update
อ่านที่เขียนต่อที่โพสต์นี้ค่ะ

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

The Great Gatsby - F. Scott Fitzgerald

คะแนน : 8 นิยายคลาสสิคนี่มันก็มีเหตุผลที่เขายกให้เป็นนิยายคลาสสิคนะ นานๆ ทีสลับเอาเรื่องบนหิ้ง (หมายถึงเรื่องคลาสสิคที่ให้โหลดฟรีใน Public Domain) มาอ่านบ้างก็ไม่ค่อยผิดหวัง

คนที่ขึ้นต้นเรื่องเล่าของเขาด้วยการบอกว่าจะไม่ตัดสินใคร ก็เป็นที่แน่นอนว่าชีวิตมนุษย์ในเรื่องที่เล่าคงไม่สวยงามเท่าไหร่ โทนเสียงของนิคนี่เยาะหยันเหยียดหยามโลกมากเลยนะ  แต่ชอบอ่ะ เวลาอ่านภาษาอังกฤษเก่าๆ หน่อยแบบนี้ เรานึกถึงภาษาไทยแบบของหลวงวิจิตรวาทการ

แกตสบี้เป็นตัวละครที่ larger than life มาก แบบที่ตัวละครหญิงในเรื่องบอกว่า สายตาแกตสบี้ที่มองเดซี่ เป็นสายตาแบบที่หญิงสาวทุกคนอยากถูกมองแบบนี้บ้างบางครั้ง เราอ่านฉากที่แกตสบี้ขอร้องนิคให้เชิญเดซี่มาที่บ้าน เรายังอิจฉาวูบนึงเลย ว่าแต่ผู้หญิงคนนี้มีอะไรดีเหรอ เหตุผลที่แกตสบี้งมงายกับเดซี่นี่ cynical สุดๆ

เรานึกไม่ออกว่าฉบับหนังจะถ่ายทอดออกมาเท่าในหนังสือได้ไง เพราะนี่ไม่ใช่หนังสือที่รับรสได้จากเนื้อเรื่อง แต่ต้องรับรสจากภาษาและการเล่าเรื่อง ดีที่สุดที่ภาพยนตร์จะเทียบเคียงนิยายได้ หนังต้องออกมาแล้วคนดูประทับใจระดับที่ดู Casablanca ถึงจะเรียกว่าไม่ทำให้เรื่องต้นฉบับขายหน้า บารมีลีโอจะถึงบทแกตสบี้รึเปล่าเนี่ย

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

The Scorpio Races - Maggie Stiefvater

คะแนน : 6
นี่เป็นนิยายที่อ่านแล้วเสียดายเวลาจริงๆ มันไม่ใช่หนังสือที่เลวร้ายอะไร ความผิดของมันคงมีข้อเดียวคือ มันน่าเบื่อที่สุด แทบไม่มีเนื้อเรื่อง กล่าวถึงการแข่งม้าบนเกาะแห่งหนึ่ง แต่มันเป็นม้าในตำนาน อาชาสมุทรที่ผุดมาจากทะเล เป็นม้าอันตรายที่กินเนื้อคน ฟังน่าสนใจเหรอ ถูกหลอกแล้วล่ะ

เราถูกดาวของอเมซอนล่อลวง ตอนเริ่มอ่านแรกๆ ก็ยังโอเคอยู่ มันก็ดูแปลกๆ ดี จุดเด่นของนิยายเล่มนี้คงอยู่ที่สำนวนภาษา เวลาจะบอกอะไรให้คนอ่านรู้ เหมือนคนเขียนจะวนเป็นครึ่งวงกลม อ่านเจอแรกๆ จะอมยิ้ม ภาษาเขาเก๋ดีแฮะ  แต่พออ่านไปสักสิบบท เจอบ่อยๆ เข้า กลับกลายเป็นรู้สึกสะดุดและน่ารำคาญ อย่างเช่นแบบนี้

There are moments that you’ll remember for the rest of your life and there are moments that you think you’ll remember for the rest of your life, and it’s not often they turn out to be the same moments.
หรือแบบนี้

My vision explodes into one thousand colors, not one of them the sky.
เรื่องเล่าสลับกันระหว่างตัวเอกสองคน คือ ฌอน เคนดริก กับ พัค (เคท) คอนนอลลี เล่าจากมุมมองบุคคลที่หนึ่ง แต่เราไม่เคยรู้สึกว่าได้เข้าไปอยู่กับสองคนนั้นเลย ช่างชืดชา กระด้าง ไร้เนื้อใน เราอ่านแล้ว เราแยกสองคนนี้ไม่ออก บางครั้งที่เราอ่านกลางบทแล้วสะดุดเสียสมาธิไปนิดนึง พอจะกลับมาอ่านต่อ เราไม่รู้ว่า I ที่กำลังพูดอยู่นี่คือใคร ฌอนหรือพัค เมื่อเทียบกับเรื่อง The Kane Chronicles เราไม่เป็นอย่างนี้สักครั้ง เพราะบุคลิกคาร์เตอร์กับแซดี้แตกต่างกันมาก แค่อ่านคำพูดก็รู้ว่าใคร

ทั้งเรื่องมีแต่การเตรียมตัวฝึกม้าเพื่อจะไปแข่งตอนจบ อ่านจบเรื่องเรายังไม่รู้เลยว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน รู้แต่เป็นเกาะ ไม่ไกลจากแผ่นดินใหญ่ ยุคไหนก็ไม่รู้ เป็นนิยายที่เลื่อนลอย ไร้เป้าหมาย ไร้เหตุผล

เราพลาดเองล่ะ ดูแต่ดาว ไม่ได้อ่านรีวิว เพราะอยากจะอ่านแบบไม่รู้อะไร ยังไงถ้าใครสนใจ อยากบอกว่า ควรหาตัวอย่างสักบทสองบทมาอ่านก่อนนะคะ ว่าชอบสไตล์การเขียนแบบนี้มั้ย คนที่ชอบก็คงจะว่าเขียนดีมาก แต่ถ้าไม่ชอบแนวนี้ก็อาจจะรู้สึกแบบเรา

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

The Proposal - Mary Balogh

คะแนน : 8 นี่เป็นเรื่องของเกว็น ตัวละครรองที่รู้จักมานาน ปรากฏตัวในเรื่องก่อนๆ ของ Mary Balogh มาไม่รู้กี่เรื่องแล้ว ทุกครั้งที่กล่าวถึง ก็มีใบ้ตลอดนะว่า เดี๋ยวคงจะมีเล่มที่เป็นเรื่องของเธอเอง แต่ก็ข้ามมาตั้งหลายซีรีส์แล้วนะเนี่ย ตั้งแต่ One Night For Love, ชุด Slightly, ชุด Simply รวมไปสิบกว่าเล่ม ในที่สุดพอได้เป็นนางเอก ก็กลายมาเป็นเล่มเปิดตัวซีรีส์ใหม่ ที่กล่าวถึงสมาชิก The Survivors Club ที่เป็นการรวมกลุ่มของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทางกายหรือทางใจมาจากสงครามนโปเลียน หลังจากสมาชิกพักฟื้นรักษาตัวหายแล้วก็แยกย้ายกันไป แต่ทุกปีจะมารวมตัวกันอีกครั้งที่บ้านดยุคหัวหน้ากลุ่ม

ตอนแรกแอบกลัวเรื่องนี้นะเลยไม่กล้ารีบอ่าน ภูมิหลังคร่าวๆ ของตัวละครเหมือนจะหนักแล้วก็เครียดน่าดู เกว็นเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว และมีอาการเดินเขยกจากอุบัติเหตุที่เคยตกม้า ตอนแต่งงานครั้งแรกเจออะไรมาบ้างก็ไม่รู้ ถึงมีท่าทีเศร้าลึกๆ อยู่ตลอด ส่วนพระเอก ฮิวโก้ ก็เป็นฮีโร่สงคราม แต่ถูกส่งตัวกลับบ้านเพราะมีอาการฟั่นเฟือน เพราะความเป็นมาของพระนางเรื่องนี้ดูรันทด ทำให้หวั่นนิดหน่อยว่าจะเจอพวกตัวเอกอมทุกข์แบบที่เราไม่ชอบอ่าน

เริ่มต้นเล่มด้วยการเกริ่นนำความเป็นมาของคลับ ดูสภาพสมาชิกแต่ละคนคงผ่านมาหนักหนาสาหัส แต่ไม่นานเราก็เริ่มสบายใจได้ ทุกคนดูท่าทางโอเคทีเดียว คุยกันขำขำได้ (แต่เยอะอ่ะ ตัวละครโผล่มาทีเดียวตั้ง 7 คน จำชื่อไม่ได้) ส่วนทางเกว็นนั้นมาพักกับเพื่อนที่อยู่ใกล้แถวนี้ มาเดินเล่นแล้วล้มขาแพลง ฮิวโก้เลยต้องช่วยพากลับมาดูอาการที่บ้านดยุค แต่ถ้าเป็นพวกเพื่อนพระเอกในเรื่องก็คงฮานะ พระเอกเพิ่งโจ๊กหยกๆ ว่าเดี๋ยวไปเดินเล่นชายหาดแล้วถ้าเจอผู้หญิงจะขอแต่งงาน แล้วพอกลับมาก็อุ้มผู้หญิงกลับมาจริงๆ

เราชอบเกว็นนะ ชอบมาตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่านในเรื่องของลอเรน (A Summer To Remember) พอเข้าเล่มนี้ แค่ฉากคุยกันครั้งแรกระหว่างพระเอกนางเอก เราก็โล่งใจ รู้สึกว่าชอบตัวละครสองคนนี้ เพราะฉะนั้นก็หายห่วงได้ ด้วยฝีมือการเขียนของ MB แค่ได้ตัวละครถูกใจก็พอแล้ว ไม่ว่าเนื้อเรื่องจะเป็นไง อ่านจบแล้วก็ต้องชอบแน่

เรื่องอ่านเพลินตั้งแต่บทที่หนึ่ง เราชอบสไตล์การเขียนของ MB จริงๆ นะ อธิบายไม่ถูกว่ายังไง รู้แต่ว่าแต่ละประโยคมันลื่นไหล เหมือนเนยละลาย รู้สึกอ่านแล้วละมุนดี ทั้งบทสนทนา การบรรยายบุคลิก และการพรรณนาความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ทำได้ดีไปหมดเลย ทำให้เข้าถึงตัวละครได้ลึกซึ้ง อ่านแล้วมีทั้งยิ้ม หัวเราะ ทั้งเห็นใจเข้าใจ และเอาใจช่วย เกว็นกับฮิวโก้เจอเรื่องหนักมา แต่ไม่ใช่พวกพร่ำเพ้อ ทั้งคู่มีเหตุผลและก็พยายามที่จะใช้ชีวิตตัวเองให้ดีที่สุด แล้วก็ Choose with both your head and your heart

ประเด็นหลักในเรื่องนี้คือการจัดการกับความรู้สึกผิด และการเยียวยาบาดแผลทางใจ ทำให้เราย้อนนึกถึงสิ่งที่เราเคยอ่านมาว่า ความเจ็บปวดเป็นกลไกการป้องกันตัวของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการระบบประสาทรับความเจ็บปวดมาเพื่อเป็นเครื่องเตือนภัยกระตุ้นให้ร่างกายหลบเลี่ยงอันตราย แล้วถ้างั้นความเจ็บปวดใจล่ะ ธรรมชาติมอบให้คนเรามีความเจ็บปวดใจไปเพื่อประโยชน์อะไร เราก็พยายามนึกหาคำตอบ ยังไม่ได้ข้อสรุปหรอก แต่ก็เป็นได้ว่า จิตใจคนเราต้องรู้จักความเจ็บปวด เพื่อเป็นประสบการณ์สำหรับคราวหน้า ช่วยให้เราเลือกที่จะดำเนินชีวิตได้ดีขึ้น เข้มแข็งขึ้น อยู่ต่อไปได้

เหมือนเรื่องจะหดหู่ แต่ไม่เลย มีฉากตลกน่ารักที่ทำให้ขำหลายฉากมาก บุคลิกฮิวโก้ที่ดูเคร่งเครียด อดีตทหาร พูดน้อย ยืนตัวแข็งทื่อ หน้าตาถมึงทึงตลอด แต่จริงๆ น่ารักผิดคาดมาก ไอ้ที่พูดโผงผางกับนางเอกมาแต่ละครั้งนี่ฮาตลอด นอกจากฉากที่แอบขำแล้วเรื่องนี้ก็ยังมีอีกหลายฉากที่เราชอบ ตอนขอแต่งงานกลางเรื่องก็ดี ที่ซึ้งสุดๆ ก็ฉากที่หลบออกมาคุยกันตอนงานบอลล์ และฉากที่งานเลี้ยงในสวน กรี๊ดในใจ วูล์ฟริค! วูล์ฟริค! มาพูดแค่ประโยคเดียวแหละค่ะ แต่เป็นหมัดอัปเปอร์คัตชนะน็อค ช่วยจบฉากการเผชิญหน้าตรงนั้นได้อย่างสวยงามทรงพลังมาก แล้วก็ตอนที่ฮิวโก้ยิ้มตอนสุดท้าย อ๊ายย (คงเหมือนฮัลค์ยิ้มเลยนะ) ชอบมากเลยเล่มนี้ อ่านสนุกทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ

The Proposal ถือเป็นเล่มเปิดตัวเรื่องชุดใหม่ที่ดีมาก แต่ก็มีฐานะเป็นเรื่องปิดไตรภาคของ One Night for Love กับ A Summer to Remember ด้วย ไหนๆ ในเล่มนี้ก็มีตัวละครเชื่อมโยงมาจากเรื่องเก่า เอาคะแนนที่เราให้เล่มก่อนๆ ไว้มาให้ดูค่ะ พระเอกนางเอกในเรื่องก่อนๆ ก็รับเชิญมาปรากฏตัวในเล่มนี้บ้าง ไม่ได้มีบทเยอะมาก ถ้าไม่เคยอ่านก็ไม่งง แต่ก็ถือเป็นโบนัสให้แฟนๆ ที่เคยติดตามกันมา

The Bedwyn Prequels One Night for Love
6.5
เรื่องพี่ชายของเกว็น ไม่ชอบทั้งพระเอกและนางเอกเรื่องนี้
A Summer to Remember
7
ลอเรนสนิทกับเกว็นมาก เป็นเล่มที่เราอ่านเรื่องแรกในชุด ชอบพี่น้องเบดวินในเรื่องนี้
The Proposal
8
The Bedwyn Saga Slightly Married
6
Slightly Wicked
8
Slightly Scandalous
8
เลดี้อารมณ์ร้าย กับ มาร์ควิสเจ้าเสน่ห์
Slightly Tempted
5.5
ผู้ชายเฮงซวย กับ ตุ๊กตาบลายธ์
Slightly Sinful
7
Slightly Dangerous
8.5
เรื่องของวูล์ฟริค ท่านดยุคผู้สยบสามโลก
The Simply Quartet Simply Unforgettable
6.5
Simply Love
7.5
Simply Magic
6.5
Simply Perfect
6.5
พระเอกเป็นญาติๆ กับเกว็น

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อัศจรรย์…วันที่สมองประทับใจ - Kenichiro MOGI

เรายกให้เล่มนี้เป็นแชมป์ ชอบที่สุดในบรรดาหนังสือ non-fic ทั้งหมดที่อ่านไปในช่วงนี้ อ่านจบแล้วปลื้มมาก และเพราะว่า หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยการส่งเสริมให้แสดงออกเรื่องความประทับใจ เพราะฉะนั้นบันทึกความรู้สึกเก็บไว้ซะหน่อยก็ดี

ปรกติเราไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือฮาวทูหรือแนวพัฒนาตนเองเท่าไหร่ แต่เล่มนี้แค่ชื่อเรื่องกับคำโปรยบนหน้าปกก็แทบจะขายให้เราได้แล้ว พลิกอ่านได้ 3 หน้าก็ซื้อเลย หนังสือเล่มบางๆ แค่เกือบๆ 200 หน้า แต่ถ้านึกภาพว่า ทุกครั้งที่อ่านเจอข้อความโดนใจ เหมือนโดนลูกศรยิงใส่ดอกนึง พออ่านจบเล่ม เราก็คงเหมือนตัวเม่นเลย

หลังๆ บางครั้งเราเริ่มเบื่อว่า เหตุผลดีกว่าอารมณ์เสมอหรือ ที่คนชอบพูดว่า ทำไมต้องเอาตัวเองไปผูกกับอะไร (... แล้วแต่จะใส่ เช่นนิยาย+หนัง) มากขนาดนั้น อืมม์ ก็จริงแหละ แต่ถ้าไม่ยอมปล่อยใจเข้าไปอิน แล้วมันจะประทับใจหรือสนุกสุดๆ ได้ไงล่ะ เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ก็เลยมีส่วนที่โดนเรามากเลยว่า การใช้ประโยชน์จากความรู้สึกที่หลากหลาย และการมีความรู้สึกเป็นลักษณะเฉพาะและแสดงคุณสมบัติของมนุษย์ได้ดีที่สุด ทำให้เราสบายใจดีว่า เราไม่ต้องมีเหตุผลตลอดเวลา มีอารมณ์ความรู้สึกเยอะๆ ก็ได้ไม่เป็นไร การมีขอบเขตความรู้สึกที่กว้าง ทำให้เหมือนได้ใช้ชีวิตเต็มที่ดี แค่ต้องพยายามรักษาไว้ในเชิงบวกเท่านั้น สับสวิชต์สมองให้ดีๆ การมีฐานที่มั่นคง ให้สมองหลุดจากวังวนเชิงลบ

ในหนังสือเล่มนี้จะมีส่วนผสมของวิชาการด้านสมอง จิตวิทยา การเปรียบเทียบวิธีคิดและวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นกับตะวันตก และบวกข้อคิดในการดำรงชีวิต ถ้าพูดจริงๆ ก็คือว่า เล่มนี้ไม่มีเนื้อหาตรงไหนเป็นการค้นพบใหม่เอี่ยมอะไร ทุกเรื่องในนี้คล้ายกับว่าเป็นสิ่งที่รู้อยู่แล้ว เคยผ่านหูผ่านตามาก่อนทั้งนั้น แต่ด้วยการเขียนที่อ่านง่าย มีข้อความไฮไลต์ในหนังสือแทรกเป็นระยะ ไล่เรียงเป็นจังหวะจะโคน มีเหตุมีผลแบบมีชีวิตจิตใจ มีตัวอย่างที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ตรงของทุกคนได้ ทำให้รู้สึกว่ามันสร้างสรรค์ จริงแฮะ ใช่เนอะ เออว่ะ ทำไมเราไม่นึกอย่างนี้มาก่อนนะ อ่านแล้วรู้สึกใช่มากๆ เลย

อีกเรื่องที่ชอบก็คือ สไตล์การเขียนแบบถ่อมตนของคนญี่ปุ่น ขอยกความดีให้ทั้งผู้เขียนและผู้แปล เหมือนคนเขียนเขาสอนไปโค้งไป หนังสือแนวนี้บางเล่มที่ฝรั่งเขียนบางทีอ่านแล้วรู้สึกว่าคนเขียนอีโก้จัด บอกให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ ของไทยบางทีก็เหมือนเขียนมาจากบนธรรมาสน์ บางครั้งอ่านแล้วรู้สึกจิตตกไปก็มี เหมือนเหนื่อยที่จะต้องพยายามฝืนตัวเองเพื่อเป็นคนดี เราก็เลยชอบเล่มนี้มากๆ เพราะอ่านแล้วสบายๆ ดี

ถ้ายกข้อความที่ชอบจากในหนังสือมา คงจะต้องพิมพ์จนเมื่อยมือ ขอจดแค่ตรงนี้เก็บไว้แล้วกัน
“เราไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของคนอื่นได้ แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วย อาจจะดูเหมือนเป็นคนเย็นชาไปบ้าง แต่ในการคบหาสมาคมกับคนอื่น บางครั้งก็จำเป็นต้องเย็นชา ... เมื่อเราได้ขว้างลูกบอลที่แสดงความรู้สึกของเราออกไปแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งจะรับหรือไม่รับก็เป็นเรื่องของเขา”

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

The Serpent's Shadow (Kane Chronicles #3) - Rick Riordan

คะแนน : 8 เล่มนี้สนุก ลุยตั้งแต่เริ่ม เนื้อเรื่องตามสูตรทุกอย่าง มีเส้นตายหายนะที่ต้องแก้ไขสถานการณ์ให้ทันเวลา เทพอสรพิษอโพฟิสกำลังจะคืนอำนาจ เกินกำลังที่สองพี่น้องเคนจะต่อกรได้ แซดี้กับคาร์เตอร์จึงต้องออกไปตามหาเงาวิญญาณของอโพฟิสมาเป็นเครื่องมือต่อสู้

การดำเนินเรื่องดูเหมือนจะเทน้ำหนักให้ฝั่งแซดี้มากขึ้นนิดนึง ประมาณ 55-45 กลับกันกับสองเล่มก่อนที่เน้นคาร์เตอร์เยอะกว่า ซึ่งดี เพราะเราชอบแซดี้มากกว่า ฮากว่า ในเรื่องเวลาอยู่ในวงเล็บ พี่น้องกัดกัน ตลกดีทุกครั้ง ที่จริงแซดี้ก็เป็นเด็กแสบ ปากเก่งแสนงอน แต่ยังไม่เกินลิมิต ยังไม่เข้าขั้นติ่ง ถ้าพวกพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์โตเป็นวัยรุ่นก็อาจจะประมาณนี้ เนื้อเรื่องของวอล์ทกับอนูบิสก็เคลียร์จบแล้วในเล่มนี้ ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ หน่อย แต่แบบนี้ก็โอเคมั้ง คาร์เตอร์ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เนื้อเรื่องด้านเซียก็ลงเอยแล้วเหมือนกัน

เล่มนี้สนุกและมีขำหลายฉาก เทพอียิปต์มักจะมีรูปร่างเป็นสัตว์ เวลาอ่านในเรื่อง นึกภาพเทพฮิปโปก็ขำแล้วอ่ะนะ แต่ก็ยังเสียดายนิดหน่อยว่า ไม่ค่อยคุ้นกับตำนานเทพอียิปต์เท่าตำนานกรีก-โรมัน เวลาอ่านซีรีส์นี้ไปบางทีจะมีคิดว่า ตรงนี้มันต้องเป็นแก๊กอะไรบางอย่างที่ผู้แต่งล้อเลียนพวกเทพอยู่แน่ๆ ถ้าเชี่ยวตำนานอียิปต์มามากกว่านี้คงจะตลกขึ้นไปอีก อ่านชุดนี้เลยเหมือนได้อารมณ์สนุกไม่สุดเท่าชุดเพอร์ซีย์ เอ๊ะ แต่เล่มนี้ทิ้งท้ายตอนจบเป็นปริศนาแปลกๆ นะ ไม่แน่เล่มต่อๆ ไปอาจมีการรวมตัวละครจากเรื่องนี้กับ Heroes of Olympus เข้าด้วยกัน เหมือนจักรวาลมาร์เวล เดาเอานะ

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Deadlocked (Sookie Stackhouse #12) - Charlaine Harris

คะแนน : 7.5 ไม่รู้จะเขียนถึงความรู้สึกตอนอ่านเล่มนี้จบยังไง ด้วยอารมณ์ตอนนี้ถ้าเขียนระบายจริงก็คงสปอยล์แหลกราญแน่ ถึงจะเหลือเล่มอวสานอีกเล่ม แต่ตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่า เราจะจัดให้เรื่องนี้เข้าประเภทเดียวกับ Peach Girl หรือ Paradise Kiss ดี

เล่มนี้อึมครึมทั้งเรื่อง ช่วงต้นเรื่องนี่น่าเบื่อ ชีวิตประจำวันมาก เริ่มเข้าเนื้อหาจริงก็เกือบ 1/3 เล่มแล้ว หลังจากนั้นเมฆหมอกก็ปกคลุม อ่านไปลุ้นไปแบบหนักใจ ส่วนตอนจบเล่ม จะให้พูดว่าไง อย่าไปโทษนั่นนู่นนี่เลยนะ ซุกกี้ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับใจเธอเองทั้งหมดนั่นแหละ กะไว้แล้วเชียวว่ามันต้องออกมาในรูปนี้