วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Daughter of Smoke and Bone - Laini Taylor

คะแนน : 8.25



Once upon a time,
an angel and a devil fell in love.


It did not end well

นั่นคือบทเริ่มต้นของนิยาย YA เรื่องนี้ และเมื่ออ่านจบแล้วเราคิดว่า มันเหมาะเอามาใช้เป็นบทสรุปย่อของเล่มนี้ด้วย โรเมโอกับจูเลียตแบบแฟนตาซี นี่เป็นเล่มแรกที่ได้อ่านงานของ เลนี่ เทย์เลอร์ ที่จริงเล็งไว้นานแล้วล่ะ ตั้งแต่ชุด Dreamdark แต่ก็ยังไม่ได้อ่านซะที กะว่ารอให้ออกจบก่อน

คารูว เป็นเด็กสาวอายุ 17 ปี นักศึกษาโรงเรียนศิลปะในกรุงปราก ความลับที่ไม่มีคนอื่นรู้คือ ผมสีฟ้าของเธอไม่ได้มาจากการย้อม แต่ได้จากการอธิษฐานต่างหาก นอกเวลาเรียน เธอทำงานให้ที่ร้านของบริมสโตน คิเมียราหัวแพะที่เลี้ยงดูเธอมาจนโต คารูวรับหน้าที่เดินทางผ่านประตูมิติไปเก็บรวบรวมฟัน (ทุกชนิด รวมทั้งเขี้ยว ทั้งงา) รอบโลกให้เขา โดยไม่เคยรู้ว่าฟันพวกนั้นถูกใช้เพื่ออะไร แต่แล้ว ก็ปรากฏรอยฝ่ามือปริศนาอยู่บนบานประตูมิติ และเมื่อคารูวพบชายหนุ่มรูปงามวิ่งไล่ล่าเธอ รูปเงาของเขามีปีกอยู่กลางหลัง ชีวิตที่เธอรู้จักก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

อ่านเรื่องนี้ช่วงแรกๆ ทำให้เรานึกแว้บถึง CLAMP อาจเพราะฉากในร้านบริมสโตนมันให้ความรู้สึกคล้าย xXxHolic เนื้อเรื่องไม่ได้เหมือนกันมากนักหรอก และกลิ่นอายของตะวันออกกับตะวันตกก็ต่างกันชัดเจน แต่วิธีการที่ดึงคนอ่านเข้าไปอยู่ในโลกที่คนเขียนสร้างได้อย่างรวดเร็วหน้าตาเฉย ตำนานดั้งเดิมแต่สร้างสรรค์ใหม่ ได้เจอสิ่งมีชีวิตและกฎเกณฑ์ต่างๆ ในโลกขนานโผล่ออกมาเรื่อยๆ ทั้งที่มันแปลกแต่กลับไม่รู้สึกประหลาด ยอมรับและเชื่อในเนื้อเรื่องได้ง่ายๆ เหมือนโครงเรื่องจะไม่ซับซ้อน แต่รายละเอียดยอกย้อนให้อยากติดตาม ทำให้เราอดเปรียบเทียบเรื่องนี้กับงานของ CLAMP ไม่ได้ ฮ่าฮ่า แต่ตัวละครยังไม่บิดผันขนาด CLAMP หรอกนะ

ความรู้สึกแรกที่เราคิดกับนางเอกเรื่องนี้ คงเรียกว่าความประทับใจไม่ได้ ต้นเรื่องตอนที่เธอแกล้งแฟนเก่า เราส่ายหัวในใจ เฮ้อ เด็กสมัยนี้ โชคดีที่มันแป๊บเดียวมาก หลังจากนั้นเราก็ชอบเธอแหละ ชอบเวลาที่เธอคุยกับเพื่อน และกับพวกคิเมียราที่เป็นเหมือนครอบครัวของเธอ พออ่านจบแล้วมาคิดดู ไอ้ฉากแรกๆ นั่นมันคงมีไว้เพื่อดึงนักอ่านวัยรุ่นให้รู้สึกว่าตัวเอกใกล้ชิดกับตัวเองมั้ง สับสนอ้างว้างไม่แน่ใจ บางทีก็ทำอะไรโง่ๆ ไปแล้วเพิ่งรู้ตัวทีหลังว่าตอนนั้นช่างทำไปได้ แต่สำหรับเรา ถ้าคารูวไม่เคยมีอดีตวุ่นวายกับแฟนเก่าเลย จะรู้สึกเพอร์เฟกต์กว่านี้ แต่ถ้าดูภาพรวมมันก็ถือเป็นจุดเล็กน้อยมาก เพราะฉะนั้นช่างมันเถอะ และเราชอบบทของแมดริกัลจริงๆ

ช่วงครึ่งหลังเป็นเรื่องในโลกของเซราฟิมกับคิเมียรา ฉากระหว่างอาคิว่ากับแมดริกัลช่างสวยงาม บทสนทนาของเรื่องนี้อ่านสนุก การบรรยายเนื้อเรื่องและอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครก็ดี ฉากสุดท้ายนี่กระชากใจ บีบอารมณ์จริงๆ อ่านเล่มนี้จบแล้วมีจุดที่อยากตะโกนบ่นดังๆ ข้อเดียว ทำไมไม่บอกกันก่อนว่าเรื่องนี้เป็นไตรภาค แล้วจะได้อ่านอีกสองเล่มต่อเมื่อไหร่เนี่ย อ๊าก

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คินดะอิจิกับคดีฆาตกรรมปริศนา ตอนคดีฆาตกรรมเรือสำราญผีสิง

คะแนน : 7.5

เมื่อวานวันอาทิตย์งานหนังสือคนเยอะมาก ขนาดไปตั้งแต่เพิ่งเปิด พอบ่ายสามก็ฝ่าฝูงชนไม่ไหวล่ะ มือก็ชักหิ้วหนัก เลยกลับดีกว่า เสียดายว่ายังเดินได้ไม่ค่อยทั่วเท่าไหร่เลย งานนี้คงไปได้รอบเดียว สถานการณ์น้ำท่วมเดินทางไม่สะดวก ขี้เกียจเข้ามาอีก

คินดะอิจิรุ่นหลาน ฉบับนิยาย ไลท์โนเวล ประมาณ 250 หน้า ราคาปก 190 บาท นี่ก็แพงกว่าการ์ตูนเยอะเหมือนกันนะ แต่กระดาษดีกว่า ข้างในมีภาพสี pin-up และมีรูปประกอบฝีมือฟุมิยะ ซาโต้ แทรกประมาณ 3-4 หน้า เนื้อเรื่องโดย อามางิ เชย์มารุ เจ้าประจำ เล่มนี้เป็นตอนที่ 2 เราข้ามไม่ได้ซื้อเล่ม 1 ของ VBK เพราะเราเคยซื้อฉบับแปลภาษาอังกฤษของตอนแรกมาอ่านนานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ยังบ้าการ์ตูนเรื่องนี้มากๆ คดีโอเปร่าอ่านแล้วไม่สบายใจเพราะมูลเหตุความแค้นของฆาตกรมาจากประเด็นที่เราไม่ชอบอ่าน แต่คดีฆาตกรรมเรือสำราญผีสิงนี่น่าสนใจ

คินดะอิจิจับฉลากได้รางวัลทริปล่องเรือ เลยออกเดินทางพร้อมกับมิยูกิ มาขึ้นเรือสำราญสุดโทรม ได้เจอสารวัตรเคนโมจิที่ซื้อทัวร์ราคาซำเหมามากับภรรยา ทริปนี้จะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของเรือลำนี้ จึงมีลูกเรือกับแขกเพียงไม่มาก แต่เรือลำนี้ถูกควบคุมโดย Ghost Captain ที่มีตำนานเล่าขานว่าจะทำให้คนบนเรือหายตัวไปทีละคน เป็นหน้าที่ของคินดะอิจิที่ต้องใช้ชื่อปู่เป็นเดิมพัน เพื่อทำให้ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่าง

การดำเนินเรื่องฉบับนิยายนี้ก็มีสไตล์เหมือนฉบับการ์ตูนเปี๊ยบ ก็อ่านเพลินดี ทริกใช้ได้ไม่งี่เง่า เกิดเหตุในเวลาที่ทุกคนมีพยานยืนยันสถานที่อยู่กันหมด การดำเนินเรื่องค่อนข้างเร็ว แต่ตอนนี้เหมือนกับว่า รวมตัวละครมาได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกกลุ่มแขกกับกลุ่มลูกเรือ ดูแยกจากกันเกินไป ทำให้เมื่อจับเค้าได้ว่า เหตุจูงใจของฆาตกรคืออะไร มันก็ตัดคนน่าสงสัยไปได้เยอะเลย ตัวละครบางคนนี่เหมือนใส่มาเฉยๆ ให้ครบช่องแนะนำตัว คุณนายเคนโมจิก็แทบไม่มีบทอะไร ตอนท้ายเลยเหลือลุ้นคนร้ายอยู่แค่ 1-2 คน เดาง่ายเลย แต่ฉากเฉลยสนุกดี

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

The Son of Neptune (Heroes of Olympus #2) - Rick Riordan

คะแนน : 8.25


Heroes of Olympus หรือ Percy Jackson ภาค 2 เล่มใหม่ เตือนก่อนเลย เพราะไม่สามารถพูดถึงเล่มนี้โดยไม่สปอยล์เล่ม 1 ได้

สปอยล์  

สปอยล์ 

สปอยล์


เพอร์ซียยยยยยยยยยยย์ กลับมาแล้ววววววววววววว แค่ประโยคแรกก็สปอยล์แล้วนะ หลังจากเล่มที่แล้วมีปัญหาว่า เพอร์ซีย์ แจ็คสัน หายตัวไปจากแคมป์ฮาล์ฟบลัด จนมาเฉลยท้ายเรื่องว่า มีแคมป์เด็กลูกครึ่งเทพโรมันอยู่ที่อีกฟากของอเมริกา เปิดฉากมาเล่มสองก็จับความต่อเนื่องทันที เพอร์ซีย์มาถึงแคมป์จูปิเตอร์ ความทรงจำของเขาหายไป จำได้แต่ว่าตัวเองมีแฟนชื่อแอนนาเบ็ธ เขาได้พบเพื่อนใหม่สองคน คือ เฮเซล กับ แฟรงค์ ทั้งสามต้องร่วมมือกันออกผจญภัยตามคำพยากรณ์

เล่มนี้สนุกตั้งแต่แรกเลย เพราะเป็นเพอร์ซีย์ที่รู้จักดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัว เล่มที่แล้วไม่เห็นหน้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอเริ่มอ่านเล่มนี้เพิ่งรู้ตัวว่าคิดถึงหมอนี่เหมือนกัน ยังแอบตลกเหมือนเดิม แต่ดูเก่งและฉลาดขึ้นหน่อย แต่เพอร์ซีย์ไม่ได้เด่นคนเดียว เล่มนี้ก็แบ่งการเล่าเรื่องเป็นสามมุมมองเหมือนเล่มที่แล้ว ตัวละครเพื่อนใหม่สองคนนี้ดี เฮเซลนี่เป็นเด็กผู้หญิงที่ได้อย่างใจเรามากเลย เหมือนภายนอกจะหวั่นไหวอ่อนแอ แต่พอเอาจริงก็เก่ง ส่วนแฟรงค์ก็โอเคเลย เขาเป็นลูกของเทพคนที่เราชอบซะด้วย (เพราะเป็นเทพประจำวันเกิดเรา) มาร์สเป็นเทพโอลิมเปียนที่บทเด่นที่สุดในเล่มนี้ ภาคก่อนหมอนี่จะงี่เง่ามาก แต่ภาคนี้ดูดีมีชาติตระกูลขึ้นเยอะ เพราะเป็นเทพที่โรมันนับถือ

เรื่องมันส์ตั้งแต่เริ่ม และฮาก๊ากหลายฉากมาก ชอบตอนเจอเทพีสายรุ้งไอริส ผู้เปิดร้านขายสินค้าชีวจิต จี้สุดๆ ตอนที่เธอบอกว่า กำลังเลือกพุทธกับเต๋า แล้วพวกพระเอกก็บอกว่า เธอเป็นเทพกรีกนะ เจ๊ก็กอดอกตอบทันที "อย่าจับฉันใส่กล่อง ใส่กรอบสี่เหลี่ยมนะ" เทพก็ต้องพัฒนาตามสมัย ขำกลิ้ง อีกตอนก็ฉากเล่นมุกนักรบหญิงอเมซอนทำงานอยู่ที่เว็บอเมซอน อ่านไปหัวเราะไป เล่มนี้ตลกหลายตอนเล่าไม่หมด เนื้อเรื่องน่าติดตาม ฉากแอกชั่นก็สนุกมาก สู้กันเท่ๆ ความสามารถกับไอเทมของเฮเซลกับแฟรงค์นี่เจ๋งนะ ไปๆ มาๆ ชักจะเหมือนการ์ตูนฮีโร่แบบพวก X-Men แล้ว ที่แต่ละคนมีพลังพิเศษใช้ในการต่อสู้ แต่ก็สนุกมากล่ะ ชอบมากเลยเล่มนี้ อ่านจบแล้วก็อยากอ่านเล่ม 3 ต่อเลย โธ่ ต้องรออีกปีเต็มๆ เลยเหรอเนี่ย

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Archangel's Blade (Guild Hunter #4) - Nalini Singh

คะแนน : 8.25

ก่อนนี้เราไม่ค่อยชอบซีรีส์นี้เท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเล่ม 2 พอถึง เล่ม 3 Archangel's Consort (คะแนน : 7) ก็รู้สึกดีขึ้นหน่อย แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก จนเราขี้เกียจเขียนถึง ตอนนี้ลืมๆ เนื้อเรื่องไปแล้วด้วย คุ้นๆ ว่า วุ่นวายกับการคืนชีพของแม่ราฟาเอล กับเอเลน่าช้ำใจเรื่องพ่อไม่รัก เรื่องที่รู้สึกกลางๆ ก็งี้แหละ ไม่มีอะไรให้จำ เผลอๆ ไอ้เนื้อเรื่องที่ไม่ชอบนี่ดันจำได้ดีกว่าซะอีก เช่น ไม่ชอบพวกองครักษ์ทั้ง 7 ของราฟาเอล เยอะจัดเกินไป ชื่อก็เรียกยาก จำได้แค่สองคน คือนายปีกฟ้า กับตัวแสบดมิทรี ฉากที่เขาดูดเลือดผู้หญิงแล้วมองยั่วเอเลน่านั่นแหละ ชังน้ำหน้าตัวละครตัวนี้มากๆ ฉันไม่ชอบแวมไพร์!! ฉันเกลียดผู้ชายโอหัง!! ตอนแรกกะไม่อ่านต่อแล้วด้วยซ้ำ ยิ่งรู้ว่าคนที่ไม่ชอบเป็นพระเอกเล่มนี้ แต่ Archangel's Blade ก็ได้รีวิวระดับ A มา เลยอยากลองดูอีกเล่ม พออ่านจบแล้วคิดว่า โชคดีนะที่เราไม่ตัดใจไปซะก่อน

ความรู้สึกตอนอ่านเล่มนี้ไม่เหมือนสองเล่มก่อนเลย คงเพราะได้พระเอกนางเอกคู่ใหม่ ออนเนอร์เป็นนางเอกที่ดี ดมิทรีก็ทำให้เรากลับมาชอบได้ โดยเฉพาะฉากขอโทษ ถึงพระเอกนางเอกจะมีอดีตเลวร้าย แต่เรื่องนี้ไม่ทำให้เราจิตตก คงเพราะทัศนคติแบบ "ฉันคือ survivor ไม่ใช่ victim" นี่ล่ะ

อีกอย่างที่ชอบเล่มนี้มากกว่าเล่มอื่น ตรงที่เนื้อเรื่องมีทิศทางเป้าหมายชัดเจน มีคดีปริศนาที่ศพมีรอยสักอักขระโบราณ การไล่ตามล่าพวกแวมไพร์ที่ใช้ออนเนอร์เป็นเครื่องเล่น แทรกด้วยเรื่องความหลังของดมิทรีสมัยเป็นมนุษย์ น่าสนใจและสนุกดี สปีดการดำเนินเรื่องกำลังดี ไม่เสียเวลากับรายละเอียดข้างทางเยอะนัก เนื้อเรื่องหลักมันเคลียร์จบในเล่มด้วย และเราชอบมากๆ เรื่องความรักพันปี ตอนท้ายๆ ซึ้งมาก โดยรวมเลยรู้สึกว่าเล่มนี้ลงตัวไปหมดเลย ฮ่า สบายใจจัง จะได้เลิกขัดแย้งในใจซะทีว่า ชอบนักเขียนแต่ไม่ชอบซีรีส์

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Somewhere in Time - Richard Matheson

คะแนน : 8

เรารู้จักชื่อ Somewhere in Time ครั้งแรก ตอนที่อ่านนิยายเรื่อง "จากฝัน...สู่นิรันดร" แล้วมีคนบอกว่าพล็อตเรื่องเหมือนหนังเรื่องนี้ ก็จำชื่อไว้แต่ตอนนั้นยังไม่มีโอกาสได้ดู พอในที่สุดได้ดูที่เอามาฉายทางโทรทัศน์ ก็ปลื้มเรื่องนี้มาก ต้องหาแผ่นมาเก็บ เป็นหนังรักสุดซึ้งที่น่าประทับใจที่สุดเรื่องหนึ่งเลย โดยเฉพาะฉากคลาสสิคตอนถ่ายรูปที่ใครๆ ก็ชอบพูดถึง นางเอก เจน ซีมัวร์ นี่แบบหยาดฟ้ามาดิน และดนตรีประกอบติดหูเหลือเกิน

เรื่องนี้มาจากนิยายที่แต่งโดย Richard Matheson ตอนพิมพ์ครั้งแรกใช้ชื่อ Bid Time Return แต่ฉบับพิมพ์ครั้งหลังๆ ก็เห็นใช้ชื่อตามหนังหมดแล้ว พออ่านจบแล้ว เรารู้สึกว่าชอบแบบหนังมากกว่า มีไม่บ่อยนะที่คิดแบบนี้ ทุกทีถ้าชอบหนังแล้วมาอ่านหนังสือจะยิ่งชอบ ถ้าอ่านหนังสือก่อนดูหนังก็จะคิดว่า หนังสู้ไม่ได้ แต่ยังไงก็อยากจะบันทึกความรู้สึกตอนอ่านเรื่องนี้เก็บไว้สักหน่อย

คำเตือน : สปอยล์แบบหมดเปลือก