คะแนน : 7
พบศพ 3 ศพ ชาย 2 หญิง 1 ถูกตัดใบหู ควักลูกตา และถูกตัดลิ้นไป ทั้งสามเป็นอดีตเด็กขี้ยาที่กำลังพยายามกลับตัว มีพยานที่อาศัยอยู่ตึกใกล้เคียงให้การว่า เห็นชายประหลาดตัวสีเขียว ตาถลนสีแดงก่ำ เดินหัวเราะเต้นรำผ่านไปในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ !! เป็นหน้าที่ของผู้หมวดอีฟ ดัลลัส ต้องเข้ามารับหน้าที่คลี่คลายคดีประหลาดนี้
ตอนนี้เป็นเรื่องสั้นอยู่ในเล่ม The Unquiet อ่านแล้วเฉยๆ เรื่อยๆ เพราะตอนที่แล้วสนุกมาก ตอนนี้เลยรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเท่าไหร่ อาศัยธีมจากนิยายคลาสสิค Dr Jekyll and Mr Hyde เนื้อเรื่องสั้นๆ สืบวื้บเดียวก็ถึงตัวคนร้ายแล้ว ในส่วนความสัมพันธ์ของอีฟกับคนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรเด่นนัก มีประโยคประทับใจจากนาดีนนิดนึงมั้ง ถือว่าเป็นตอนที่อ่านได้เพลินๆ แต่ไม่ได้ช่วยเสริมอะไรพิเศษให้แก่เรื่องชุดนี้
วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554
The Night Circus - Erin Morgenstern
คะแนน : 8
Amazon เลือกเล่มนี้เป็นหนึ่งใน Best Books of the Month เดือนนี้ และสื่อต่างๆ ก็เชียร์เล่มนี้เยอะ แต่เหตุผลสำคัญสุดที่ทำให้ตัดสินใจเลือกอ่านคือ คนเขียนบอกว่า เรื่องนี้คงไม่มีภาคต่อ ดี ไม่ต้องมีภาระผูกพันให้ติดตาม
The Night Circus กล่าวถึงคณะละครสัตว์ลึกลับในยุคปลายศตวรรษที่ 19 ที่เดินทางเปิดการแสดงไปตามเมืองต่างๆ โดยเปิดให้คนเข้าชมเฉพาะเวลากลางคืน เบื้องหลังผืนผ้าใบริ้วดำสลับขาวของคณะละครสัตว์แห่งความฝันนี้ คือเวทีการแข่งขันระหว่างสองจอมเวทย์ ที่ฝึกฝนลูกศิษย์ฝ่ายละคนให้มาเป็นตัวแทนในการประลอง โดยที่เจ้าตัวนักมายากลหญิงสาวชายหนุ่มคู่แข่ง ซีเลียและมาร์โก้ ไม่รู้กฎกติกาใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งไม่รู้ว่า ความรักที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง จะส่งผลเช่นไรต่อทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด
ตั้งแต่เริ่ม เวลาอ่านจะรู้สึกว่า บรรยากาศในเรื่องนั้นราวกับต้องมนตรา ฉากในคณะเซอร์คัสแห่งนี้ บรรยายได้ดีมากเลย ไม่ว่าจะเป็นเต๊นท์เขาวงกต หรือสวนน้ำแข็ง รู้สึกว่ามันมีมนต์ขลังอยู่จริงๆ แต่เนื้อเรื่องจะรู้สึกงงนิดหน่อย เพราะมันถูกตัดสลับไปสลับมาเป็นบทๆ สั้นบ้างยาวบ้าง จากมุมมองตัวละครแต่ละคนซึ่งก็มีเยอะอยู่ บางทีเล่าเรื่องย้อนไปมาไม่เรียงตามลำดับเวลาอีกต่างหาก ครึ่งเล่มแรกเหมือนอ่านเอาบรรยากาศอย่างเดียว เนื้อเรื่องไม่คืบหน้าเลย แต่ก็ทำได้ดีนะ จงใจสร้างอารมณ์เหมือนมายา กึ่งฝัน วิบวับลับตา จับต้องไม่ค่อยได้ แต่จะมองว่าน่าเบื่อก็ได้เหมือนกัน
ภาษาที่ใช้ไม่ได้หรูหราฟุ้งเฟ้อจนเกินเหตุ ทว่าหมดจดงดงามจนพาเคลิ้ม แต่เพราะวิธีการเขียนราวกับให้ดูภาพ คนแต่งก็ไม่เคยจะพาเราเข้าไปในหัวตัวละครเลย ช่วงแรกๆ ก็ทำเราอึดอัดคับข้องใจอยู่ พระเอกนางเอกคิดอะไรรู้สึกยังไงก็ไม่ค่อยรู้เลย แต่พอคุ้นเคยกับตัวละครไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มอินได้ เราชอบฉากที่มาร์โก้ก้มหน้ามาจะจูบ แล้วซีเลียเบือนหน้าหนี ให้อารมณ์รักต้องห้ามมากๆ อืมม์ แฮะ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาครึ่งเล่มคร่ำครวญว่ารักแค่ไหน ต้องหักห้ามใจเพียงใด บรรยายสั้นๆ นิดเดียวก็ทำให้คนอ่านประทับใจได้เหมือนกัน
ความจริงเนื้อเรื่องเรื่องนี้น้อยมาก เรื่องย่อตอนต้นเกริ่นไว้ยังไง ตอนจบก็มีประเด็นแค่นั้นแหละ แต่ความสนุกของมันคงอยู่ที่บรรยากาศ กับการติดตามว่า ชิ้นส่วนจิ๊กซอว์เนื้อเรื่องที่กระจัดกระจายในครึ่งแรก มันมาร้อยเรียงเป็นภาพใหญ่ในครึ่งเรื่องหลังได้อย่างไร พอเห็นภาพต่อเรียงกันเยอะขึ้นก็ทำให้เข้าใจปมประเด็นของเนื้อเรื่องซะที ก็จะรู้สึกน่าติดตามมากขึ้น ชอบพวกรุ่นเด็ก พ็อพเพ็ต วิดเจ็ต เบลีย์ เป็นตัวช่วยดำเนินเรื่องที่ดี และช่วยเร่งจังหวะให้เนื้อเรื่องเข้าสู่ไคลแม็กซ์ได้ลุ้นขึ้น แต่ตอนจบก็ยังงงๆ อยู่หน่อยนะ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่แน่ใจ รักษาอารมณ์แฟนซีทั้งเรื่อง
อ่านเล่มนี้เหมือนเล่นม้าหมุนหรือขึ้นชิงช้าสวรรค์มั้ง ไม่ได้สนุกตื่นเต้นเหมือนเล่นรถไฟเหาะ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ขึ้น โดยเฉพาะตอนช่วงที่อยู่สูงที่สุด พอกลับถึงพื้นแล้วก็ยังรู้สึกดี แต่จะชอบเล่นแล้วเล่นอีกมั้ย ก็คงไม่นะ
ป.ล. ไม่รู้จะแปะป้ายหมวดไหนให้เล่มนี้ มีเวทมนตร์แต่ไม่เหมือนเรื่องแฟนตาซี กล่าวถึงความรักแต่ห่างไกลมากจากนิยายโรแมนซ์หรือโรแมนติก ชีวิตดราม่าก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเป็นนิยายย้อนยุคหรือ เหตุการณ์ก็อยู่ในคณะเซอร์คัสเกือบทั้งหมด ฉากอดีตเป็นเพียงส่วนประกอบให้เหมือนภาพฝันขึ้นเท่านั้น
Amazon เลือกเล่มนี้เป็นหนึ่งใน Best Books of the Month เดือนนี้ และสื่อต่างๆ ก็เชียร์เล่มนี้เยอะ แต่เหตุผลสำคัญสุดที่ทำให้ตัดสินใจเลือกอ่านคือ คนเขียนบอกว่า เรื่องนี้คงไม่มีภาคต่อ ดี ไม่ต้องมีภาระผูกพันให้ติดตาม
The Night Circus กล่าวถึงคณะละครสัตว์ลึกลับในยุคปลายศตวรรษที่ 19 ที่เดินทางเปิดการแสดงไปตามเมืองต่างๆ โดยเปิดให้คนเข้าชมเฉพาะเวลากลางคืน เบื้องหลังผืนผ้าใบริ้วดำสลับขาวของคณะละครสัตว์แห่งความฝันนี้ คือเวทีการแข่งขันระหว่างสองจอมเวทย์ ที่ฝึกฝนลูกศิษย์ฝ่ายละคนให้มาเป็นตัวแทนในการประลอง โดยที่เจ้าตัวนักมายากลหญิงสาวชายหนุ่มคู่แข่ง ซีเลียและมาร์โก้ ไม่รู้กฎกติกาใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งไม่รู้ว่า ความรักที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง จะส่งผลเช่นไรต่อทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด
ตั้งแต่เริ่ม เวลาอ่านจะรู้สึกว่า บรรยากาศในเรื่องนั้นราวกับต้องมนตรา ฉากในคณะเซอร์คัสแห่งนี้ บรรยายได้ดีมากเลย ไม่ว่าจะเป็นเต๊นท์เขาวงกต หรือสวนน้ำแข็ง รู้สึกว่ามันมีมนต์ขลังอยู่จริงๆ แต่เนื้อเรื่องจะรู้สึกงงนิดหน่อย เพราะมันถูกตัดสลับไปสลับมาเป็นบทๆ สั้นบ้างยาวบ้าง จากมุมมองตัวละครแต่ละคนซึ่งก็มีเยอะอยู่ บางทีเล่าเรื่องย้อนไปมาไม่เรียงตามลำดับเวลาอีกต่างหาก ครึ่งเล่มแรกเหมือนอ่านเอาบรรยากาศอย่างเดียว เนื้อเรื่องไม่คืบหน้าเลย แต่ก็ทำได้ดีนะ จงใจสร้างอารมณ์เหมือนมายา กึ่งฝัน วิบวับลับตา จับต้องไม่ค่อยได้ แต่จะมองว่าน่าเบื่อก็ได้เหมือนกัน
ภาษาที่ใช้ไม่ได้หรูหราฟุ้งเฟ้อจนเกินเหตุ ทว่าหมดจดงดงามจนพาเคลิ้ม แต่เพราะวิธีการเขียนราวกับให้ดูภาพ คนแต่งก็ไม่เคยจะพาเราเข้าไปในหัวตัวละครเลย ช่วงแรกๆ ก็ทำเราอึดอัดคับข้องใจอยู่ พระเอกนางเอกคิดอะไรรู้สึกยังไงก็ไม่ค่อยรู้เลย แต่พอคุ้นเคยกับตัวละครไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มอินได้ เราชอบฉากที่มาร์โก้ก้มหน้ามาจะจูบ แล้วซีเลียเบือนหน้าหนี ให้อารมณ์รักต้องห้ามมากๆ อืมม์ แฮะ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาครึ่งเล่มคร่ำครวญว่ารักแค่ไหน ต้องหักห้ามใจเพียงใด บรรยายสั้นๆ นิดเดียวก็ทำให้คนอ่านประทับใจได้เหมือนกัน
ความจริงเนื้อเรื่องเรื่องนี้น้อยมาก เรื่องย่อตอนต้นเกริ่นไว้ยังไง ตอนจบก็มีประเด็นแค่นั้นแหละ แต่ความสนุกของมันคงอยู่ที่บรรยากาศ กับการติดตามว่า ชิ้นส่วนจิ๊กซอว์เนื้อเรื่องที่กระจัดกระจายในครึ่งแรก มันมาร้อยเรียงเป็นภาพใหญ่ในครึ่งเรื่องหลังได้อย่างไร พอเห็นภาพต่อเรียงกันเยอะขึ้นก็ทำให้เข้าใจปมประเด็นของเนื้อเรื่องซะที ก็จะรู้สึกน่าติดตามมากขึ้น ชอบพวกรุ่นเด็ก พ็อพเพ็ต วิดเจ็ต เบลีย์ เป็นตัวช่วยดำเนินเรื่องที่ดี และช่วยเร่งจังหวะให้เนื้อเรื่องเข้าสู่ไคลแม็กซ์ได้ลุ้นขึ้น แต่ตอนจบก็ยังงงๆ อยู่หน่อยนะ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่แน่ใจ รักษาอารมณ์แฟนซีทั้งเรื่อง
อ่านเล่มนี้เหมือนเล่นม้าหมุนหรือขึ้นชิงช้าสวรรค์มั้ง ไม่ได้สนุกตื่นเต้นเหมือนเล่นรถไฟเหาะ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ขึ้น โดยเฉพาะตอนช่วงที่อยู่สูงที่สุด พอกลับถึงพื้นแล้วก็ยังรู้สึกดี แต่จะชอบเล่นแล้วเล่นอีกมั้ย ก็คงไม่นะ
ป.ล. ไม่รู้จะแปะป้ายหมวดไหนให้เล่มนี้ มีเวทมนตร์แต่ไม่เหมือนเรื่องแฟนตาซี กล่าวถึงความรักแต่ห่างไกลมากจากนิยายโรแมนซ์หรือโรแมนติก ชีวิตดราม่าก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเป็นนิยายย้อนยุคหรือ เหตุการณ์ก็อยู่ในคณะเซอร์คัสเกือบทั้งหมด ฉากอดีตเป็นเพียงส่วนประกอบให้เหมือนภาพฝันขึ้นเท่านั้น
วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554
New York to Dallas (In Death #33) - J. D. Robb
คะแนน : 8.5
นิยายชุด In Death เล่มที่ 33 แต่เป็นเล่มแรก ที่ไม่มีคำว่า In Death ในชื่อเรื่อง และฉากของเรื่องส่วนใหญ่เปลี่ยนจากนิวยอร์กไปอยู่ที่ดัลลัส เมืองซึ่งเป็นต้นกำเนิดชื่อของอีฟ เล่มนี้สนุกมากๆ ตั้งแต่เริ่มเปิดเรื่อง ฉากแรกที่อีฟนั่งเบื่อกับการทำงานเอกสาร ก็ทำเราขำแล้ว โดยเฉพาะตอนเถียงกับคอมพิวเตอร์ ฮากระจาย อยากมีคอมพ์แบบนี้มั่งจัง แล้วก็อยากได้ออโต้เชฟด้วย ^_^ แต่เพียงยังไม่จบบทแรก อารมณ์ของเรื่องก็เปลี่ยนทันที ลุ้นระทึกตั้งแต่ต้น เมื่อคนร้ายที่อีฟเคยจับตัวได้เมื่อ 12 ปีก่อน หนีออกจากคุกมา แล้วจับผู้หญิงคนหนึ่งเป็นตัวประกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการแก้แค้นอีฟ
อีฟกับรอร์คเดินทางมาดัลลัส เพื่อพยายามตามล่าคนร้าย เนื่องจากมาต่างเมือง สมาชิกประจำอย่างพวกตำรวจนิวยอร์กก็จะมีบทน้อย พีบอดี้ก็ไม่ได้ไปด้วย แต่การได้เห็นบทบาทของอีฟในการทำงานร่วมกับตำรวจต่างเมืองบ้างก็ดีนะ การดำเนินเรื่องเล่มนี้เยี่ยมมาก ลุ้นตลอด ต้องพยายามหาร่องรอยหลักฐานว่า คนร้ายกบดานอยู่ที่ไหน มีความคืบหน้าในการติดตามสืบเกือบทุกบท ตามเข้าใกล้คนร้ายไปเรื่อยๆ เรื่องเร่งเร็ว ไม่มีเอื่อยเลย เรื่องพาร์ทเนอร์ของคนร้าย เราเดาถูกด้วย ตั้งแต่ประโยคแรกที่พูดถึงเลย กะมานานแล้ว
คดีในเล่มนี้เกี่ยวพันกับการกักขังและล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิง บวกกับสถานที่เป็นเมืองดัลลัส เพราะฉะนั้นแน่นอนว่า ต้องส่งผลกระทบทางใจต่ออีฟแน่ๆ อาการฝันร้ายของอีฟเล่มนี้เลยดูจะหนักเป็นพิเศษ แต่เพราะประเด็นนี้ ก็เลยยิ่งทำให้เห็นระดับความรักความผูกพันของอีฟกับรอร์ค อ่านนิยายชุดนี้ บางทีก็เหมือนอ่านหนังสือฮาวทู 999 วิธีบอกรัก บอกรักกันมา 30-40 ตอน ตอนละหลายๆ หน ก็ยังไม่รู้สึกซ้ำซากเลยสักนิด ยังซึ้งยังโดนใจได้ตลอด สรุปว่านี่เป็น 1 ในเล่มที่เราชอบที่สุดในซีรีส์ In Death เลยนะ
ป.ล. ลืมพูดถึงได้ไง เจ้าแมวอ้วนกาลาแฮด น่ารักที่สุดเลย
นิยายชุด In Death เล่มที่ 33 แต่เป็นเล่มแรก ที่ไม่มีคำว่า In Death ในชื่อเรื่อง และฉากของเรื่องส่วนใหญ่เปลี่ยนจากนิวยอร์กไปอยู่ที่ดัลลัส เมืองซึ่งเป็นต้นกำเนิดชื่อของอีฟ เล่มนี้สนุกมากๆ ตั้งแต่เริ่มเปิดเรื่อง ฉากแรกที่อีฟนั่งเบื่อกับการทำงานเอกสาร ก็ทำเราขำแล้ว โดยเฉพาะตอนเถียงกับคอมพิวเตอร์ ฮากระจาย อยากมีคอมพ์แบบนี้มั่งจัง แล้วก็อยากได้ออโต้เชฟด้วย ^_^ แต่เพียงยังไม่จบบทแรก อารมณ์ของเรื่องก็เปลี่ยนทันที ลุ้นระทึกตั้งแต่ต้น เมื่อคนร้ายที่อีฟเคยจับตัวได้เมื่อ 12 ปีก่อน หนีออกจากคุกมา แล้วจับผู้หญิงคนหนึ่งเป็นตัวประกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการแก้แค้นอีฟ
อีฟกับรอร์คเดินทางมาดัลลัส เพื่อพยายามตามล่าคนร้าย เนื่องจากมาต่างเมือง สมาชิกประจำอย่างพวกตำรวจนิวยอร์กก็จะมีบทน้อย พีบอดี้ก็ไม่ได้ไปด้วย แต่การได้เห็นบทบาทของอีฟในการทำงานร่วมกับตำรวจต่างเมืองบ้างก็ดีนะ การดำเนินเรื่องเล่มนี้เยี่ยมมาก ลุ้นตลอด ต้องพยายามหาร่องรอยหลักฐานว่า คนร้ายกบดานอยู่ที่ไหน มีความคืบหน้าในการติดตามสืบเกือบทุกบท ตามเข้าใกล้คนร้ายไปเรื่อยๆ เรื่องเร่งเร็ว ไม่มีเอื่อยเลย เรื่องพาร์ทเนอร์ของคนร้าย เราเดาถูกด้วย ตั้งแต่ประโยคแรกที่พูดถึงเลย กะมานานแล้ว
คดีในเล่มนี้เกี่ยวพันกับการกักขังและล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิง บวกกับสถานที่เป็นเมืองดัลลัส เพราะฉะนั้นแน่นอนว่า ต้องส่งผลกระทบทางใจต่ออีฟแน่ๆ อาการฝันร้ายของอีฟเล่มนี้เลยดูจะหนักเป็นพิเศษ แต่เพราะประเด็นนี้ ก็เลยยิ่งทำให้เห็นระดับความรักความผูกพันของอีฟกับรอร์ค อ่านนิยายชุดนี้ บางทีก็เหมือนอ่านหนังสือฮาวทู 999 วิธีบอกรัก บอกรักกันมา 30-40 ตอน ตอนละหลายๆ หน ก็ยังไม่รู้สึกซ้ำซากเลยสักนิด ยังซึ้งยังโดนใจได้ตลอด สรุปว่านี่เป็น 1 ในเล่มที่เราชอบที่สุดในซีรีส์ In Death เลยนะ
ป.ล. ลืมพูดถึงได้ไง เจ้าแมวอ้วนกาลาแฮด น่ารักที่สุดเลย
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554
Prey - Linda Howard
คะแนน : 7
เล่มนี้หน้าปกกับเนื้อหาข้างในไปคนละทาง ตอนแรกก่อนอ่านเห็นปกแล้วก็เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร พออ่านจบแล้วมาเขียนบล็อก แปะรูปเสร็จ สิ่งแรกที่นึกทันทีก็คือ รูปนี้ไม่สื่ออะไรถึงเนื้อเรื่องเลยนะเนี่ย เกิดใครไม่เคยอ่าน Linda Howard แล้วหลงซื้อเล่มนี้เพราะหน้าปก อ่านจบก็คงงงๆ เหมือนกัน บุคลิกนางเอกไม่เหมือนผู้หญิงในรูปเลย ในเล่มมีตอนไหนใส่ขาสั้นนอนเล่นอยู่หวา แล้วในหนังสือฉากอยู่ในป่าทั้งเรื่อง ไม่เห็นมีใบไม้บนปกสักใบ
แอนจี้ พาวเวล รับช่วงธุรกิจต่อจากพ่อ เป็นไกด์นำทางเดินป่า แต่เพราะสภาพเศรษฐกิจซบเซา แถมมีไกด์หนุ่มมาดเข้มอย่าง แดร์ คัลลาแฮน เป็นคู่แข่ง ทำให้ลูกค้าหดหาย สถานการณ์ของเธอย่ำแย่ จนแอนจี้ต้องตัดสินใจเลิกกิจการ งานครั้งสุดท้ายของเธอ คือการพาลูกค้าสองคนเข้าป่าไปล่าหมี โดยไม่รู้เลยว่า หนึ่งในนั้นตั้งใจใช้ทริปนี้ดำเนินแผนการฆาตกรรม!
เนื้อเรื่องเล่มนี้น้อยมากๆ เน้นฉากแอกชั่นอย่างเดียว เรื่องลุ้นสืบสวนก็ไม่เท่าไหร่ แผนการซับซ้อนอะไรก็ไม่มี ตัวร้ายก็เห็นๆ ชัดว่าใคร โรแมนซ์ก็น้อย แดร์ปิ๊งแอนจี้อยู่ แต่แอนจี้โกรธแดร์ว่าเป็นคู่แข่งทำให้เธอเจ๊ง พระเอกนางเอกยืนเถียงกันตอนต้นเล่มฉากนึงในเมือง แล้วหลังจากนั้นก็เข้าป่ายาว กว่าพระเอกนางเอกจะได้เจอกันอีกทีไปครึ่งเล่มแล้ว ในป่าก็ไม่มีเนื้อเรื่องอะไรมาก นางเอกหนีผู้ร้าย หนีหมีดำกินคน ไปหลบพายุฝนอยู่ที่เคบินกลางป่ากับพระเอก ก็เลยได้ปรับความเข้าใจกัน แล้วก็ต้องพยายามเอาตัวรอดออกจากป่าโดยไม่ให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของคนร้ายกับสัตว์ร้าย
ก็เป็นเรื่องที่อ่านได้เพลินๆ ไปเรื่อยๆ เล่มนี้คล้ายๆ เรื่อง Ice มั้ง เนื้อเรื่องน้อย ตัวละครน้อย เวลาในเรื่องสั้น ตอนอ่านไม่มีช่วงเบื่อ แต่จบเล่มแล้วก็ไม่ได้มีจุดที่ชอบอะไรเป็นพิเศษ คือ พระเอกนางเอกเรื่องนี้ก็โอเคแหละ แต่ไม่มีพัฒนาการอะไร และเพราะทั้งคู่ถูกจับโยนใส่สถานการณ์คับขัน ก็เห็นใจกันเร็ว แต่เวลาเจอเรื่องที่ความสัมพันธ์ไปไวแบบนี้ บางทีก็อดไพล่ไปนึกถึงคำพูดนางเอกหนังเรื่อง Speed ที่ว่า "'relationships that start under intense circumstances, they never last." ไม่ได้แฮะ
เล่มนี้หน้าปกกับเนื้อหาข้างในไปคนละทาง ตอนแรกก่อนอ่านเห็นปกแล้วก็เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร พออ่านจบแล้วมาเขียนบล็อก แปะรูปเสร็จ สิ่งแรกที่นึกทันทีก็คือ รูปนี้ไม่สื่ออะไรถึงเนื้อเรื่องเลยนะเนี่ย เกิดใครไม่เคยอ่าน Linda Howard แล้วหลงซื้อเล่มนี้เพราะหน้าปก อ่านจบก็คงงงๆ เหมือนกัน บุคลิกนางเอกไม่เหมือนผู้หญิงในรูปเลย ในเล่มมีตอนไหนใส่ขาสั้นนอนเล่นอยู่หวา แล้วในหนังสือฉากอยู่ในป่าทั้งเรื่อง ไม่เห็นมีใบไม้บนปกสักใบ
แอนจี้ พาวเวล รับช่วงธุรกิจต่อจากพ่อ เป็นไกด์นำทางเดินป่า แต่เพราะสภาพเศรษฐกิจซบเซา แถมมีไกด์หนุ่มมาดเข้มอย่าง แดร์ คัลลาแฮน เป็นคู่แข่ง ทำให้ลูกค้าหดหาย สถานการณ์ของเธอย่ำแย่ จนแอนจี้ต้องตัดสินใจเลิกกิจการ งานครั้งสุดท้ายของเธอ คือการพาลูกค้าสองคนเข้าป่าไปล่าหมี โดยไม่รู้เลยว่า หนึ่งในนั้นตั้งใจใช้ทริปนี้ดำเนินแผนการฆาตกรรม!
เนื้อเรื่องเล่มนี้น้อยมากๆ เน้นฉากแอกชั่นอย่างเดียว เรื่องลุ้นสืบสวนก็ไม่เท่าไหร่ แผนการซับซ้อนอะไรก็ไม่มี ตัวร้ายก็เห็นๆ ชัดว่าใคร โรแมนซ์ก็น้อย แดร์ปิ๊งแอนจี้อยู่ แต่แอนจี้โกรธแดร์ว่าเป็นคู่แข่งทำให้เธอเจ๊ง พระเอกนางเอกยืนเถียงกันตอนต้นเล่มฉากนึงในเมือง แล้วหลังจากนั้นก็เข้าป่ายาว กว่าพระเอกนางเอกจะได้เจอกันอีกทีไปครึ่งเล่มแล้ว ในป่าก็ไม่มีเนื้อเรื่องอะไรมาก นางเอกหนีผู้ร้าย หนีหมีดำกินคน ไปหลบพายุฝนอยู่ที่เคบินกลางป่ากับพระเอก ก็เลยได้ปรับความเข้าใจกัน แล้วก็ต้องพยายามเอาตัวรอดออกจากป่าโดยไม่ให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของคนร้ายกับสัตว์ร้าย
ก็เป็นเรื่องที่อ่านได้เพลินๆ ไปเรื่อยๆ เล่มนี้คล้ายๆ เรื่อง Ice มั้ง เนื้อเรื่องน้อย ตัวละครน้อย เวลาในเรื่องสั้น ตอนอ่านไม่มีช่วงเบื่อ แต่จบเล่มแล้วก็ไม่ได้มีจุดที่ชอบอะไรเป็นพิเศษ คือ พระเอกนางเอกเรื่องนี้ก็โอเคแหละ แต่ไม่มีพัฒนาการอะไร และเพราะทั้งคู่ถูกจับโยนใส่สถานการณ์คับขัน ก็เห็นใจกันเร็ว แต่เวลาเจอเรื่องที่ความสัมพันธ์ไปไวแบบนี้ บางทีก็อดไพล่ไปนึกถึงคำพูดนางเอกหนังเรื่อง Speed ที่ว่า "'relationships that start under intense circumstances, they never last." ไม่ได้แฮะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)