คะแนน : 6
นี่เป็นเรื่องที่สองของ Loretta Chase ที่เราหยิบมาอ่าน นางเอกเป็นหญิงงามเมือง พระเอกเป็นเจมส์บอนด์ยุครีเจนซี่ เป็นความพยายามที่ล้มเหลวอีกครั้งหนึ่งในการลองอ่านเรื่องที่แตกต่าง
ไม่มีค่าพอให้เสียเวลาเขียนถึงมาก โพสท์ถึงเพื่อเป็นการบันทึกไว้เฉยๆ ว่า อ่านเรื่องนี้จบแล้ว
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Devil's Cub by Georgette Heyer
คะแนน : 8.5
พอเริ่มเบื่อๆ เพราะอ่านเจอเรื่องที่ไม่ค่อยประทับใจติดๆ กัน หรือหาเรื่องที่ถูกใจอ่านไม่ได้ เราจะย้อนกลับไปหาเรื่องที่ยังไม่เคยอ่านของนักเขียนที่เราชื่นชอบ เรื่องที่เราไว้ใจว่าน่าจะทำให้เราชอบ เพื่อช่วยในการปรับอารมณ์ และครั้งนี้เราก็หยิบเรื่อง Devil's Cub ของ Georgette Heyer ขึ้นมา
Georgette Heyer เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง และได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกนิยายแนวรีเจนซี่ แต่สารภาพว่าเพิ่งมารู้จักเธอไม่นานนี้เองค่ะ ดังนั้นยังไล่อ่านเรื่องของเธอไม่หมด เพราะเราไม่ค่อยชอบอ่านเรื่องคล้ายๆ กันติดๆ กันมากๆ อ่านเรื่องแนวเดียวกันสัก 2-3 เรื่อง ก็ต้องสลับไปอ่านเรื่องแนวอื่นหรือของนักเขียนคนอื่นบ้าง แต่จากที่เราอ่านงานของ Heyer มาเกือบ 10 เรื่อง เราก็ชอบเกือบทุกเรื่องเลย
ก่อนหน้านี้อ่านเรื่อง These Old Shade ไป และชอบมาก ครั้งนี้จึงหยิบภาคต่อ ซึ่งพระเอกเป็นลูกชายของพระเอกนางเอกเรื่องนั้นมาอ่านอีก ทั้งๆ ที่เราเคยอ่านนิยายที่แปลงจากเรื่องนี้มาแล้ว คือเรื่อง คุณชายธมกานต์ ของวลัย นวาระ อ่านแล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะชอบคุณชายธมกานต์อยู่แล้ว มาอ่านเวอร์ชันต้นฉบับก็ยังชอบอยู่ดี
เนื่องจากงานของ Heyer เป็นนิยายโรแมนซ์ยุคเก่าที่เขียนมาหลายสิบปีแล้ว ดังนั้นจึงแตกต่างจากนิยายโรแมนซ์ยุคใหม่พอสมควรเลย บทรักนี่ไม่มีเลย มากสุดคือแค่จูบ พระเอกนางเอกจะสารภาพรักลงเอยต่อกันได้นี่ก็ต่อเมื่อถึงตอนจบของเรื่องพอดี แต่แปลกที่แค่บทสนทนาระหว่างพระเอกนางเอกหรือแค่การบรรยายท่าทีของตัวละครแค่ไม่กี่คำ ก็ทำให้เราเห็นสปาร์คระหว่างตัวละครได้มากกว่าบทรักร้อนแรงหรือคำประกาศรักของตัวเอกโรแมนซ์ทั่วไปด้วยซ้ำไป
Dominic พระเอกของเรื่องเป็น Bad Boy ต้นแบบ ซึ่งปกติเราไม่ชอบพระเอกแนวนี้นัก แต่ด้วยฝีมือการเขียนระดับปรมาจารย์ ก็ทำให้คนอ่านอดหลงเสน่ห์เขาไม่ได้ โดยเฉพาะตอนหึงนี่ น่ารักดีจัง ส่วนนางเอก Mary เราชอบความมีเหตุมีผลของเธอ แม้จะดูเรียบแต่ไม่น่าเบื่อ แล้วส่วนผสมของความรักระหว่างคนสองคนที่มีบุคลิกตรงข้ามกันในเรื่องนี้ ทำได้ลงตัวจริงๆ อ่านไปยิ้มไป คะแนน 8.5 ถ้ายังไม่ได้อ่าน อย่าพลาดนะ
พอเริ่มเบื่อๆ เพราะอ่านเจอเรื่องที่ไม่ค่อยประทับใจติดๆ กัน หรือหาเรื่องที่ถูกใจอ่านไม่ได้ เราจะย้อนกลับไปหาเรื่องที่ยังไม่เคยอ่านของนักเขียนที่เราชื่นชอบ เรื่องที่เราไว้ใจว่าน่าจะทำให้เราชอบ เพื่อช่วยในการปรับอารมณ์ และครั้งนี้เราก็หยิบเรื่อง Devil's Cub ของ Georgette Heyer ขึ้นมา
Georgette Heyer เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง และได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกนิยายแนวรีเจนซี่ แต่สารภาพว่าเพิ่งมารู้จักเธอไม่นานนี้เองค่ะ ดังนั้นยังไล่อ่านเรื่องของเธอไม่หมด เพราะเราไม่ค่อยชอบอ่านเรื่องคล้ายๆ กันติดๆ กันมากๆ อ่านเรื่องแนวเดียวกันสัก 2-3 เรื่อง ก็ต้องสลับไปอ่านเรื่องแนวอื่นหรือของนักเขียนคนอื่นบ้าง แต่จากที่เราอ่านงานของ Heyer มาเกือบ 10 เรื่อง เราก็ชอบเกือบทุกเรื่องเลย
ก่อนหน้านี้อ่านเรื่อง These Old Shade ไป และชอบมาก ครั้งนี้จึงหยิบภาคต่อ ซึ่งพระเอกเป็นลูกชายของพระเอกนางเอกเรื่องนั้นมาอ่านอีก ทั้งๆ ที่เราเคยอ่านนิยายที่แปลงจากเรื่องนี้มาแล้ว คือเรื่อง คุณชายธมกานต์ ของวลัย นวาระ อ่านแล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะชอบคุณชายธมกานต์อยู่แล้ว มาอ่านเวอร์ชันต้นฉบับก็ยังชอบอยู่ดี
เนื่องจากงานของ Heyer เป็นนิยายโรแมนซ์ยุคเก่าที่เขียนมาหลายสิบปีแล้ว ดังนั้นจึงแตกต่างจากนิยายโรแมนซ์ยุคใหม่พอสมควรเลย บทรักนี่ไม่มีเลย มากสุดคือแค่จูบ พระเอกนางเอกจะสารภาพรักลงเอยต่อกันได้นี่ก็ต่อเมื่อถึงตอนจบของเรื่องพอดี แต่แปลกที่แค่บทสนทนาระหว่างพระเอกนางเอกหรือแค่การบรรยายท่าทีของตัวละครแค่ไม่กี่คำ ก็ทำให้เราเห็นสปาร์คระหว่างตัวละครได้มากกว่าบทรักร้อนแรงหรือคำประกาศรักของตัวเอกโรแมนซ์ทั่วไปด้วยซ้ำไป
Dominic พระเอกของเรื่องเป็น Bad Boy ต้นแบบ ซึ่งปกติเราไม่ชอบพระเอกแนวนี้นัก แต่ด้วยฝีมือการเขียนระดับปรมาจารย์ ก็ทำให้คนอ่านอดหลงเสน่ห์เขาไม่ได้ โดยเฉพาะตอนหึงนี่ น่ารักดีจัง ส่วนนางเอก Mary เราชอบความมีเหตุมีผลของเธอ แม้จะดูเรียบแต่ไม่น่าเบื่อ แล้วส่วนผสมของความรักระหว่างคนสองคนที่มีบุคลิกตรงข้ามกันในเรื่องนี้ ทำได้ลงตัวจริงๆ อ่านไปยิ้มไป คะแนน 8.5 ถ้ายังไม่ได้อ่าน อย่าพลาดนะ
วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552
The Treasure Keeper (Drakon 4)
คะแนน : 6.5
เพราะเคยอ่านซีรีส์นี้ของ Shana Abe มาทั้ง 3 เล่มในชุด เราชอบ The Smoke Thief ที่เป็นเล่มแรกที่สุด เล่มสอง The Dream Thief เริ่มเฉยๆ และไม่ค่อยชอบเล่มสาม Queen of Dragons เท่าไหร่ ทั้งที่ไม่ได้ชอบมาก แต่โดยปกติถ้าอ่านเรื่องชุดไหนมาแล้ว ถ้าไม่ห่วยจริงๆ ก็จะอ่านต่อไป ก็เลยหยิบเรื่องนี้มาอ่าน
ความรู้สึกหลังอ่านจบเล่ม 4 ก็ต้องบอกว่าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ปัญหาหลักคือ เราไม่ชอบนางเอกตั้งแต่เริ่มเปิดเรื่อง Zoe เป็นเด็กในเผ่า Drakon รู้จักคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กกับ Rhys พระเอกของเรื่อง ซึ่งเป็นลูกชายของพระเอกนางเอกภาคแรก เป็นน้องชายของพระเอกเล่มสาม และทั้งคู่ก็น่าจะชอบกันไปตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ใช่ความงี่เง่าของนางเอกเอง ที่ปฏิเสธความรู้สึกตัวเอง แล้วขอทีเถอะ ไอ้ที่ชอบใช้เหตุผลงี่เง่าว่า ไม่อยากเปิดเผยพลังของตัวเองเพราะไม่อยากถูกบังคับให้แต่งงานกับพระเอกตามธรรมเนียมของเผ่า ก็เลยไปหมั้นหมายกับผู้ชายคนอื่นที่ตัวเองก็ไม่ได้รักแทน บอกตรงๆ รำคาญผู้หญิงโง่ๆ อย่างนี้น่ะ แล้วตลอดเรื่องแม่คุณก็ไม่ได้ทำตัวให้ดีขึ้นเลย มีแต่ทำเรื่องน่าหมั่นไส้ตลอด เราไม่เข้าใจว่า ทำไม Rhys จะต้องมารักผู้หญิงแข็งกร้าว ปากไม่ตรงกับใจ งี่เง่า ไร้เหตุผลแบบนี้ด้วย แค่การบรรยายทุกครั้งที่พระเอกมองนางเอกว่า พระเอกคิดว่านางเอกสวยยังไง หรือแม้กระทั่งว่ารู้ชื่อหมาของนางเอก รู้ว่านางเอกไม่ชอบทำอาหาร แล้วไงล่ะ มันไม่เพียงพอหรอกนะ
พอไม่ชอบตัวละครแล้ว ก็อ่านเอาเรื่องไปยังงั้นเอง ตอนอ่านเล่ม 4 นี้ เนื่องจากไม่ได้ทวนเล่มเก่า เลยลืมรายละเอียดไปพอสมควรเลย ทำให้เริ่มต้นอย่างงงๆ เล็กน้อย Rhys โดนจับตัวไปตั้งแต่เล่มก่อน ถ้าใครไม่ได้อ่านเล่มต้นๆ คงจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่พออ่านไปเรื่อยๆ ก็เริ่มต่อติด แต่ก็ยังรู้สึกว่าคนแต่งน่าจะอธิบายเรื่องราวความเป็นมาจากเล่มก่อนๆ ได้ดีกว่านี้ เหตุการณ์หลายอย่างจากที่ค้างไว้เล่มก่อนหลายเรื่องก็ยังไม่คลี่คลายในเล่มนี้ แถมตอนจบก็ทิ้งเรื่องราวค้างเอาไว้สำหรับเล่มต่อไปอีก ถ้าเล่มหน้าออกมาหาได้ก็จะอ่าน แต่คงไม่ตั้งหน้าตั้งตานับวันรอ
เพราะเคยอ่านซีรีส์นี้ของ Shana Abe มาทั้ง 3 เล่มในชุด เราชอบ The Smoke Thief ที่เป็นเล่มแรกที่สุด เล่มสอง The Dream Thief เริ่มเฉยๆ และไม่ค่อยชอบเล่มสาม Queen of Dragons เท่าไหร่ ทั้งที่ไม่ได้ชอบมาก แต่โดยปกติถ้าอ่านเรื่องชุดไหนมาแล้ว ถ้าไม่ห่วยจริงๆ ก็จะอ่านต่อไป ก็เลยหยิบเรื่องนี้มาอ่าน
ความรู้สึกหลังอ่านจบเล่ม 4 ก็ต้องบอกว่าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ปัญหาหลักคือ เราไม่ชอบนางเอกตั้งแต่เริ่มเปิดเรื่อง Zoe เป็นเด็กในเผ่า Drakon รู้จักคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กกับ Rhys พระเอกของเรื่อง ซึ่งเป็นลูกชายของพระเอกนางเอกภาคแรก เป็นน้องชายของพระเอกเล่มสาม และทั้งคู่ก็น่าจะชอบกันไปตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ใช่ความงี่เง่าของนางเอกเอง ที่ปฏิเสธความรู้สึกตัวเอง แล้วขอทีเถอะ ไอ้ที่ชอบใช้เหตุผลงี่เง่าว่า ไม่อยากเปิดเผยพลังของตัวเองเพราะไม่อยากถูกบังคับให้แต่งงานกับพระเอกตามธรรมเนียมของเผ่า ก็เลยไปหมั้นหมายกับผู้ชายคนอื่นที่ตัวเองก็ไม่ได้รักแทน บอกตรงๆ รำคาญผู้หญิงโง่ๆ อย่างนี้น่ะ แล้วตลอดเรื่องแม่คุณก็ไม่ได้ทำตัวให้ดีขึ้นเลย มีแต่ทำเรื่องน่าหมั่นไส้ตลอด เราไม่เข้าใจว่า ทำไม Rhys จะต้องมารักผู้หญิงแข็งกร้าว ปากไม่ตรงกับใจ งี่เง่า ไร้เหตุผลแบบนี้ด้วย แค่การบรรยายทุกครั้งที่พระเอกมองนางเอกว่า พระเอกคิดว่านางเอกสวยยังไง หรือแม้กระทั่งว่ารู้ชื่อหมาของนางเอก รู้ว่านางเอกไม่ชอบทำอาหาร แล้วไงล่ะ มันไม่เพียงพอหรอกนะ
พอไม่ชอบตัวละครแล้ว ก็อ่านเอาเรื่องไปยังงั้นเอง ตอนอ่านเล่ม 4 นี้ เนื่องจากไม่ได้ทวนเล่มเก่า เลยลืมรายละเอียดไปพอสมควรเลย ทำให้เริ่มต้นอย่างงงๆ เล็กน้อย Rhys โดนจับตัวไปตั้งแต่เล่มก่อน ถ้าใครไม่ได้อ่านเล่มต้นๆ คงจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่พออ่านไปเรื่อยๆ ก็เริ่มต่อติด แต่ก็ยังรู้สึกว่าคนแต่งน่าจะอธิบายเรื่องราวความเป็นมาจากเล่มก่อนๆ ได้ดีกว่านี้ เหตุการณ์หลายอย่างจากที่ค้างไว้เล่มก่อนหลายเรื่องก็ยังไม่คลี่คลายในเล่มนี้ แถมตอนจบก็ทิ้งเรื่องราวค้างเอาไว้สำหรับเล่มต่อไปอีก ถ้าเล่มหน้าออกมาหาได้ก็จะอ่าน แต่คงไม่ตั้งหน้าตั้งตานับวันรอ
วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Genesis of Shannara Trilogy - Terry Brooks
คะแนน : 7.5
ได้รู้จักเรื่อง Shannara ครั้งแรก จากหนังสือแปลเรื่องแชนนาร่า ซึ่งออกมาช่วงที่ สนพ. เมืองไทย แห่กันออกแฟนตาซี ตามหลังกระแส Harry Potter เราพลิกอ่านไปสักสิบหน้าก็ตัดสินใจซื้อหนังสือเลย เพราะชอบบรรยากาศแฟนตาซีในเรื่อง แต่น่าเสียดายที่เรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จในเมืองไทยเลย เห็นตอนหลังเรื่องนี้โดนเอามาโละขายถูกๆ ในงานสัปดาห์หนังสือ ทั้งๆ ที่ Shannara เป็นนิยายแฟนตาซีที่สนุกมากๆ ในความคิดของเรา ชอบรองจาก Harry Potter แต่ชอบมากกว่า Lord of the Rings หลังจากเริ่มได้อ่านเล่มแปล ก็ไปค้นข้อมูลต่อจนรู้ว่า มันเป็นซีรีส์ที่ออกมาหลายเล่มแล้ว เราก็จัดแจงสั่งซื้อจากอเมซอนเลย ทั้งชุดปกแข็ง หนังสือสวยมากเก็บเป็นคอลเลคชันน่าสะสม
เล่มแรกของซีรีส์คือ The Sword of Shannara เขียนขึ้นมานานแล้ว พล็อตเรื่องเรียกว่าลอก Lord of the Rings มาเด๊ะ แต่รู้สึกอ่านสนุกกว่า เพราะไม่ยืดเยื้อเยิ่นเย้อ ตอน LOTR เล่มหนึ่ง กว่าเราจะอ่านเล่มนั้นจบเป็นเดือน กว่าจะเดินทางพ้นป่า แต่ Shannara เป็นเหมือนหนังฮอลลีวู้ด ที่ดำเนินเรื่องเร็วกว่า เล่มที่ตามมาก็จะมีเอกลักษณ์โดดเด่นของตัวเองมากขึ้น เป็นโลกของ Shannara เองจริงๆ ปัจจุบันมีทั้งหมด 18 เล่ม แบ่งเป็นชุดๆ ส่วนใหญ่จะชุดละไตรภาค แต่บางชุดก็มีสี่เล่ม ภาคที่มีแปลภาษาไทยนี่ก็เป็นไตรภาคที่สามของซีรีส์แล้ว เสียดายที่ขายไม่ดี ไม่ดัง ทำให้ไม่มีการแปลภาคอื่นๆ ออกมา ยังไม่เคยเจอคนรู้จักคนไหนอ่านเรื่องนี้เลย เคยมีข่าวว่า The Elfstones of Shannara จะถูกสร้างเป็นหนัง แต่ตอนหลังโครงการก็ถูกพับไป
ไตรภาคล่าสุดของ Shannara คือ Genesis of Shannara ประกอบด้วยเรื่อง Armageddon's Children, The Elves of Cintra, The Gypsy Morph เป็นการจับซีรีส์ Shannara กับซีรีส์ Word and Void ซึ่งเป็นอีกเรื่องของคนเขียนเดียวกัน คือ Terry Brooks มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ชุด Shannara เป็นโลกแฟนตาซี มีเอลฟ์ มีเวทมนตร์ แต่ชุด Word and Void เป็นยุคปัจจุบัน ที่ฝั่งตัวเอกจะรับใช้ Word (เทพ) ต่อสู้กับฝ่าย demon ซึ่งเป็นสมุนของ Void (มาร)
ใน Genesis of Shannara เริ่มต้นขึ้นหลัง Word and Void หลายสิบปี อารยธรรมล่มสลาย โลกเข้าสู่กลียุค มนุษยชาติเกือบสูญสิ้นหมดจากสงครามนิวเคลียร์ ผู้คนที่เหลือรอดก็ถูกปิศาจไล่ล่า ฝ่ายตัวเอกคือกลุ่มเด็กๆ ที่มีเด็กหนุ่มชื่อฮอว์คเป็นผู้นำ ฮอว์คคือเด็กที่มีกำเนิดจากพลังธรรมชาติที่อยู่ในเรื่อง Word and Void เขาคือคนที่จะนำพาเหล่ามนุษย์ที่เหลือ บวกกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหลาย รวมทั้งเอลฟ์ที่แอบซ่อนอยู่จากสายตาของมนุษย์ ไปสู่สถานที่ปลอดภัย โดยมี Knight of the Word เพียงสองคนคอยช่วยเหลือ แล้วผู้คนเหล่านั้นจะเป็นผู้สร้างโลกใหม่ที่เป็นฉากของโลกแฟนตาซี Shannara นั่นเอง
สำหรับไตรภาคนี้ก็สนุกดี พออ่านได้เพลินๆ แต่เรายังไม่ค่อยประทับใจนัก เมื่อเทียบกับ Shannara ที่เราชอบมาก เพราะ Shannara เป็นแฟนตาซีเต็มตัว แต่ชุดนี้จะคล้ายและต่อเนื่องกับ Word and Void ซึ่งเราค่อนข้างเฉยๆ มากกว่า การดำเนินเรื่องบางช่วงก็อืดไปเลย เล่มสองในชุดจะสนุกที่สุดเพราะเป็นเรื่องของเอลฟ์ มีการกล่าวถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่จะไปปรากฏใน Shannara โดยรวมก็โอเค แต่บอกตรงๆ ว่า ถ้าชอบ Shannara ในฐานะแฟนตาซี การมีภาค Genesis ที่แสดงว่าโลกต้นกำเนิดของ Shannara คือโลกของเรานี่แหละ มันทำให้ความอินกับแฟนตาซีมันลดน้อยลงแฮะ โดยรวมให้คะแนนไตรภาคนี้ที่ 7.5 แล้วกัน
ได้รู้จักเรื่อง Shannara ครั้งแรก จากหนังสือแปลเรื่องแชนนาร่า ซึ่งออกมาช่วงที่ สนพ. เมืองไทย แห่กันออกแฟนตาซี ตามหลังกระแส Harry Potter เราพลิกอ่านไปสักสิบหน้าก็ตัดสินใจซื้อหนังสือเลย เพราะชอบบรรยากาศแฟนตาซีในเรื่อง แต่น่าเสียดายที่เรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จในเมืองไทยเลย เห็นตอนหลังเรื่องนี้โดนเอามาโละขายถูกๆ ในงานสัปดาห์หนังสือ ทั้งๆ ที่ Shannara เป็นนิยายแฟนตาซีที่สนุกมากๆ ในความคิดของเรา ชอบรองจาก Harry Potter แต่ชอบมากกว่า Lord of the Rings หลังจากเริ่มได้อ่านเล่มแปล ก็ไปค้นข้อมูลต่อจนรู้ว่า มันเป็นซีรีส์ที่ออกมาหลายเล่มแล้ว เราก็จัดแจงสั่งซื้อจากอเมซอนเลย ทั้งชุดปกแข็ง หนังสือสวยมากเก็บเป็นคอลเลคชันน่าสะสม
เล่มแรกของซีรีส์คือ The Sword of Shannara เขียนขึ้นมานานแล้ว พล็อตเรื่องเรียกว่าลอก Lord of the Rings มาเด๊ะ แต่รู้สึกอ่านสนุกกว่า เพราะไม่ยืดเยื้อเยิ่นเย้อ ตอน LOTR เล่มหนึ่ง กว่าเราจะอ่านเล่มนั้นจบเป็นเดือน กว่าจะเดินทางพ้นป่า แต่ Shannara เป็นเหมือนหนังฮอลลีวู้ด ที่ดำเนินเรื่องเร็วกว่า เล่มที่ตามมาก็จะมีเอกลักษณ์โดดเด่นของตัวเองมากขึ้น เป็นโลกของ Shannara เองจริงๆ ปัจจุบันมีทั้งหมด 18 เล่ม แบ่งเป็นชุดๆ ส่วนใหญ่จะชุดละไตรภาค แต่บางชุดก็มีสี่เล่ม ภาคที่มีแปลภาษาไทยนี่ก็เป็นไตรภาคที่สามของซีรีส์แล้ว เสียดายที่ขายไม่ดี ไม่ดัง ทำให้ไม่มีการแปลภาคอื่นๆ ออกมา ยังไม่เคยเจอคนรู้จักคนไหนอ่านเรื่องนี้เลย เคยมีข่าวว่า The Elfstones of Shannara จะถูกสร้างเป็นหนัง แต่ตอนหลังโครงการก็ถูกพับไป
ไตรภาคล่าสุดของ Shannara คือ Genesis of Shannara ประกอบด้วยเรื่อง Armageddon's Children, The Elves of Cintra, The Gypsy Morph เป็นการจับซีรีส์ Shannara กับซีรีส์ Word and Void ซึ่งเป็นอีกเรื่องของคนเขียนเดียวกัน คือ Terry Brooks มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ชุด Shannara เป็นโลกแฟนตาซี มีเอลฟ์ มีเวทมนตร์ แต่ชุด Word and Void เป็นยุคปัจจุบัน ที่ฝั่งตัวเอกจะรับใช้ Word (เทพ) ต่อสู้กับฝ่าย demon ซึ่งเป็นสมุนของ Void (มาร)
ใน Genesis of Shannara เริ่มต้นขึ้นหลัง Word and Void หลายสิบปี อารยธรรมล่มสลาย โลกเข้าสู่กลียุค มนุษยชาติเกือบสูญสิ้นหมดจากสงครามนิวเคลียร์ ผู้คนที่เหลือรอดก็ถูกปิศาจไล่ล่า ฝ่ายตัวเอกคือกลุ่มเด็กๆ ที่มีเด็กหนุ่มชื่อฮอว์คเป็นผู้นำ ฮอว์คคือเด็กที่มีกำเนิดจากพลังธรรมชาติที่อยู่ในเรื่อง Word and Void เขาคือคนที่จะนำพาเหล่ามนุษย์ที่เหลือ บวกกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหลาย รวมทั้งเอลฟ์ที่แอบซ่อนอยู่จากสายตาของมนุษย์ ไปสู่สถานที่ปลอดภัย โดยมี Knight of the Word เพียงสองคนคอยช่วยเหลือ แล้วผู้คนเหล่านั้นจะเป็นผู้สร้างโลกใหม่ที่เป็นฉากของโลกแฟนตาซี Shannara นั่นเอง
สำหรับไตรภาคนี้ก็สนุกดี พออ่านได้เพลินๆ แต่เรายังไม่ค่อยประทับใจนัก เมื่อเทียบกับ Shannara ที่เราชอบมาก เพราะ Shannara เป็นแฟนตาซีเต็มตัว แต่ชุดนี้จะคล้ายและต่อเนื่องกับ Word and Void ซึ่งเราค่อนข้างเฉยๆ มากกว่า การดำเนินเรื่องบางช่วงก็อืดไปเลย เล่มสองในชุดจะสนุกที่สุดเพราะเป็นเรื่องของเอลฟ์ มีการกล่าวถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่จะไปปรากฏใน Shannara โดยรวมก็โอเค แต่บอกตรงๆ ว่า ถ้าชอบ Shannara ในฐานะแฟนตาซี การมีภาค Genesis ที่แสดงว่าโลกต้นกำเนิดของ Shannara คือโลกของเรานี่แหละ มันทำให้ความอินกับแฟนตาซีมันลดน้อยลงแฮะ โดยรวมให้คะแนนไตรภาคนี้ที่ 7.5 แล้วกัน
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Silk and Secrets - Mary Jo Putney ผิดที่เกินอภัย
คะแนน : 5
คำเตือน ระวังสปอยล์สุดๆ
เรื่องนี้เพิ่งได้ตำแหน่ง DIK จากเว็บ AAR เป็นรีวิวใหม่ แต่เป็นงานเขียนหลายปีแล้ว เนื่องจากเคยได้ยินชื่อนักเขียนคนนี้มานาน และรู้สึกว่าจะได้คำชื่นชมเยอะ ก็โหลดงานของเธอมาเก็บนานแล้ว แต่ที่ผ่านมา ลองอ่านพล็อตเรื่องของเธอทีไร ก็ทำให้ไม่ค่อยอยากอ่านจริงเท่าไหร่ เพราะดูท่าทางจะหนัก และตัวเอกของเธอมักจะมีปัญหาร้ายแรง ดูๆ แล้วบรรยากาศมันหม่นๆ ทำให้ไม่อยากอ่าน เพราะสาเหตุหลักที่ติดโรแมนซ์ช่วงปีหลังๆ มานี้ เพราะงานหนัก ต้องการพักสมองด้วยเรื่องเบาๆ แต่ด้วยรีวิวอันนั้น มีประเด็นที่ยั่วให้เราเกิดความสนใจขึ้นมา เพราะพูดถึงความผิดของนางเอกเรื่องนี้ ว่าคนอ่านแต่ละคนอาจจะมีปฏิกิริยาแตกต่างกัน ซึ่งบางคนก็ถึงกับรับไม่ได้ไปเลย แต่คนรีวิวของ AAR รับได้ ให้เกรด A- แก่เรื่องนี้มา ทำให้เราอยากรู้ เลยไปแกะไฟล์นี้ออกมาจากคลังอีบุ๊คของเรา
เจตนาที่เปิดเล่มนี้ขึ้นมา เหตุผลหลักจริงๆ คือ เพื่อจะยืนยันข้อสงสัยของตัวเองเท่านั้นเองว่า ความผิดพลาดร้ายแรงของนางเอกใช่อย่างที่เราคิดไว้มั้ย เราสงสัยว่า มันต้องเป็นเรื่องการคบชู้หรือนอกใจ เปิดมาก็สแกนหาเลยค่ะ และเจอฉากเด็ดในเวลาไม่นาน การสารภาพความจริงของนางเอกตอนใกล้จบเรื่อง และเป็นไปตามที่คาดค่ะ รู้สึกรับไม่ได้อย่างแรง ย้อนกลับไปอ่านรีวิวต่างๆ ในอเมซอนอีก ก็เห็นได้คะแนนดี มีแต่คนชมจัง ตามบอร์ดที่พูดคุยกันหลายคนก็บอกว่า นักอ่านโรแมนซ์ซึ่งเป็นผู้หญิง คาดหวังกับนางเอกมากเกินไป ทีพระเอกทำเลวๆ สารพัด ยังแก้ตัวแทน ทีนางเอกทำพลาดบ้าง ทำเป็นรับไม่ได้
มันทำให้เราต้องทบทวนตัวเอง ว่าเพราะอคติของเรา จะทำให้เราพลาดเรื่องดีๆ รึเปล่า เพราะบอกตามตรงสมัยก่อนนางเอกไม่เวอร์จิ้นนี่ก็ไม่อ่านแล้ว แต่ถ้าตอนนี้ขืนยังคิดมากเรื่องนั้นอยู่ก็คงเสียดายแย่ที่พลาดเรื่องดีๆ ไปเยอะ และถ้าฝีมือนักเขียนดีๆ ก็อาจทำให้เราชอบได้ เพราะขนาดงานเรื่อง A Precious Jewel ของ Mary Balogh ที่นางเอกเป็นโสเภณี เรายังชอบได้เลย เราควรลองอ่านเรื่องนี้ดู เพื่อให้เข้าใจเหตุผลทั้งหมดของนางเอก เป็นการทดสอบว่าเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกระดับที่พอจะรับเรื่องแบบนี้ได้รึยัง
ปรากฏว่า พออ่านตั้งแต่ต้น รู้เรื่องราว รู้จักนางเอก รู้เหตุผล ที่มาที่ไปถึงการกระทำที่นางเอกอธิบายทั้งหมดแล้ว เราก็ยังไม่สามารถอภัยให้เธอได้อยู่ดีค่ะ ไม่ว่าจะแก้ตัวว่าอะไร ว่าเพราะตอนนั้นนางเอกยังเด็กอายุสิบแปด สภาพจิตใจ ณ เวลานั้นก็สับสนสุดๆ พลาดแค่ครั้งเดียว อภัยไม่ได้หรือ สำนึกผิด แล้วก็ลงโทษตัวเองขนาดนี้แล้ว ตอนนี้นางเอกก็เติบโต ไม่โง่เขลาแบบนั้นแล้ว โอเค เราเกลียดเธอน้อยลง แต่เราก็รับไม่ได้อยู่ดีค่ะ เหตุผลที่นางเอกหนีพระเอกมาก็ฟังไม่ค่อยขึ้นอยู่แล้ว แต่ที่ร้ายคือ ไม่ว่ายังไง เราก็ยอมรับไม่ได้กับการที่นางเอกยอมนอนกับชายอื่นทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่ามีลูกพระเอกอยู่ในท้อง จนกระทั่งปัจจุบัน ทุกการกระทำของนางเอกก็มาจากความเห็นแก่ตัวของนางเอกเองทั้งนั้น สิ่งที่เธอพยายามบอกตัวเองและคนอ่านว่าทำเพื่อพระเอก ทุกอย่างมันดูเป็นการทำร้ายจิตใจพระเอกซ้ำเติมไปทั้งนั้น พระเอกก็ช่างอภัยให้อย่างง่ายดาย
โอย ตอนเราอ่านจบ เราก็ได้แต่จินตนาการซ้ำไปซ้ำมาถึงฉากจบอีกแบบว่า ปฏิกิริยาของพระเอกของเราควรจะเป็นยังไง พระเอกในจินตนาการของเราจะยกโทษให้นางเอก แต่คงไม่สามารถกลับมาคืนดีกันได้อีก ถึงแม้นั่นจะเป็นการลงโทษตัวเองชั่วชีวิตไปด้วยพร้อมๆ กันก็ตาม พระเอกเรื่องนี้ช่างสมบูรณ์แบบ ทั้งหล่อ เก่ง ดี แต่เราก็ชอบไม่ลง เพราะสงสัยในวิจารณญาณเรื่องการรักผู้หญิงของเขา
ประเด็นอื่นไม่พูดถึงล่ะนะ ฉากทะเลทราย การผจญภัยช่วยเหลือพี่ชายนางเอก ไม่สนใจแล้ว เพราะประเด็นเดียวของเรื่องนี้ มันทำลายทุกอย่างที่เราแคร์เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ใครจะว่าเราใจแคบก็ยอมรับโดยดีเลย โชคดีนะนี่ที่เราอ่านแบบรู้สปอยล์ก่อนล่วงหน้า ถ้าเริ่มอ่านตั้งแต่แรกโดยที่ไม่รู้อะไรเลย เราคงเสียความรู้สึกน่าดู คงรู้สึกเหมือนถูกหลอก เพราะนางเอกทำตัวเป็นคนดีมาก เช่นพอถูกพระเอกเสียดสีเรื่องที่ได้ข่าวซุบซิบว่านางเอกคบชู้มากหน้าหลายตา ก็หน้าซีดบอกพระเอกว่า พูดกันเกินไป ถึงมันจะเกินไปจริงก็เถอะ แต่เราคงนึกว่าคุณเธอคงไม่ได้ทำอะไรผิด ตามแบบฉบับนางเอกโรแมนซ์ทั่วไป สรุปว่าการทดสอบตัวเองครั้งนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ยังไงประเด็นเรื่องนางเอกนอกใจในนิยายโรแมนซ์ ยังเป็น BIG NO NO ของเราอยู่ดี ให้คะแนน 5/10 และถ้านี่ไม่ใช่เรื่องสุดท้ายของ Mary Jo Putney ที่เราจะอ่านแล้วล่ะก็ อย่างน้อยก็คงจะอีกนานล่ะกว่าเราจะกล้าหยิบเรื่องอื่นของเธอมาอ่านอีก
คำเตือน ระวังสปอยล์สุดๆ
เรื่องนี้เพิ่งได้ตำแหน่ง DIK จากเว็บ AAR เป็นรีวิวใหม่ แต่เป็นงานเขียนหลายปีแล้ว เนื่องจากเคยได้ยินชื่อนักเขียนคนนี้มานาน และรู้สึกว่าจะได้คำชื่นชมเยอะ ก็โหลดงานของเธอมาเก็บนานแล้ว แต่ที่ผ่านมา ลองอ่านพล็อตเรื่องของเธอทีไร ก็ทำให้ไม่ค่อยอยากอ่านจริงเท่าไหร่ เพราะดูท่าทางจะหนัก และตัวเอกของเธอมักจะมีปัญหาร้ายแรง ดูๆ แล้วบรรยากาศมันหม่นๆ ทำให้ไม่อยากอ่าน เพราะสาเหตุหลักที่ติดโรแมนซ์ช่วงปีหลังๆ มานี้ เพราะงานหนัก ต้องการพักสมองด้วยเรื่องเบาๆ แต่ด้วยรีวิวอันนั้น มีประเด็นที่ยั่วให้เราเกิดความสนใจขึ้นมา เพราะพูดถึงความผิดของนางเอกเรื่องนี้ ว่าคนอ่านแต่ละคนอาจจะมีปฏิกิริยาแตกต่างกัน ซึ่งบางคนก็ถึงกับรับไม่ได้ไปเลย แต่คนรีวิวของ AAR รับได้ ให้เกรด A- แก่เรื่องนี้มา ทำให้เราอยากรู้ เลยไปแกะไฟล์นี้ออกมาจากคลังอีบุ๊คของเรา
เจตนาที่เปิดเล่มนี้ขึ้นมา เหตุผลหลักจริงๆ คือ เพื่อจะยืนยันข้อสงสัยของตัวเองเท่านั้นเองว่า ความผิดพลาดร้ายแรงของนางเอกใช่อย่างที่เราคิดไว้มั้ย เราสงสัยว่า มันต้องเป็นเรื่องการคบชู้หรือนอกใจ เปิดมาก็สแกนหาเลยค่ะ และเจอฉากเด็ดในเวลาไม่นาน การสารภาพความจริงของนางเอกตอนใกล้จบเรื่อง และเป็นไปตามที่คาดค่ะ รู้สึกรับไม่ได้อย่างแรง ย้อนกลับไปอ่านรีวิวต่างๆ ในอเมซอนอีก ก็เห็นได้คะแนนดี มีแต่คนชมจัง ตามบอร์ดที่พูดคุยกันหลายคนก็บอกว่า นักอ่านโรแมนซ์ซึ่งเป็นผู้หญิง คาดหวังกับนางเอกมากเกินไป ทีพระเอกทำเลวๆ สารพัด ยังแก้ตัวแทน ทีนางเอกทำพลาดบ้าง ทำเป็นรับไม่ได้
มันทำให้เราต้องทบทวนตัวเอง ว่าเพราะอคติของเรา จะทำให้เราพลาดเรื่องดีๆ รึเปล่า เพราะบอกตามตรงสมัยก่อนนางเอกไม่เวอร์จิ้นนี่ก็ไม่อ่านแล้ว แต่ถ้าตอนนี้ขืนยังคิดมากเรื่องนั้นอยู่ก็คงเสียดายแย่ที่พลาดเรื่องดีๆ ไปเยอะ และถ้าฝีมือนักเขียนดีๆ ก็อาจทำให้เราชอบได้ เพราะขนาดงานเรื่อง A Precious Jewel ของ Mary Balogh ที่นางเอกเป็นโสเภณี เรายังชอบได้เลย เราควรลองอ่านเรื่องนี้ดู เพื่อให้เข้าใจเหตุผลทั้งหมดของนางเอก เป็นการทดสอบว่าเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกระดับที่พอจะรับเรื่องแบบนี้ได้รึยัง
ปรากฏว่า พออ่านตั้งแต่ต้น รู้เรื่องราว รู้จักนางเอก รู้เหตุผล ที่มาที่ไปถึงการกระทำที่นางเอกอธิบายทั้งหมดแล้ว เราก็ยังไม่สามารถอภัยให้เธอได้อยู่ดีค่ะ ไม่ว่าจะแก้ตัวว่าอะไร ว่าเพราะตอนนั้นนางเอกยังเด็กอายุสิบแปด สภาพจิตใจ ณ เวลานั้นก็สับสนสุดๆ พลาดแค่ครั้งเดียว อภัยไม่ได้หรือ สำนึกผิด แล้วก็ลงโทษตัวเองขนาดนี้แล้ว ตอนนี้นางเอกก็เติบโต ไม่โง่เขลาแบบนั้นแล้ว โอเค เราเกลียดเธอน้อยลง แต่เราก็รับไม่ได้อยู่ดีค่ะ เหตุผลที่นางเอกหนีพระเอกมาก็ฟังไม่ค่อยขึ้นอยู่แล้ว แต่ที่ร้ายคือ ไม่ว่ายังไง เราก็ยอมรับไม่ได้กับการที่นางเอกยอมนอนกับชายอื่นทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่ามีลูกพระเอกอยู่ในท้อง จนกระทั่งปัจจุบัน ทุกการกระทำของนางเอกก็มาจากความเห็นแก่ตัวของนางเอกเองทั้งนั้น สิ่งที่เธอพยายามบอกตัวเองและคนอ่านว่าทำเพื่อพระเอก ทุกอย่างมันดูเป็นการทำร้ายจิตใจพระเอกซ้ำเติมไปทั้งนั้น พระเอกก็ช่างอภัยให้อย่างง่ายดาย
โอย ตอนเราอ่านจบ เราก็ได้แต่จินตนาการซ้ำไปซ้ำมาถึงฉากจบอีกแบบว่า ปฏิกิริยาของพระเอกของเราควรจะเป็นยังไง พระเอกในจินตนาการของเราจะยกโทษให้นางเอก แต่คงไม่สามารถกลับมาคืนดีกันได้อีก ถึงแม้นั่นจะเป็นการลงโทษตัวเองชั่วชีวิตไปด้วยพร้อมๆ กันก็ตาม พระเอกเรื่องนี้ช่างสมบูรณ์แบบ ทั้งหล่อ เก่ง ดี แต่เราก็ชอบไม่ลง เพราะสงสัยในวิจารณญาณเรื่องการรักผู้หญิงของเขา
ประเด็นอื่นไม่พูดถึงล่ะนะ ฉากทะเลทราย การผจญภัยช่วยเหลือพี่ชายนางเอก ไม่สนใจแล้ว เพราะประเด็นเดียวของเรื่องนี้ มันทำลายทุกอย่างที่เราแคร์เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ใครจะว่าเราใจแคบก็ยอมรับโดยดีเลย โชคดีนะนี่ที่เราอ่านแบบรู้สปอยล์ก่อนล่วงหน้า ถ้าเริ่มอ่านตั้งแต่แรกโดยที่ไม่รู้อะไรเลย เราคงเสียความรู้สึกน่าดู คงรู้สึกเหมือนถูกหลอก เพราะนางเอกทำตัวเป็นคนดีมาก เช่นพอถูกพระเอกเสียดสีเรื่องที่ได้ข่าวซุบซิบว่านางเอกคบชู้มากหน้าหลายตา ก็หน้าซีดบอกพระเอกว่า พูดกันเกินไป ถึงมันจะเกินไปจริงก็เถอะ แต่เราคงนึกว่าคุณเธอคงไม่ได้ทำอะไรผิด ตามแบบฉบับนางเอกโรแมนซ์ทั่วไป สรุปว่าการทดสอบตัวเองครั้งนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ยังไงประเด็นเรื่องนางเอกนอกใจในนิยายโรแมนซ์ ยังเป็น BIG NO NO ของเราอยู่ดี ให้คะแนน 5/10 และถ้านี่ไม่ใช่เรื่องสุดท้ายของ Mary Jo Putney ที่เราจะอ่านแล้วล่ะก็ อย่างน้อยก็คงจะอีกนานล่ะกว่าเราจะกล้าหยิบเรื่องอื่นของเธอมาอ่านอีก
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Intimate Enemies - Shana Abé
คะแนน : 8
สำหรับงานของ Shana Abé ก่อนนี้เคยชอบเรื่อง Secret Swan มาก แล้วก็อ่านเรื่องชุด The Drakon ไป 3 เล่ม เรื่อง Intimate Enemies นี้เป็นงานเขียนเก่าที่เพิ่งได้มา มีคนเอานิยายของเธอมาปล่อยทีเดียวหลายเรื่องเลย รวมทั้ง The Drakon เล่ม 4 ที่เพิ่งออกมาด้วย แต่เรื่องนั้นรอคิวก่อน เพราะไม่ได้ประทับใจเรื่องชุดนั้นเท่าไหร่ ในบรรดาเรื่องที่ได้มา เลือกอ่านเรื่อง A Rose in Winter ก่อน เพราะเห็นคะแนนรีวิวดี แต่กลับไม่ค่อยประทับใจเรื่องนั้น เพื่อเป็นการแก้อารมณ์ เลยลองหยิบเรื่องนี้มาอ่านดูอีกเล่ม
อ่านจบแล้วเราชอบเรื่องนี้นะ ตอนแรกเริ่มต้นขึ้นมา ก็ยังไม่หวังอะไรมาก นิยายเรื่องนี้ใช้ฉากในยุคกลาง นางเอก Lauren เป็นลูกสาวหัวหน้าเผ่าชาวสกอต พระเอก Arion เป็นท่านเอิร์ลของอังกฤษ ดินแดนของทั้งสองอยู่บนเกาะเดียวกัน และทั้งสองตระกูลก็เป็นศัตรูเก่ากันมานาน ตอนเด็กนางเอกก็เคยถูกตระกูลพระเอกลักพาตัวมาเป็นเชลย แต่พระเอกมาแอบปล่อยตัวไป แต่ตอนนี้ เกาะถูกเผ่าไวกิ้งรุกราน พ่อนางเอกถูกฆ่า นางเอกจึงต้องเป็นผู้นำเผ่าชั่วคราว พระเอกจึงเสนอให้ทั้งสองตระกูลมาร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อต่อต้านไวกิ้งด้วยกัน นางเอกจึงตกลงร่วมมือกันชั่วคราว
อ่านตอนแรกๆ เรารู้สึกว่าพลอตเรื่องแบบตัวเอกอยู่คนละฝั่งสกอตกับอังกฤษ เคยอ่านหลายเรื่องแล้ว แต่พออ่านไป เราก็รู้สึกว่าเนื้อเรื่องไม่น่าเบื่อ แล้วไม่ได้ดำเนินตามแบบฉบับที่พระเอก-นางเอกที่เป็นศัตรูกันจะต้องกัดกันตลอดเรื่อยไป แม้ในใจจะแอบชอบกันแต่ก็ต้องปากแข็งทำเป็นไม่รัก จนเกือบจบเรื่องถึงจะคุยกันรู้เรื่อง แต่เรื่องนี้แม้จะไม่ไว้ใจกันในตอนแรก แต่พระเอกกับนางเอกก็ไม่ได้เสียเวลาทะเลาะกันในเรื่องไร้เหตุผล พระเอกไม่ได้เอาแต่ดูถูกแดกดันทำร้ายจิตใจนางเอก นางเอกแม้เป็นสาวนักรบ แต่ก็ไม่ได้ทำตัวแกร่งกล้าน่ารำคาญจนทำอะไรโง่ๆ เหมือนนางเอกบางเรื่อง พระเอกนางเอกยอมรับกับตัวเองในใจว่ามีใจให้อีกฝ่าย แต่ทั้งสองก็ต้องพยายามไม่แสดงออกต่อกัน เพราะนางเอกมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ซึ่งคู่หมั้นเป็นหัวหน้าเผ่าสกอตอีกเผ่า อยู่ระหว่างกำลังเดินทางมาแต่งงานกับนางเอก
ทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นพันธมิตรกันแบบจำใจเพื่อสู้กับไวกิ้ง แม้หัวหน้าจะตกลงกันได้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายก็ไม่ราบรื่นนัก โดยเฉพาะทางฝั่งสกอต ลูกน้องเผ่าไม่ค่อยยอมรับบทบาทนางเอกเพราะเป็นผู้หญิง เมื่อคู่หมั้นนางเอกมาถึง ข้อตกลงพันธมิตรก็จบลง คู่หมั้นนางเอกเลวมาก ยังไม่ทันแต่งงานเลยก็ข่มขู่และตบตีนางเอกแล้ว พระเอกนี่อย่างสุภาพบุรุษนักรบมาก ขนาดจนนางเอกหนีมาหากลางดึก ยังบ้าศักดิ์ศรีปล่อยนางเอกกลับ บอกว่าจะรักษาเกียรติยศนางเอก เพราะไม่งั้นทั้งสองตระกูลจะต้องทำสงครามกัน แล้วนางเอกจะต้องเสียใจแล้วจะไม่มีวันให้อภัยตัวเอง ตอนอ่านนี่ขัดใจพระเอกเลยนะ ทำตัวเป็นคนดีเกินไปแล้ว แต่ก็ยังดีที่พระเอกบ้าอยู่ไม่นานก็เริ่มคิดได้ ไม่งั้นพระเอกจะเสียคะแนนจากเราไปเยอะเลย
สรุป ชอบนะเรื่องนี้ แม้พลอตเรื่องไม่โดดเด่น แต่ชอบตัวละคร พระเอกนางเอกดีทั้งคู่ ทำให้เรารู้สึกเอาใจช่วยกับความรักของทั้งคู่ บทรักหวานสุดๆ อ่านโรแมนซ์มาเยอะๆ บางทีมาถึงฉากอย่างว่านี่ก็ข้ามๆ ไป เบื่อแล้ว แต่เรื่องนี้ฉากรักพระเอกนางเอกสวยงามมากเลย เพราะมันมาตอนที่ทั้งคู่เปิดเผยความรู้สึกต่อกันทั้งหมดแล้ว คะแนน 8
สำหรับงานของ Shana Abé ก่อนนี้เคยชอบเรื่อง Secret Swan มาก แล้วก็อ่านเรื่องชุด The Drakon ไป 3 เล่ม เรื่อง Intimate Enemies นี้เป็นงานเขียนเก่าที่เพิ่งได้มา มีคนเอานิยายของเธอมาปล่อยทีเดียวหลายเรื่องเลย รวมทั้ง The Drakon เล่ม 4 ที่เพิ่งออกมาด้วย แต่เรื่องนั้นรอคิวก่อน เพราะไม่ได้ประทับใจเรื่องชุดนั้นเท่าไหร่ ในบรรดาเรื่องที่ได้มา เลือกอ่านเรื่อง A Rose in Winter ก่อน เพราะเห็นคะแนนรีวิวดี แต่กลับไม่ค่อยประทับใจเรื่องนั้น เพื่อเป็นการแก้อารมณ์ เลยลองหยิบเรื่องนี้มาอ่านดูอีกเล่ม
อ่านจบแล้วเราชอบเรื่องนี้นะ ตอนแรกเริ่มต้นขึ้นมา ก็ยังไม่หวังอะไรมาก นิยายเรื่องนี้ใช้ฉากในยุคกลาง นางเอก Lauren เป็นลูกสาวหัวหน้าเผ่าชาวสกอต พระเอก Arion เป็นท่านเอิร์ลของอังกฤษ ดินแดนของทั้งสองอยู่บนเกาะเดียวกัน และทั้งสองตระกูลก็เป็นศัตรูเก่ากันมานาน ตอนเด็กนางเอกก็เคยถูกตระกูลพระเอกลักพาตัวมาเป็นเชลย แต่พระเอกมาแอบปล่อยตัวไป แต่ตอนนี้ เกาะถูกเผ่าไวกิ้งรุกราน พ่อนางเอกถูกฆ่า นางเอกจึงต้องเป็นผู้นำเผ่าชั่วคราว พระเอกจึงเสนอให้ทั้งสองตระกูลมาร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อต่อต้านไวกิ้งด้วยกัน นางเอกจึงตกลงร่วมมือกันชั่วคราว
อ่านตอนแรกๆ เรารู้สึกว่าพลอตเรื่องแบบตัวเอกอยู่คนละฝั่งสกอตกับอังกฤษ เคยอ่านหลายเรื่องแล้ว แต่พออ่านไป เราก็รู้สึกว่าเนื้อเรื่องไม่น่าเบื่อ แล้วไม่ได้ดำเนินตามแบบฉบับที่พระเอก-นางเอกที่เป็นศัตรูกันจะต้องกัดกันตลอดเรื่อยไป แม้ในใจจะแอบชอบกันแต่ก็ต้องปากแข็งทำเป็นไม่รัก จนเกือบจบเรื่องถึงจะคุยกันรู้เรื่อง แต่เรื่องนี้แม้จะไม่ไว้ใจกันในตอนแรก แต่พระเอกกับนางเอกก็ไม่ได้เสียเวลาทะเลาะกันในเรื่องไร้เหตุผล พระเอกไม่ได้เอาแต่ดูถูกแดกดันทำร้ายจิตใจนางเอก นางเอกแม้เป็นสาวนักรบ แต่ก็ไม่ได้ทำตัวแกร่งกล้าน่ารำคาญจนทำอะไรโง่ๆ เหมือนนางเอกบางเรื่อง พระเอกนางเอกยอมรับกับตัวเองในใจว่ามีใจให้อีกฝ่าย แต่ทั้งสองก็ต้องพยายามไม่แสดงออกต่อกัน เพราะนางเอกมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ซึ่งคู่หมั้นเป็นหัวหน้าเผ่าสกอตอีกเผ่า อยู่ระหว่างกำลังเดินทางมาแต่งงานกับนางเอก
ทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นพันธมิตรกันแบบจำใจเพื่อสู้กับไวกิ้ง แม้หัวหน้าจะตกลงกันได้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายก็ไม่ราบรื่นนัก โดยเฉพาะทางฝั่งสกอต ลูกน้องเผ่าไม่ค่อยยอมรับบทบาทนางเอกเพราะเป็นผู้หญิง เมื่อคู่หมั้นนางเอกมาถึง ข้อตกลงพันธมิตรก็จบลง คู่หมั้นนางเอกเลวมาก ยังไม่ทันแต่งงานเลยก็ข่มขู่และตบตีนางเอกแล้ว พระเอกนี่อย่างสุภาพบุรุษนักรบมาก ขนาดจนนางเอกหนีมาหากลางดึก ยังบ้าศักดิ์ศรีปล่อยนางเอกกลับ บอกว่าจะรักษาเกียรติยศนางเอก เพราะไม่งั้นทั้งสองตระกูลจะต้องทำสงครามกัน แล้วนางเอกจะต้องเสียใจแล้วจะไม่มีวันให้อภัยตัวเอง ตอนอ่านนี่ขัดใจพระเอกเลยนะ ทำตัวเป็นคนดีเกินไปแล้ว แต่ก็ยังดีที่พระเอกบ้าอยู่ไม่นานก็เริ่มคิดได้ ไม่งั้นพระเอกจะเสียคะแนนจากเราไปเยอะเลย
สรุป ชอบนะเรื่องนี้ แม้พลอตเรื่องไม่โดดเด่น แต่ชอบตัวละคร พระเอกนางเอกดีทั้งคู่ ทำให้เรารู้สึกเอาใจช่วยกับความรักของทั้งคู่ บทรักหวานสุดๆ อ่านโรแมนซ์มาเยอะๆ บางทีมาถึงฉากอย่างว่านี่ก็ข้ามๆ ไป เบื่อแล้ว แต่เรื่องนี้ฉากรักพระเอกนางเอกสวยงามมากเลย เพราะมันมาตอนที่ทั้งคู่เปิดเผยความรู้สึกต่อกันทั้งหมดแล้ว คะแนน 8
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552
The Harsh Cry of the Heron (Tales of the Otori 4) หนังสือที่ไม่ควรถูกเขียนขึ้น
คะแนน : 8
เราเกลียดนิยายเรื่อง Scarlett ที่ถูกอุปโลกน์เป็นภาคต่อของ Gone With The Wind มาก เพราะคนแต่งมือไม่ถึงพอ เพราะความโลภมากของทายาทลิขสิทธิ์ของ Margaret Mitchell ที่เมื่อใกล้หมดอายุลิขสิทธิ์ ก็ขายสิทธิ์ให้สำนักพิมพ์ไปจ้างนักเขียนที่ไหนไม่รู้มาแต่งภาคต่อ เอาตัวละครที่เรารักมายำเสียเละเทะ แต่เรื่องนี้เราทำใจได้ง่ายเนื่องจากในความรู้สึกของแฟนๆ นิยายภาคนี้ก็มีค่าเป็นเหมือนแค่ Fan Fic ไม่ได้มาจากคนแต่งต้นฉบับจริงๆ
เราเกลียดการ์ตูนของ Saito Chiho เรื่องฉันจะเต้นรำในชุดขาว ภาคสอง ที่สุดอีกเหมือนกัน เราเยียวยาความรู้สึกตัวเองด้วยการหาข้อแก้ตัวอย่างเรื่องข้างบนไม่ได้ จนต้องทำใจด้วยการหลอกตัวเอง สำหรับเราเรื่องนี้มีภาคเดียว ความรักของโกโตะและซาจิตจบลงอย่าง Happy Ending และตั้งใจกับตัวเองว่าจะไม่เปิดภาคสองขึ้นมาอ่านซ้ำอีก ทำใจเหมือนว่ามันไม่มีอยู่
สองเรื่องที่พูดถึงข้างต้นคือ นิยายและการ์ตูนที่เราคิดว่าไม่ควรถูกเขียนขึ้นมาเลย และเสียใจที่ต้องบอกว่า The Harsh Cry of the Heron เป็นอีกเล่มที่ถูกจัดเข้าสู่ประเภทนั้น
พยายามตามหาอีบุ๊คเรื่องนี้อยู่นาน หลังจากที่อ่านไตรภาคแรกทั้งสามเล่มจบไปก็นานหลายเดือนอยู่ จนอาทิตย์ที่แล้วได้ไฟล์มาจากทอร์เรนท์ ก่อนเริ่มอ่านก็ทำใจล่วงหน้าไว้แล้ว เพราะจากรีวิวในอเมซอนก็พอเดาได้ว่า เรื่องราวน่าจะจบลงอย่างที่เราคงไม่ชอบใจนัก บทสรุปที่อ่านตั้งแต่ชื่อเรื่องน่าจะพอเดาได้ The Harsh Cry of the Heron ซึ่ง Heron เป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลโอโตริ เวอร์ชันภาษาไทยแปลชื่อเรื่องว่าสิ้นเสียงปักษา
เปิดฉากขึ้นมาเป็นเหตุการณ์ภายหลังจากเมื่อสิ้นสุดภาคสาม 16 ปี การดำเนินเรื่องดึงดูดให้เรากลับเข้าสู่โลกของโอโตริอีกครั้ง แม้ผ่านวันเวลาที่สงบมาได้ บัดนี้ดินแดนสมมุติที่มีพื้นฐานมาจากอาณาจักรญี่ปุ่นโบราณ กำลังอยู่ภายใต้ความตึงเครียดรอวันปะทุของสงครามกลางเมือง อันอาจนำไปสู่ความล่มสลายของอาณาจักรอันรุ่งเรือง ที่ทาเคโอะกับคาเอเดะช่วยกันสร้างขึ้นมา
ความเร้าใจของกลอุบายทางการเมือง การปองร้ายจากศัตรูเก่า การทรยศหักหลังจากญาติมิตร ทั้งจากเหล่าขุนศึก ชนเผ่าลับผู้ครอบครองพลังพิเศษดุจนินจา การเข้ามาของเรือฝรั่งต่างชาติ ตลอดจนถึงภัยคุกคามจากจักรพรรดิที่เมืองหลวง ทำให้เนื้อเรื่องภาคนี้สนุกและน่าติดตาม ถึงแม้จะรำคาญพฤติกรรมของตัวละครบางตัวอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้แทบวางหนังสือไม่ลงเลย จนกระทั่งตอนท้าย แม้ดึกแสนง่วง แต่ยังไงก็ต้องอ่านให้จบเพราะอยากรู้จริงๆ
พออ่านจบแล้ว บอกความรู้สึกไม่ค่อยถูก มันปนกันอยู่ ไตรภาคแรกเราสามารถชื่นชมนิยายชุดนี้ได้อย่างเต็มปาก แต่ภาคนี้แม้เนื้อเรื่องจะสนุก แต่บทลงท้ายของเรื่อง มันเกิดจากพฤติกรรมของตัวละครเอกที่ขัดใจคนอ่านจริงๆ ทั้งๆ ที่ใส่ภูมิคุ้มกันให้ตัวเองแล้ว ว่าให้ทำใจว่าจะไม่ชอบ แต่ก็อดที่จะรู้สึกขัดใจไม่ได้ ทำไมมันงี่เง่าอย่างนี้ ถ้ากระโดดลงไปอยู่ในหนังสือได้ คงอยากจับตัวทั้งคู่เขย่าๆ ถามว่า เป็นบ้าอะไรขึ้นมาเนี่ย อุตส่าห์เอาใจช่วยมาตลอด ทำไมทำงี้
ไม่รู้ผู้แต่งจะคิดว่าเรื่อง Epic อยากสร้างอารมณ์แกรนด์ๆ นี่มันต้องจบแบบโศกนาฏกรรมหรือเปล่า แต่ยังไงก็ตาม เราว่าการผูกเรื่องที่นำไปสู่ตอนจบยังทำได้ไม่ดีพอ ถ้าเหตุการณ์ climax เกิดจากการที่ถูกบีบบังคับ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง เป็นการเสียสละเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คงจะรู้สึกดีกว่านี้ จริงอยู่ มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่จำเป็นด้วยหรือ ที่ต้องแต่งให้เรื่องราวดำเนินไปในทิศทางเช่นนี้ ลงเอยอย่างน่าเศร้า เพราะความเห็นแก่ตัวและอารมณ์สติแตกของผู้หญิงเพียงคนเดียว
อ่านจบแล้วก็ต้องมานั่งตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราคิดถูกหรือคิดผิดที่อ่านเล่มนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะไม่ชอบบทอวสาน ถ้าไม่อ่านก็คงรู้สึกคาใจไปเรื่อยๆ แต่เมื่ออ่านแล้ว ก็จะเกิดจุดด่างในใจเราขึ้นมาต่อความรู้สึกดีที่มีให้หนังสือชุดนี้
สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า สำหรับเรา นี่เป็นนิยายที่ไม่ควรถูกเขียนขึ้นมาเลย ตอนจบของภาคสามเป็นบทสรุปที่ดีและมีความสุขแล้ว เป็นเพราะไอ้คำทำนายเรื่องลูกชายที่ผูกเรื่องไว้ตั้งแต่ภาคก่อนๆ เชียว แต่ยังไงก็ไม่น่าจะต้องทำลายภาพพจน์ตัวละครที่เราเคยรักอย่างนั้น ถ้าไม่มีนิยายเล่มนี้ เราคงรักเรื่องนี้ได้เต็มหัวใจกว่านี้ ไม่มีอะไรติดค้างในใจ ให้คะแนน 8 เพราะความสนุกและน่าติดตามของเนื้อเรื่อง แต่ให้มากกว่านั้นไม่ได้ เพราะมันทำลายความรู้สึกที่ดีที่เรามีให้หนังสือภาคก่อน
หนังสือห่วยๆ เราให้อภัยมันได้ อ่านจบก็โยนทิ้งจากความสนใจ แต่หนังสือที่ทำลายคุณค่าทางใจของหนังสือที่ดีเล่มอื่นล่ะ คุณจะเรียกว่าอะไร สำหรับเรา มันคือ หนังสือที่ไม่ควรถูกเขียนขึ้นมาบนโลกนี้เลย
เราเกลียดนิยายเรื่อง Scarlett ที่ถูกอุปโลกน์เป็นภาคต่อของ Gone With The Wind มาก เพราะคนแต่งมือไม่ถึงพอ เพราะความโลภมากของทายาทลิขสิทธิ์ของ Margaret Mitchell ที่เมื่อใกล้หมดอายุลิขสิทธิ์ ก็ขายสิทธิ์ให้สำนักพิมพ์ไปจ้างนักเขียนที่ไหนไม่รู้มาแต่งภาคต่อ เอาตัวละครที่เรารักมายำเสียเละเทะ แต่เรื่องนี้เราทำใจได้ง่ายเนื่องจากในความรู้สึกของแฟนๆ นิยายภาคนี้ก็มีค่าเป็นเหมือนแค่ Fan Fic ไม่ได้มาจากคนแต่งต้นฉบับจริงๆ
เราเกลียดการ์ตูนของ Saito Chiho เรื่องฉันจะเต้นรำในชุดขาว ภาคสอง ที่สุดอีกเหมือนกัน เราเยียวยาความรู้สึกตัวเองด้วยการหาข้อแก้ตัวอย่างเรื่องข้างบนไม่ได้ จนต้องทำใจด้วยการหลอกตัวเอง สำหรับเราเรื่องนี้มีภาคเดียว ความรักของโกโตะและซาจิตจบลงอย่าง Happy Ending และตั้งใจกับตัวเองว่าจะไม่เปิดภาคสองขึ้นมาอ่านซ้ำอีก ทำใจเหมือนว่ามันไม่มีอยู่
สองเรื่องที่พูดถึงข้างต้นคือ นิยายและการ์ตูนที่เราคิดว่าไม่ควรถูกเขียนขึ้นมาเลย และเสียใจที่ต้องบอกว่า The Harsh Cry of the Heron เป็นอีกเล่มที่ถูกจัดเข้าสู่ประเภทนั้น
พยายามตามหาอีบุ๊คเรื่องนี้อยู่นาน หลังจากที่อ่านไตรภาคแรกทั้งสามเล่มจบไปก็นานหลายเดือนอยู่ จนอาทิตย์ที่แล้วได้ไฟล์มาจากทอร์เรนท์ ก่อนเริ่มอ่านก็ทำใจล่วงหน้าไว้แล้ว เพราะจากรีวิวในอเมซอนก็พอเดาได้ว่า เรื่องราวน่าจะจบลงอย่างที่เราคงไม่ชอบใจนัก บทสรุปที่อ่านตั้งแต่ชื่อเรื่องน่าจะพอเดาได้ The Harsh Cry of the Heron ซึ่ง Heron เป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลโอโตริ เวอร์ชันภาษาไทยแปลชื่อเรื่องว่าสิ้นเสียงปักษา
เปิดฉากขึ้นมาเป็นเหตุการณ์ภายหลังจากเมื่อสิ้นสุดภาคสาม 16 ปี การดำเนินเรื่องดึงดูดให้เรากลับเข้าสู่โลกของโอโตริอีกครั้ง แม้ผ่านวันเวลาที่สงบมาได้ บัดนี้ดินแดนสมมุติที่มีพื้นฐานมาจากอาณาจักรญี่ปุ่นโบราณ กำลังอยู่ภายใต้ความตึงเครียดรอวันปะทุของสงครามกลางเมือง อันอาจนำไปสู่ความล่มสลายของอาณาจักรอันรุ่งเรือง ที่ทาเคโอะกับคาเอเดะช่วยกันสร้างขึ้นมา
ความเร้าใจของกลอุบายทางการเมือง การปองร้ายจากศัตรูเก่า การทรยศหักหลังจากญาติมิตร ทั้งจากเหล่าขุนศึก ชนเผ่าลับผู้ครอบครองพลังพิเศษดุจนินจา การเข้ามาของเรือฝรั่งต่างชาติ ตลอดจนถึงภัยคุกคามจากจักรพรรดิที่เมืองหลวง ทำให้เนื้อเรื่องภาคนี้สนุกและน่าติดตาม ถึงแม้จะรำคาญพฤติกรรมของตัวละครบางตัวอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้แทบวางหนังสือไม่ลงเลย จนกระทั่งตอนท้าย แม้ดึกแสนง่วง แต่ยังไงก็ต้องอ่านให้จบเพราะอยากรู้จริงๆ
พออ่านจบแล้ว บอกความรู้สึกไม่ค่อยถูก มันปนกันอยู่ ไตรภาคแรกเราสามารถชื่นชมนิยายชุดนี้ได้อย่างเต็มปาก แต่ภาคนี้แม้เนื้อเรื่องจะสนุก แต่บทลงท้ายของเรื่อง มันเกิดจากพฤติกรรมของตัวละครเอกที่ขัดใจคนอ่านจริงๆ ทั้งๆ ที่ใส่ภูมิคุ้มกันให้ตัวเองแล้ว ว่าให้ทำใจว่าจะไม่ชอบ แต่ก็อดที่จะรู้สึกขัดใจไม่ได้ ทำไมมันงี่เง่าอย่างนี้ ถ้ากระโดดลงไปอยู่ในหนังสือได้ คงอยากจับตัวทั้งคู่เขย่าๆ ถามว่า เป็นบ้าอะไรขึ้นมาเนี่ย อุตส่าห์เอาใจช่วยมาตลอด ทำไมทำงี้
ไม่รู้ผู้แต่งจะคิดว่าเรื่อง Epic อยากสร้างอารมณ์แกรนด์ๆ นี่มันต้องจบแบบโศกนาฏกรรมหรือเปล่า แต่ยังไงก็ตาม เราว่าการผูกเรื่องที่นำไปสู่ตอนจบยังทำได้ไม่ดีพอ ถ้าเหตุการณ์ climax เกิดจากการที่ถูกบีบบังคับ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง เป็นการเสียสละเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คงจะรู้สึกดีกว่านี้ จริงอยู่ มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่จำเป็นด้วยหรือ ที่ต้องแต่งให้เรื่องราวดำเนินไปในทิศทางเช่นนี้ ลงเอยอย่างน่าเศร้า เพราะความเห็นแก่ตัวและอารมณ์สติแตกของผู้หญิงเพียงคนเดียว
อ่านจบแล้วก็ต้องมานั่งตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราคิดถูกหรือคิดผิดที่อ่านเล่มนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะไม่ชอบบทอวสาน ถ้าไม่อ่านก็คงรู้สึกคาใจไปเรื่อยๆ แต่เมื่ออ่านแล้ว ก็จะเกิดจุดด่างในใจเราขึ้นมาต่อความรู้สึกดีที่มีให้หนังสือชุดนี้
สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า สำหรับเรา นี่เป็นนิยายที่ไม่ควรถูกเขียนขึ้นมาเลย ตอนจบของภาคสามเป็นบทสรุปที่ดีและมีความสุขแล้ว เป็นเพราะไอ้คำทำนายเรื่องลูกชายที่ผูกเรื่องไว้ตั้งแต่ภาคก่อนๆ เชียว แต่ยังไงก็ไม่น่าจะต้องทำลายภาพพจน์ตัวละครที่เราเคยรักอย่างนั้น ถ้าไม่มีนิยายเล่มนี้ เราคงรักเรื่องนี้ได้เต็มหัวใจกว่านี้ ไม่มีอะไรติดค้างในใจ ให้คะแนน 8 เพราะความสนุกและน่าติดตามของเนื้อเรื่อง แต่ให้มากกว่านั้นไม่ได้ เพราะมันทำลายความรู้สึกที่ดีที่เรามีให้หนังสือภาคก่อน
หนังสือห่วยๆ เราให้อภัยมันได้ อ่านจบก็โยนทิ้งจากความสนใจ แต่หนังสือที่ทำลายคุณค่าทางใจของหนังสือที่ดีเล่มอื่นล่ะ คุณจะเรียกว่าอะไร สำหรับเรา มันคือ หนังสือที่ไม่ควรถูกเขียนขึ้นมาบนโลกนี้เลย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)