คะแนน : 8
ช่วงนี้ไม่มีหนังสือออกใหม่ที่อยากอ่านเลยจริงๆ ก็เลยถือโอกาสเคลียร์เรื่องที่ค้างอยู่ในโหลหมักดองซะบ้าง เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ตอนที่ภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือเล่มนี้ฉาย พี่สาวเราอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วบอกว่าดี ให้เราอ่านสิ พี่เราจบอักษร จะค่อนข้างหัวสูงเรื่องการอ่านกว่าเราหน่อย ตอนนั้นก็อือออไปอย่างนั้น เพราะเราระแวงคำว่าดี ถ้ามีคนบอกว่าสนุกสิ จะไม่ค่อยลังเล หนังสือดี หนังชิงรางวัลนี่ โอกาสที่จะสร้างความปั่นป่วนในอารมณ์ความรู้สึกตอนอ่านมีสูง ถ้าเรื่องหนัก บางทีมันติดคาในใจอยู่หลายวันเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ไม่เท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้อยากอ่านเพื่อพักสมองมากกว่า ก็เลยปล่อยเล่มนี้ไว้หลายปีเลย
ประเด็นหลักของ The Kite Runner อยู่ที่เรื่องราวของการจัดการกับความรู้สึกผิด และการไถ่บาปของตัวเอก โดยมีความล่มสลายของประเทศอัฟกานิสถานเป็นฉากหลัง อาเมียร์ เด็กชายลูกชนชั้นสูงที่อาศัยอยู่ในเมืองคาบูลในยุคที่ยังสงบสุข เขาเติบโตมาด้วยกันกับ ฮัสซัน ลูกชายของคนรับใช้ ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นรักใคร่กัน แม้จะต่างฐานะต่างเผ่าพันธุ์ แต่แล้ววันหนึ่ง ในเทศกาลเล่นว่าวซึ่งเป็นงานใหญ่ของชาวอัฟกัน ก็เกิดเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของอาเมียร์ไปตลอด ความสัมพันธ์ของอาเมียร์และฮัสซันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ฮัสซันกับพ่อออกจากบ้านไป หลังจากนั้นไม่นาน โซเวียตก็บุกอัฟกานิสถาน อาเมียร์กับพ่อลี้ภัยไปอยู่สหรัฐอเมริกา เป็นเวลายี่สิบปีที่เขาใช้ชีวิต ทำงาน และแต่งงาน ในดินแดนเสรีภาพ ห่างไกลจากบ้านเกิดที่ถูกแผดเผาด้วยไฟสงครามและการสู้รบ สงครามกลางเมืองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อย แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อเพื่อนเก่าของพ่อคนหนึ่ง โทรศัพท์มา ขอให้เขาเดินทางมาพบ ความทรงจำในอดีตของเขาก็ท่วมท้นกลับมา
อย่างที่คิด แค่อ่านไปถึง 1/4 ของเล่ม ฉากการทรยศของอาเมียร์ ก็ทำเอาเราต่อมน้ำตาแตก กับความกดดันในเรื่อง ดีน่ะดีนะ แต่เปลืองกระดาษทิสชู่ ที่จริงเราไม่ขี้แย ไม่เคยร้องไห้เพื่อตัวเองเป็นสิบๆ ปีแล้ว แต่เราแพ้เรื่องแบบนี้อ่ะ (แต่พวกพระเอกนางเอกตายเรากลับไม่เป็นไร โกโบริตายก็ไม่ร้อง แจ็คน้ำแข็งเกาะไปก็เฉยๆ) พอพ้นจุดนั้นไปได้ ถึงแม้จะมีเรื่องเศร้าบ้าง แต่ไม่กดดันมากเท่าไหร่แล้ว ช่วงที่สองที่เป็นเนื้อเรื่องในสหรัฐอเมริกา ออกจะอืดๆ หน่อย พระเอกจมอยู่กับความรู้สึกผิดเป็นหลัก จุดพลิกของเรื่องเพื่อเข้าสู่ช่วงที่สาม ความลับที่เพื่อนของพ่อเปิดเผย ทำเอาเราคาดไม่ถึงเหมือนกันนะ ทั้งที่ในเรื่องก็มีสัญญาณบอกอยู่แล้วล่ะ แต่อ่านไปเรื่อยๆ ไม่วาง ก็เลยไม่ทันหยุดคิดว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น
ช่วงที่สามเป็นเรื่องราวการเดินทางกลับมายังอัฟกานิสถาน สภาพความทุกข์ยากของชีวิตที่อยู่ในประเทศที่เหมือนต้องสาป ความโหดร้ายของตาลีบัน แสดงให้เห็นแจ่มชัด บางฉากนี่แทบจะต้องนิ่วหน้ากับความทารุณที่คนเหล่านั้นต้องพบ จากแต่ก่อนที่เรารู้จักอัฟกานิสถานจากแค่ในข่าว และไม่ยี่หระอะไรเพราะไกลตัว แต่อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกถึงคนที่มีชีวิตเลือดเนื้อที่อยู่ในข่าวพวกนั้น ผู้แต่ง Khaled Hosseini เป็นชาวอัฟกันที่ลี้ภัยมาอยู่อเมริกา ทำงานเป็นหมอ มุมมองที่เขามีต่อประเทศบ้านเกิดที่แสดงผ่านในเรื่อง ปนกันระหว่างความหดหู่อาลัย แต่ก็เจ็บใจเย้ยหยันประเทศตัวเองไปด้วย
หนังสือเขียนได้น่าติดตาม ทำให้อยากรู้เนื้อเรื่องต่อไปได้ตลอด ผู้แต่งเล่าเรื่องแบบ irony ได้ดีมาก โดยเฉพาะตอนที่ คนขับรถถามว่า ทำไมคุณถึงยอมทำขนาดนี้ เขาเป็นชาวชีอะห์นะ โอ้ ปรบมือให้เลย ก็นี่ล่ะนะ มันถึงรบกันไม่จบไม่สิ้น สไตล์และสำนวนการใช้คำดีมาก ตัวละครก็ ตามประสาหนังสือดี เป็นมนุษย์ธรรมดา มีข้อดีข้อเสีย อาเมียร์ทำผิดพลาดหลายเรื่อง จนถึงตอนท้ายก็ยังสะเพร่าอย่างไม่น่าเชื่อ พูดอะไรไม่นึกถึงใจคน จนสร้างความเสียหายร้ายแรงอย่างที่ไม่ควรเกิด แต่ก็อย่างที่ในเรื่องว่า เราเป็นใครดีแค่ไหน ไม่เคยผิดพลาดหรือไง ถือดียังไงที่จะไปตัดสินคนอื่น อ่านเรื่องแบบนี้แล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องหยุดคิด ย้อนกลับมานึกถึงตัวตนของตนเอง ความคิดในใจ สถานการณ์บ้านเมืองเปรียบเทียบ ฯลฯ สรุปว่านี่เป็นหนังสือที่ดี อ่านแล้วได้คิด แต่ก็ถือว่ายังไม่หนักมากเกินไป และอ่านสนุกดี ฉบับแปลไทยของเรื่องนี้ชื่อว่า "เด็กเก็บว่าว" ฟังแปลกๆ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่มันก็ตรงแล้วจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น