วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

The Sweetness at the Bottom of the Pie - Alan Bradley

คะแนน : 7

นิยายนักสืบเล่มแรกในชุด Flavia de Luce Mystery ตอนนี้เพิ่งออกมา 2 เล่ม จากที่นักเขียนกะไว้ว่าจะมีทั้งหมด 6 เล่ม นี่เป็นนิยายเล่มแรกของ Alan Bradley วัย 70 ปี ทำให้เขากลายเป็นนักเขียนนิยายหน้าใหม่ที่มีอายุมากที่สุดคนหนึ่ง แต่ถึงผู้เขียนจะไม่เคยแต่งนิยายมาก่อน เขาก็มีประสบการณ์มากมายในวงการโทรทัศน์ และงานเขียนสั้นๆ อย่างอื่น นิยายเล่มแรกของเขาสร้างกระแสอันน่าทึ่งให้กับวงการนิยายนักสืบ ตั้งแต่ยังไม่ได้พิมพ์เป็นเล่ม ก็ได้รับคำชื่นชมมากมาย หลังจากนั้นก็ได้รับรางวัล เช่น Agatha Award for Best First Novel 2009, Arthur Ellis Award for Best First Novel 2010 ติดอันดับ New York Times Bestseller ถึง 16 สัปดาห์ ถูกซื้อลิขสิทธิ์ไป 35 ประเทศทั่วโลกแล้ว เห็นกระแสอะไรเป็นไม่ได้ นั่นทำให้เราหยิบเรื่องนี้มาอ่าน

ใน The Sweetness at the Bottom of the Pie เล่มนี้ แนะนำให้เรารู้จักตัวเอกของเรื่อง ฟลาเวีย เดอ ลูซ เด็กผู้หญิงอายุ 11 ปี ที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ชนบท กับพ่อ และพี่สาวสองคน ฟลาเวียเป็นน้องสุดท้องที่เป็นตัวแสบไม่ใช่เล่น เวลาโดนพี่สาวแกล้ง ฟลาเวียก็จะแก้แค้นด้วยยาพิษ !!! ใช่แล้ว สิ่งที่ฟลาเวียหลงใหลที่สุดในชีวิตคือ เคมี ฟลาเวียมีห้องทดลองเคมีชั้นเลิศ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ฮะฮ่า เธอจัดการเอาสารสกัดใส่เข้าไปในลิปสติกของโอฟีเลีย พี่สาว แค่นี้ ฟีลี่ ก็จะปากบวมเจ่อไปหลายวัน แสบมั้ยล่ะ นี่แหละตัวเอกในนิยายนักสืบของเราเล่มนี้

วันหนึ่ง มีนกตายวางอยู่ที่หน้าบ้าน ที่ปากนกมีแสตมป์โบราณเสียบคาอยู่ เมื่อพ่อเห็นก็ตกใจมาก ต่อมา ฟลาเวียแอบได้ยินพ่อทะเลาะกับชายคนหนึ่ง ตีสี่วันรุ่งขึ้น ฟลาเวียตื่นมาพบชายแปลกหน้ากำลังจะสิ้นใจอยู่ในสวน ลมหายใจสุดท้ายของเขามีกลิ่นแปลกๆ พร้อมคำพูดเดียวว่า Vale (ลาก่อน) พ่อของเธอถูกตำรวจพาตัวไป จึงเป็นหน้าที่ของนักสืบตัวจิ๋วของเรา ที่จะต้องคลี่คลายคดีปริศนาครั้งนี้

ไม่รู้ว่าเพราะคาดหวังมากไปรึเปล่าไม่รู้นะคะ เพราะเห็นได้คำชมมาเยอะ แต่อ่านไปตั้งนานยังไม่รู้สึกสนุกเลย อ่านไปช่วงแรก ก็มีแค่ฟลาเวียวิ่งไปมาตามสถานที่ต่างๆ เช่น โรงแรมในหมู่บ้าน ห้องสมุด เพื่อหาข้อมูล และคุยกับคนต่างๆ วิธีเล่าเรื่อง เล่าจากมุมมองบุคคลที่หนึ่ง คือ ตัวฟลาเวียเอง บางทีเราอ่านแล้วสับสน เหมือนฟังคนสมาธิไม่นิ่งเล่าเรื่อง เดี๋ยวความคิดเธอก็จะกระเจิดกระเจิงไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ อ่านแรกๆ งง กว่าจะชิน จนพอจะจับต้นชนปลายได้ว่าใครเป็นใคร เรื่องเป็นยังไง

ฟลาเวียเป็นเด็กฉลาด ฉลาดมากจนเราว่า ไม่เป็นธรรมชาติเลยด้วยซ้ำ เราไม่ได้บอกว่า เด็ก 11 ขวบจะฉลาดขนาดนี้ไม่ได้นะ แต่เราอ่านแล้วรู้สึกว่า บทสนทนาของฟลาเวียเหมือนผู้ใหญ่เอาคำพูดตัวเองยัดใส่ปากเด็ก พวกศัพท์เคมีที่เธอร่ายมา ความรู้เคมี ม.ปลาย ของเราก็ลงกรุไปหมดแล้ว ข้อมูลอ้างอิงหลายอย่างที่ฟลาเวียอ้าง เราก็เลยตามไม่ทันไม่สนุกด้วย อ่านไปอย่างเบื่อๆ

จนถึงครึ่งเล่มนั่นแหละ ที่เนื้อเรื่องเริ่มสนุกขึ้นมา เรื่องราวประวัติแสตมป์อ่านเพลินดี ข้อมูลปริศนาต่างๆ ค่อยๆ ถูกเปิดเผยขึ้นมาทีละนิดๆ วิธีการอนุมานสันนิษฐานเหตุการณ์ของฟลาเวีย เหมือนสไตล์เรื่องนักสืบโบราณแบบเชอร์ล็อก โฮล์มส์ หรือ อกาธา คริสตี้ แต่จะว่าวิธีคลี่คลายปริศนาฉลาดแยบยลมั้ย ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะถ้าคุณอ่านเรื่องนักสืบมาบ้าง ก็เดาเรื่องได้ไม่ยาก

ฉากของเรื่องอยู่ในยุคสมัยของคิงจอร์จที่ 6 (พ่อของควีนเอลิซาเบ็ธที่ 2) บทสนทนาสำนวนการพูดจาของตัวละครฟังดูอังกฤษจ๋า โบราณๆ หน่อย พออ่านจบมาเช็คข้อมูลยังแปลกใจเลยว่า ผู้แต่งเป็นชาวแคนาดา ไม่เคยอาศัยอยู่ที่อังกฤษเลย แต่อ่านแล้วรู้สึกเหมือนบรรยากาศอังกฤษมากๆ

สรุปว่า เรื่องนี้เป็นนิยายนักสืบตามแบบฉบับ ไม่มีอะไรรุนแรงในเนื้อเรื่อง ฆาตกรรมก็ฆ่าแบบยาพิษ แรงจูงใจของฆาตกรก็ไม่ได้มีอะไรโรคจิตพิสดาร ถือว่าเป็นเรื่องนักสืบใสๆ อ่านได้ไม่มีพิษภัย (อ้อ ไม่ใช่สิ มีพิษ แต่ไม่มีภัย) มีตัวละครที่ค่อนข้างน่าสนใจ แต่เรากลับยังไม่ประทับใจเรื่องนี้เท่าไหร่ มันยังไม่ค่อยโดนน่ะค่ะ อาจจะต้องดูเล่ม 2 อีกที ถึงจะตัดสินใจได้ว่าควรตามต่อมั้ย

Fingersmith - Sarah Waters

คะแนน : 9

วันหยุดที่ผ่านมา นำ DVD เรื่อง Fingersmith มาดูอีกรอบ ดูอีกก็ชอบอีก ก็เลยเอามาเขียนถึงสักหน่อย

ตอนสมัยที่ภาพยนตร์เรื่อง Brokeback Mountain ออกฉาย (2549) เราไปดูมา ถึงจะไม่ได้ชอบมาก แต่ก็ทำให้เรามาค้นข้อมูลต่อจนทำให้รู้ว่ามันสร้างมาจากนิยาย แล้วก็เจอลิงก์ต่อไปถึงนิยายเกย์/เลสเบี้ยนเรื่องอื่นๆ ที่เขาชื่นชมกันว่าดี นั่นคือ Tipping the Velvet ของ Sarah Waters ดูเรื่องย่อน่าสนใจ เราก็เลยลองอ่านดู อ่านจบก็รู้สึกติดใจ จึงหยิบเอาเรื่อง Fingersmith ของผู้เขียนคนเดียวกันมาอ่านต่อ อ่านยังไม่ทันจบแค่ถึงครึ่งเรื่องก็หลงรักหนังสือเล่มนี้แล้ว สุดยอดมาก

ฉากเกิดในยุควิคตอเรีย Fingersmith เป็นเรื่องของผู้หญิงสองคน ซูซาน ทรินเดอร์ เป็นเด็กกำพร้าโตในลอนดอน ถิ่นมิจฉาชีพ เป็นนักล้วงกระเป๋า วันหนึ่งก็มีชายหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อว่า เจนเทิลแมน มาถึงบ้าน บอกแผนการว่า เขาพบทายาทสาวคนหนึ่ง ชื่อ ม้อด ลิลลี่ ที่อาศัยอยู่กับลุงในชนบท ใช้ชีวิตเหมือนโดนกักขัง เขาจะไปหลอกลวงเธอให้แต่งงานด้วย แต่แผนนี้เขาต้องให้ซูช่วยสวมรอยเข้าไปเป็นสาวใช้ส่วนตัวของม้อด เธอจึงเดินทางไปที่คฤหาสน์หลังนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนสับสนของหญิงสาวทั้งสอง เล่าได้แค่นี้แหละค่ะ ไม่รู้จะเล่าต่อยังไงไม่ให้สปอยล์แล้ว ถ้าพลาดสปอยล์ใครไปนี่คงถือเป็นความผิดมหันต์ของเรา ถ้าใครยังไม่อ่าน แต่สนใจ ให้หามาอ่านเลย ฉบับแปลภาษาไทย ชื่อ เล่ห์รักนักล้วง อย่าไปอ่านเรื่องย่อหรือรีวิวเยอะ ถ้ารู้เนื้อเรื่องก่อนมากไป คุณค่าความสนุกจะเสียไปหมด บอกได้แต่ว่า ในนิยายแบ่งเนื้อเรื่องออกเป็นสามส่วน และผู้แต่งเล่าเรื่องได้อย่างฉลาดแยบยลมากๆ เลย

นิยายเรื่องนี้ได้เข้าชิงรางวัล Orange Prize กับ Man Booker Prize (ทั้งสองเป็นรางวัลที่มีเกียรติยศสูงสุดของอังกฤษ) และชนะรางวัล CWA Ellis Peters Dagger ในสาขา Historical Crime Fiction คงเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่แค่นิยายเลสเบี้ยนธรรมดา แต่เราก็ไม่รู้หรอกนะคะว่า นิยายเลสเบี้ยนธรรมดาเป็นยังไง แต่เรื่องนี้ไม่ได้เน้นบทรักระหว่างผู้หญิง ยังไม่โป๊มาก หนังสือโรแมนซ์หนักกว่านี้เยอะ เรื่องนี้มันเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ ที่มีเรื่องราวซ่อนปมมากมาย เป็นนิยายที่เขียนได้ดีมาก

ก่อนหน้า Sarah Waters เราไม่เคยอ่านเรื่องแนวนี้เลย การ์ตูน Y ก็ไม่ชอบอ่าน เคยอ่านเรื่องที่มีพระเอกเป็นเกย์ก็แค่ kirakira เป็นประกาย ของเอคุนิ คาโอริ กับ เก้าอี้ทอง ของ สีฟ้า เราไม่ได้รังเกียจนิยายแนวรักร่วมเพศนะ แต่แค่มองผ่านมาตลอดเท่านั้นเอง พอได้มาอ่านนิยายฝรั่งที่มีตัวเอกรักร่วมเพศ ทำให้เรารู้ว่า สังคมไทยยังเหยียดเพศที่สามเยอะมาก ภาพเกย์ตุ๊ดทอมดี้ในละครโทรทัศน์ถูกนำเสนอแบบล้อเลียน เป็นตัวตลกตลอด แต่อย่างใน Fingersmith นี่ เราไม่รู้สึกเลยว่า มันเป็นเรื่องของผู้หญิงที่รักผู้หญิง แต่มันเป็นเรื่องของคนสองคน ที่รักอีกฝ่ายโดยไม่ต้องสนใจว่า อีกคนนั้นเป็นเพศอะไร เรารู้สึกว่า มันเป็นความรักที่สวยงามนะคะ (หลังจากผ่านการหลอกลวงทรยศหักหลังทั้งหมดมา) แต่พออ่าน Fingersmith จบ เราก็ยังไม่กล้าเอาเรื่องอื่นมาอ่านต่ออีกเลย กลัวเรื่องอื่นดีไม่เท่านี้


มาพูดถึงในส่วนของภาพยนตร์บ้าง เรื่อง Fingersmith ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์ สถานี BBC แบ่งเป็น 2 ตอน ตอนละ 75 นาที โดยผู้สร้างรายเดียวกับ Tipping the Velvet เหมือนกัน แต่เราไม่ชอบ Tipping the Velvet ฉบับทีวีซะเท่าไหร่ สนุกสู้อ่านนิยายไม่ได้ บางฉากมันใส่เอฟเฟกต์ภาพมาแบบตลกๆ แต่ใน Fingersmith นี่ ถ่ายทอดจากหนังสือเป็นหนังได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะจำเป็นต้องตัดทอนรายละเอียดจากหนังสือบ้าง แต่เท่าที่ออกมาก็สมบูรณ์แบบมากที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มต้องตัดอะไรเลย ลงตัวทุกอย่าง ทั้งบท ฉาก ตัวละคร ภาพ ดนตรีประกอบ สุดยอดไปหมดเลย โดยเฉพาะการแสดงของตัวเอกสองคน Sally Hawkins (ซูซาน) กับ Elaine Cassidy (ม้อด) ยอดเยี่ยมทั้งคู่ ชอบอีเลน แคสสิดี้ จังเลย เดี๋ยวว่างๆ เราก็คงหยิบมาดูใหม่อีกแน่เลย

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Just William เด็กจอมแก่น - Richmal Crompton

คะแนน : 9.5

ว่ากันต่อถึงหนังสือสมัยเด็ก เพราะตอนเข้า eBay ไปหา Tales of Toyland เราก็ฟลุคเจอ William the Lawless ซึ่งเป็นเล่ม 38 เล่มสุดท้ายของซีรีส์ Just William ในราคาที่พอจะสมเหตุสมผลเข้าพอดี ก็เลยจัดแจงสั่งซื้อมาด้วยเลย

สมัยเด็กเราชอบอ่านเรื่อง เด็กจอมแก่น ของ ว. ณ ประมวญมารค มากๆ เรื่องซนแสบของวิลเลียม กับเพื่อนในคณะนอกกฎหมายของเขา พร้อมกับมีแม่หนูไวโอฯ มาแจมเป็นบางตอน วิลเลียมแสนซน เป็นที่อิดหนาระอาใจของพ่อแม่กับพี่สาวพี่ชายยิ่งนัก แต่เป็นที่รักของนักอ่าน ตั้งแต่เด็กที่ได้อ่านเด็กจอมแก่น เราก็กะแล้วว่า เรื่องของวิลเลียมมันน่าจะมีมากกว่านั้น ก็ได้แต่เสียดายที่ ว. ณ ประมวญมารค นิพนธ์แปลไว้เล่มเดียว เคยซื้อหนังสือเรื่องของวิลเลียมที่วางขายเป็นภาษาไทยอีก 1 เล่ม ชื่อเด็กจอมทะโมน จำไม่ได้แล้วว่าใครแปล ต้องไปรื้อดู แต่เล่มนั้นไม่ค่อยสนุกนัก เพราะแปลมาจากเล่ม 1 ซึ่งเป็นช่วงต้นของชุด อะไรๆ ก็เลยยังดูไม่ค่อยลงตัว

แปลกมากที่ตัวละครเด็กชายที่เราชอบที่สุด ในบรรดาหนังสือเด็กที่อ่าน มีอยู่ 2 คน เป็นเด็กที่มีบุคลิกตรงกันข้ามแบบสุดขั้ว หนึ่งคือ ลอร์ดน้อยฟอนเติลรอย และอีกคนก็คือ วิลเลียมนี่แหละ ถ้าเซดริกเป็นหนูน้อยเทพบุตร วิลเลียมก็คงเป็นเด็กนรกดีๆ นี่เอง ในสายตาผู้ใหญ่ที่เจอฤทธิ์ของเขาเข้าไป ซน แก่น แสบ ป่วน แต่เราก็ชอบเขามากๆ และเอาใจช่วยวิลเลียมตลอด วิลเลียมติดอยู่ในความทรงจำในฐานะหนังสือโปรดในวัยเด็กของเรามาจนโต

จนเมื่อเด็กจอมแก่นถูกจัดพิมพ์ครั้งล่าสุดโดย สนพ. นานมี เมื่อปี 2547 เราจึงเพิ่งทราบจากคำนำนั่นแหละว่า เรื่องนี้มาจากเรื่องชุด Just William แต่งโดย Richmal Crompton และปีนั้นเองที่ทำให้เราเริ่มปฏิบัติการตามล่าหาหนังสือชุด Just William ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดถึง 38 เล่ม (38 เล่มคือจำนวนเล่มหลัก แต่ยังมีตอนที่อยู่ในเล่มเหล่านั้น ถูกจับเอามาแยกเป็นเล่มรวมในโอกาสอื่นๆ อีกมากมายหลายครั้ง แล้วมีเล่มพวกตอนพิเศษ บทวิทยุ ต่างหากอีก ทำให้ชื่อเล่มทั้งหมดของหนังสือชุดนี้มีมากกว่านั้น) ที่อังกฤษมีพิมพ์หนังสือชุดนี้อยู่เรื่อยๆ ล่าสุด 1-2 ปีนี้ก็ยังพิมพ์ใหม่อีก แต่มักจะพิมพ์อยู่แค่ 5 หรือ 10 เล่มแรก หรือตัดเอาตอนต่างๆ มารวมกันไม่กี่เล่ม ฉบับที่พิมพ์ครบ 38 เล่มครั้งสุดท้ายคือเมื่อปี 1999-2000 ปกสีแดง รูปหน้าปกเหมือนฉบับพิมพ์ครั้งแรก แต่เวอร์ชันนั้นหายากมากแทบไม่เห็นเลย หลุดมาแบบครบชุดทีไรใน eBay ก็ราวกับเหยื่อถูกฉลามรุมเลย แย่งกันประมูล สู้ไม่ไหว ส่วนใหญ่ต้องตามซื้อทีละเล่มจากเวอร์ชัน 1990-1993 ทำให้การเก็บเรื่องนี้ให้ครบทำได้ยากลำบากอยู่

เราใช้เวลาหลายเดือนตามหาตามเก็บจาก eBay ทีละนิด จนได้มาทั้งหมด 37 เล่ม แต่ละเล่มเยินมากเยินน้อยตามสภาพ หมดเงินไปเกินหมื่นห้าพันบาท นับว่าหนังสือชุดนี้เป็นเรื่องที่เราลงทุนไปมากที่สุดในชีวิตเลย ยิ่งกว่าเพชรพระอุมาครบชุดซะอีก อุตส่าห์ตามได้ 37 เล่มแล้ว ขาดอยู่ที่เล่มสุดท้ายเล่มเดียวคือ William the Lawless ก็ทำให้เราต้องถอดใจ เพราะเป็นเล่มที่หายากมาก นานๆ จะมีมาที และราคาพุ่งสูง มันกลายเป็นของสะสม ไม่ใช่แค่หนังสือเอาไว้อ่านเฉยๆ ฉบับปกแข็งพิมพ์ครั้งแรกนี่ประมูลกัน 500-700 ปอนด์ แบบปกอ่อนบางทีก็เกือบ 100 ปอนด์ ทำใจซื้อหนังสือเก่าที่แพงกว่าราคาหน้าปก 20-30 เท่าไม่ได้ เลยยอมแพ้ เล่มท้ายๆ ก็ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่แล้วด้วย ผ่านมา 6 ปี จนมาถึงปัจจุบัน ก็ฟลุคเจอได้มาคราวนี้ในราคาแค่ 20 ปอนด์นี่แหละ ดีใจที่ได้เก็บเรื่องนี้ครบซะที

Just William เป็นเรื่องชุดที่มีเด็กชายวิลเลียม บราวน์ อายุ 11 ขวบ เป็นตัวเอก เคยมีคำโฆษณาบนปกหนังสือวิลเลียมว่า the most popular boy in fiction คงวัดจากยอดขาย 8 ล้านเล่มที่ถือว่าขายดีถล่มทลายมากในสมัยก่อน แน่นอน มันเป็นคำพูดก่อนยุคแฮร์รี่ พอตเตอร์ ผู้แต่ง Richmal Crompton (เป็นผู้หญิงนะคะ แต่ชื่อแปลกหน่อย เป็นอดีตครูโรงเรียนสตรี โชคร้ายป่วยเป็นโปลิโอขาลีบไปข้างหนึ่ง เลยลาออกมาเขียนหนังสือเต็มตัว ไม่เคยแต่งงาน ไม่เคยมีลูก ความซนของวิลเลียมบางเรื่อง เธอเอาแบบมาจากน้องชายของเธอสมัยเด็ก กับหลานชาย) เขียนเรื่องของวิลเลียมติดต่อกันยาวนาน ตั้งแต่ปี 1919 ในนิตยสาร รวมเล่มครั้งแรกใน 3 ปีต่อมา จนเธอเสียชีวิตในปี 1969 เล่มสุดท้าย William the Lawless พิมพ์ในปี 1970 หลังเธอเสียชีวิต ตลอดเวลากว่า 50 ปี วิลเลียมก่อเรื่องวุ่นๆ สนุกๆ ไปหลายร้อยตอน และได้รับความนิยมจากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่เสื่อมคลาย พิมพ์แล้วพิมพ์อีกหลายครั้ง ถูกสร้างเป็นละครวิทยุ ภาพยนตร์ ซีรีส์โทรทัศน์ก็หลายรอบ เด็กฝรั่งสมัยก่อนเป็นแฟนวิลเลียมทั้งนั้น

วิลเลียมไม่เคยโต เป็นเด็กอายุ 11 อยู่วันยังค่ำ แม้ว่าจะมีเรื่องของวิลเลียมในวันเกิดตัวเองไป 2-3 ครั้ง ไม่ว่าโลกรอบตัวจะเปลี่ยนไปยังไง วิลเลียมก็ยังเป็นเด็กชายคนเดิมที่คงความแสบ ฉลาด ซน กล้าคิดกล้าทำ ในแบบของตัวเองอยู่เสมอ เล่มแรกๆ เป็นเรื่องของเด็กในชนบทอยู่ เล่มกลางๆ ก็เป็นเรื่องในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง จนมาถึงยุคที่มีโทรทัศน์ แล้วก็ยังมีเรื่องของวิลเลี่ยมกับพรรคคอมมิวนิสต์อีกด้วย วิลเลียมไม่มีตอนอวสาน เรื่องสุดท้ายก็ยังเป็นเรื่องสั้นจบในตอนธรรมดา

เรื่องของวิลเลียมนอกจาก Just William's Luck ที่ยาวหน่อยแล้ว นอกนั้นก็เป็นเรื่องสั้นสนุกๆ จบในตอน ในแต่ละตอน นอกจากจินเจอร์ เฮนรี่ ดั๊กลัส เพื่อนร่วมแก๊งแล้ว วิลเลี่ยมมีพี่ชายวัยรุ่นชื่อ โรเบิร์ต พ่อคนนี้ก็มีเรื่องจีบคนนั้นคนนี้ แล้ววิลเลียมเข้าไปป่วน ส่วนเอเธิล พี่สาวคนสวยของวิลเลียมก็จะมีผู้ชายมาจีบ ก็เป็นแหล่งให้วิลเลียมสร้างเรื่องปล่อยมุกได้เยอะ ชอบสุดๆ ก็ตอนที่มีไวโอเล็ตเอลิซาเบ็ธ เด็กผู้หญิงผมหยิกที่ยังพูดไม่ชัด ออกมาทีไร วิลเลียมก็แพ้ทุกที ฮ่าฮ่า แต่ไวโอฯ บทน้อยมีไม่กี่ตอน เล่มช่วงที่สนุกที่สุด น่าจะอยู่ประมาณเล่ม 3-20 พอเข้าช่วงสงคราม สภาพบ้านเมืองคงจะเครียด ความสนุกก็ด้อยลงมา พอสงครามเลิก สภาพสังคม กับวัยและความคิดของผู้แต่งก็คงไม่กลับมาเหมือนเดิมแล้ว ช่วงนี้บางตอนก็ยังน่าอ่าน แต่ไม่ดีสุดๆ เหมือนเล่มแรกๆ

แม้ว่า Just William จะเป็นเรื่องของเด็ก แต่เหมือนช่วงแรกผู้แต่งตั้งใจเขียนให้ผู้ใหญ่อ่านมากกว่า ศัพท์ที่ใช้ค่อนข้างยาก แล้วบางทีมีสอดแทรกถ้อยคำที่แฝงอารมณ์ขันเสียดสีอยู่ลึกๆ ซึ่งเราว่า เด็กอาจไม่เข้าใจ แต่เด็กก็ยังอ่านสนุกได้จากวีรกรรมของวิลเลียม เพียงแต่อรรถรสที่ได้จะคนละแบบกว่าผู้ใหญ่อ่าน ในอังกฤษถึงต้องมีเวอร์ชันตัดย่อสำหรับเด็กด้วย ดังนั้น นี่เป็นเรื่องที่เด็กอ่านได้ ผู้ใหญ่อ่านดี แม้ว่าจะเพิ่งเอามาอ่านในยุคนี้ ก็ยังรู้สึกถึงความคลาสสิคข้ามกาลเวลาได้เลย

เราชอบวิลเลียมมากๆ หลายตอนที่อ่านแล้วนั่งหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง บางตอนนี่สนุกมากซะจนเราเสียดายที่คนไทยไม่ได้อ่าน จนเคยคิดเล่นๆ ว่าอยากจะหัดแปลเรื่องของวิลเลียมตอนที่สนุกๆ บางตอน เอามาโพสต์ลงเว็บด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากไม่เคยแปล ฝีมือก็อาจไม่ถึง แล้วก็ทำงาน (ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงการหนังสือเลยแม้แต่น้อย) เวลาไม่อำนวย ก็เลยไม่เคยลงมือทำเลย (ทั้งหมดคือข้อแก้ตัวของความขี้เกียจทั้งนั้น ^_^) ไหนจะกลัวเรื่องลิขสิทธิ์อีก เพราะฉะนั้นก็คงจะต้องปล่อยผ่านไป ตอนนี้ก็ยังแอบหวังว่า อาจจะมีฉบับภาษาอังกฤษพิมพ์ใหม่สวยๆ ครบชุดให้เราซื้อเก็บอีกรอบ เพราะ BBC ก็กำลังเอามาสร้างเป็นทีวีซีรีส์เวอร์ชันใหม่ แล้วอาจทำให้มีใครสนใจแปลเป็นภาษาไทย ก็จะรอซื้อนะ

ป.ล. ตอนเขียนโพสต์นี้ ก็เลยลอง google ดู เจอระดับเทพคุยกันเรื่อง Just William ที่นี่ น่าเสียดายมากเลย อยากอ่านที่อาจารย์ ว. วินิจฉัยกุล แปลออกมาจังค่ะ

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Tales of Toyland - Enid Blyton

คะแนน : 10

นี่คือหนึ่งในนิทานแสนรักที่เราประทับใจที่สุดเรื่องหนึ่งสมัยเด็ก ถ้าคุณเป็นเด็กยุคแฟนฉันเหมือนเรา คุณอาจไม่รู้จักหนังสือชื่อ Tales of Toyland แต่ถ้าบอกว่า นี่คือเรื่อง "ตุ๊กตากลาสีผจญภัย" อาจจะมีใครร้องอ๋อขึ้นมาบ้าง เราได้อ่านนิทานเรื่องนี้ครั้งแรกตอนสัก 7-8 ขวบมั้ง จากการรื้อค้นกองนิตยสารขวัญเรือนเล่มเก่าๆ ของที่บ้าน สมัยนั้นในขวัญเรือนจะมีคอลัมน์นิทานเด็กกับนิทานผู้ใหญ่ เป็นส่วนเดียวที่เราไล่อ่านจากนิตยสารกองนั้น ตุ๊กตากลาสีผจญภัยถูกลงเป็นตอนๆ ในส่วนของนิทานเด็กอยู่หลายเล่มติดกัน จำไม่ได้แล้วว่าปีไหน เพราะหนังสือพวกนั้นถูกชั่งกิโลขายไปหมดนานแล้ว

เนื้อเรื่องของตุ๊กตากลาสีผจญภัยก็ตรงตามชื่อเรื่องล่ะนะ เป็นเรื่องของตุ๊กตากลาสีชื่อเริงรื่น กับตุ๊กตานางฟ้าชื่อดาวน้อย พวกเขาถูกของเล่นอื่นรังแก ก็เลยหนีออกจากบ้านเจ้าของ เดินทางผจญภัย ผ่านโพรงกระต่าย ขึ้นรถไฟมาถึงเมืองของเล่น และสร้างบ้านตุ๊กตาอาศัยอยู่ร่วมกันสองคนในฐานะสามีภรรยา แล้วก็จะมีเรื่องราวจัดงานปาร์ตี้ ช่วยตุ๊กตาเพื่อนบ้าน อะไรทำนองนี้อยู่หลายตอน จนตอนจบคือ ซานตาคลอสมาถึงเมืองของเล่นแล้วเลือกเริงรื่นกับดาวน้อยเข้าถุง เพื่อนำไปแจกให้เด็กๆ แต่ตุ๊กตาทั้งสองร้องไห้เสียใจ จนซานตาคลอสตกใจปล่อยทั้งสองกลับไปดังเดิม ลงท้ายด้วยการบอกว่า เริงรื่นกับดาวน้อยก็อาศัยอยู่ในเมืองตุ๊กตาอย่างมีความสุขตลอดไป

เราชอบนิทานเรื่องนี้มากๆ มันมอบความใฝ่ฝันและจินตนาการให้เรา เมืองที่ตุ๊กตาพูดได้ ได้สร้างบ้าน ต่อเฟอร์นิเจอร์เอง กี่ครั้งที่มันพาให้เราฝันถึงแดนไกลที่ไม่เคยเจอบนโลกจริง และทำให้เรารู้ว่า หนังสือพาเราไปไหนก็ได้ โลกในหนังสือสนุกและน่าตื่นเต้นขนาดไหน แต่ตอนนั้นไม่รู้ตัวหรอก สมัยเด็กก็ไม่รู้จักรักษาหนังสือเป็นสมบัติของตัว จนโตมาเมื่อสักสิบปีก่อน เราก็คิดถึงนิทานเรื่องนี้ขึ้นมา จนถึงขนาดไปหอสมุดแห่งชาติ ขอถ่ายเอกสารจากนิตยสารขวัญเรือนมาเลยนะ แล้วรู้มั้ยคะว่า หอสมุดแห่งชาติก็มีขวัญเรือนไม่ครบ ก็เลยขาดนิทานเรื่องนี้ไป 1-2 ตอน อยากจะอ่านแบบสมบูรณ์อีกครั้ง เราแน่ใจว่า นิทานเรื่องนี้เป็นหนังสือแปลแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่ามาจากเรื่องอะไร ใครแต่ง แล้วสำนวนแปลภาษาไทยของ อ. สนิทวงศ์ ท่านเล่นแปลชื่อตัวละครเป็นไทยด้วย เคยไปตั้งกระทู้ถามในพันทิปก็ไม่ได้ความ มีคนบอกว่ามันเคยมีรวมเล่มเล็กๆ ชื่อการผจญภัยของตุ๊กตากลาสี ก็ไม่เคยเห็น จนปัญญาจะตามหา และสิบปีนี้จากการย้ายหนังสือไปมา ตอนนี้ไอ้ที่ไปถ่ายเอกสารมาก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้วเหมือนกันค่ะ

จนเมื่อไม่นานมานี้จากการอ่านเรื่องปิ๊ปปี้ ทำให้เรานึกถึงเรื่องนี้อีกครั้ง และด้วย Google Books กับคีย์เวิร์ดว่า sailor doll ก็พาเราไล่ไปเรื่อยๆ ตามเว็บ จนในที่สุดก็ทราบว่า มันคือเรื่อง Tales of Toyland นี่เอง ตุ๊กตากลาสีชื่อ Jolly ตุ๊กตานางฟ้าชื่อ Tiptoe และผู้แต่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน Enid Blyton นักเขียนเรื่องเด็กคนโปรดของเรานั่นเอง แต่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า ตุ๊กตากลาสีจะเป็นเรื่องของเธอ เพราะเรานึกถึงแต่เรื่องสไตล์ห้าสหายผจญภัยมากกว่า (เราเป็นแฟนแนวนี้ มีหมดทุกเรื่อง สี่สหาย ห้าสหาย หกสหาย เจ็ดสหาย ฯลฯ เล่มไหนมีชื่อ Enid Blyton ก็ซื้อทั้งนั้น ว่าแต่ใครรู้บ้างคะว่า จอร์จ/จอร์จิน่า เคยมีชื่อไทยว่า ยอด/ยอดอุรา) ตอนหาเจอนี่ หัวใจพองเลย ปลื้มมาก และก็ไม่รอช้า จัดการสั่งซื้อจาก eBay ทันที ในที่สุดก็ได้มาอยู่ในมือจนได้

นิทานสั้นมาก 90 หน้าเอง อ่านแป๊บเดียวก็จบ ทั้งๆ ที่ตอนเด็กรู้สึกว่ามันยาวกว่านี้ พอมาอ่านอีกทีตอนโต เราเพิ่งรู้นี่แหละว่า ดาวน้อย (ชื่อไทยเพราะกว่าชื่อจริงมาก) เป็นผู้หญิงขี้แย ทำอะไรไม่เป็น เห็นแก่ตัว อะไรที่ดีๆ ในเรื่องเป็นบทของเริงรื่นทั้งนั้น แถมตอนมาถึงเมืองตุ๊กตานะ เริงรื่นบอกดาวน้อยหน้าตาเฉยว่า เราควรแต่งงานกัน เธอจะได้ชุนถุงเท้าให้ฉัน แล้วฉันจะดูแลเธอเอง มิน่า อีนิด ไบลตัน ถึงถูกวิจารณ์เรื่องเหยียดเพศ ตอนเป็นเด็กไม่รับรู้ประเด็นพวกนั้นหรอก แหม แต่เรื่องมันก็แต่งมาตั้งนานแล้วล่ะนะ ตั้งแต่สมัยสงครามโลก ปล่อยไปไม่คิดมาก

ตอนเราอ่านประวัติของอีนิด ไบลตัน ตกใจเลยตอนเจอว่า ลูกสาวคนเล็กของเธอบอกว่า แม่เป็นคนหลงตัวเอง เห็นแก่ตัว ตอนเด็กเธอกลัวแม่ แต่ตอนโต เธอสมเพชแม่มากกว่า เราอึ้งไปเลย นักเขียนคนโปรดสมัยเด็กของเรานะนั่น ตอนเด็กเราไม่เคยใส่ใจว่านักเขียนจะเป็นคนยังไง แต่ถ้าเราไม่เจอข้อมูลนี้ ก็คงนึกไปธรรมดาว่า เขียนเรื่องเด็กก็คงรักเด็กเข้าใจเด็ก ความฝันวัยเยาว์ถูกทำลายลงไปเล็กน้อย โลกของเด็กกับโลกของผู้ใหญ่ต่างกันจริงๆ ฮ่าฮ่า แต่ยังไงเราก็ยังรักเรื่องนี้มากอยู่ดีค่ะ เพราะมันคือสิ่งเตือนใจถึงความทรงจำแสนสุขในวัยเด็กของเรา

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Sookie Stackhouse (5 - 10) - Charlaine Harris


สปอยล์ สปอยล์ สปอยล์

Dead as a Doornail (Sookie Stackhouse 5)
คะแนน : 6.5

เล่มนี้กลับมาเป็น Mystery เต็มๆ อีกแล้ว มีคนไล่ยิงพวกชิฟท์เตอร์ (มนุษย์ที่แปลงร่างเป็นสัตว์ได้) กับมีคนพยายามเอาชีวิตซุกกี้ด้วยการเผาบ้านของเธอ เล่มนี้รู้สึกว่ามันเอื่อยๆ ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ มันมีเนื้อเรื่องเพิ่มเติมขึ้นมา แต่เราไม่รู้สึกว่ามันเป็นพล็อตเรื่องสำคัญ เล่มนี้มีบรรดาตัวละครชายพวกเผ่าพันธุ์ซูป (Supernatural) ทั้งหลาย รวมทั้งบิลด้วย มาเกาะแกะแวะเวียนกับซุกกี้ แต่ไม่มีใครมีบทบาทสำคัญเป็นพิเศษ และเราไม่ชอบใครเลยสักคน ก็เลยออกจะรำคาญนิดๆ กับปฏิกิริยาของซุกกี้ที่มีต่อเจ้าพวกนี้ น่าเสียดายที่เอริคก็ถูกลดบทไปด้วย

One Word Answer
คะแนน : 7
เรื่องสั้นที่รวมอยู่ใน A Touch of Dead เหมือนกัน แต่เราแยกอ่านทีละตอน ตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่อง เรื่องนี้โอเคเลย มีคนมาบอกข่าวการตายของลูกพี่ลูกน้องของซุกกี้ ถึงจะเป็นเหตุการณ์สั้นๆ แต่เล่าเรื่องได้น่าสนใจ พร้อมกับการปรากฏตัวของตัวละครที่เคยได้ยินแต่ชื่อในเล่มก่อนๆ แต่เธอน่าจะมีความสำคัญในอนาคต (รึเปล่า?)

Definitely Dead (Sookie Stackhouse 6)
คะแนน : 7

ซุกกี้เดินทางไปหลุยเซียน่า เพื่อไปจัดการเรื่องทรัพย์สินส่วนตัวของลูกพี่ลูกน้องคนที่ตายไปในเรื่องสั้นข้างบน และต้องไปพบราชินีแวมไพร์แห่งหลุยเซียน่าอย่างเป็นทางการด้วย อืมม์ อันที่จริงเล่มนี้ก็ไม่ได้แย่กว่าเล่มก่อนๆ มันก็ยังมีปริศนาความลึกลับของเรื่องให้สงสัย เจอศพในป่าหลังบ้าน เจอศพในตู้เสื้อผ้า (อีกแล้ว) และมีฉากน่าสนใจหลายฉากในเล่มนี้ อาทิ การทำพิธีของแม่มดเพื่อดูเหตุการณ์ในอดีต รวมทั้งมีเหตุการณ์ที่เผยความลับของบิล ที่ช็อกความรู้สึกของซุกกี้มากๆ ด้วย แต่สารภาพว่าเราเริ่มจะเบื่อเรื่องชุดนี้หน่อยๆ แล้ว เพราะรู้สึกว่า เนื้อเรื่องมันไม่ได้มีทิศทางอะไร มันก็วนไปเวียนมาอยู่ในแวดวงตัวประหลาดทั้งหลายนี่ล่ะ ชีวิตซุกกี้ก็ไม่ไปไหน ผู้ชายที่แวะเวียนมาก็ไม่เห็นทางจะไปลงเอยกับใครได้สักที เล่มนี้ผู้ชายที่ว่าคือ ควินน์ หนุ่มเสือเบงกอล ถามว่าสนุกมั้ย ตอนอ่านมันก็สนุกดี แต่อ่านจบแล้วก็แล้วกันไป

Lucky
คะแนน : 7

เรื่องสั้นเบาๆ ของซุกกี้กับอมีเลีย ไขความลับเรื่องที่มีคนเข้าไปรื้อค้นสำนักงานของคนขายประกัน อ่านสบายๆ

All Together Dead (Sookie Stackhouse 7)
คะแนน : 8

เล่มนี้เป็นเรื่องของงานประชุมของบรรดาราชาราชินีแวมไพร์ซึ่งจัดขึ้นในโรงแรมใหญ่ ซุกกี้ก็เดินทางติดตามมาในขบวนของราชินีแห่งหลุยเซียน่าด้วย เพราะโซฟีแอนน์ต้องมาขึ้นศาลคดีที่เป็นผลมาจากเรื่องราวในเล่มที่แล้ว ที่จริงการดำเนินเรื่องเล่มนี้เหมือนไม่ค่อยมีความลึกลับมากเท่าไหร่ แต่อ่านเพลินดี เพราะได้เห็นสังคมของแวมไพร์ ธรรมเนียมแปลกๆ ใหม่ๆ ท้ายเล่มก็เกิดเหตุการณ์ใหญ่ ตอนอ่านฉากที่เป็นหน้าปกของเรื่อง สนุกดี



From Dead To Worse (Sookie Stackhouse 8)
คะแนน : 7.5

หลังกลับจากงานประชุม ควินน์หายเงียบไปไม่ติดต่อมา ซุกกี้เจอแวมไพร์แปลกหน้าในงานแต่งงาน รวมทั้งชายสูงอายุรูปงามผู้ลึกลับ เล่มนี้เอริคเริ่มกลับเข้ามาในชีวิตซุกกี้อีก เพราะพันธะเลือดที่เกิดจากเล่มที่แล้ว อมีเลีย เพื่อนร่วมบ้านของซุกกี้ตลกดี เล่มนี้มันไม่มีประเด็นหลักเท่าไหร่ แต่มีเหตุการณ์ย่อยๆ หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเยอะ เล่าไม่ถูกเลย ปัญหาชีวิตคู่ของเจสันพี่ชาย การต่อสู้ชิงอำนาจของมนุษย์หมาป่า และการบุกยึดอำนาจของแวมไพร์ต่างรัฐ เหตุการณ์พวกนี้มันไม่ใช่เรื่องของซุกกี้โดยตรง แต่ดูท่าชีวิตของเธอคงจะวุ่นวายยิ่งขึ้นไปอีกแน่ๆ

Gift Wrap
คะแนน : 6

เรื่องสั้นสุดท้ายใน A Touch of Dead คืนคริสต์มาสอีฟ ซุกกี้อยู่เงียบเหงาตัวคนเดียว แต่แล้วก็พบมนุษย์หมาป่าหนุ่มแปลกหน้าได้รับบาดเจ็บอยู่ในป่าหลังบ้าน เธอจึงช่วยเขากลับมาพักที่บ้าน เราไม่ชอบเรื่องนี้ค่ะ ไม่ชอบ one-night stand เราไม่ติดใจเรื่องที่ซุกกี้มีความสัมพันธ์กับหนุ่มหลายคนนะ ที่ผ่านมามันก็มีที่มาที่ไปทุกคน แต่ซุกกี้เคยบอกเองไม่ใช่หรือว่า เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่นอนกับผู้ชายชั่วครั้งคราว ตอนนี้ก็เลยทำให้เราเสียความรู้สึกพอดู

Dead and Gone (Sookie Stackhouse 9)
คะแนน : 7

เล่มนี้อ่านแล้วเครียด หนักตั้งแต่เปิดเรื่องเลย เหล่ามนุษย์กลายร่างเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณชน พบศพคริสตัล มนุษย์เสือดำพี่สะใภ้ของซุกกี้ ถูกตรึงกางเขนหลังบาร์ที่ทำงาน ญาติแฟรี่ของซุกกี้มาเตือนว่า เธอกำลังตกอยู่ในอันตรายจากสงครามของเหล่าแฟรี่ ครึ่งเล่มแรก เรื่องของเอริคกับซุกกี้กำลังดำเนินไปในทิศทางที่เราอยากให้เป็นอยู่เชียว แต่ก็กะแล้วว่า เรื่องนี้มันคงไม่ลงเอยง่ายๆ บิลกลับมาวอแวอีกแล้ว พวกแฟรี่ตัวร้ายพยายามจ้องเล่นงานซุกกี้ตลอดเวลา แม้จะพยายามระวังตัว และขอความช่วยเหลือจากแวมไพร์และมนุษย์หมาป่า แต่ก็ยังไม่วาย ท้ายเล่มซุกกี้เจอเรื่องหนักสุดๆ เฮ้อ ถอนหายใจเฮือก เล่มนี้มืดมนจริงๆ ตายกันเกลื่อน

Dead in the Family (Sookie Stackhouse 10)
คะแนน : 7

ช่วงแรกเป็นช่วงพักฟื้นของซุกกี้ หลังจากผ่านประสบการณ์เลวร้ายจากเล่มที่แล้วมา โชคดีมากที่เธอจิตใจเข้มแข็งและผ่านพ้นช่วงทำใจมาได้ดี จากท้ายเล่มที่แล้ว หวั่นนิดหน่อยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างซุกกี้กับเอริคจะเลวร้ายลง แต่เห็นปกแล้วก็โล่งใจหน่อยที่เอริคยังไม่น่าจะหายไปไหน เล่มนี้ได้รู้เรื่องของเอริคเพิ่มมากขึ้น มีพ่อ (ผู้ที่เปลี่ยนเอริคเป็นแวมไพร์) กับน้องชาย (คนที่ถูกเปลี่ยนโดยแวมไพร์คนเดียวกัน) โผล่มาปรากฏตัว และแน่นอน ที่ทั้งสองมาพร้อมกับความยุ่งยาก เล่มนี้ถ้าเทียบกับเล่มอื่นๆ เนื้อหาน้อยนิดมาก เรื่องราวไม่ไปไหนเลย แต่ก็ดีเหมือนกัน ซุกกี้จะได้พักซะบ้าง เจอแต่เรื่องตลอด

Two Blondes
คะแนน : 7

เรื่องสั้นในเล่ม Death's Excellent Vacation ซุกกี้กับแพมเดินทางไปเที่ยวเมืองคาสิโน พร้อมทำธุระให้เอริค เล่มนี้ก็โอเค ลงตัวในเนื้อเรื่องสั้นๆ

สรุป
ความรู้สึกเราหลังอ่านเรื่องชุดนี้จบ 10 เล่ม ก็คือ
- ในบรรดาหนุ่มทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่มั้ยคะว่า เราเชียร์เอริค เล่มไหนมีเอริคเยอะหน่อยก็จะชอบ เล่มไหนไม่เห็นก็จะเซ็ง เราชอบเวลาที่เอริคเรียกซุกกี้ว่า my lover หรือ my wife (ใน Dead and Gone เล่ม 9 เอริคออกอุบายให้ซุกกี้แต่งงานด้วย เพื่อปกป้องซุกกี้เอง) แม้ว่าเราจะเชียร์คู่นี้ แต่เราก็มองไม่เห็นว่าทั้งคู่จะลงเอยกันอย่างมีความสุขได้ยังไง เอริคก็อยู่ต่างเมือง เจอกันทีไรก็มีแต่เรื่องวุ่นวาย ชีวิตทั้งคู่ต่างกันเยอะจนไม่รู้จะหาจุดลงตัวยังไง จะให้ใครคนหนึ่งสละการใช้ชีวิตของตัวเองมันก็ไม่ใช่อีก ก็เลยเพลียๆ ในใจนิดหน่อย แบบลุ้นไม่ขึ้น
- อ่านเรื่องชุดนี้เหมือนดูหนังซีรีส์ เรื่องราววนเวียนไม่ไปไหน หรือเพราะเราอ่านต่อกันรวดเดียวเราถึงเบื่อไม่รู้ มีการพัฒนาของเหตุการณ์ แต่ก็มีโอกาสสูงที่ตัวละครใหม่ที่โผล่มา จะไม่ได้สำคัญกับเนื้อเรื่องเล่มนั้น แต่จะมีบทในเล่มหน้า ตัวละครเยอะจนถ้าไม่ได้อ่านต่อเนื่องกันอาจจะลืม แถมมีปัญหาเรื่องความสับสนของตัวละครอีกต่างหาก อย่างย่ากลายเป็นยาย กลับมาเป็นย่าอีก ปอร์เทียกับแอนดี้เดี๋ยวก็สลับกันเป็นพี่เป็นน้อง ขนาดคนเขียนยังงง คนอ่านก็ยิ่งงงใหญ่
- ดูซีรีส์ True Blood ไปนิดหน่อย เห็นเป็นภาพนี่มันดูรุนแรงกว่าอ่าน แถมมีรายละเอียดเยอะ ทั้งที่ตามหนังสือและเพิ่มเข้ามา จนเหมือนยิ่งดำเนินเรื่องยืดยาดเข้าไปใหญ่ เลยคงไม่ดู แวมไพร์นี่ไม่ใช่แนวโปรดจริงๆ ด้วย แอนนา ปาควินนี่เหมาะกับบทซุกกี้มากเลย แต่ฟันของเธอนี่ขัดตาจัง บิลกับเอริคไม่หล่ออ่ะ แคสติ้งตัวละครบางตัวดูต่างจากที่บรรยายในหนังสือ เช่น ราชินีหลุยเซียน่า แต่ในทีวีดูเหมาะกับภาพพจน์มากกว่า
- สรุปคือ อ่านเรื่องนี้แล้วก็โอเค เล่มใหม่ออกก็คงจะอ่านต่อ แต่ไม่ได้ติดตามมากมาย และถึงไม่ได้อ่าน ก็คงไม่คิดว่า ตัวเองพลาดอะไรไป

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Sookie Stackhouse (3 & 4) - Charlaine Harris

Club Dead (Sookie Stackhouse 3)
คะแนน : 7.5

บิลหายตัวไป เอริค แวมไพร์หัวหน้าของบิล ส่งมนุษย์หมาป่าหนุ่ม อัลซิด มาเป็นคนรับหน้าที่พาซุกกี้ไปสืบร่องรอยในต่างเมือง เล่มนี้ก็สนุกดี ถึงแม้เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก แต่ก็ตามอ่านสถานการณ์และการเอาตัวรอดของซุกกี้อย่างเพลิดเพลิน ถ้าจะจัดประเภทหนังสือเล่มนี้จริงๆ โดยไม่นับเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ เราว่า แนวเรื่องมันใกล้เคียงเรื่อง Adventure ที่สุด มันคือการติดตามอ่านการผจญภัยของซุกกี้ ถ้าเล่านี่มันเหมือนเหลือเชื่อ ซุกกี้คนเดียวบุกรังราชาแวมไพร์ พาบิลหนีออกมาได้ด้วย ใช้วิธีอะไรฉลาดแยบยลหรือก็เปล่า ลุยสู้แบบบ้าพลังก็ไม่ใช่ เหมือนจะอาศัยลูกฟลุคเยอะที่สุด แต่ด้วยวิธีบรรยายมันก็ทำให้อยากรู้ว่า เออ แล้วจะเป็นไงต่อ

มาถึงเล่มนี้ก็เห็นชัดแล้วว่า บิลตกกระป๋องจากบทพระเอกเรียบร้อย เราไม่เสียดายบิลนะเพราะไม่ได้ชอบเขามากมาย แต่อดรู้สึกไม่ได้ว่า สาเหตุที่บิลห่วยบัดซบแบบนี้ มันไม่ได้ถูกผลักดันจากตัวละครเอง แต่เป็นเพราะว่า ถ้าจะขยายขอบเขตเนื้อเรื่อง การมีบิลอยู่เป็นแฟนจะกลายเป็นตัวเกะกะการดำเนินเรื่องซะเปล่าๆ ก็เลยแต่งออกมาแนวนี้ จะให้ซุกกี้มีคนใหม่ที่น่าสนใจกว่านี้ บิลก็ต้องพ้นทางไปซะ และเพื่อไม่ให้เป็นความผิดของซุกกี้ที่ปันใจ บิลก็ต้องรับบทชายโฉดไป

Dead to the World (Sookie Stackhouse 4)
คะแนน : 8

ระหว่างขับรถกลับบ้านคืนหนึ่ง ซุกกี้พบเอริคกระเซอะกระเซิงอยู่ข้างทาง เธอต้องพาเขากลับมาที่บ้าน เอริคสูญเสียความทรงจำ จากคำสาปของกลุ่มแม่มดที่ต้องการจะขยายอิทธิพลเข้ามาในละแวกเมืองนี้ แค่ต้องรับดูแลแวมไพร์ความจำเสื่อมให้มาอยู่ในบ้าน เท่านี้ชีวิตของซุกกี้ยังวุ่นวายไม่พอ เพราะเจสัน พี่ชายของเธอก็มาหายตัวไปอีกคน

เล่มนี้ได้เห็นเอริคในบทบาทใหม่ ซึ่งก็เวิร์คทีเดียวนะนี่ แต่ไม่รู้ว่าเอริคจะคงความสำคัญของตัวเองได้แค่ไหนในเล่มต่อๆ ไป ฉากบู๊เล่มนี้ดุเดือดล้างผลาญพอดู มีเผ่าพันธุ์ใหม่ปรากฏตัวอีกแล้ว เรื่องราวในโลกของซุกกี้ก็ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนขึ้นอีก

Fairy Dust (Sookie Stackhouse)
คะแนน : 7

เรื่องสั้นในชุด Sookie Stackhouse (เดิมอยู่ในเล่ม Powers of Detection ตอนหลังมารวมใน A Touch of Dead) เป็นเรื่องราวหลังเหตุการณ์เล่ม 4 พวกแฟรี่ คลอดีน มาขอให้ซุกกี้ช่วยสอบปากคำมนุษย์ที่เป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าฝาแฝดของเธอ เป็นเรื่องสั้นไม่มีอะไรมาก แค่ได้รู้จักพวกแฟรี่มากขึ้น

Dracula Night (Sookie Stackhouse)
คะแนน : 6.5

เรื่องสั้นที่เดิมอยู่ในเล่ม Many Bloody Returns ตอนหลังมารวมใน A Touch of Dead เช่นกัน เป็นเรื่องราวก่อนเล่ม 5 ซุกกี้ได้รับบัตรเชิญจากคลับแฟงตาเซียให้ไปร่วมงานแดร็กคิวล่าไนท์ เอริคเป็นแฟนตัวยงของเจ้าชายแห่งความมืด และเขาหวังว่า แดร็กคิวล่าตัวจริงจะมาปรากฏตัวที่คลับของเขาคืนนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่ค่อนข้างห่วย รู้สึกมันอ่อนๆ ไงไม่รู้ ขนาดปกติเราจะหยวนๆ ไม่คาดหวังอะไรมากกับเรื่องสั้นนะนี่

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Living Dead in Dallas (Sookie Stackhouse 2) - Charlaine Harris

คะแนน : 7.5

เล่มนี้สนุกขึ้น เราได้เห็นโลกในเรื่องกว้างขึ้นอีกหน่อย ได้เรียนรู้เรื่องของการที่แวมไพร์มาอยู่ร่วมกับคนในสังคม ใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เข้าไป บางอย่างอ่านแล้วก็รู้สึกว่า เออ ช่างคิดนะ มีสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ใหม่ปรากฏ คนที่มีความสามารถพิเศษแบบซุกกี้ก็ไม่ได้มีคนเดียว

ความจริงถ้าเล่าเรื่องย่อมันก็มีนิดเดียว เพื่อนร่วมงานซุกกี้คนหนึ่งถูกฆาตกรรม หลังจากไปงานเซ็กส์ปาร์ตี้ แล้วซุกกี้กับบิลต้องเดินทางไปดัลลัส ช่วยแวมไพร์ที่นั่นตามหาตัวเพื่อนแวมไพร์คนหนึ่งที่หายไป ตอนที่ซุกกี้ไปผจญภัยในสำนักงานใหญ่ของพวกมนุษย์ที่ต่อต้านแวมไพร์ เนื้อเรื่องเกิดในไม่กี่ชั่วโมง กินความซะครึ่งเล่ม บรรยายละเอียดมาก แต่ก็สนุกดี การเล่าเรื่องถูกบรรยายจากมุมมองบุคคลที่หนึ่ง คือ ตัวนางเอก บางทีอ่านความคิดซุกกี้แล้วก็ขำ หัวเราะหึหึ อย่างตอนเปรียบเทียบแวมไพร์กับเจ้าสาวที่ลังเลใจกับการแต่งงาน

เรื่องนี้เน้นนางเอกเป็นหลักมากๆ จนอาจจะเรียกบิลว่าพระเอกไม่ได้ เกิดเรื่องทีไร บิลไม่เคยอยู่เลยสักที ซุกกี้โซโล่เองทั้งนั้น เผลอๆ อนาคตสงสัยอาจมีแอบปันใจ เล่มนี้ก็แว้บๆ แล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Dead Until Dark (Sookie Stackhouse 1) - Charlaine Harris

คะแนน : 7

ไม่รู้จะอ่านอะไรดี ดูรายการหนังสือที่จะวางตลาด เดือนนี้ไม่มีเล่มที่รออ่านอยู่เลย ส่วนใหญ่จะออกเดือนหน้า หันไปมองๆ หนังสือพวกเบสต์เซลเลอร์ที่เรายังไม่อ่านมั่ง เอาชุดนี้แล้วกัน Sookie Stackhouse หรือ Southern Vampire Series หรือ True Blood จริงๆ ก็เคยเห็นเรื่องนี้อยู่ในร้านหนังสือนานแล้ว เห็นมีแบบ box set ขายด้วย สวยเชียว แต่ไม่ค่อยสนใจ เพราะไม่ค่อยชอบเรื่องแนวแวมไพร์เท่าไหร่ แต่ไหนๆ ตอนนี้ไม่มีเรื่องอยากอ่าน ลองหน่อยก็ได้ เผื่อจะชอบ

นี่เป็นเรื่องของซุกกี้ สแต็กเฮ้าส์ หญิงสาววัยยี่สิบกว่าที่ทำงานเป็นสาวเสิร์ฟในบาร์ มีความสามารถอ่านใจคนอื่นได้ วันหนึ่ง บิล คอมป์ตัน ซึ่งเป็นแวมไพร์ ก็มาปรากฏตัวในบาร์ที่ซุกกี้ทำงาน เธอติดใจเขาทันทีเพราะเขาเป็นคนที่เธออ่านใจไม่ออก และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจมากๆ โลกในนิยายเรื่องนี้ กฎหมายและสังคมยอมรับการมีอยู่ของแวมไพร์แล้ว บิลไม่ต้องปิดบังตัวตน แต่แล้ว ก็เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมหญิงสาวขึ้นหลายราย ชีวิตซุกกี้ต้องเผชิญเรื่องราววุ่นวายต่างๆ มากมาย

อืมม์ ก็อ่านได้เรื่อยๆ นะ เล่มแรกอาจจะยังไม่ค่อยมีอะไรมาก แนะนำตัวละคร ฉากและสภาพแวดล้อมในเรื่องให้คนอ่านรู้จัก เนื้อเรื่องจริงๆ ก็ไม่มีอะไรเท่าไหร่ เอื่อยๆ มาลุ้นแค่ตอนท้าย เหมือนอ่านชีวิตประจำวันของซุกกี้ ตื่นมาทำอะไร ไปไหน เจอใคร อย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วระหว่างนั้นอ่านไปสักสองสามบท ก็จะมีคนตายไปทีละคน ไม่รู้ใครทำ เพราะไม่ปล่อยเงื่อนงำชี้ตัวคนร้ายเลย ไม่ใช่แนวนิยายสืบสวน แต่เป็นแนวลึกลับมากกว่า พอฆาตกรโผล่มาก็กลายเป็นเรื่องสยองขวัญต้องวิ่งหนีการตามล่าไปซะ และถึงจะมีเรื่องความรักระหว่างซุกกี้กับบิล แต่นี่ก็ไม่ใช่โรแมนซ์อีก จะจัดเป็นเรื่องผี มันก็ไม่น่ากลัว จัดประเภทยากจัง คิดว่าในเล่มถัดๆ ไปน่าจะมีเนื้อเรื่องอะไรมากกว่านี้ เล่มนี้ก็ถือเป็นการเซตอารมณ์และโทนของเรื่องไปก่อน

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Sinful in Satin - Madeline Hunter

คะแนน : 7

นิยายเล่มที่สามในชุด Rarest Blooms เป็นเรื่องของเพื่อนสาวสี่คนที่พักอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านนอกเมือง อาศัยอยู่อย่างอิสระไม่พึ่งผู้ชาย ยังชีพด้วยการปลูกดอกไม้เอามาส่งขายในลอนดอน แต่ทั้งสี่คนมีความเป็นมาที่ไม่ยอมเปิดเผย และมีข้อตกลงกันว่า จะไม่ถามถึงอดีตของกันและกัน เราเคยเขียนถึงความรู้สึกหลังอ่านสองเล่มแรกไว้สั้นๆ ที่โพสต์นี้

เล่มนี้เป็นเรื่องของสาวคนที่สาม ซีเลีย ลูกสาวของหญิงงามเมืองชื่อดัง เมื่อโตเป็นสาวรุ่นแม่ก็พามาอยู่ด้วย และอบรมจะให้สืบทอดอาชีพต่อจากแม่ แต่แล้วเมื่อ 5 ปีก่อน เธอก็หนีออกจากบ้านมาพักพิงอยู่กับแดฟนีที่บ้านสวนดอกไม้เงียบๆ บัดนี้ เมื่อแม่ของเธอเสียชีวิต ความลับที่เธอเป็นลูกสาวโสเภณีก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ซีเลียได้มรดกที่เหลือจากการใช้หนี้เป็นบ้านหลังหนึ่ง เธอจึงตัดสินใจออกจากบ้านของแดฟนี เพื่อมายืนหยัดด้วยตัวเอง แต่เมื่อเธอย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน ก็พบว่า เธอรับมรดกตกทอดเป็นผู้เช่าบ้านหนุ่มหล่อ โจนาธาน อัลไบร์ทตัน มาด้วย โจนาธานเคยปรากฏตัวในเล่มสอง เป็นสายลับที่ทำงานให้รัฐบาลอังกฤษ

เราอ่านเล่มนี้จบไปด้วยอารมณ์ธรรมดามากๆ เรื่องนี้ก็ไม่แย่ แต่ไม่มีอะไรให้น่าชื่นชอบเป็นพิเศษเลย เรารู้สึกว่า นิยายโรแมนซ์ที่เป็นเรื่องชุด 3-4 เล่ม จะเจอปัญหานี้บ่อยๆ เล่มแรกมักจะดีเพราะเป็นเล่มเปิดเรื่อง เล่มกลางจะอ่อน เพราะต้องกั๊กนู่นกั๊กนี่ ตัวละครเด่นก็ต้องเก็บไว้ทีหลัง แล้วเล่มสุดท้ายค่อยกลับมาดีอีกที เล่มนี้ก็เป็นอย่างที่ว่า ซึ่งเราว่าปัญหาหลักของเล่มนี้อยู่ที่ตัวละคร

ซีเลียเป็นนางเอกที่ด้อยกว่าที่คิด ในเล่มก่อนๆ หน้าเวลากล่าวถึงเธอ เธอเป็นสาวสวยที่สุดในเรื่อง แต่ใครๆ ก็มักจะรู้สึกว่าเธอไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาธรรมดา เธอมักยิ้มเหมือนรู้ทันตลอด เหมือนมีความคิดกร้านโลก แต่เอาเข้าจริงในเล่มนี้ เราว่า เธอยังอ่อนต่อโลกมากๆ ในเรื่องบรรยายไว้หลายครั้งว่า แม่พยายามอบรมให้เธอคิดถึงความจริงของชีวิตและกฎเกณฑ์ของสังคม ซึ่งปากของเธอก็บอกว่า เธอรู้ดี ไม่ฝันอะไรเกินตัว แต่แล้วเธอก็พยายามตามหาพ่อที่แท้จริง จากบรรดาแขกของแม่เธอซึ่งเป็นขุนนางใหญ่ๆ ทั้งนั้น โดยฝันว่าเขาจะยินดีต้อนรับเธอ เพราะเธอไม่คิดอยากได้อะไรจากเขา แค่นี้เราก็ส่ายหน้าแล้วค่ะ ผู้ชายถ้ามันจะรับ มันคงไม่ปล่อยลูกไว้ในซ่องหรอก ไม่มีความคิดเลย แล้วก็จิตใจอ่อนแอไม่มีจุดยืน เพิ่งบอกเลิกกับพระเอกเพราะรู้ว่าเขาไม่ซื่อในเจตนาที่มาอยู่ในบ้าน พอไปเจอเรื่องเสียใจอื่น พระเอกปลอบหน่อย ก็ยอมรับเขากลับมาง่ายๆ

ตอนอ่านเล่มสองจบใหม่ๆ เราก็อยากอ่านเล่มสามซึ่งรู้แล้วว่าจะเป็นเรื่องของซีเลีย เคยนึกว่า ดยุคคาสเซิลฟอร์ดจะคู่กับซีเลีย เพราะเดาว่าเขาอาจจะเป็นคนที่ไปประมูลซีเลียมาเมื่อ 5 ปีก่อน จนเมื่อ Madeline Hunter เขียนลงเว็บของเธอว่า คาสเซิลฟอร์ดต้องเจอคนที่ปราบเขาอยู่ ไม่ใช่ซีเลีย เราก็ห่อเหี่ยวไปหน่อยที่เล่มนี้ยังไม่ใช่เล่มของเขา แต่อ่านจบแล้วก็เข้าใจทันที ซีเลียอ่อนมาก ไม่สมกับคาสเซิลฟอร์ดหรอก

ส่วนโจนาธานก็ห่วยพอกัน เขาเป็นลูกนอกสมรสของเอิร์ล ตอนสงครามกับนโปเลียน ก็ทำภารกิจลับให้รัฐบาลหลายอย่าง โจนาธานเข้ามาอยู่ในบ้าน เพื่อค้นหาว่า แม่นางเอกทิ้งรายชื่อแขกที่อาจจะเป็นคนระดับสูงของประเทศไว้รึเปล่า และพ่วงการสืบว่า ใครกันที่เป็นคนทรยศที่ทำลายภารกิจจนเขาเกือบตายเมื่อ 5 ปีก่อน เพราะมีข่าวลือว่า แม่นางเอกส่งข่าวให้ฝรั่งเศส จากภูมิหลังของเขา โจนาธานน่าจะเป็นคนที่น่าสนใจกว่านี้ได้ แต่เรากลับพบว่า เขาธรรมดามากๆ เราเห็นเขาเป็นแค่ตัวประกอบในตอนเล่มสอง ในเล่มนี้ที่เขาเป็นพระเอกเอง ก็ยังไม่สามารถดึงความสนใจเรามาอยู่กับเขาได้

เวลาที่บรรดาหนุ่มๆ แก๊งสี่คน มาอยู่รวมกัน แน่นอน คาสเซิลฟอร์ดขโมยซีน แต่พระเอกเล่มหนึ่ง ลอร์ดเซบาสเตียน กับพระเอกเล่มสอง ฮอว์คสเวล เอิร์ลหนุ่มเลือดร้อน ยังยันบุคลิกตัวเองไว้ให้เรารู้สึกว่ามีราศีพระเอกอยู่ได้เลย แต่โจนาธานไม่มีอะไรเลย เขาน่าจะเก่งใช่มั้ย แต่ในเรื่องไม่แสดงฝีมือเลย ไม่มีไหวพริบ ไม่ฉลาด เป็นสายลับที่ไม่รู้ทันคนแบบนี้ รอดมาได้ยังไงก็ไม่รู้ และเราไม่เข้าใจซีเลียกับโจนาธาน เรื่องที่ให้ความสำคัญกับชาติกำเนิดของตัวเองจัง โจนาธานก็พยายามอยู่นั่นที่จะให้วงศ์ตระกูลยอมรับ ไม่รู้ไปแคร์อะไรนักหนากับญาติพี่น้องที่เขาไม่ต้องการตัว ถึงโชคร้ายเกิดมาไม่พร้อม แต่ชีวิตเราก็สร้างเองได้นี่

บ่นเยอะไปหน่อย แต่จริงๆ เรื่องนี้ไม่แย่นะคะ อ่านได้เรื่อยๆ ถึงแม้จะไม่ประทับใจนัก ถือว่าอ่านคั่นเวลารอเล่มสุดท้าย แต่ก็หวังว่า มันจะเป็นเพราะผู้แต่งเก็บสิ่งดีๆ ไว้ เพื่อเอาไปปล่อยให้สุดๆ ในเล่มหน้า เรื่องของดยุคหนุ่มจอมแสบ กับม่ายสาวเจ้าของบ้านสวนดอกไม้ อยากอ่านมากๆ เออ ว่าแต่ เพื่อนหนุ่มสี่คนที่อยู่แก๊งเดียวกันสมัยเรียน จับคู่กับสี่สาวที่เคยอยู่บ้านเดียวกัน ถ้าพิจารณาจากความน่าจะเป็น มันไม่น่าบังเอิญได้ขนาดนั้นเลยนะเนี่ย 555 โลกในเรื่องนี้แคบจัง