วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

The Red Pyramid (Kane Chronicles #1) - Rick Riordan

คะแนน : 8

ช่วงนี้อ่านหนังสือไม่ไปเลย มัวแต่ดูหนัง ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่อ่านเรื่องซีรีส์ที่ยังออกมาไม่จบแล้ว ขี้เกียจรอลุ้นนานๆ ดีไม่ดีเจอตอนจบแย่ๆ อีก ทำให้เสียดายเวลาที่ลงทุนติดตามไป แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่อยากรอแล้วล่ะ เพราะไงๆ ก็อ่าน Heroes of Olympus ค้างไปแล้ว เอาเรื่องนี้มาสลับก็พอดีกัน เหลือรอทีละครึ่งปี

The Red Pyramid เป็นเล่มแรกของ Kane Chronicles ที่มีตัวเอกสองคนพี่น้องตระกูลเคน คือ คาร์เตอร์ กับ แซดี้ หลังจากที่แม่ของพวกเขาตายไปเมื่อ 6 ปีก่อน ทั้งสองก็ต้องแยกกันอยู่ คาร์เตอร์ไปกับพ่อที่เป็นนักโบราณคดีอียิปต์ ออกเดินทางร่อนเร่ไปทั่ว ส่วนแซดี้ไปอยู่กับตายายที่อังกฤษ วันหนึ่งเมื่อพ่อกับคาร์เตอร์มาเยี่ยมแซดี้ที่ลอนดอน พ่อก็พาทั้งคู่ไปที่บริติชมิวเซียม เพื่อทำพิธีกรรมประหลาด เกิดการระเบิด พ่อถูกเทพอธรรมนำตัวไป มีกลุ่มคนลึกลับไล่ตามพวกเขา นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยที่ผสานตำนานเทพและเทพีอียิปต์เข้ากับยุคสมัยใหม่

เรื่องนี้มันมีส่วนที่ทั้งเหมือนและไม่เหมือนเพอร์ซีย์ แจ็คสัน บางอย่างก็เป็นไปตามสูตรตามสไตล์ของ Rick Riordan เช่น เด็กวัยรุ่นที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อยู่ดีๆ ก็ได้มารู้ว่าตัวเองสืบทอดสายเลือดฟาโรห์ และเป็นร่างสถิตของเทพ การดำเนินเรื่องเน้นแอกชั่นผจญภัย บวกอารมณ์ขันที่มีในเรื่อง แต่การที่เรื่องนี้ใช้ตำนานอียิปต์ ก็ทำให้เนื้อเรื่องมันแตกต่างจากตำนานกรีก-โรมัน ในเพอร์ซีย์ แจ็คสัน ทำให้บรรยากาศเรื่องมันก็แปลกใหม่ดี ไม่ดูซ้ำซาก

นี่เล่มแรก ตัวละครก็ยังไม่มาก โฟกัสอยู่กับคาร์เตอร์และแซดี้ สลับกันเล่าเรื่อง มันก็ไม่มีอะไรลึกซึ้งมาก อารมณ์เหมือนอ่านการ์ตูนจัมป์สายหลักนั่นแหละ แต่อ่านสนุกดีตลอด ช่วงท้ายลุ้นดีเหมือนกัน รู้สึกว่า เพอร์ซีย์สนุกกว่านิดหน่อย เพราะชอบตำนานกรีกมากกว่าด้วยมั้ง แต่เรื่องนี้ก็เวิร์กล่ะ

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

After Innocence - Brenda Joyce

คะแนน : 6.5

นี่เป็นนิยายเก่า เอามาอ่านเพราะไปเจอรายการ Favorite Lists ของนักอ่านคนหนึ่ง ในลิสต์นั้นมีเล่มที่เราชอบเยอะดี เห็นเล่มนี้อยู่ด้วยก็สนใจ ไปดูดาว Amazon ก็เห็นดี ยังไม่เคยอ่านของ Brenda Joyce เลย ลองดู เผื่อจะเข้าแก็ป แต่พออ่านแล้วนี่ไม่ใช่แนวเราแฮะ

เตือนสปอยล์

ฉากที่นางเอกเจอพระเอกครั้งแรกนี่อ่านแล้วอึ้ง ที่ผ่านมาเราก็นึกว่าเราอ่านโรแมนซ์มาพอควรแล้วนะ เจอเล่มนี้รู้สึกว่าตัวเองยังอ่อนวิชาเลย นางเอกมาวาดรูปเล่นที่ชายหาด เห็นพระเอกเดินมาแต่ไกลก็สะดุดตาทันที พอดีมีผู้หญิงที่พระเอกมีความสัมพันธ์อยู่ด้วยมาคลอเคลีย พัลวันกันอยู่ ตอนแรกฝ่ายชายก็ไม่เอา ไม่ชอบทราย แต่พอดีพระเอกเกิดเหลือบไปเห็นมีผู้หญิงแอบมอง ก็เกิดคึกขึ้นมา เลยแสดงหนังสดให้ดูซะเลย นางเอกก็จ้องตาค้างดูจนจบ เวรกรรม! นางเอกเป็นพวกถ้ำมอง พระเอกเป็นพวกชอบโชว์ เป็นฉากเปิดตัวพระ-นางที่ทำเอาเราเหวอที่สุดเลย ไปต่อแทบไม่ถูก

จบฉากเปิดเรื่องอันแสนจะน่ากระอักกระอ่วนไปได้ก็ค่อยยังชั่ว สาวถ้ำมองชื่อโซฟี โอนีล ตอนเด็กเธอเคยตกบันไดข้อเท้าหัก จนโตมาก็ยังขาเกอยู่หน่อย เป็นสาวอายุ 20 ที่เก็บเนื้อเก็บตัว ชอบวาดรูปอยู่คนเดียว ส่วนหนุ่มนักโชว์ชื่อ เอ็ดเวิร์ด เดลันซ่า เป็นเสือผู้หญิง รูปหล่อ ร่ำรวย ที่เยาะหยันการแต่งงาน พอเอ็ดเวิร์ดเห็นว่าโซฟียังเด็กอ่อนต่อโลก ไม่ใช่สาวกร้านโลกอย่างที่เขานึกตอนแรก ก็เกิดรู้สึกผิดแล้วก็สงสารขึ้นมา ก็เลยพยายามมาทำดีด้วยเพราะอยากให้โซฟีกล้ามีความสุขกับชีวิต แล้วก็ช่วยให้กำลังใจโซฟี ให้สามารถปลดปล่อยพรสวรรค์ทางการวาดรูปออกมา

พระเอกโรแมนซ์ที่เคยเจ้าชู้เสเพลนี่มีเยอะ แต่พอมาอยู่ในนิยายที่กำลังอ่าน ก็ไม่ค่อยเห็นออกลายเท่าไหร่ แต่แบบเอ็ดเวิร์ดนี่ รู้สึกว่าเขาเป็นตัวอันตรายกับผู้หญิงจริงๆ เลย เอ็ดเวิร์ดมาด้วยเจตนาดีนะ แต่ทำเอาโซฟีหลงเขาหัวปักหัวปำ ผู้หญิงถูกล่อลวงแบบโทษผู้ชายไม่ได้สักคำ เป็นฝ่ายไปเข้าหาเขาเอง เรื่องราวช่วงครึ่งเล่มแรกเขียนได้ดี แล้วก็น่าติดตามมากเลย บรรยายอารมณ์ความรู้สึกตัวละครได้ชัดดี ช่วงนี้อ่านแล้วชอบจริงๆ แหละ เริ่มเข้าใจคนที่เลือกเข้าลิสต์

แต่พอเลยครึ่งเรื่องไป พอมีอะไรกันแล้วนั่นแหละ พระเอกน่ะจะรับผิดชอบแต่งงานด้วยนะ แต่นางเอกเราดันสติแตก เวิ่นเว้อ ทำใจไม่ได้ถ้าเขาไม่รัก เรื่องมันก็ห่วยลงไปทันตา หนีไปหนีมาจากนิวยอร์กไปปารีส จากปารีสกลับมานิวยอร์ก หอบลูกข้ามมหาสมุทรไปมา ความอดทนของเราก็หมดไปเรื่อยๆ แล้วแม่ของนางเอกซึ่งเป็นผู้หญิงนิสัยน่ารังเกียจมาก ก็มีบทเยอะเหลือเกิน เวลาแม่ลูกพร่ำเพ้อฟูมฟายใส่กัน นี่จะบ้าตาย ทำใจกับตัวละครอารมณ์รุนแรง ศิลปินติสท์แตก จนไม่เหลือความคิดสติสตังอยู่กับตัวเลยไม่ได้ ทั้งนางเอกและพระเอกทั้งคู่เลย พูดกันดีๆ ไม่เป็นเหรอ ใส่อารมณ์มามากไป ช่วง 50 หน้าสุดท้าย อ่านข้ามแหลก ทนไม่ไหวแล้ว กว่าจะถึงหน้าสุดท้าย เฮ้อ จบซะที ละเหี่ยใจจริงๆ อ่านแล้วเหนื่อยมาก

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Death Cloud - Andrew Lane

ตัวละครยอดนักสืบในดวงใจเรามีดังต่อไปนี้
  1. เชอร์ล็อก โฮลมส์ - เรารู้จักเขาครั้งแรกตอน ป.6 แล้วเขาก็ครองใจเราได้ในทันที ช่วงนั้นบ้าไปเลย นั่งสร้างรหัสตุ๊กตาเต้นรำเป็นภาษาไทย ส่งกันไปส่งกันมากับเพื่อนในห้องเรียน
  2. เชอร์ล็อก โฮลมส์ - ด้วยความเท่กินขาด ชนะเลิศ เหนือทุกเรื่องนักสืบที่เราเคยอ่าน เมอร์สิเออร์ปัวโรต์รึจะมาสู้อะไรได้ ป้ามาร์เปิ้ลก็ไม่ไหว (แต่แอบปันใจให้คู่ของทอมมี่กับทัพเพนซ์หน่อยนึง)
  3. เชอร์ล็อก โฮลมส์ - ลูแปงน่ะอย่าริบังอาจเทียบรุ่น อย่ามามั่วนะ สุภาพบุรุษจอมโจรอะไรกัน นายมันก็แค่หัวขโมย มาปะทะ มาเผชิญ ตีตนเสมอกับยอดนักสืบเอกของโลกได้ไง
  4. เชอร์ล็อก โฮลมส์ - เป็นเหตุให้เราชอบการ์ตูนเรื่องโคนัน มากกว่าคินดะอิจิ เพราะสไตล์การดำเนินเรื่องของโคนันรับอิทธิพลของโฮลมส์มาเต็มๆ
  5. เชอร์ล็อก โฮลมส์ - ทำให้เราไม่เคยยกโทษให้หนัง Sherlock Holmes ฉบับของ Guy Ritchie ที่ทำลายภาพลักษณ์ในใจของเรา ทำซะเป็นตลกเลย (แต่หนังดันฮิตซะอีก) โดยเฉพาะอีตอนโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ บอกว่า เชอร์ล็อก โฮลมส์ แอบเป็นเกย์กับหมอวัตสัน บทของเขากับจู๊ด ลอว์ แอบซ่อนนัยสัมพันธภาพเกินเพื่อน รับไม่ได้อย่างแรง ในต้นฉบับมีตรงไหนส่อไปทางนั้น เฮอะ ถ้าเซอร์อาเธอร์ได้ยิน คงนอนพลิกไปพลิกมาในหลุมศพ




แล้วคุณคิดว่า เด็กหนุ่มหน้ามนที่เห็นในรูปข้างบนคนนี้คือใคร เขาคือ เชอร์ล็อก โฮลมส์ ตอนอายุ 14 ปี เรื่อง Death Cloud เป็นเล่มแรกในชุด Young Sherlock Holmes นิยาย YA ที่ได้รับอนุญาตจากกองมรดกของเซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ ให้นำชื่อตัวละครมาใช้ได้ ในเล่มนี้ เราจะได้รู้ว่า ก่อนจะมาเป็นนักสืบผู้ยิ่งใหญ่ที่คนทั่วโลกหลงรัก เชอร์ล็อกตอนเป็นเด็กวัยรุ่นนั้นเขาเป็นอย่างไร

จริงๆ เราไม่ชอบอ่านอะไรที่ไม่ใช่แบบแคนน่อน อย่างนิยาย Star Wars ทั้งหลายที่มีเยอะแยะนี่ไม่เอาเลย เพราะเคยอ่านบางเล่มแล้วเสียความรู้สึก มันไม่ใช่ แล้วเชอร์ล็อก โฮลมส์ ตอนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เซอร์อาเธอร์แต่งก็ไม่เห็นเวิร์ก เรื่องนี้ตอนแรกที่เห็นว่าเป็นเชอร์ล็อก โฮลมส์ ตอนเด็ก ความรู้สึกแรกคือ ช่างกล้า! แต่จะติตั้งแต่ยังไม่อ่านก็ดูกระไร ตกลง เราจะให้โอกาสอ่านให้จบก่อน ห่วยมาก็จะได้ด่าได้เต็มปาก

ช่วงปิดภาคเรียน เชอร์ล็อก โฮลมส์ ถูกส่งไปพักกับลุงและป้าที่คฤหาสน์ในชนบท เพราะพ่อที่เป็นทหารเดินทางไปประจำการที่อินเดีย แม่กับพี่สาวป่วยไม่สบาย พี่ชายไมครอฟต์ก็ต้องทำงาน เชอร์ล็อกได้เพื่อนใหม่เป็นเด็กเร่ร่อน และมีครูสอนพิเศษชาวอเมริกันมาสอนที่บ้าน เกิดการตายปริศนาถึงสองรายซ้อนในละแวกใกล้เคียง ด้วยสภาพศพบวมเป่งดูไม่ได้ นี่คือคดีปริศนาแรกในชีวิตของเชอร์ล็อก โฮลมส์ เขาต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับแผนการร้าย ที่อาจจะคร่าชีวิตคนจำนวนมาก

เรื่องนี้ไม่เหมือนนิยายนักสืบเท่าไหร่ ออกแนวผจญภัยมากกว่า เจอศพ แล้วก็เห็นร่องรอยจากที่เกิดเหตุ แล้วก็วิ่งไล่ตามสะกดรอยคนร้าย ไปนู่นมานี่ ถูกลักพาตัว สู้กับคนร้าย หนีออกมา ประมาณนั้น ถ้าไม่คิดมาก มันก็อ่านสนุกพอใช้ได้ แต่ แต่ แต่ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่มันบอกว่ามันเป็นอยู่ดี เรื่องของเชอร์ล็อก โฮลมส์ วัยเยาว์ ถ้าคิดว่าจะได้เห็นตัวละครที่เคยรู้จักแบบตัวย่อส่วน ก็ผิดหวังแน่ๆ ผู้แต่งพยายามจะเล่าตั้งแต่ก่อนที่เชอร์ล็อก โฮลมส์ จะกลายมาเป็นคนแบบที่เราเห็น แล้วก็สอดแทรกเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้เขาในอนาคตแทน

เด็กหนุ่มพระเอกในเรื่องออกแนวเกรียน เขาไม่ค่อยสนใจดนตรี วิทยาศาสตร์ก็ไม่เก่ง ชกมวยหรือฟันดาบก็ไม่เซียน เราอภัยให้ความอ่อนหัดไร้ประสบการณ์ของเขาได้ แต่เรารับอาการโง่แล้วอวดฉลาดไม่ได้ ไม่มีตอนไหนที่เรารู้สึกว่า ไอ้เด็กนี่โตไปจะกลายเป็นผู้ชายในดวงใจเราคนนั้น อย่ามาอ้างว่า นี่เพิ่งอายุ 14 นะ บุคลิกนิสัยใจคอของคนเรามันแสดงออกกันตั้งแต่เด็กกว่านั้นแล้ว การแต่งเรื่องให้ครูสอนพิเศษเป็นคนสอนสิ่งต่างๆ ให้พระเอกนี่ ให้ความสำคัญเกินเหตุกับตัวละครที่ตัวเองสร้างเกินไป แล้วจำเป็นต้องมีบทเด็กผู้หญิงมาให้พระเอกปิ๊งด้วยหรือ รู้ว่าสมัยนี้ต้องมีเรื่องรักเข้ามาปนนักอ่านถึงจะชอบ แต่ประเด็นอะไรที่แค่เขียนเพื่อให้ขายได้ แล้วไม่ได้เข้ากับเรื่องต้นฉบับเลยนี่ก็เกินไป

สรุปว่า เรื่องนี้เอาไว้ให้เด็กวัยรุ่นอ่านเล่นได้ แต่ไม่คู่ควรกับการใช้ชื่อ เชอร์ล็อก โฮลมส์ เลยสักนิด

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

The Immortal Life of Henrietta Lacks - Rebecca Skloot

คะแนน : 8

เล่มนี้เป็น Amazon Editor's Pick 2010 อยากอ่านตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งได้ฤกษ์ ก่อนจะพูดถึงความเห็นตัวเอง ขออนุญาตใส่ลิงก์ไปที่บล็อกนี้ HeLa cell: ชีวิตอมตะของ Henrietta Lacks ที่เล่าไว้อย่างดีแล้ว ขอขอบคุณเจ้าของบล็อกโน้นด้วย เพราะตัดสินใจจะอ่านเล่มนี้จากการไปอ่านบทความนั้นแหละค่ะ จะได้ประหยัดเวลา ไม่ต้องเขียนว่าหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรด้วย เดี๋ยวสรุปผิดๆ ถูกๆ จะแย่เอา กำลังเหนื่อยแล้วก็ขี้เกียจมากๆ เลย

พูดถึงความรู้สึกตัวเองเลยแล้วกัน เล่มนี้น่าติดตามตั้งแต่บทแรก และการที่ผู้เขียนย้ำแล้วย้ำอีกว่า ทุกอย่างในหนังสือนี้เป็นเรื่องจริง เธอทำงานเก็บข้อมูล สัมภาษณ์ เป็นสิบปี ทุกคำในหนังสือ มีหลักฐานเป็นเทป ภาพถ่าย หรือข่าวในสื่อต่างๆ รองรับ มันก็ช่วยเซตอารมณ์ให้เราอิน ที่กำลังอ่านนี่เรื่องจริงนะ สิ่งที่ประทับใจที่สุดจากการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ ชื่นชมที่ผู้เขียนสามารถรักษาสมดุลของหนังสือได้ดีมาก บอกเล่าได้ทั้งเนื้อหาเรื่องราวความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และชีวิตผู้คนที่เกี่ยวข้อง ไม่แห้งแล้ง เต็มไปด้วยสีสันและชีวิตจิตใจ ทั้งมีสาระ ทั้งอ่านสนุก เป็นเรื่องจริงที่เขียนในลีลาคล้ายนิยาย

เส้นเวลาในเรื่องดำเนินไปแบบเส้นสปาเก็ตตี้ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ กัน ยาวนาน 50-80 ปี โดยสลับไปสลับมา จากบุคคลฝั่งครอบครัวของเฮนเรียตต้า และฝ่ายแพทย์นักวิจัย และผลกระทบที่มีต่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ถึงจะมีเหตุการณ์และบุคคลมากมาย แต่เล่าได้อ่านง่ายไม่งง น่าติดตาม ไม่เบื่อเลย และเห็นได้หลายมุมมอง มันมีบางบทที่เธอบอกเล่าเรื่องราวในมุมของตัวเอง อ่านแล้วรู้สึกว่า ผู้เขียนแคร์ เรื่องนี้เป็นหัวข้อที่เธอสนใจจริงจัง ทุ่มเท บางครั้งก็จะรู้สึกใกล้ชิด แต่ในขณะเดียวกัน เวลาเล่าเรื่องราวที่มันมีแง่มุมที่กระทบผู้คนหลายฝ่าย เธอก็พาตัวออกห่างจากหัวข้อ และสามารถรายงานได้อย่างเป็นกลาง โดยไม่รู้สึกว่าเป็นการพยายามตัดสินใคร หรือชี้นำผู้อ่าน

หมอนำเซลล์ไปใช้ทดลองโดยคนไข้ไม่รับรู้ เซลล์สร้างประโยชน์ให้โลกมหาศาล บริษัทไบโอเทคโนโลยีสร้างรายได้จากเซลล์เป็นพันล้านดอลลาร์ ทายาทของคนไข้ไม่มีเงินรักษาตัว หมอฉีดเซลล์มะเร็งเข้าคนไข้เพื่อทดสอบผล เจ้าของเซลล์ฟ้องร้องแบ่งผลประโยชน์ การจดสิทธิบัตรยีน และประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย ที่ท้าทายเส้นแบ่งของจริยธรรมในการปฏิบัติต่อปัจเจกบุคคล และผลประโยชน์ส่วนรวมของมนุษยชาติ อ่านแล้วมันจะเกิดคำถาม ที่ไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าอะไรถูกอะไรผิด ชีวิตและสังคมเรามีความซับซ้อนมากขึ้นเหลือเกิน จนไม่รู้แล้วว่าจะมีจุดยืนต่อบางเรื่องยังไง หรือควรจะใช้วิธีง่ายสุดอีกอันคือ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเรา จะไปคิดถึงมันทำไม

ทำให้นึกถึงสิ่งที่ตัวเองคิดมาตลอดว่า ไอ้คำสอนเรื่องทางสายกลางนี่มันฟังง่าย แต่ความยากจริงๆ คือ เราจะรู้ได้ยังไงว่าตรงกลางอยู่ตรงไหน ทางที่เรากำลังเดิน ขอบซ้ายขอบขวาอยู่ที่ใด

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Love In The Afternoon - Lisa Kleypas

คะแนน : 8

Blogger เดี้ยงไปสองวัน เข้าอัปเดตไม่ได้ พอกลับมาก็ทำโพสต์กับคอมเมนต์ช่วง 1-2 วันก่อนหน้านั้นหายด้วย เคืองนะ -_-+ ดูหน้า Blogger Status ที่เขารายงานไว้ ทำให้รู้ว่า มันเอ๋อมาหลายทีแล้วนี่นา งั้นแต่ก่อนไอ้ที่เรางงกับอาการแปลกๆ ของบล็อก บางทีก็ล็อกอินไม่ได้ นึกว่าเป็นที่เครื่องตัวเอง ที่แท้อาจเป็นที่ตัวเว็บ บริษัทใหญ่ระดับ Google ไม่น่าพลาดขนาดนี้เลย

ในที่สุดก็เจอเรื่องของ LK ที่เราชอบจริงๆ จนได้ ขอบคุณผู้แนะนำนะคะ Love In The Afternoon เป็น Hathaways เล่ม 5 ตอนแรกก็ลังเลหน่อยนะคะว่า ควรไปเริ่มอ่านจากเล่ม 1 จะได้รู้ความเป็นมาตัวละครก่อนดีรึเปล่า แต่กลัวจะถอดใจไล่มาไม่ถึงเล่มสุดท้าย เหมือนเล่มนี้คนชมที่สุดในชุด เริ่มเล่มนี้แหละ

บีเอทริกซ์ แฮธาเวย์ เขียนจดหมายตอบคริสโตเฟอร์ แทนเพื่อนสาว ด้วยความสงสารนายทหารหนุ่มที่ต้องจากบ้านไกลไปรบในสงคราม แต่มันก็เริ่มเลยเถิด จาก จ.ม. ธรรมดาที่โต้ตอบกันก็ค่อยๆ กลายเป็นจดหมายรักสื่อใจทั้งสอง แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ เมื่อชื่อที่ลงท้ายจดหมายนั้นไม่ใช่ชื่อเธอ

แค่เริ่มต้นก็สนุกแล้ว ปมที่ผูกไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องมันเปิดโอกาสให้ลุ้นได้เยอะดี ว่าเรื่องจะคลี่คลายออกมายังไง และจดหมายที่ทั้งคู่เขียนโต้ตอบกัน อ่านแล้วสนุกดี เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ผ่านตัวหนังสือเลย มีทั้งอารมณ์ขัน ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจ และปลอบประโลม จดหมายฉบับหลังๆ นี่ภาษาไพเราะราวกับบทกวี และฉบับสุดท้ายนี่ อ่านแล้วเหมือนรู้สึกว่า เขียนมาจากอารมณ์เกือบหัวใจสลายจริงๆ

การเขียนจดหมายนี่มันดูโรแมนติกกว่าจริงๆ ด้วยนะนี่ แบบอีเมล์รักนี่มันคงไม่ค่อยซึ้ง อารมณ์รอว่าเมื่อไหร่เขาจะตอบมาก็ไม่มี ลายมือก็ไม่เห็น จะพกติดตัวมาอ่านแล้วอ่านอีกเป็นพันเที่ยวในมือถือก็ดูไม่คลาสสิค เราว่าจดหมายนี่เขียนยากนะคะ ในชีวิตเรานอกจากที่คุณครูภาษาไทยให้เขียนแล้ว ก็ไม่เคยเขียนถึงใครอีก โตมามันก็เป็นการสื่อสารรูปแบบอื่นแล้ว โทรศัพท์ อีเมล์ เลยเขียนไม่ค่อยเป็น แถมเราไม่เคยเขียนไดอารี่เลย เพิ่งเริ่มเขียนบล็อกไม่นานเอง นึกอะไรได้ก็จิ้มคีย์บอร์ดลงไป อยากเติมตรงโน้นตรงนี้ก็ง่ายดี แต่ถ้าเขียนลงสมุดนี่ คงต้องคิดแล้วคิดอีก ถ้ามีขีดฆ่าไปมาคงเละดูไม่ได้ แต่ละคำในจดหมายมันถึงดูเป็นคำที่ผ่านการกลั่นกรองจากใจมาอย่างดี

เหมือนเนื้อเรื่องจะไม่ค่อยมีอะไร แต่ก็น่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ มีขำหลายฉากเหมือนกันนะ อีตอนที่บีพลิกตัวนอนคว่ำให้ สำลักน้ำเลย ลืมคำเตือนว่าห้ามกินอะไรตอนอ่านนิยาย ตอนที่เคลียร์ประเด็นสำคัญกันได้ เราก็นึกว่าจะจบ แต่ยังเหลืออีกเกือบครึ่งเล่ม แล้วมันจะมีเรื่องอะไรต่อล่ะ แต่ LK ก็ปล่อยประเด็นออกมาดึงความสนใจได้เรื่อยๆ ไม่มีอืดเลย ช่วงท้ายเรื่องนี่มันอาจดูเนือยๆ หน่อย แต่ถ้าคิดจากสิ่งที่พระเอกประสบมาก็สมจริงแล้ว ถ้ารวบรัดตัดเร็วไปคงไม่ดี เขียนแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เชื่อในความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากขึ้น

เราชอบพระเอกและนางเอกทั้งคู่เลย บีเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีการท่ามากเลย ชื่อบีเอทริกซ์นี่ LK ตั้งบูชาครูใช่มั้ยนี่ รักสัตว์ รักธรรมชาติ ตอนแรกเราไม่คิดอะไร แต่พอท้ายๆ ที่พูดเรื่องสมาคม เออนี่มันเหมือนชีวิต Beatrix Potter คนเขียนเรื่อง "กระต่ายน้อยปีเตอร์" นี่นา เลี้ยงเม่นเหมือนกันด้วย (แต่เรื่องจริงเหมือนเธอไม่ได้รับการยอมรับจากสมาคมนะ สมัยนั้นพวกตาแก่เคราเฟิ้มหัวโบราณยังไม่ยอมรับผู้หญิง ในด้านความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์กับธรรมชาติ ตอนหลังร้อยปีเพิ่งมาขอโทษ ไม่แน่ใจชื่อสมาคม แต่อยู่ในบทความที่อ่านในนิตยสารสารคดี ฉบับเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ล่ะ)

คริสโตเฟอร์ก็ดีค่ะ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เราได้เห็นผลของสภาพจิตใจตัวละคร ที่ไปผ่านการต่อสู้ในสนามรบมาแบบลงรายละเอียดดี การที่พระเอกไปรบแล้วกลับมาเปลี่ยนไป นี่มันมีในนิยายโรแมนซ์หลายเรื่องนะ แต่เรื่องนี้เราว่า เขียนได้ชัดเจนสมจริง ไม่มากไปน้อยไป ทำให้เห็นใจ และไม่รำคาญ ดีที่เขาไม่โยกโย้มากเรื่องความสัมพันธ์ และพระเอกรักนางเอกมากจริงๆ นะ เราจำได้ล่ะ พระเอกของ LK จะชอบพูดจาหวานๆ อย่างนี้ล่ะ แบบผมจะปกป้องคุณทุกอย่าง โดยเฉพาะจากตัวผมเอง อ่านไปบางทีก็ต้องถอนหายใจ เฮ้อ พูดเพราะจัง ประทับใจ

ระดับความหวานของคำพูดคริสโตเฟอร์นี่ หวานเต็มพิกัดที่เราพอรับได้พอดีนะคะ ถ้ามากกว่านี้อีกนิดเดียว เราก็ไม่ไหวแล้วค่ะ ไม่รู้เป็นไร แต่เราฟังภาษาดอกไม้ของผู้ชายได้ไม่มากอ่ะค่ะ แบบตอนรพินทร์พูดกับคุณหญิงดารินนี่ อ่านแล้วขนลุก เหมือนมดขึ้นตัว แบบ Nicholas Sparks นี่เลี่ยนจนกลืนไม่ลงเลย อ่านไม่ไหว สรุปว่าถ้าเป็นเรื่องรัก ต้องอ่านของนักเขียนหญิงเท่านั้น ไม่รู้เรื่องก่อนๆ ของ LK ที่เรารู้สึกขัดๆ เพราะพระเอกหวานไปรึเปล่า แต่เรื่องนี้ล่ะกำลังดีเลย เราดีใจจังค่ะ ที่ในที่สุดเราก็ชอบ LK ได้จริงๆ ซะที จะได้เลิกรู้สึกแปลกกว่าชาวบ้าน ^_^

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Romeo, Romeo - Robin Kaye

คะแนน : 7.5

เรื่องนี้ออกมา 2-3 ปีแล้ว ตอนออกใหม่ๆ เห็นคนชม แต่ดูพล็อตเรื่องแล้วไม่แน่ใจ เลยไม่เอา แต่ตอนนี้กะจะหาอะไรเบาๆ อ่าน พอดีเห็นเรื่องนี้อีกที ดาวดีแฮะ มีตามมาเป็นซีรีส์ตั้งหลายเล่ม เอ้า ก็ได้

โดมินิค โรมีโอ เป็นมหาเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อที่สร้างธุรกิจขายรถยนต์ขึ้นมาด้วยตนเอง วันหนึ่งเขาในชุดช่างเครื่อง ขับรถผ่านไปเจอ โรซาลี โรนัลดี รถยางแบนอยู่ข้างทาง ก็เลยช่วยพาหญิงสาวไปส่งบ้าน และเอารถไปเข้าอู่ให้ โดยไม่บอกว่าเขาเป็นใคร จังหวะประจวบเหมาะที่ทั้งคู่ต่างเพิ่งเลิกรากับแฟน เพราะไม่ชอบการผูกมัดทั้งคู่ ทั้งสองก็เลยเริ่มต้นคบกันด้วยข้อตกลงที่ว่า ห้ามจริงจัง แต่แล้ว โรซาลีเกิดไม่สบายเป็นปอดบวม นิคก็เลยมาช่วยดูแล

ตอนแรกที่ไม่ไว้ใจก็เพราะที่บอกว่าพระเอกมหาเศรษฐีปลอมตัวเป็นช่าง มาดูแลทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน ให้นางเอกนี่ล่ะ สมัยนี้มุกนี้ไม่ไหวม้าง แต่พออ่านจริงแล้วก็โอเคนะ ไม่สะดุด เรื่องเป็นธรรมชาติไม่เหมือนที่กลัว ตอนแรกนิคแค่ไม่อยากบอกว่าเขาเป็นใคร เพราะเจอผู้หญิงอยากจับเขาเยอะ แล้วสถานการณ์พาไป ตอนหลังก็ยิ่งไม่กล้าบอกความจริง นิคดูจับต้องได้กว่าที่คิด ไม่ใช่เหมือนออกมาจากความเพ้อฝันของผู้หญิงเฉยๆ

แต่เหตุผลสำคัญที่เรื่องมันดูไม่งี่เง่าก็คงเป็นเพราะตัวนางเอก เธอไม่ได้โง่ไม่รู้อะไร ไม่กี่วันลีก็รู้ว่านิคเป็นใคร แต่เห็นนิคไม่อยากบอกก็ไม่ว่าอะไร เพราะไม่ได้อยากตั้งแง่มากมาย ตอนแรกจากเรื่องย่อเรานึกว่า นางเอกจะเป็นผู้หญิงไม่ค่อยเอาไหนแบบนิยายชิคลิท แต่ไม่ใช่แฮะ โรซาลีเป็นผู้หญิงทำงาน ก็เลยไม่ค่อยสนใจงานบ้านเท่านั้นเอง เธอสวย ฉลาด ได้เรื่องได้ราว แล้วก็ไม่ง้อผู้ชายจริงๆ ก็เลยเชื่อที่นิคต้องเป็นฝ่ายวิ่งมาดูแลเอาใจ ช่วงต้นและกลางเรื่องอ่านเพลินดี สนุก ตลก พระเอกนางเอกน่ารักมากเลย เพื่อนนางเอกก็น่ารัก

แต่ท้ายๆ เซ็งไปหน่อย รำคาญอ่ะ ต่างฝ่ายต่างเข้าใจผิดกัน ไม่ได้มีประเด็นอะไรเลย ถ้าทั้งคู่พูดกันคำเดียว เรื่องก็จบแล้ว เสียเวลาคนอ่าน ไม่สงสารเลยสักนิด ตอนที่แยกกันแล้วทั้งคู่นั่งอมทุกข์อยู่ โทรศัพท์อยู่กับมือก็โทร.ไปสิ กริ๊งเดียวจบ ทำไมต้องเฝ้ารอให้อีกฝ่ายติดต่อมา ถ้าไม่ติดที่เรื่องช่วงท้าย กับถ้าครอบครัวนางเอกจะดีกว่านี้สักหน่อย คงจะชอบเรื่องนี้มากกว่านี้

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Dead Reckoning (Sookie Stackhouse #11) - Charlaine Harris

คะแนน : 8

เล่ม 11 แล้ว เล่มนี้เนื้อเรื่องเยอะมาก เปิดฉากมาก็มีเรื่อง มีคนปาระเบิดขวดเข้ามาในบาร์ที่ซุกกี้ทำงาน เธอสงสัยว่า นี่ไม่ใช่ฝีมือมนุษย์หรือแวมไพร์ แต่เป็นพวกมนุษย์แปลงร่าง แต่ทำเพื่ออะไร เป้าหมายคือแซมหรือเธอ เพราะซุกกี้เป็นมนุษย์ที่ดึงดูดศัตรูเก่งจริงๆ ในขณะที่เอริคกับแพมก็กำลังมีปัญหาใหญ่ เพราะถูกกดดันจากเจ้านายใหม่ วิคเตอร์ แวมไพร์ผู้สำเร็จราชการที่ถูกส่งมาดูแลเขตนี้ และซุกกี้พบช่องลับในโต๊ะที่อยู่บนกองสมบัติขยะบนห้องใต้หลังคา ในนั้นมีสิ่งที่อาจจะเผยความลับ ที่ทำให้เธอรู้ความเป็นมาเกี่ยวกับสายเลือดแฟรี่ในตัวเธอมากขึ้น

ทิ้งช่วงห่างจากการอ่านเล่มสุดท้ายมานานพอควร พอเล่มใหม่ออกมา เวลาอ่านก็เลยรู้สึกสดใหม่ดี และทำให้จำขึ้นมาได้อีกครั้งว่า เราชอบการเล่าเรื่องของซุกกี้ อ่านความคิดในหัวเธอแบบขำๆ หัวเราะในลำคอตลอด เนื้อเรื่องเล่มนี้สนุกดี อ่านไม่มีเบื่อเลย น่าติดตาม และแอกชั่นเยอะดี เนื้อเรื่องมีการพัฒนาไปเยอะ นอกจากพล็อตหลักในเล่มนี้ ก็ยังมีตัวละครเก่าหลายตัววนเวียนมาให้เห็น คงอัปเดตไว้ซะหน่อยเผื่อเรื่องเล่มต่อๆ ไป มีตัวละครเผ่าพันธุ์ใหม่เพิ่มมานิดหน่อย และเรื่องดูจะมีปมปัญหาใหญ่โตเกิดอีกในอนาคต

เล่มนี้กล่าวถึงเอริคเยอะพอควร ความสัมพันธ์ของเอริคกับซุกกี้เล่มนี้เป็นช่วงขึ้นๆ ลงๆ ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด และเจอกันทีไรก็มีเรื่องวุ่นทุกที แต่ในเล่มนี้ก็มีฉากหวานที่เราชอบมากอยู่ช่วงนึง มีปัจจัยภายนอกเริ่มเข้ามาเอี่ยว คู่นี้คงคบกันไปเรื่อยๆ เฉยๆ ไม่ได้แล้ว เจอบีบให้ตัดสินใจ เล่มหน้าคงเห็นชัดขึ้น ถ้าไม่เคลียร์ปัญหาเรื่องความแตกต่างแล้วรักผูกพันกันมากขึ้น ก็คงต้องเลิกกันล่ะ แล้วแต่บุญแต่กรรมทั้งสองคนแล้วกันว่า Charlaine Harris จะแต่งไปทางไหน เชียร์มากไม่ไหว เดี๋ยวผิดหวังแล้วจะเจ็บหนัก ซีรีส์นี้ไม่เห็นวี่แววจะจบเลย จะเขียนอีกแค่สองเล่มจริงเหรอเนี่ย