วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

Fifty Shades of Grey - E L James

คะแนน : 7


เนื้อหาต่อไปนี้ เจ้าของบล็อกอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไปอ่านเท่านั้น
การคลิกปุ่มด้านล่าง ถือเป็นการตกลงยืนยันตนเองว่า ผู้อ่านมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์แล้ว
(โกหกนั้นตายตกนรกนะ)



ทนกระแสไม่ไหว เห็นเรื่องนี้มาสักพักแล้ว แต่ไม่ค่อยสนใจ นิยายอีโรติกที่มีต้นกำเนิดมาจากแฟนฟิคของ Twilight และมีฉายาว่าเป็น mommy porn เนี่ยนะ ไม่เห็นจะน่าอ่านเลย แต่มันก็ขึ้นอันดับเบสต์เซลเลอร์ 1-2-3 อยู่ตอนนี้ เลยยอมแพ้ความอยากรู้อยากเห็น มันยังไงกันเหรอที่ว่า นี่คือเรื่องที่ทำให้การอ่านนิยายอีโรติกกลายเป็นความเท่ ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อ่าน

มีเรื่องหนึ่งที่พูดลำบาก เพราะพูดแล้วมันเหมือนปากว่าตาขยิบ แต่ความจริงคือว่า เราไม่ได้ชอบอ่านฉากเลิฟซีนในนิยายโรแมนซ์ ไม่ใช่ว่าศีลธรรมจัดหรืออะไร ถ้ามีก็อ่านได้ แต่ถ้าเยอะมากก็อ่านข้าม และจะไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้นถ้าในนิยายโรแมนซ์ไม่มีฉากรักเลย เราเคยข้ามขั้นไปอ่านนิยายอีโรติกเรื่องเดียว และก็คิดว่าไม่ใช่แนว ไม่เคยอยากอ่านอีกเลยจนมาเรื่องนี้แหละ

อ่านแบบไม่นึกถึงศีลธรรมจริยธรรมนะ ว่ากันแต่เนื้อหาของเรื่อง อนาสตาเชีย สตีล กำลังจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ไปสัมภาษณ์มหาเศรษฐีหนุ่ม คริสเตียน เกรย์ และถูกดึงเข้าสู่วังวนสีเทาของความปรารถนาที่ซ่อนเร้น แล้วถ้าเธอต้องการมากกว่าความใคร่ ความรักกับชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยด้านมืดผู้นี้จะเป็นไปได้หรือเปล่า

เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้นตอมันมาจาก Twilight อ่านช่วงแรกๆ เชื่อเลยว่านางเอกเรื่องนี้คือเบลล่า 100% เป็นร่างโคลนมาเลย สาวสวยที่ไม่มั่นใจในตัวเอง ซุ่มซ่าม กัดริมฝีปาก ครั้งแรกตอนอ่านเจอบุคลิกพวกนี้ทำเราหลุดหัวเราะก๊ากไป 3 ที เหมือนอ่าน parody เลย แต่ว่าดีกรีความหื่นของยัยอนาถูกขยายกำลังขับมากกว่าเยอะ แค่มองพระเอกก็คิดไปถึงไหนต่อไหน แต่ก็แค่ไม่กี่บทแรกๆ เท่านั้นแหละที่จะนึกถึง Twilight เพราะไม่ทันไร ก็เปิดฉากความเป็นอีโรติก้า โจ่งแจ้งมาก และมันไม่ใช่เซ็กส์ธรรมดาแต่เป็นแบบ BDSM ซะด้วย มีมัด มีฟาด มีเฆี่ยน

แต่สาบานว่า ตอนอ่านนิยายเรื่องนี้เราเผลอหัวเราะบ่อยมาก ไม่ใช่ว่าตลก แต่แบบรู้สึกว่าอะไรของมันวะ บ้าๆ ดี พระเอกขอให้นางเอกเป็นทาสสวาท มีสัญญาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย ข้อความในสัญญาคือเนื้อหา 1 บทเลย แล้วอีเมล์ที่พระเอกนางเอกโต้ตอบกันก็เพี้ยนๆ ฮาๆ อีตอนที่นับกันว่าซั่มไปกี่ครั้งแล้ว พรืดเลย หัวเราะแล้วก็แอบมองรอบๆ ตัว วันนี้เรานั่งอ่านเรื่องนี้ตอนรอกินข้าวในร้านอาหารคนเยอะแยะ ยังนึกตลกอยู่ในใจเลยว่า Kindle นี้มันก็ดีนะ คงไม่มีใครรู้ว่าที่นั่งอ่านไปขำไปอยู่นี่มันนิยายอีโรติก

ตอนกลางๆ เรื่องเราคิดอย่างเดียวว่า เดี๋ยวมันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิน่า ถ้ามีแต่แบบนี้หมดมันจะขายดีขนาดนี้ได้ไง พระเอกอาจจะไม่ใช่คนธรรมดามีแฟนตาซีพลังพิเศษอะไรเข้ามาในเรื่อง แต่จนจบเรื่อง ก็ไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติทั้งสิ้น เป็นเรื่องของพระเอกนางเอกสองคนแค่นี้ล่ะ พระเอกมีรสนิยมทางเพศผิดปกติเพราะอดีต ถ้าไม่นับเซ็กส์วิตถาร ที่จริงมันก็เป็นเรื่องรักนะ มีการพัฒนาความสัมพันธ์ทางใจด้้วย แต่ถ้าตัดเรื่องเซ็กส์ออกหมด มันก็จะไม่ใช่นิยายเรื่องนี้เลย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นรักปนเซ็กส์พิสดารที่แยกสองสิ่งนี้จากกันไม่ออก

นิยายที่อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่สามารถตัดอะไรออกโดยไม่ทำให้เรื่องเปลี่ยนได้ ก็คงต้องชมว่าแต่งดีแล้วมั้งนะ แต่อ่านจบแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า มันขึ้นถึงเบสต์เซลเลอร์อันดับหนึ่งได้ยังไง เป็นที่กระแสและบริบททางสังคมอะไรที่เราไม่รู้รึเปล่าที่ทำให้มันดัง ไม่ใช่แค่เพราะตัวนิยายเอง

Update
อ่านที่เขียนต่อที่โพสต์นี้ค่ะ

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

Out of Sight, Out of Time (Gallagher Girls #5) - Ally Carter

คะแนน : 7.25

ไม่รู้เป็นไร เราเอือมๆ ขี้เกียจอ่านเล่มนี้ คงเพราะว่าเล่มก่อนหน้านี้ทิ้งท้ายไว้แบบที่ไม่ชอบเท่าไหร่ ถ้าเป็นเรื่องชุด เล่มแรกเฉยๆ แล้วดีขึ้นเรื่อยๆ มันก็จะมีกำลังใจอ่าน แต่ถ้าอ่านไปแล้วเล่มต่อแย่กว่าเล่มแรก กลายเป็นขาลง จะรู้สึกไม่ดีนัก พอเล่มนี้ออกมาแค่เห็นเรื่องย่อคร่าวๆ ก็ยิ่งทำให้หมดความอยากอ่านไปอีกครึ่ง

ท้ายเล่มที่แล้ว แคมมี่หนีออกจากโรงเรียน เพื่อไปเผชิญหน้ากับองค์กรลับ Circle of Craven เพียงตัวคนเดียว เล่มนี้เปิดฉากขึ้นมาด้วยการที่แคมมี่ความจำเสื่อม จำเหตุการณ์ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาไม่ได้เลย แล้วก็ถูกพากลับมาที่โรงเรียนกัลลาเกอร์ พร้อมกับต้องพยายามตามหาชิ้นส่วนความทรงจำของตัวเอง เราว่ามุกความจำเสื่อมมันถูกใช้จนเฝือแล้ว แถมมาใช้กับเรื่องที่เป็นซีรีส์ กลายเป็นทำให้เนื้อเรื่องกับบุคลิกและความสัมพันธ์ของตัวละครดูขาดช่วงไป กับแม่กับน้าก็ไม่ค่อยได้คุย กับเพื่อนก็เข้าหน้าไม่ติด กับแซคนี่ก็ยิ่งเพลีย

แต่ก่อนเล่มแรกๆ เรารู้สึกว่าอ่านเรื่องโรงเรียนกัลลาเกอร์แล้วนึกถึงโรงเรียนฮอกวอตส์ เราหมายความในทางที่ดีนะ แต่พอมาเล่มนี้ เจอประโยคที่บอกว่า โรงเรียนกัลลาเกอร์เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ที่จะช่วยปกป้องแคมมี่จากการปองร้ายขององค์กรลับ เราก็นึกถึงฮอกวอตส์อีก แต่ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกดีต่อเรื่องชุดนี้แล้ว เฮ้อ ผูกเรื่ององค์การนี้มาแล้วหาทางออกไปต่อไม่ค่อยได้ มันก็ดูวนไปมา ขาดเสน่ห์เฉพาะของตัวเองแบบเล่มต้นๆ ไป โชคดีว่านิยายมันไม่ยาว แต่ละบทสั้นๆ ตัดไปเร็วๆ บางฉากก็สนุกใช้ได้ พออ่านจบได้เร็ว มันก็เลยยังไม่ทันเบื่อมาก ไม่งั้นรับรองบ่นยาวกว่านี้ เล่มหน้าน่าจะเป็นเล่มจบแล้ว รีบๆ ออกมาหน่อยก็ดี จะได้เคลียร์เรื่องที่ตามค้างอยู่ให้หมดๆ ไปอีกเรื่อง

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

Re-Reads: The Hunger Games (Part III)


ในบรรดาวรรณกรรมเยาวชนที่กลายเป็นภาพยนตร์ดังแล้วสร้างกระแสได้ในระดับที่เรียกว่าเป็น phenomenon มีอยู่ด้วยกัน 3 เรื่อง แบบที่มีสื่อเมืองนอกหลายแห่งขนานนามว่าเป็นตรีอติภาคแห่งปรากฏการณ์วัฒนธรรมยุคใหม่ หนึ่งคือ Harry Potter สองคือ Twilight และสามก็คือ The Hunger Games นี่แหละ ทั้งที่เนื้อเรื่องและแนวเรื่องของทั้งสามไม่ได้มีความเหมือนกันเลย จนบางครั้งแทบจะรู้สึกว่ามันน่ารำคาญที่มีคนเอามาเปรียบกันอยู่ได้ แต่โดนกรอกหูจนหนีไม่พ้นล่ะ เพราะฉะนั้นก็ลองเทียบดูหน่อย

ที่จริงเราไม่ชอบให้ใครยกอะไรมาเทียบกับ Harry Potter สมัยก่อนเคยใช้ HP เป็นบรรทัดฐานเหมือนกัน แต่พอทุกเรื่องที่อ่านหลังจากนั้นเฟลหมดเลยรู้ตัวเลิกทำ เพราะเอาอะไรไปเปรียบเทียบกับ HP ก็ไม่ยุติธรรมทั้งนั้น คงจะไม่มีเรื่องไหนอีกแล้วที่ทำได้เทียบเคียงแบบนั้น สำหรับเรา HP ไม่ใช่แค่นิยายธรรมดา แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า มนต์ขลังไม่ใช่แค่ถ้อยคำ เหมือนเราหายใจเอาอากาศสดชื่นแล้วรู้สึกได้ว่าออกซิเจนมีอยู่จริง อ่าน HP ทีไรก็ทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมมันทำให้เรารักเรื่องนี้ได้ถึงขนาดนี้นะ เรารู้จัก HP ก่อนที่สำนักพิมพ์เมืองไทยจะพิมพ์เรื่องนี้ และซื้อฉบับแปลภาษาไทยตั้งแต่วันแรกที่มันออกมา แต่พอหนังภาคแรกฉาย ก็โคตรผิดหวังเลยเหมือนกัน หลังจากนั้นตอนหลังก็ทำใจได้ว่าเวลาดูหนังอย่าเอาไปเทียบกับหนังสือ แม้ว่าเวลาดูภาค 3 ทีไร ก็ยังเกลียดตอนจบไม้กวาดบินแบบนั้นทุกที

มาถึง Twilight เราอ่านนิยายจบ 4 เล่มก่อนที่มันจะสร้างเป็นหนัง อ่านแล้วก็ชอบนะ แต่ไม่ถึงขนาดประทับใจ พอไปดูหนังก็รู้สึกว่ามันช่างห่วยเหลือเกิน ดูในโรงแค่ภาคแรกภาคเดียว ภาคอื่นดูในโทรทัศน์แบบเกือบจะหลับ ตอนนี้ภาค 4.1 ก็ยังไม่ได้ดูเลย แต่บางครั้งเวลาเพื่อนด่าเรื่องนี้ให้ฟังก็แก้ตัวอ่อยๆ ให้นิดหน่อยว่า นิยายมันก็สนุกดีนะ บอกตามตรงว่า เราไม่เคยเห็นหนังที่ประสบความสำเร็จมากๆ เรื่องไหนมีจำนวนคนเกลียดมากเท่านี้มาก่อนเลย

ตอนนี้มาถึงยุคของ The Hunger Games กระแสในบ้านเราอาจจะงั้นๆ แต่ที่อเมริกาทุบสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศไปหลายอย่าง ความเห็นคนดูก็แตก คนทั่วไปไม่พูดถึงแล้วกัน ดูเฉพาะตามแฟนฟอรั่มของเรื่องนี้ ส่วนใหญ่พอใจมาก แต่ที่ผิดหวังก็มี บอกหนังสือดีกว่า เพราะฉะนั้นสรุปว่า สำหรับเราทั้งสามมีจุดที่เหมือนกันคือ เป็นเรื่องที่ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ได้ไม่ดีเท่านิยายทั้งสามเรื่อง และขอย้ำว่า ใช้หนังตัดสินคุณค่าของสามเรื่องนี้ไม่ได้

ส่วนหนึ่งที่ทั้งสามเรื่องนี้ถูกจับเทียบกันบ่อย คงเพราะคนอ่านคนดูที่เป็นแกนหลักนั้นเป็นคนกลุ่มเดียวกัน เหมือนว่าเด็กที่อ่าน HP พอโตมาถึงวัยมีความรักก็ชอบ TW ต่อมาก็ชอบ HG แต่กลุ่มนี้ควรจะอายุมากขึ้นหน่อย เพราะต้องรับรู้ว่า หลังจากการต่อสู้ผจญภัย หลังสิบเก้าปีผ่านไป ทุกอย่างอาจไม่เป็นไปด้วยดี ชีวิตแม่งบัดซบว่ะ ทำไมทั้งสามเรื่องที่ดูไม่ค่อยเหมือนกันนี้ถึงทำให้วัยรุ่นชอบมากๆ ได้ขนาดนั้น ถ้าให้หาจุดร่วมจริงๆ นอกจากที่ว่าทั้งสามเรื่องแต่งโดยนักเขียนหญิง ก็คงอยู่ที่ทั้งสามเรื่องมีตัวเอกที่เป็นเด็กวัยรุ่น และมีตัวละครที่ดึงดูดให้คนอ่านเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยได้

ใน HP แม้จะไม่ใช่มุมมองบุคคลที่หนึ่ง แต่ก็เหมือนเราอยู่กับแฮร์รี่ตลอดเวลา ผจญภัยไปกับแฮร์รี่ตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วน TW นี่ก็อยู่ในหัวเบลล่าเลย ฉันอย่างนั้นฉันอย่างนี้ เวลาเป็นหนังอาจจะเซ็งว่าไอ้หมอนี่มันเป็นแวมไพร์ชัดๆ ทำไมนางเอกโง่ไม่รู้ตัวซะที แต่ตอนอ่านนี่กว่าจะรู้ว่าเอ็ดเวิร์ดเป็นแวมไพร์ใช้เวลาครึ่งเล่ม และทั้งๆ ที่เรารู้อยู่แล้วแต่มันก็ยังอ่านสนุกนะ เพราะสมมุติว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดกับเราจริงๆ ที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ใครจะไปคิดว่าจะมีแวมไพร์จริงๆ บ้างล่ะ และใน HG เราก็อยู่กับแคทนิสตลอดเช่นกัน คนที่ชอบทั้งสามเรื่องนี้จะต้องเปิดใจและเชื่อมโยงกับตัวละครหลักของเรื่องได้ในระดับหนึ่ง เพราะถ้าไม่ชอบตัวละครก็จบ ในใจก็จะค้านทุกสิ่งทุกอย่างของโลกในเรื่องที่มองออกมาจากตัวแฮร์รี่ เบลล่า และแคทนิส

อ่าน Part III ต่อ มีบางจุดสปอยล์เลยเถิดถึงจบ Mockingjay เลยนะ

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

About That Night - Julie James

คะแนน : 8
ตอนนี้มีชื่อชุดแล้ว เล่มนี้คือ FBI/US Attorney Series #3 เป็นเรื่องของไคล์ ฝาแฝดของนางเอกเรื่อง A Lot Like Love ไคล์โผล่มาครั้งแรกในเล่มที่แล้ว เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้พระเอกนางเอกเรื่องนั้นเจอกันนั่นเอง เพราะจอร์แดนต้องการช่วยให้ไคล์พ้นโทษออกจากคุกได้เร็วขึ้น มาเล่มนี้ไคล์ก็ได้บทพระเอกเต็มตัว

ไคล์ติดคุกในฐานะนักโทษผู้ก่อการร้ายที่ถล่มเว็บไซต์ทวิตเตอร์ล่มไปสองวัน เขาเป็นนักคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ ลูกชายมหาเศรษฐีพันล้านเจ้าของธุรกิจซอฟต์แวร์ แต่ก่อเรื่องเนื่องมาจากความเมาที่ถูกแฟนเก่าบอกเลิกใน 140 ตัวอักษร ตอนนี้เขาได้ออกจากเรือนจำมาแล้วแต่ยังถูกกักบริเวณในบ้าน ส่วนนางเอกชื่อ ไรแลนน์ (นางเอกของ JJ ชื่อ unisex ทุกคนเลย จอร์แดน, แคเมอรอน, เพย์ตัน, เทย์เลอร์) ไรแลนน์เพิ่งเลิกกับแฟนเลยย้ายมาอยู่เมืองนี้ในตำแหน่งผู้ช่วยอัยการ เป็นลูกน้องของแคเมอรอน (Something About You) งานชิ้นแรกของไรแลนน์คือการขึ้นศาลเพื่อขอลดหย่อนโทษให้ไคล์ แต่ว่านี่ไม่ใช่การพบกันครั้งแรกของทั้งสองคน เพราะเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ทั้งสองเคยพบกันในบาร์ และคืนนั้นไคล์เดินไปส่งไรแลนน์กลับที่พัก แต่โชคชะตาก็ไม่เป็นใจ ณ ตอนนั้น เมื่อมาเจอกันอีกตอนนี้ ทั้งสองจะสานต่อเรื่องราวจากคืนนั้นอย่างไร

ถ้าว่ากันในส่วนของเนื้อเรื่อง เรื่องนี้แทบไม่มีประเด็นอะไรเลย ไม่มีแอกชั่นอย่างสองเรื่องก่อนด้วย แต่ก็ยังอ่านสนุก ก็เพราะตัวละคร พระเอกนางเอกและทุกคนในเรื่องของ JJ น่ะโอเคมากๆ ฉลาด นิสัยดี มีเหตุผล รู้สึกว่าเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมาก ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีข้อเสีย ไม่เคยทำผิด แต่เพราะพวกเขาไม่ perfect ก็เลยรู้สึกว่าเขายิ่ง perfect น่ะ มีการกล่าวถึงตัวละครจากเล่มก่อนๆ บ้าง เรื่องนี้ต้องอ่านคู่กับ ALLL เลย จะได้รู้จักจอร์แดน แล้วจะอินกับฉากที่ไคล์คุยกับจอร์แดนมากขึ้น

พระเอกนางเอกเป็นคนรุ่นใหม่ทำงานทำการ ฉากและบรรยากาศของเรื่องสมัยใหม่มากๆ ชัดเจนอยู่แล้วกับการที่กล่าวถึงทวิตเตอร์ เวลาไคล์จะเช็คประวัตินางเอกก็กูเกิล และมีอยู่บรรทัดหนึ่งในเรื่องที่เราอ่านแล้วยิ้มเลย ไลแรนน์บอกว่ามีนัดจะไปดูหนังเรื่อง The Hunger Games (เดี๋ยวจะมาเขียน Re-Reads ต่อนะ พอดีช่วงที่ผ่านมายุ่งมากเลย) ฮ่าฮ่า คงเช็คไว้แล้วว่าเล่มนี้ออกหลังหนังฉายแค่ประมาณ 10 วัน เวลา JJ แต่งตรงนี้นึกปฏิกิริยาคนอ่านแล้วคงเอาลิ้นดุนแก้มอยู่แน่ๆ

อ่านเพลินเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ บทสนทนาดีมาก ตลกน่ารักแบบไม่ต้องกัดใครให้อาย พอใกล้จบยังงงนิดหน่อยเลยว่า อ้าวจะจบแล้ว แทบจะไม่มีเนื้อเรื่อง ไม่มีความขัดแย้งระหว่างพระ-นางเลย แต่ไม่มีเบื่อเลยนะ ถือว่าไม่ผิดหวัง แต่ยังไม่พีคมากเหมือนเรื่องที่มีแอกชั่น อารมณ์คล้าย Practice Makes Perfect มากกว่าเล่ม 1-2 ในซีรีส์นี้ แต่ซีรีส์นี้ยังมีต่อแน่เลย เล่มนี้เหมือนจะเปิดตัวเคด อัยการหนุ่มอนาคตไกลไว้