วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

The Winter Sea - Susanna Kearsley

คะแนน : 7

แคโรลีน แมคเคลลแลนด์ นักเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์ กำลังแต่งนิยายเรื่องใหม่ของเธอ เป็นเรื่องราวของขบวนการจาโคไบท์ในช่วงปี ค.ศ. 1708 ที่ต้องการฟื้นฟูราชวงศ์สจวตให้กลับมาครองบัลลังก์ เพื่อหาข้อมูลและแรงบันดาลใจในการเขียนนิยาย เธอจึงมาเช่ากระท่อมเล็กๆ อยู่ใกล้ๆ กับซากปราสาทในสกอตแลนด์ที่เป็นฉากตามท้องเรื่อง แครี่ตั้งชื่อนางเอกของเรื่องตามชื่อบรรพบุรุษของเธอคนหนึ่ง คือ โซเฟีย แพเตอร์สัน และในระหว่างที่แต่งนิยาย ภาพและเรื่องราวของตัวละครในเรื่องก็แจ่มชัดในหัวของแครี่มากขึ้นทุกที แล้วเธอก็ได้รู้ว่า เรื่องราวและบทสนทนาในนิยายที่เธอเขียนขึ้นมา ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ทุกอย่าง

เล่มนี้เป็นนิยายรักอิงประวัติศาสตร์ที่จะว่าไปก็ถือว่าแต่งได้ดี สำนวนการเขียนของผู้แต่งสละสลวย การใช้ภาษาละเมียดละไม อย่างเช่น การเปรียบเปรยสีตาของตัวละครว่าราวกับสีของทะเลเหมันต์ ฉากและบรรยากาศถูกถ่ายทอดอย่างดี และอ่านดูก็รู้ว่า ผู้เขียนค้นคว้าข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์มาเต็มที่ เหตุผลการระลึกอดีตได้ด้วยการถ่ายทอดความทรงจำผ่าน DNA ก็อธิบายได้ดีพอใช้เลย แต่โอ้ว่า อนิจจา สำหรับเรา มันเป็นนิยายที่น่าเบื่อมาก อ่านแล้วเกือบจะหลับ

ช่วงแรกของเล่มยังน่าสนใจอยู่ เรื่องเริ่มจากยุคปัจจุบัน และสลับกลับไปเล่าเรื่องราวในอดีต ผ่านนิยายที่นางเอกกำลังเขียน ในรูปแบบนิยายซ้อนนิยาย แล้วก็ตัดมาปัจจุบันกลับไปกลับมา จนในที่สุดเส้นแบ่งช่วงเวลาทั้งสองก็แทบจะเลือนลางหายไป ให้ผู้อ่านติดตามเรื่องไปพร้อมๆ กัน ถือว่าเป็นแนวคิดการนำเสนอที่ดีทีเดียว

แต่พอเซตฉากกับตัวละครทั้งสองยุคเสร็จแล้ว หลังจาก 1/4 ของเรื่องไป มันดำเนินเรื่องเนิบนาบมาก เราก็ไม่ได้คิดว่าในนิยายจะต้องมีแอกชั่นลุ้นตลอด หรือโรคจิตขนาดว่าต้องเห็นตัวละครตายทุกบทหรืออะไร แต่นิยายเรื่องนี้มันไปช้ามากๆ และแทบไม่ได้มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นเท่าไหร่เลย มีแต่ฉากตัวละครสนทนาที่โต๊ะอาหารเรื่องแผนการทางการเมือง กับนางเอกไปเดินเล่นริมทะเล คิดถึงพระเอก ซ้ำๆ อย่างนี้ทั้งเรื่อง ที่ผ่านมานิยายบางเล่มที่เราชอบ มันก็มีแบบที่ไม่ค่อยมีเหตุการณ์ในเนื้อเรื่อง แต่มันก็จะดำเนินเรื่องด้วยการเดินทางทางความคิดของตัวละคร มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของพระเอกหรือนางเอก แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แบบนั้นเลย

มีปัญหาสามข้อใหญ่ที่เป็นอุปสรรคต่อการอ่านเล่มนี้ ซึ่งก็อาจไม่ใช่ความผิดของนิยาย แต่มันเกิดจากสาเหตุส่วนตัวของเราเอง
1. เรื่องราวยุคอดีตของเรื่องนี้ นำมาจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ตอนที่เราไม่รู้จัก และคิดว่ามันไม่สำคัญ ไม่น่าสนใจ อย่าว่าแต่เราคนไทยเลย ขนาดตัวละครบางคนในเรื่องที่เป็นคนสกอตเอง ยังไม่รู้เรื่องเลย ต้องให้พระเอกนางเอกนั่งเลคเชอร์ให้ตัวละครในเรื่อง (และคนอ่าน) ฟัง ขนาดที่ในเรื่องยังบอกเองเลยว่า เรื่องตอนนี้มีค่าอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์แค่ประมาณสองบรรทัด

2. นางเอกกับพระเอกเรื่องนี้เป็นตัวละครคนดีที่แสนน่าเบื่อ ทั้งสองคู่ในสองยุคเลย เราคิดว่าถ้าพวกนี้เป็นคนในชีวิตจริง เราคงชอบนะ เป็นคนดี มีเหตุผล บุคลิกเงียบๆ เรียบๆ เก็บอารมณ์ความรู้สึก ไม่แสดงออก แต่พอเป็นตัวละครในนิยาย เธอและเขาไม่มีเสน่ห์น่าติดตามเลยสักนิด และมีบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เรารู้สึกไม่ถูกชะตากับนางเอกทั้งสองคน บอกไม่ถูก รู้สึกว่าเป็นคนถือดี ที่ไม่ใช่แค่ถือดีในตัวเอง แต่ถือว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น พอเราไม่เกิดแรงดึงดูดกับตัวละคร ก็เลยไปทำให้เกิดแรงต้านทานกับเนื้อเรื่องแทน

3. ข้อนี้เป็นความงี่เง่าของเราเอง ที่ตอนต้นเรื่องดันสำคัญตัวพระเอกผิดคน ก็โธ่ มีอย่างที่ไหน นางเอกบังเอิญเจอหนุ่มหล่อนั่งข้างกันบนเครื่องบิน ดูจะคุยกันถูกคอ บังเอิญพ่อหนุ่มเลือกชื่อนางเอกนิยายให้สาวเจ้าได้ถูกใจอีก ลงจากเครื่องก็ยังบังเอิญต่อ หนุ่มนายนั้นเป็นลูกชายเจ้าของบ้านเช่าที่นางเอกจะไปพัก ปรกติในนิยาย บังเอิญครั้งแรกเรียกว่าบังเอิญ บังเอิญครั้งที่สองเรียกว่าโชคชะตา บังเอิญครั้งที่สามก็ต้องเรียกว่าฟ้าบันดาล คนแต่งลิขิตมาแล้วให้คู่กันแน่ๆ แต่ปรากฏว่า สจ๊วต หนุ่มเจ้าเสน่ห์รายนั้นกลับเป็นน้องชายพระเอก แป่ว เราพลาดฉากเปิดตัวแกรห์ม คนพี่ที่เป็นพระเอกตัวจริง ที่โผล่มาก่อนแล้วด้วยซ้ำไปเลย แต่เราหลงคนน้องไปแล้วอ่ะ ตอนเขาลงจากเครื่องบินแล้วขอเบอร์นางเอก เจ้าชู้ขี้เล่นอย่างน่ารักเลย พอต่อเรื่องออกมาสักพัก รู้ว่าสจ๊วตไม่ใช่พระเอกยังไม่เท่าไหร่ แต่เขาถูกแต่งเรื่องให้เป็นผู้ชายที่ค่อนข้างหลงตัวเอง และมาตามเกาะแกะนางเอกโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยอยู่ทั้งเรื่อง เราไม่ชอบพฤติกรรมที่พระเอกกับนางเอกปฏิบัติต่อสจ๊วต แทนที่จะปฏิเสธตรงๆ กลับปล่อยไปเรื่อยๆ แล้วแอบหยันเขาอยู่ลึกๆ ทำให้เป็นประเด็นที่ย้อนกลับไปที่ข้อ 2 ที่ทำให้เราไม่ชอบพระเอกนางเอกเรื่องนี้

อ่านเล่มนี้จบแล้วไปอ่านรีวิวใน Amazon แปลกดีที่เราอ่านความเห็นพวกนั้นแล้วคิดว่า เราเห็นด้วยกับทั้งพวกคนที่ให้ 5 ดาว และ 4 3 2 1 ดาว ตรงที่คนเขาชม เราก็เข้าใจ ตรงที่เขาติมันก็ถูกอีก โดยเฉพาะ Bored Girl คนที่ให้ 1 ดาวนี่อ่านแล้วฮาสุดๆ เป็นรีวิวที่เขียนสนุกกว่าตัวนิยายเองซะอีก เห็นด้วยทุกคำเลย แต่เราคงไม่ใจร้ายให้ 1 ดาวแบบเขา ถ้าต้องโหวตเรื่องนี้จริงๆ คงใส่ 3 ดาวล่ะ

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

When Passion Rules - Johanna Lindsey

คะแนน : 7

เรื่องใหม่ของ JL ที่ไม่อยู่ในชุดไหนเลย ใช้ฉากในประเทศใหม่คือ ลูบิเนีย เป็นประเทศสมมุติเล็กๆ ในยุโรป นางเอกคือ อลาน่า เจ้าหญิงที่ถูกนักฆ่าลักพาตัวออกจากวังตอนเป็นทารก นำไปเลี้ยงดูอย่างดีจนโตเป็นสาวที่อังกฤษ โดยไม่รู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิด แต่แล้วเมื่อประเทศบ้านเกิดของเธอเกิดเรื่องวุ่นวาย จากข่าวลือเรื่องความไม่แน่นอนในการสืบทอดบัลลังก์ อดีตนักฆ่ากลับใจก็จำต้องบอกความจริงอลาน่า แล้วพาเธอกลับมาบ้านเกิด แต่เมื่อหญิงสาวเข้าไปในวังเพื่อขอพบราชา กลับพบอุปสรรคขวางทาง เป็นทหารราชองครักษ์หนุ่มรูปงาม ลอร์ดคริสตอฟ เบคเกอร์ ที่กล่าวหาว่า เธอเป็นตัวปลอมสวมรอยมา

ตอนแรกเห็นรีวิวใน Amazon แล้วใจแป้ว ดูเหมือนแฟนๆ JL ตัดใจจากเธอไปหมดแล้ว เล่มนี้เสียงวิจารณ์ก็ไม่ค่อยดี ตอนเริ่มอ่านเล่มนี้ก็หวั่นๆ หน่อย แต่พออ่านจบแล้วก็คิดว่า ถึงมันจะไม่มีอะไรโดดเด่นแบบงานสมัยก่อนจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็ไม่แย่อย่างที่กลัว อาจเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว มันก็อ่านได้เพลินๆ ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก พล็อตเรื่องหลวมๆ ไปบ้างก็ปล่อยๆ ทำใจ อ่านไปเรื่อยๆ ดีที่แต่ละบทมันสั้นๆ แป๊บเดียวจบบท เลยยังไม่รู้สึกเบื่อ ทำให้อ่านทั้งเล่มจบได้เร็วดี ตัวละครเบาๆ แต่แอบขวางพระเอกหน่อยที่วางอำนาจกับนางเอกเยอะไปนิด แต่ฉากจบสุดท้ายน่ารักดี

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Die Trying (Jack Reacher #2) - Lee Child

คะแนน : 7

เล่มนี้เป็นแอกชั่นบู๊ล้างผลาญอย่างเดียวเลย เปิดเรื่องมาด้วยความบังเอิญอันสุดแสนจะเหลือเชื่ออีกแล้ว แจ็ค รีชเชอร์ จับพลัดจับผลูถูกลักพาตัวไปพร้อมกับเอฟบีไอสาวสวย ลูกนายพลใหญ่ประธานคณะเสนาธิการทหาร ตำแหน่งบิ๊กสูงสุดของกองทัพสหรัฐฯ ถูกพาตัวไปอยู่ในค่ายลับ ซึ่งเดิมพันครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ชีวิตของพวกเขา แต่เกี่ยวพันถึงความมั่นคงของประเทศ และชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก

แจ็คนี่มันไปไหนก็เป็นตัวซวย เหมือนที่เขาแซวโคนันกับคินดะอิจิรุ่นหลานใช่มั้ย คือถ้าพระเอกมีอาชีพตำรวจหรือนักสืบ มีเรื่องเข้ามาหาบ่อยๆ ก็ไม่แปลก แต่นี่พี่ท่านเป็นแค่อดีตสารวัตรทหารนอกราชการ มาเดินทางร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ โผล่เข้าไปจ๊ะเอ๋กลางวงแผนการใหญ่พอดี จะแต่งเรื่องให้บังเอิญไปถึงไหน

เนื้อเรื่องเล่มนี้ไม่ค่อยมีอะไร แอกชั่นอย่างเดียว ช่วงแรกก็สนุกนะ ฝ่ายเอฟบีไอก็ต้องพยายามตามรอยคนร้ายเพื่อช่วยคนของตัวกลับมา รายละเอียดเรื่องการสืบบางอย่างก็น่าสนใจดี อย่างสืบจากเศษดินหินที่ติดรอยล้อรถ เป็นต้น แต่พอถึงฉากที่อยู่ในค่ายนี่ก็ไม่มีเนื้อเรื่องแล้ว บู๊โลด แต่หนังสือเล่มหนา เขียนซะยืดยาว ยิงปืนนัดเดียว กินหน้ากระดาษ 3 หน้า บรรยายฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ของการยิงปืน บางอย่างถ้าแน่ใจได้ว่ามันจริงก็คงน่าสนใจ อย่างเรื่องระบบ IFF ของมิสไซล์ แต่หลายอย่างก็ไม่แน่ใจว่ามันโม้รึเปล่า

พระเอกเก่งเว่อร์ ความสามารถด้านการต่อสู้นี่ไม่มีใครเทียบ ยิงปืนโคตรแม่น แต่มันก็ขัดๆ ตรงบางทีก็ฉลาดมาก บางทีก็พลาดโง่ๆ ส่วนตัวร้ายนี่เหมือนพวกบ้าบอคลั่งทฤษฎีสมคบคิดธรรมดา ดูไม่ค่อยมีมิติ ไม่เจ๋งเลย บอสกะหลั่วก็ทำฝ่ายพระเอกดูกระจอกตาม ทั้งกองทัพฯ ทั้งเอฟบีไอ ทำไมเสียท่าง่ายอย่างนี้

อ่านเล่มนี้ด้วยการต่อสู้กับจิตใจตัวเองมากๆ สมองซีกซ้ายพยายามทำงานตลอด ไอ้นี่โคตรบังเอิญ ไอ้นี่ไม่สมเหตุสมผล แบบตอนพระเอกจัดการคนร้ายโป้งเดียวจอดตายสนิท แต่ตอนคนร้ายมีโอกาสเล่นงานพระเอกตั้งไม่รู้กี่ที ก็ดันบ้าน้ำลายไม่ยิงซะที แล้วหนีออกมาได้แล้วก็ดันงี่เง่าเดินกลับไปให้เค้าจับใหม่ แบบนี้ตั้งหลายที อ่านไปกลอกตาไปเป็นระยะๆ ความจริงถ้าปิดสวิตช์ตรรกะของตัวเองไปได้ มันก็อ่านสนุกแหละ แต่บังเอิญตอนนี้ทำไม่ได้

เท่าที่อ่านมาสองเล่ม คิดว่าซีรีส์นี้เนื้อเรื่องแต่ละเล่มไม่สัมพันธ์กัน และตัวละครไม่ค่อยมีพัฒนาการเรื่องชีวิตส่วนตัว เพราะนอกจากพระเอกจะเป็นลัคกี้แมนแล้ว ก็เป็นหมาป่าเดียวดายแมนด้วย ไม่เห็นมีใครเป็นเดอะแก๊งแอนด์ผองเพื่อน คงเหมือนเจมส์ บอนด์ มั้ง ตอนใหม่เนื้อเรื่องใหม่ แล้วนายแจ็คก็ฟันสาวคนใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคงไม่ต้องอ่านเรียงครบทุกตอนก็ได้มั้ง เดี๋ยวเลือกอ่านแค่ตอนที่คนบอกว่าสนุกๆ ก็พอ

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Killing Floor (Jack Reacher #1) - Lee Child

คะแนน : 8

เห็น Lee Child เพิ่งเข้า Kindle Million Club เลยสนใจ ยังไม่เคยอ่านงานเขาเลย นี่เป็นเล่มแรกของเรื่องชุด Jack Reacher ที่มีออกมาตั้ง 15 เล่มแล้ว เป็นเรื่องสืบสวนตื่นเต้นแต่จะออกแนว Action Thriller มากกว่า Detective นะ มีฆ่ากันเยอะ สมชื่อเรื่องภาษาไทยที่บังเอิญเพิ่งออกมาพอดี "ลานละเลงเลือด"

ตัวเอกเรื่องนี้เป็นพวกพระเอกพันธุ์ดุขาโหด คิดดู พอเล่นงานคนที่มาหาเรื่องจนตาย เสร็จแล้วก็เฉยๆ มาก พี่แกนึกในใจว่า จะให้รู้สึกอะไร ก็เหมือนจัดการแมลงสาบแค่นั้นเอง เวลาสู้คนร้ายก็ไม่มีการพูดพร่ำทำเพลง ยิงเลยไม่มีคุย เนื้อเรื่องคือ แจ็ค รีชเชอร์ บังเอิญผ่านมาในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง จู่ๆ ก็โดนจับเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าคนตาย พอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้จะออกจากเมือง ก็พอดีรู้ตัวตนคนที่ตาย เขาก็ไปเฉยๆ ไม่ได้แล้ว ต้องสืบให้รู้ความจริง และทวงถามความยุติธรรม

ช่วงเปิดเรื่องอ่านสนุกดีมาก พระเอกโหดๆ ก็เท่ดี และเล่าเรื่องได้น่าติดตาม ถึงจะโคตรบังเอิญเรื่องพระเอกกับคนที่ตายก็เถอะ แต่พอกลางๆ เรื่องจะมีช่วงให้เสียอารมณ์นิดหน่อย ตรงที่แต่งเรื่องให้จวนจะรู้ความจริงอยู่ตั้งหลายครั้ง แต่กลับปล่อยโอกาสไปเองง่ายๆ แล้วคนร้ายหรือพยานก็จะโดนฆ่าปิดปาก หรือถูกตัดหน้าทำลายหลักฐาน มันบ่อยเกินไปเลยเซ็ง เหมือนโดนผู้แต่งจูงจมูก คลาดไปคลาดมา พยายามให้เรื่องมันฉิวเฉียดเกินไปจนไม่เป็นธรรมชาติ รู้สึกว่าดูถูกคนอ่าน ทั้งที่การสืบสวนเรื่องขบวนการมันเดาได้ไม่ค่อยยาก หลายจุดก็ไม่สมเหตุสมผล ช่วงกลางนี่ให้คะแนนแค่ 7 แต่พอเข้าช่วงท้ายเรื่อง ทีนี้บู๊ยาวเลย สนุกดีมาก ก็เลยดึงความรู้สึกกลับขึ้นมาที่ 8

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

To Kill a Mockingbird - Harper Lee

คะแนน : 7.5

นิยายคลาสสิครางวัลพูลิตเซอร์ ปี 1961 ที่เห็นติดอันดับหนังสือในดวงใจตลอดกาลของนักอ่านฝรั่งตามโพลล์ต่างๆ บ่อยๆ แต่ที่เราหยิบเรื่องนี้มาอ่าน มาจากเรื่องที่เล็กน้อยกว่าเหตุผลข้างต้นมาก เรื่องของเรื่องคือ มีนักแสดงคนหนึ่งที่เรากำลังสนใจติดตามผลงาน ให้สัมภาษณ์ว่า นี่เป็นหนังสือเล่มโปรดของเธอ มีคนบอกว่า เราจะรู้จักคนคนหนึ่งมากขึ้นจากสิ่งที่เขาอ่านใช่ไหม เรากำลังอยากรู้จักเธอ ก็เลยอยากอ่านเล่มนี้

To Kill a Mockingbird เป็นเรื่องแนว coming-of-age เห็นมีคนใช้ภาษาไทยว่า การก้าวผ่านวัย ก็ฟังเข้าท่าดีนะ ตกลงใช้คำนี้แล้วกัน เป็นเรื่องที่มีตัวเอกเป็นเด็กหญิงชื่อสเกาท์ ที่อาศัยอยู่กับครอบครัวในเมืองเล็กๆ ทางรัฐตอนใต้ของอเมริกา ในยุค 1930s บอกเล่าเรื่องราว 2-3 ปีในชีวิตของสเกาท์ จนถึงอายุประมาณ 8-9 ปี เธอมีพี่ชายที่อายุมากกว่า 4 ปีชื่อเจม และพ่อที่เป็นทนายความชื่อแอตติคัส พ่อเลี้ยงดูลูกๆ อย่างให้อิสระ สเกาท์จึงเป็นเด็กหญิงทอมบอยที่เล่นสนุกอยู่กับพี่และเพื่อนผู้ชาย เหตุการณ์สำคัญในเรื่องคือ พ่อของเธอไปรับว่าความให้ชายผิวดำคนหนึ่ง ที่ถูกกล่าวหาว่าข่มขืนหญิงผิวขาว

ตอนเริ่มต้นอ่านเรื่องนี้ อ่านแบบไม่รู้อะไรเลยนอกจากที่พูดข้างบนย่อหน้าแรก เป็นเรื่องแนวไหนก็ยังไม่รู้ ก็ไม่รู้จะคาดหวังอะไร ช่วงแรกไปเรื่อยๆ มาก ชีวิตเด็กบ้านนอกฝรั่ง แต่สเกาท์เป็นเด็กฉลาด น่ารักดี เล่าเรื่องที่บ้าน เล่าเรื่องไปโรงเรียน เล่นสนุกตอนปิดเทอมฤดูร้อน ขำมากตอนดิลขอแต่งงานเสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นก็ลืม เล่นกันประสาเด็กจริงๆ แล้วเราก็จะค่อยๆ ได้เห็นภาพชีวิต ผู้คน และค่านิยมของสังคมเมืองเล็กสมัยนั้น ผ่านสายตาของสเกาท์ เห็นวิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กที่ต่างกัน การประพฤติตัว การแบ่งชนชั้น และโดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเหยียดผิว

ชอบตัวละครพ่อ เป็นคนดีมีอุดมการณ์ และเข้าใจคนอื่นมาก ชอบฉากที่สเกาท์บอกอาว่า ไม่ยุติธรรมที่มาตีโดยไม่ฟังเหตุผล ชอบฉากที่ดิลเล่าสาเหตุที่หนีออกจากบ้าน ชอบตอนที่สเกาท์นึกว่าทำไมคุณครูติเตียนสิ่งที่ฮิตเลอร์ทำกับยิว แต่กลับดูถูกคนดำเสียเอง

นิยายเรื่องนี้ใช้สัญลักษณ์หลายอย่างเป็นตัวแทนความคิด โดยเฉพาะนกม็อคกิ้งเบิร์ด พ่อยอมให้สเกาท์กับพี่เล่นปืนลม แต่สั่งห้ามว่า ยิงนกอื่นได้ แต่ห้ามยิงนกม็อคกิ้งเบิร์ดเป็นอันขาดเพราะมันบาป มันเป็นนกที่มีแต่ร้องเพลง ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้คน สื่อความหมายถึงการลงโทษทอม ชายผิวดำที่ไม่เคยทำร้ายใคร ในโทษที่เขาไม่ได้ก่อ ว่าเป็นบาปมหันต์ดุจเดียวกัน เช่นเดียวกับถ้าจะมีการเอาโทษบูในตอนท้ายเรื่อง และม็อคกิ้งเบิร์ดอาจหมายรวมไปถึง ผลที่เกิดกับสเกาท์และเจมด้วยก็ได้ เด็กๆ ที่ต้องสูญเสียความไร้เดียงสาในการมองโลกอย่างบริสุทธิ์ไป โลกช่างมีความอยุติธรรมหลายอย่างเหลือเกิน

การเติบโตของสเกาท์ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนต้นไม้ที่ค่อยๆ เติบโต จนบางครั้งคนอ่านไม่สังเกต พอรู้สึกตัวอีกที เธอก็ไม่ใช่เด็กไม่รู้ความอีกแล้ว โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่สเกาท์เดินออกมาจากบ้านของบู แล้วเห็นโลกจากมุมมองใหม่ เธอลองนึกทบทวน วันคืนที่ผันผ่าน ฤดูกาลที่เปลี่ยนแปร ตัวเธอกับพี่ชายที่เดินผ่านบ้านของเขาทุกวัน บูมองเห็นผู้คน เพื่อนบ้าน ชีวิตที่อยู่เบื้องหน้าเขาอย่างไร การรู้จักมองสิ่งต่างๆ ผ่านสายตาผู้อื่นเป็น แสดงให้เห็นชัดเจนถึงการเติบโตทางความคิดของเด็กหญิงคนนี้

อันที่จริง เราไม่ใช่แฟนเรื่องแนวการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อย่างหนัง Stand by Me ที่เป็นเรื่องในดวงใจหลายคน ก็เฉยๆ มาก แล้วไม่รู้ทำไม ที่การโตมักถูกนำเสนอว่าคือการเจอประสบการณ์ชีวิตที่สะเทือนใจ ผู้ใหญ่ชอบเอาเรื่องเศร้ามาให้เด็กอ่านเป็นหนังสือนอกเวลา ตอนอ่านเล่มนี้กลางๆ เรื่องก็เริ่มหวั่นๆ กลัวพ่อหรือพี่ชายหรือเพื่อนของสเกาท์ตาย นึกถึงน้ำตาเป็นปี๊บๆ ที่เสียไปสมัยเด็ก ตอนอ่านต้นส้มแสนรักอย่างนี้ ฉันอยู่นี่ ศัตรูที่รัก ตอนเรือรบจำลอง ก็อีก เพื่อนรักของจุลลดา ภักดีภูมินทร์ ด้วย รักแล้วก็ประทับใจเรื่องเหล่านั้นนะ แต่ตอนนี้ไม่อยากร้องไห้น่ะ โชคดีที่เรื่องนี้ไม่เศร้า การก้าวย่างพ้นวัยเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากเหตุการณ์หลายอย่าง และการสูญเสียมุมมองที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรถ้าเรายังมีศรัทธาในความดีหลงเหลืออยู่

เรื่องมันเรียบ และประเด็นของเรื่องห่างไกลตัวไปหน่อย ถ้าอ่านตอนอายุน้อยอาจจะประทับใจกว่านี้ ตอนนี้คะแนนความชอบอาจจะไม่สูง เพราะเพิ่งอ่านจบวันเดียว แต่ไม่แน่ เรื่องแนวนี้ เวลาผ่านไปทีหลัง อาจจะเกิดชอบขึ้นมามากๆ ก็ได้

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Just Like Heaven - Julia Quinn

คะแนน : 6.5

อุตส่าห์เว้นวรรคหลายวัน เพราะไม่อยากให้เรื่องที่อ่านต่อจาก Kiss of Snow ต้องปีนกำแพงสูงไป แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็เข็นไม่ขึ้นจริงๆ เล่มใหม่ของ Julia Quinn นี้เป็นเล่มเปิดตัวซีรีส์ใหม่ที่มีตัวเอกมาจากตระกูลสมิธ-สมิธ เป็นชื่อที่ได้ยินบ่อยๆ จากนิยายเรื่องก่อนๆ ของเธอ กับงานแสดงดนตรีประจำปีที่ทรมานรูหูเหล่าตัวละคร ตอนสมัยที่อ่านเรื่องชุด Bridgerton เราเคยอยากให้เจ้าสาวของเกรกอรีเป็นเด็กบ้านนี้สักคน กะว่าคนที่เล่นเชลโลนั่นแหละ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สมหวัง เรื่องของเกรกอรีออกมาห่วยมาก ผ่านมาหลายปี ในที่สุด สาวๆ นักดนตรีสมิธ-สมิธ ก็ได้บทเด่นแยกเป็นซีรีส์ของตัวเองเลย

เลดี้ออนเนอเรีย สมิธ-สมิธ รู้จักสนิทสนมกับมาร์คัส ฮอลรอยด์ เอิร์ลแห่งแชตเทอริส มาตั้งแต่เด็ก เพราะมาร์คัสเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายออนเนอเรีย และเป็นแขกมาพักที่บ้านบ่อยๆ แต่เมื่อโตขึ้น หลังจากพี่ชายเกิดเหตุต้องหลบไปอยู่ต่างประเทศ เลยห่างกันไป แต่มาร์คัสก็ยังแอบดูแลอยู่ห่างๆ

เตือนสปอยล์

เริ่มต้นก็ยังโอเคอยู่ ตลกดีเหมือนกัน ทั้งพระเอกนางเอก นิสัยดี สบายๆ ไม่ใช่คนมีปมหลังฝังลึกอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีเนื้อใน แต่พอถึงเนื้อเรื่องตอนที่พระเอกไม่สบาย เรื่องก็เริ่มกร่อย มันอืดและก็เยิ่นเย้อมากเลย เสียเวลากับช่วงนี้ไปเกือบครึ่งเล่ม ก็รู้อยู่หรอกว่า JQ เคยเรียนหมอ แต่เราว่า จำนวนหน้าที่บรรยายฉากการผ่าตัดแผลสมัยโบราณในเรื่องนี้ มันยาวเกินความจำเป็นสำหรับนิยายโรแมนซ์นะ แล้วสาเหตุที่เกือบตายมาจากเรื่องที่ฟังแล้วโง่ๆ ยังไงไม่รู้ ทำให้ปล่อยใจกับเนื้อเรื่องลำบาก พระเอกสะดุดตกหลุมพรางที่นางเอกขุด (ความหมายตรงตัวไม่ได้เล่นคำ) จนข้อเท้าแพลง ขาโดนมีดบาดตอนตัดรองเท้าออก แผลติดเชื้อเลยเกือบตาย ถ้าตายขึ้นมาจริง ก็คงเป็นพระเอกที่ตายอนาถที่สุดในประวัติศาสตร์นิยายโรแมนซ์ ตายเพราะเดินตกหลุม เฮ้อ บ่นนิยายแล้วก็ต้องบ่นตัวเอง คิดมากเดี๋ยวฉี่เหลืองนะ

เรื่องของ JQ มีหลายเรื่องมากที่ตัวเอกเป็นคนที่รู้จักกันดีมาก่อน ความรักค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากมิตรภาพ แต่เราก็อยากให้เธอเขียนเรื่องรักแรกพบที่น่าประทับใจ แบบเรื่องของเบเนดิกต์+โซฟี อีกทีบ้าง แล้วไม่เอาแบบหลงรักที่ต้นคอบ้าๆ นั่นด้วย เรื่องนี้เราไม่รู้สึกถึงสปาร์กของตัวละครเลย อ่านไปตั้งนาน คุยกันแบบพี่ชายน้องสาว แบบเพื่อนมาก จนครั้งแรกที่พระเอกเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาว่ารักนางเอก เหลือบตาลงไปมองที่มุมหน้าจอ Kindle มันอยู่ที่ 64% ของเรื่องแล้ว

เวลาที่เหลือก็กลายเป็นฉากเตรียมงานแสดงดนตรี สี่สาวลูกพี่ลูกน้องสมิธ-สมิธ คุยกันตลกน่ารักดี แต่ไหนล่ะพระเอก พอมาถึงในงานซึ่งเป็นเหตุการณ์เดียวกับใน Romancing Mister Bridgerton เราได้เห็นคอลิน เห็นเพนเนโลปี เห็นเลดี้แดนเบอรี ตอนแรกก็ดีใจขึ้นมาหน่อยที่ได้เจอตัวละครที่คิดถึง แต่ออกมาก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ใครไม่เคยอ่านมาก่อนก็อาจจะไม่สังเกตไม่สนใจด้วยซ้ำว่านี่เป็นใคร น่าผิดหวัง แล้วเลิฟซีนนั่นมายังไง เหมือน JQ ตกใจว่า เรื่องมาถึง 90% แล้ว ทั้งคู่ยังไม่มีอะไรกันเลย พระเอกก็ลากนางเอกเข้าหลังงานเลี้ยงดื้อๆ อะไรกันเนี่ย!?

นึกว่า JQ จะเริ่มกลับมาแล้วซะอีก ถึงเวลารึยังที่เราต้องตัดใจจากเธอจริงๆ ซะที แต่มันก็ทำใจไม่ได้ง่ายๆ ถ้าอ่านมาแค่ 1-2 เล่ม มันก็เบรกง่าย แต่นี่เคยตามอ่านกันมาตลอด

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Kiss of Snow - Nalini Singh

คะแนน : 8.75

เมื่อวานว่าจะมาเขียนบล็อกถึงเรื่องนี้ ปรากฏว่า หลังจากอยู่ทำงานทั้งวันได้ด้วยกาแฟสามเวลา พอกลับมาก็ไม่เอาอะไรแล้ว นอนยาว 12 ชั่วโมง ทดแทนคืนก่อนที่อดนอนครึ่งคืนอ่านเล่มนี้ แต่มันก็คุ้มจริงๆ เลยนะ อารมณ์ดีมีความสุขทั้งวันจนมาถึงตอนนี้เลย

เข้าเรื่อง จะเริ่มพูดจากตรงไหนก่อนดีล่ะ ยินดีด้วยกับสมาชิกใหม่ตัวน้อยของซีรีส์แล้วกัน ซาช่าคลอดแล้วจ้า เป็นฉากคลอดที่โกลาหลอลหม่าน ตลกวุ่นวายดี แล้วก็ทำให้เห็นสายสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครในเรื่องชัดดี อยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ ประทับใจ

Kiss of Snow เป็นเล่ม 10 ในซีรีส์ Psy-Changeling ทั้งที่เราเพิ่งเริ่มอ่านเรื่องชุดนี้แค่ปีเดียวเอง แต่เรารู้สึกว่า เรารออ่านเรื่องนี้มาน้านนาน เรื่องของฮอว์ค เพราะเป็นตัวละครที่ชอบมากตั้งแต่เล่มหนึ่งเลย และยิ่งอยากอ่านแบบยกกำลังสอง เพราะมันเป็นเรื่องของเซียนน่าด้วย ตัวละครโปรดอีกหนึ่งคน

ปรกติ เราไม่ชอบเรื่องที่พระเอกนางเอกมีอายุห่างกันเยอะนะ ห่างเกินสิบปี จะรู้สึกว่าพระเอกแก่อ่ะ ไม่ชอบ หลอกเด็ก มียกเว้นอยู่ไม่กี่เรื่องเองที่พระเอกอายุมากกว่าเยอะแล้วเราชอบ แต่สำหรับเรื่องนี้ เพราะเราชอบฮอว์คอยู่แล้ว และเราก็ถูกชะตาเซียนน่าตั้งแต่แรก แรกๆ ก็คงไม่ได้มองว่าสองคนนี้จะเป็นคู่หรอก แต่พอครั้งแรกที่อ่านเจอว่า เซียนน่าเป็นคนที่ทำให้ฮอว์คนอตหลุดฟิวส์ขาดได้เร็วที่สุด ก็เริ่มเอ๊ะ ยังไง พอเห็นชัดว่า เซียนน่าแอบปลื้มฮอว์คอยู่ เราก็เชียร์ทันที แบบว่า เราชอบเด็กที่รักจริง แอบรักเฝ้ารอตั้งหลายปี อยากให้สมหวัง ตอนไปแว้บๆ กับคิทนิดนึง ก็จ๋อยไปหน่อย แต่ไม่เป็นไรทำใจ เด็กคู่เด็กอาจจะเหมาะกว่า พอเล่มที่แล้ว ชัวร์ล่ะว่าคู่นี้ไม่แคล้วกันแน่ ก็ดีใจมากเลย ลุ้นมาตั้งหลายเล่ม สำเร็จ เชียร์ขึ้น

ฮอว์คเป็นคนที่โดดเด่นมาก ราศีอัลฟ่าจับตา ทั้งเก่ง ทั้งเท่ ตอนล้อซาช่าก็น่ารักสุดๆ (เอ่อ หน้าปกฉบับภาษาอังกฤษน่าเกลียดมาก โชว์แต่กล้าม ไม่ใช่ฮอว์คในจินตนาการของเราเลย) ในเล่มนี้ เราก็ได้ใกล้ชิดฮอว์คมากขึ้น แต่ก็ไม่ต่างจากภาพที่ผ่านมาเท่าไหร่ แต่เซียนน่านี่สิ จากเล่มก่อนๆ ที่ยังรู้สึกว่าเป็นเด็กๆ วัยรุ่น เล่มนี้เราจะได้เห็นว่า เธอเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ไม่นับความสามารถของ X-Psy ระดับคาร์ดินัล พลังสุดยอด โรงงานปรมาณูเดินได้ดีๆ นี่เอง เก่งที่สุดในเรื่องแล้วมั้ง อ่านแล้วทั้งปลื้มทั้งภูมิใจ (แบบประมาณเหมือนเห็นเด็กสร้าง นักเตะเยาวชนเลื่อนขึ้นชุดใหญ่ เจอร์ราร์ดตอนแรกหัวเกรียนเปลี่ยนตัวลงมารับใบแดง แต่ก็เห็นแววรุ่ง ไม่กี่ปีพัฒนามาเป็นกัปตันพาทีมรับถ้วย)

แล้วสองคนที่ชอบทั้งคู่ แยกกันอยู่ก็รักอยู่แล้ว มาเข้าคู่กันมันก็เยี่ยมที่สุดเลย ความรักความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ไม่ทำให้เราตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อยว่า พระเอกหัวงู อายุที่ต่างกัน ฮอว์คนี่ประมาณ 30 กลางๆ เซียนน่า 19 ย่าง 20 ปี แต่เหมือนทั้งคู่เสมอกันมาก อายุที่น้อยกว่า ไม่ได้ทำให้เธอด้อยกว่า แบบตอนที่ฮอว์คถามว่า "You sure you want to play with the wolf, baby?" แล้วเซียนน่าตอบกลับว่า "Sure you're ready to handle an X, wolf?" ฮ่าฮ่า สมกันจริงๆ

เรื่องอ่านสนุกตั้งแต่แรกเลย แล้วเวลาอ่านๆ ไป ก็จะเจอพวกประโยคที่ Nalini Singh เอามาเป็น teaser ยั่วน้ำลายให้อ่านบนเว็บทีละหน่อยทุกๆ วันก่อนหนังสือใกล้ออก พออ่านเจอในเรื่องก็จะกรี๊ด เป็นอย่างนี้นี่เอง

เตือนสปอยล์เนื้อหาต่อจากนี้


When Beauty Tamed the Beast - Eloisa James

คะแนน : 7.75

เรื่องนี้ชอบพระเอกและนางเอกตั้งแต่แรกเลย ตลกน่ารักดีทั้งคู่ อ่านสนุกตั้งแต่เริ่มเรื่อง ยิ่งพระเอกนางเอกมาเจอกันแล้วก็ยิ่งสนุก เวลาคุยกันมีจิก กัด ยั่ว แหย่ ให้ได้หัวเราะพรืดเกือบทุกบทเลย การอ่านเรื่องของคนที่ฉลาด มีเสน่ห์ มีอารมณ์ขัน สองคนจีบกัน มันก็เพลินจริงๆ

แต่พอเข้าช่วงที่มีประเด็นขัดแย้งกัน คำพูดพระเอกนี่เราว่าแรงไปนะ ถึงจะปากร้ายสมกับฉายาว่าบีสต์ก็เถอะ แต่ฟังแล้วโกรธแทนนางเอกค่ะ จะทำตัวงี่เง่าไม่กล้ารักเขา จะตัดเขา ก็พูดดีๆ ก็ได้ แบบนี้ดูถูกกันเกินไป อ่านถึงตรงนี้แล้ว เราหมายหัวพระเอกไว้เลยว่า นายต้องง้อนานหน่อยล่ะ ฉันถึงจะยอมยกโทษให้ แต่ปรากฏว่า รอดตัวง่ายไปค่ะ ถ้าพระเอกงี่เง่าแล้วได้บทเรียนแบบจัดหนัก เราจะไม่ติดใจ ถ้ารู้สึกว่าเขาชดใช้ได้ความทุกข์ทรมานตอนที่แยกกันอย่างสาสมแล้ว แต่ในเรื่อง พระเอกมัวแต่รับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ จนแทบไม่มีเวลาเศร้าเสียใจ พอนางเอกปฏิเสธเขาบ้าง ก็ดันไม่ค่อยมีบทบรรยายความทุกข์ใจของเขาเลย เลยรู้สึกว่ามันยังไม่หนำใจ

เรื่องนี้อาจจะโชคร้ายที่เราเอามาอ่านตอนจังหวะไม่ดีค่ะ เพราะว่าพออ่านถึงช่วงท้ายตอนเฝ้าไข้กัน เรื่อง Kiss of Snow ก็มาพอดี สมาธิแตกกระเจิง เลยเจออ่านแบบเร่งสปีดเอาให้จบ เพราะใจมันไปเรื่องโน้นแล้ว

The Throne of Fire (Kane Chronicles #2) - Rick Riordan

คะแนน : 7.5

เล่มนี้เป็นเรื่องของ Rick Riordan เล่มแรกที่อ่านแล้วรู้สึกว่ามีช่วงที่ตัวเองเบื่อ ในด้านเนื้อเรื่องมันก็ยังอ่านสนุกอยู่ มีการผจญภัย มีการต่อสู้ด้วยเวทมนตร์คาถากับการใช้พลังเทพแปลงร่าง มีเนื้อเรื่องประเด็นของการฟื้นอำนาจมืดของเทพอโพฟิส การพยายามปลุกชีพเทพเรมาต่อกร แต่จุดที่ทำให้รู้สึกสะดุดคือตัวละคร เล่มนี้ทำตัวน่ารำคาญกันหลายคนเลย

โฮรัสที่เราชอบเพราะดูรั่วๆ ฮาๆ ดีเวลาคุยกับคาร์เตอร์ เล่มนี้เก๊กขึ้นมาซะทำให้ไม่ปลื้มเลย บทน้อยด้วย บาสต์ก็หายไปซะนาน เทพตัวใหม่ที่เด่นเล่มนี้ก็เฉยๆ และตัวละครสำคัญที่สุดในเรื่องอย่างคาร์เตอร์ก็ดร็อปลงไป ที่จริงในระหว่างตัวเอกสองคน คาร์เตอร์ก็ดูด้อยกว่าแซดี้อยู่แล้ว เพราะแซดี้จี๊ดกว่า แต่เล่มนี้คาร์เตอร์ทำตัวน่ารำคาญมากๆ ตอนกลางเรื่อง ตอนที่เขาพร่ำเพ้อเรื่องเซีย

ตามธรรมดาเวลาอ่านเรื่อง YA ก็ไม่ติดใจอะไรถ้าพระเอกนางเอกจะมีโรแมนติกบ้าง ปิ๊งปั๊งกันนิดหน่อย puppy love ก็ถือว่าเป็นสีสันของเรื่องให้อ่านสนุก แต่คาร์เตอร์ นายอายุ 14 อย่ามาคร่ำครวญจะเป็นจะตายเพราะเรื่องความรักให้มันมากไปนัก กำลังต่อสู้โดยมีชะตากรรมของโลกเป็นเดิมพันอยู่เชียวนะ แต่นายทิ้งทุกอย่างเพื่อวิ่งไปช่วยหญิง โฟกัสหน่อยเดะว้า เจอบทนั้นบทเดียวทำเอาหยุดอ่านไปวันหนึ่งเลย รู้สึกเหมือนกำลังคบเด็กสร้างบ้าน เล่มนี้ผู้เขียนแต่งเอาใจกระแสสุดๆ มีตัวละครใหม่มาให้มีประเด็นรักสามเส้ากับแซดี้ (ซึ่งเพิ่งฉลองวันเกิดอายุ 13 ในเล่มนี้) จะให้มีทีมอนูบิส กับทีมวอลท์ ขึ้นมาใช่มั้ย

เล่มนี้เป็นการตอกย้ำอีกครั้งถึงความสำคัญของตัวละคร ทั้งๆ ที่การดำเนินเรื่องมันก็สไตล์เดียวกันแท้ๆ แต่พอตัวละครเริ่มไม่ได้ดั่งใจปุ๊บ อารมณ์ก็เปลี่ยนเลย ในพระเอกสามคน เพอร์ซีย์จะมีบุคลิกลงตัวที่สุด ค่าสเตตัสต่างๆ อยู่ในระดับดีหมด พลังความสามารถ ไหวพริบ นิสัย บุคลิก เป็นแบบฉบับพระเอกที่เด็กกำลังชอบ พอมาเป็นเจสัน ก็เอาเพอร์ซีย์มาเป็นแบบแล้วตัดโน่นเติมนี่ เพื่อไม่ให้ซ้ำ ก็จะดูเครียดขึ้น ตลกน้อยลง แต่คาร์เตอร์นี่ ห่วยเลย ยังไงโดยรวมเรื่องยังอ่านสนุกอยู่ ตอนท้ายลุ้นดีมาก เวลาอ่านซีรีส์นี้ต่อ คงต้องทำใจเรื่องตัวละครเด็กๆ หน่อยแล้วกัน