วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Cotillion - Georgette Heyer

คะแนน : 9
จริงๆ ยังไล่อ่าน Georgette Heyer ไม่หมดเลย ที่กะจะอ่านเรื่องต่อไปคือ An Infamous Army แต่เพราะความที่เขาว่า นางเอกเรื่องนี้เป็นแบดเกิร์ลคนเดียวของ Heyer ทำให้ ว่าจะ ว่าจะ มานาน แต่ก็ยังไม่อยากอ่านอยู่ดี ตอนนี้ต้องอ่านอะไรที่ทำให้อารมณ์ดี ในที่สุดก็มาลงเรื่องนี้แทน Cotillion เป็นเรื่องของ Heyer ที่เราชอบที่สุด ชนะ Faro's Daughter นิดนึง อ่านมาสองปีนี่เป็นรอบที่ 4 แล้ว

เรื่องมันเริ่มมาจากการที่มิสเตอร์เพนนิควิก มหาเศรษฐีขี้เหนียวผู้ไม่เคยแต่งงานไม่มีทายาท เรียกตัวพวกหลานชายของเขามาที่บ้านในชนบท เพราะเขาตกลงใจจะทำพินัยกรรม ยกสมบัติให้สาวกำพร้าที่เป็นเด็กในอุปการะของเขา แคทเธอรีน ชาร์ลิง โดยมีเงื่อนไขว่า เธอต้องแต่งงานกับหนึ่งในบรรดาหลานชาย ถ้าไม่เช่นนั้น ก็จะยกสมบัติทั้งหมดให้การกุศลแทน สมบัติมหาศาลมากปีละ 20,000 ปอนด์ ขนาดมิสเตอร์ดาร์ซี Pride and Prejudice ที่มีรายได้ปีละ 10,000 ปอนด์ก็นับว่ารวยมากแล้ว เจตนาที่แท้จริงคือ เขาต้องการบีบให้แจ็ค เวสรูเธอร์ หลานชายคนโปรด แต่งงานกับคิตตี้ แต่แจ็คกลับรู้ทันและไม่ยอมมา เพราะคิดว่ายังไงเสีย คิตตี้ซึ่งแอบชอบเขาอยู่ก็คงไม่ยอมแต่งงานกับคนอื่น

แล้วเราก็ได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเท้าเข้ามา เขาตัวไม่สูง ไม่หล่อ ไม่เท่ แต่การแต่งกายวิจิตรบรรจงเลิศหรูมาก Heyer เขียนบรรยายการแต่งตัวของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้ายาวเต็มหน้า เขาคือ มิสเตอร์เฟรดเดอริก สแตนเดน เฟรดดี้เป็นหนึ่งในหลานชาย แต่เขามาสายและยังไม่รู้สาเหตุที่ถูกเรียกตัวมา คิตตี้ที่กำลังเจ็บใจแจ็คก็เลยวางแผนขอให้เฟรดดี้ช่วยรับเป็นคู่หมั้นกำมะลอ แล้วพาเธอไปลอนดอน เจตนาในใจเธอที่ไม่ยอมบอกเขาก็คือ นี่เป็นแผนเพื่อจะยั่วแจ็คให้สำนึก เฟรดดี้ซึ่งออกจะเคร่งครัดเรื่องขนบธรรมเนียมก็ปฏิเสธก่อน ฉากนี้น่ารักมาก คิตตี้นี่คงไม่มีใครสอน เพราะถูกเลี้ยงดูอย่างจำกัด แต่เขาว่าผู้หญิงมีมารยาร้อยเล่มเกวียน คิตตี้ก็หยิบมาใช้ตรงนี้เล่มเกวียนสองเล่มเกวียนจะเป็นไร บีบน้ำตาจนเฟรดดี้ใจอ่อนยอมตามแผน แล้วทั้งสองก็เดินทางมาลอนดอน

เนื้อเรื่องอ่านสนุกเบาสมอง แต่ที่ทำให้เราชอบเรื่องนี้ที่สุดคือตัวละคร พระเอกนางเอกเรื่องนี้น่ารักมาก เฟรดดี้คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของพระเอกแบบเบต้า เขาแตกต่างจากพระเอกโรแมนซ์ทั่วไปมาก ตอนอ่านครั้งแรกฉากที่เขาปรากฏตัว เราไม่รู้ว่านี่คือพระเอก ก็ท่านเฟรดดี้เล่นเดินเข้ามาปุ๊บก็ส่องกระจกก่อน พอเห็นคอปกเสื้อยังตั้ง ผ้าผูกคอไม่ยับ ก็คลายวิตก เราก็เอ๊ะ นึกในใจว่า หมอนี่เกย์รึเปล่าวะ แล้วดูเฟรดดี้เก่งแต่ละอย่าง เต้นรำเก่ง กิริยามารยาทการโค้งไม่มีที่ติ เซ้นส์เรื่องแฟชั่นสุดเนี้ยบ จะไม่ให้เราสงสัยได้ไง แต่ยกประโยชน์ให้ถือว่าเป็นค่านิยมสมัยนั้นแล้วกัน 55 ไม่งั้นเดี๋ยวจะฝันสลาย ขำตอนถูกคิตตี้กับญาติอีกคนดึงชายแขนเสื้อ ก็หันมาดุ บอกว่า นี่เสื้อโค้ตตัวใหม่ใส่ครั้งแรกนะ เฟรดดี้ไม่ซ่า ไม่ห้าว เป็นผู้ชายเรียบๆ ธรรมดา พวกญาติๆ คิดกันว่าโง่ด้วยซ้ำ แต่เฟรดดี้เป็นคนจิตใจดีมาก และถึงเขาจะไม่ใช่คนฉลาดแบบคงแก่เรียน หรือมีคารมคมคายไหวพริบปฏิภาณเฉียบแหลมอะไร แต่เฟรดดี้ก็รอบคอบ มีสามัญสำนึกดี รู้ทันคน และแก้ไขสถานการณ์ได้เก่งมาก

ส่วนคิตตี้ที่ตอนแรกจะทำตัวเด็ก แต่พอมาลอนดอนปุ๊บ คิตตี้ก็เริ่มสำนึกทันที และก็เป็นนางเอกที่น่ารักมากๆ อีกคน คิตตี้ค่อยๆ เรียนรู้ว่า ผู้ชายแบบพระเอกอัศวินในนิยายนั้น ที่จริงแล้วสู้ผู้ชายดีๆ ในชีวิตจริงไม่ได้ ส่วนแจ็ค หล่อ เท่ เสเพล ถึงจะนิสัยไม่ดี และผยองไปหน่อย แต่ตัวละครแบบเขานี่แหละ ที่เป็นพระเอกในนิยายโรแมนซ์เรื่องอื่นอีกร้อยเรื่อง นานๆ ทีจะได้เห็นคนดีชนะพวกเสเพลบอยมั่ง และฝีมือระดับปรมาจารย์นี่ ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่า นางเอกรักพระเอกเพราะแค่ความเป็นคนดีเฉยๆ แต่รักเพราะรักจริงๆ เพราะอ่านแล้วจะรู้สึกว่าเฟรดดี้เท่มาก พอเทียบกันแล้วเฟรดดี้ชนะแจ็คทุกประตูเลย กรี๊ดกับท่านเฟรดดี้จริงๆ ตัวละครประกอบอื่นก็ดีทุกคน ครอบครัวของเฟรดดี้ น่ารักทั้งบ้าน พ่อเฟรดดี้เป็นคนฉลาด ชอบฉากที่เฟรดดี้คุยกับพ่อมากๆ เลย

ตอนอ่านจบหน้าสุดท้ายนี่แทบยังไม่อยากให้จบเลย อยากให้มีฉากเซอร์วิสคนอ่านหวานๆ นานกว่านี้อีกหน่อย ความรู้สึกเหมือนได้กินของอร่อยมาก แต่มีน้อย พอหมดคำสุดท้ายแล้ว ก็ทิ้งให้เราโหยหาอยากกินอะไรรสชาติอย่างนี้อีก

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปฏิกิริยาสะท้อนกลับจาก VA

ตอนอ่าน Vampire Academy จบนี่เราเซ็งจริงๆ นะ ทำเอาขี้เกียจเขียนบล็อกเลย ตอนที่หยุดเขียนไปค่อนปีก็เริ่มจากอารมณ์แบบนี้ล่ะ เซ็งกับนิยาย เลยหนีไปอ่าน non-fic สองเล่ม "ลวดลายสีสัน มหัศจรรย์วิวัฒนาการชีวิต" กับ "นวัตกรรมนาโน จากทฤษฎีสู่ชีวิตจริง" เรื่องนาโนเทคนี่อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกค่ะ แต่ชอบอ่าน อ่านอะไรที่ไม่เคยรู้ก็สนุกดี ปลุกจินตนาการ

กลับมาอ่าน fic ต่อ พออ่านเรื่องที่มันไม่ได้ดั่งใจนี่ ต้องรีบแก้อารมณ์ด้วยการอ่านเรื่องที่ชอบ แล้วจะหาเรื่องใหม่ก็ยังไม่ไว้ใจ เชื่อตัวเองที่สุด เอาเรื่องที่เราชอบกลับมาอ่านใหม่ดีกว่า เราต้องการเรื่องที่มันตรงข้ามกับ Vampire Academy ที่สุด ไม่อยากให้พลังงานด้านลบอยู่กับตัวนาน ไล่มา 3 เรื่อง
  • ข้างๆ บ้านน่ะตัวแสบเลย - Nakaji Yuki เพราะเรากำลังต้องการความใสซื่อบริสุทธิ์ที่ทุกคนในเรื่องเป็นคนดี นาคาจิ ยูกิ เป็นนักเขียนการ์ตูนที่แต่งเรื่องแบบมองโลกในแง่ดีมากเลยทุกเรื่อง นี่คือเรื่องที่เราชอบที่สุดของเธอ อ่านเกิน 10 รอบแล้วล่ะ
  • The End of Eternity - Isaac Asimov จากแวมไพร์ไสยศาสตร์ ต้องมาไซไฟวิทยาศาสตร์มั่ง จุดดับแห่งนิรันดร์เป็นเรื่องที่เราชอบที่สุด ชอบมากกว่าชุดสถาบันสถาปนากับชุดหุ่นยนต์ซะอีก เพราะนอกจากเรื่องราว Time-Paradox ที่สนุกมากแล้ว เล่มนี้มีเรื่องความรักที่เราประทับใจด้วย
  • Cotillion - Georgette Heyer อยากได้อารมณ์ละเมียดละไมในการอ่าน ต้องย้อนไปอ่านเรื่องของนักเขียนยุคเก่าก่อนเราเกิดมั่ง

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Blood Promise & Spirit Bound - Richelle Mead

Blood Promise (Vampire Academy #4)
คะแนน : 8

- เนื้อเรื่องหลักคือ โรสออกเดินทางมาต่างประเทศเพื่อภารกิจไล่ตามคนที่ไม่ควรเอ่ยชื่อ เพราะอาจสปอยล์มากไป
- เปิดเรื่องมาได้น่าสนใจเพราะได้มาอยู่ในสถานที่ใหม่ เจอตัวละครใหม่ๆ เราชอบซิดนีย์ อนาถใจวิคตอเรีย และเราเดาว่าเอ๊บเป็นใครถูกตั้งแต่แรก
- ในครึ่งเล่มแรกนี้ตลกดีที่โรสนึกถึงความหลังกับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร เยอะกว่าบทจริงๆ ของเจ้าตัวสามเล่มแรกรวมกันซะอีก
- การที่โรสรับรู้เรื่องลิซซาได้ ก็สะดวกดี ทำให้ถึงตัวไกลกัน ก็ยังเล่าเรื่องฝั่งโรงเรียนไปพร้อมกันได้ ถึงบางทีจะรู้สึกว่ามันเป็นเครื่องมือการเล่าเรื่องที่มักง่ายไปหน่อย
- ตอนที่โรสถูกกักตัวอยู่ในคฤหาสน์กลางเรื่อง เยิ่นเย้อไปหน่อย
- ฉากการไล่ล่าท้ายเรื่องโคตรมันส์เลย อย่างกับดูหนัง Terminator หนียังไงก็ไม่พ้นซะที สนุกมาก
- เล่มนี้อ่านแล้วรู้สึกว่า ที่เราอดทนอ่านเรื่องแวมไพร์ทั้งที่ไม่ค่อยชอบ ในที่สุดก็ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า

Spirit Bound (Vampire Academy #5)
คะแนน : 6

ในที่สุดเราก็หมดความอดทนกับโรสนะ เป็นผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวสุดๆ ไม่รู้จะพูดถึงเล่มนี้ต่อยังไง ถึงจะพยายามกำกวมแค่ไหนก็คงสปอยล์อยู่ดี


ครึ่งเล่มแรกของเล่มนี้ เราก็ยังสนุกอยู่เพราะผลที่ค้างมาจากเล่มที่แล้ว และตอนที่ไปแหกคุกก็สนุกดี แต่เราก็ข้องใจนิดๆ แล้วว่า โรสไม่ควรมาคบกับเอเดรียนทั้งที่ยังเคลียร์เรื่องเก่าไม่เรียบร้อย และถึงเราจะชอบเอเดรียน แต่เราไม่อยากให้เขาคู่กับโรส เพราะรู้สึกว่าเขาน่าจะดีเกินกว่าเธอ จนในที่สุดพอชัดเจนแน่แล้วว่า ยังไงเธอก็ตัดใจไม่ได้ เราก็รู้สึกแย่กับโรสมากๆ เธอใช้ประโยชน์จากผู้ชายที่มาชอบเธอสองคนแล้วนะ แต่เอเดรียนก็โง่เองด้วยเหมือนกันที่ตาบอดมาหลงผู้หญิงอย่างนี้ สองเล่มที่แล้วเรานึกว่าเธอจะเป็นคนดีขึ้นแล้วซะอีก ในที่สุดก็เห็นชัดว่ามันไม่ใช่เลย และจุดที่ทำให้เรารับเธอไม่ได้อีกต่อไปก็คือ ตอนที่เธอลังเลใจปล่อยให้ดมิทรีรอดไปได้ เธอแทบไม่ได้รู้สึกผิดที่ทำให้ชีวิตคนบริสุทธิ์มากมายต้องตายเลย ถูกเพื่อนต่อว่าก็จ๋อยไปนิดนึง แต่ไม่ได้สำนึกเลย

ตอนกลางเรื่องที่ดมิทรีคืนกลับมา ปฏิกิริยาของเขาที่มีต่อโรสตอนแรก ทำให้เราหัวเราะเลย สองคนนี้เหมาะสมกันแล้ว เหมือนผีเน่าคู่กับโรงผุ เรารู้สึกสมน้ำหน้าโรสมากๆ และเกลียดดมิทรีไปพร้อมๆ กัน ผู้ชายอ่อนแองี่เง่า เป็นพระเอกนางเอกที่ห่วยแตกทั้งคู่ หลังจากนั้นเราก็อ่านไม่สนุกอีกต่อไป ไม่แคร์อะไรกับเจ้าพวกนี้แล้ว ตัวละครเรื่องนี้ไม่มีใครน่าชื่นชมเลย ถ้าเก่งก็เลว ถ้าดีก็โง่ อ่านไปให้จบๆ เท่านั้นเอง

โรสเป็นคนที่เห็นแก่ตัวสุดๆ และไม่เคยนึกถึงใจคนอื่นเลย สิ่งที่เธอทำให้เจ้าหญิงลิซซาสำหรับเราไม่ถือเป็นการทำเพื่อคนอื่น เพราะโรสถือว่าลิซซาคือคนของเธอ ผู้ชายคนที่เธอรักก็ของเธอ เสียสละให้สองคนนี้ก็เหมือนทำเพื่อตัวเองอยู่ดี คนอื่นที่เธอไม่นับเป็นของเธอ โรสก็ไม่เคยแยแสว่าการกระทำของเธอจะส่งผลกระทบกับพวกเขายังไง เป็นคนที่ขาดจิตสำนึกถึงผู้อื่นอย่างรุนแรง

และที่เราขัดใจสุดๆ คืออะไรรู้มั้ยคะ ก็เพราะพออ่านจบเรามาอ่านรีวิว ท่าทางแฟนๆ หนังสือที่ชอบเรื่องนี้ ที่ส่วนใหญ่ก็คงเป็นวัยรุ่นแหละ ดูจะไม่ค่อยมีใครติดใจกับนิสัยเสียของโรสเลย บางทีมันก็รู้สึกเศร้าใจ สมัยนี้ความคิดกับพฤติกรรมนางเอกแบบนี้มันปกติธรรมดาแล้วใช่มั้ย ไม่มีใครถือสาหรือมองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อีกต่อไป

Last Sacrifice (Vampire Academy #6)
คะแนน : ??

เสียความรู้สึกจากเล่มที่แล้ว หมดอารมณ์อ่านเล่มนี้ เปิดตอนจบก่อนเลย แล้วค่อยย้อนมาอ่านตอนต้นแบบเร็วๆ จนถึงเล่มสุดท้ายเราก็ยังไม่ค่อยชอบโลกและสังคมแวมไพร์ในเรื่องชุดนี้เท่าไหร่ เนื้อเรื่องเล่มจบไม่ได้แย่อะไร ก็เรื่อยๆ ธรรมดา แต่คงใช้ความรู้สึกเราเป็นมาตรวัดไม่ได้ เพราะเราไม่ชอบหน้าโรสซะจนไม่สามารถปล่อยใจให้สนุกกับเนื้อเรื่องได้อีกแล้ว ให้คะแนนเล่มนี้ไม่ได้เพราะไม่ไว้ใจอคติของตัวเอง อ่านจบแล้วเซ็ง ขี้เกียจพูดถึงมาก ยังดีนะนี่ที่ซีรีส์นี้อ่านรวดเดียวตอนออกมาจนจบแล้ว ยังไงก็ไม่ได้เสียเวลาติดตามนาน

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Frostbite & Shadow Kiss - Richelle Mead

Frostbite (Vampire Academy #2)
คะแนน : 7.5

เล่มแรกมันเหมือนอ่านเรื่องเด็กนักเรียนทะเลาะกันซะเยอะ เล่มนี้สนุกขึ้น เริ่มเรื่องก็มีเรื่องตื่นเต้นแล้ว ครึ่งเล่มแรกมีตัวละครใหม่ๆ มา และเปลี่ยนบรรยากาศออกนอกโรงเรียนบ้าง ก็สนุกดี แต่ยังประหลาดๆ กับวัฒนธรรมแวมไพร์ในเรื่องอยู่บ้าง ทำไมพวกแดมเพียร์ยอมรับชะตากรรมที่ต้องเป็นองครักษ์ง่ายจัง ไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกกดขี่บ้างเหรอ เหตุผลเรื่องตัวเองสืบทอดเผ่าพันธุ์เองไม่ได้ฟังไม่ค่อยขึ้น วิถีชีวิตที่ลูกหลานไม่ค่อยมีคุณค่าไม่เห็นจะน่าปกป้อง แล้วก็พิลึกๆ กับเวลาที่โรสรับรู้ความรู้สึกของลิซซาได้ บางฉากนี่อย่างกับแฟนตาซีของ yuri แล้วพอถึงเนื้อเรื่องตอนหลังมันคงอ่านสนุกกว่านี้ ถ้าไม่รู้สึกว่า พวกเด็กๆ รนหาที่กันเอง

Shadow Kiss (Vampire Academy #3)
คะแนน : 7.5

ช่วงแรกอืดๆ นะ เนื้อเรื่องอยู่ในโรงเรียน ออกแนว Mystery หน่อยๆ โรสมองเห็นวิญญาณคนตาย มีปริศนาเล็กๆ น้อยๆ ที่เห็นพวกนักเรียนคนอื่นทำอะไรลับๆ ล่อๆ ตอนไปราชสำนักบรรยากาศแปลกดี เราชอบเอเดรียนนะ ชอบมากกว่าดมิทรีอีก แต่ดมิทรีก็โอเคแหละ อ่านไปค่อนเล่มแบบเรื่อยๆ แต่ช่วงท้ายเรื่องนี่อย่างมันส์ เป็นสงครามย่อยๆ ของพวกแวมไพร์เลย และจบเล่มแบบมีจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องเกิดขึ้น เล่มหน้าท่าทางน่าจะสนุกนะ

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Vampire Academy - Richelle Mead

คะแนน : 7

จริงๆ แล้วไม่ค่อยอยากอ่านเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะรู้สึกตัวเองไม่ถูกโฉลกกับแวมไพร์ ไม่รู้เป็นไร หัวไม่ค่อยรับเรื่องแนวนี้ อ่านหนังสือหรือดูหนังที่มีแวมไพร์ทีไร ก็เหมือนตัวเองอยู่ในโหมดสแตนด์บาย บางทีสมองชัตดาวน์ไปเลยดื้อๆ ก็มี ปกติคิดว่าตัวเองเป็นคนอ่านหนังสือหรือดูหนังเข้าใจง่ายนะ แต่จำได้ว่าดูหนังเรื่อง Underworld ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้หลับนะ แต่มันไม่เข้าใจ ใครเป็นใคร เผ่าไหนเป็นยังไง สู้กันทำไม ต้องให้คนที่ดูด้วยออกมาอธิบายให้ฟัง หนังสือแวมไพร์บางเรื่องก็อ่านไม่รอด ก็เลยแหยงๆ แต่พอดี Last Sacrifice หนังสือเล่ม 6 ที่เป็นเล่มจบของชุดนี้เพิ่งได้โหวต MTV Readers Favourite Young Adult Books of 2010 มา ก็ลองดูหน่อยก็ได้

สังคมแวมไพร์เรื่องนี้มีวัฒนธรรมแปลกๆ ไม่ค่อยเหมือนเรื่องอื่น ครึ่งเล่มแรกยังไม่มีอะไร แนะนำฉากกับตัวละคร ครึ่งเล่มหลังค่อยสนุกขึ้นหน่อย ช่วงท้ายสนุกใช้ได้ ยังออกความเห็นอะไรมากไม่ได้ นี่แค่เล่มแรก แต่ยังไม่รู้สึกอะไรพิเศษกับเรื่องนี้เลย นอกจากเหตุผลในย่อหน้าบนแล้ว ก็อาจเพราะยังไม่อินกับตัวละครมั้ง บางทีโรสกับลิซซาดูนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยังไม่ค่อยถูกชะตา

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

The Demigod Files (Percy Jackson) - Rick Riordan

คะแนน : 7

เล่มพิเศษของ Percy Jackson and the Olympians ที่ออกมาตรงช่วงรอยต่อระหว่างเล่ม หลังเล่ม 4 The Battle of the Labyrinth ก่อนเล่ม 5 ในนี้มีพวกหน้าพิเศษ ข้อมูลตัวละคร บทสัมภาษณ์ตัวละคร (แบบขำๆ) ไอเทม แผนที่ และที่สำคัญคือเรื่องสั้น 3 เรื่อง

Percy Jackson and the Stolen Chariot ตอนสั้นๆ เพอร์ซีย์ช่วยคลาริส ไปตามรถศึกของอาเรส ที่ไดมอสกับโฟบอสแกล้งขโมยไปกลับมา เรื่องนี้สั้นมากและค่อนข้างห่วย ไม่มีอะไรเลยนอกจากฉากแอกชั่น

Percy Jackson and the Bronze Dragon เรื่องนี้โอเค ฉากอยู่ในแคมป์ เจอมังกรบรอนซ์ที่จะกล่าวถึงต่อไปในภาคสอง The Lost Hero และมีบทของเบคเคนดอร์ฟกับไซเลน่าให้เรารู้จักมากขึ้น ก่อนที่สองคนนี้จะมีบทสำคัญในเล่ม 5

Percy Jackson and the Sword of Hades เรื่องสั้นนี้ดีที่สุดในเล่ม เพอร์เซปโฟนีเรียกตัว เพอร์ซีย์ เธเลีย และนิโก้ ลูกของบิ๊ก 3 ลงมายมโลก ให้ช่วยตามหาดาบของเฮเดส สนุกดี

จริงๆ ควรเอาเล่มนี้มาอ่านก่อนเล่ม 5 จะสนุกกว่านี้ และเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนเจอศึกใหญ่ในเล่ม The Last Olympian ด้วย มาอ่านตอนหลังนี่กร่อยแล้ว

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Mr. and Mrs. Bo Jo Jones - Ann Head

คะแนน : 8.5

เมื่องานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมาเดือนตุลา เห็นมีงานแปลของ ว.วินิจฉัยกุล พิมพ์ใหม่ออกมาหลายเล่ม ดูชื่อคุ้นๆ ว่าน่าจะเคยอ่านแล้วทุกเรื่อง เพราะตั้งแต่ ป.6 ที่ชอบ "แต่ปางก่อน" หลังจากนั้นเราก็ไล่อ่าน ว.วินิจฉัยกุล/แก้วเก้า/วัสสิกา ไปตั้งเยอะ แก่แดดค่ะ อ่านนิยายรักตั้งแต่เด็ก ในบรรดาเรื่องทั้งหมดที่เห็น ไม่มีเล่มไหนที่เราติดใจเป็นพิเศษ แต่แล้วโดยไม่คิดล่วงหน้ามาก่อน เราก็หลุดคำถามกับที่บูธไปว่า แล้ว "วัยเล่นไฟ" ไม่มีเหรอคะ จนถึงตอนนั้นนั่นล่ะ ที่เราเพิ่งรู้ตัวว่า ในบรรดาเรื่องแปลของ ว.วินิจฉัยกุล ทั้งหมด เราประทับใจเรื่องนั้นที่สุด และมันกระตุ้นให้เราอยากอ่านอีก พอหาภาษาไทยไม่ได้ ก็ต้อง Amazon หนังสือภาษาไทยมันหายากกว่าอังกฤษอย่างนี้แหละ กลายเป็นอ่านต้นฉบับดีกว่า หาซื้อง่ายกว่าแค่ไม่กี่คลิก ถูกกว่าด้วย อ้อ แต่เล่มนี้ถ้าภาษาไทยมีพิมพ์ใหม่ ก็จะซื้อนะ

จริงๆ หนังสือมาส่งนานแล้วเพิ่งเอามาอ่าน เพราะบางทีเราจะรู้สึกผิดว่ามีเรื่องใหม่รอให้อ่านเยอะ ทำไมไปอ่านแต่เรื่องที่เคยอ่านแล้ว เหมือนโกงโอกาสตัวเอง แต่เอาน่า อ่านเรื่องที่เรารู้แน่ว่าชอบ มันก็เป็นช่วงเวลาคุณภาพที่ให้กับตัวเองเหมือนกัน

วัยเล่นไฟ แปลมาจากเรื่อง Mr. and Mrs. Bo Jo Jones เป็นเรื่องของจูไล อายุ 16 ที่เป็นแฟนกับ โบโจ อายุ 17 ทั้งคู่เป็นเด็กนักเรียนไฮสกูลที่ดูมีอนาคตสดใส แต่คืนหนึ่งหลังงานปาร์ตี้ ด้วยอารมณ์และบรรยากาศที่พาไป ก็เป็นเหตุให้ชีวิตของทั้งคู่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล จูไลท้องก็เลยจำเป็นต้องแต่งงานกับโบโจ ต้องเลิกเรียนกลางคัน มาใช้ชีวิตคู่สามีภรรยาวัยรุ่น ที่ยังไม่รู้จะรับมือกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงและแผนอนาคตที่พลิกผันไปสิ้นเชิงยังไง

หนังสือเก่ามาก ภาษาอังกฤษพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 1968 ค่านิยมของสังคมและตัวละครในเรื่องยังค่อนข้างเป็นแบบอนุรักษ์นิยมอยู่ แต่เราว่าเนื้อเรื่องไม่ล้าสมัยเลยแม้แต่น้อย ปัญหาชีวิตของวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียน ไม่ใช่ปัญหาชีวิตของแค่สองคนหรือสามคนถ้ารวมในท้อง แต่มันลามไปถึงครอบครัวของทั้งสองฝ่าย วัยรุ่นที่ท้องก่อนวัยอันควรจะรู้สึกกลัวและสับสนยังไง พ่อแม่ที่ตั้งความหวังกับลูกจะรู้สึกผิดหวังเสียใจแค่ไหน ทั้งหมดในนิยายเล่มนี้ มันถูกนำเสนออย่างสมจริง และเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกมาก ถึงแม้จูไลจะเป็นเด็กอเมริกัน แต่สิ่งที่เธอต้องเผชิญ เราว่าไม่ผิดกับเด็กไทยหรือวัยรุ่นที่ไหนก็ตามที่ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกัน หรือต่อให้คนที่ไม่เคยเจอสถานการณ์นั้นเลย ก็ยังรู้สึกเข้าถึงมากๆ ได้ ไม่รู้ว่าจูไลกับโบโจมีตัวจริงรึเปล่า แต่ชีวิตของคนที่เหมือนจูไลกับโบโจ และตัวละครทุกคนในนี้ มีอยู่จริงแน่ๆ นับไม่ถ้วน

ตอนที่อ่านครั้งแรก ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้สนุก อ่านแล้วก็คงชอบมั้ง แต่ไม่ได้ปลาบปลื้มมากมาย แล้วก็ไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องนี้เลย แต่ก่อนเปิดอ่านรอบนี้ เราทบทวนในใจแล้วพบว่า เราจำเนื้อเรื่องในเล่มนี้ได้หมดตั้งแต่ต้นจนจบ จำตัวละครสำคัญได้ทุกคน ชื่อจริงโบโจยังจำได้ ทั้งๆ ที่อ่านมาเกิน 20 ปีแล้ว แสดงว่า ความรู้สึกที่เรามีต่อเรื่องนี้มันคงเหมือนน้ำค่อยๆ ซึมเข้ามา ตอนอ่านครั้งแรกที่รู้สึกเฉยๆ แต่ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว มันก็ยึดพื้นที่ซอกเล็กๆ ในความทรงจำของเราได้อย่างมั่นคง คิดดู ตอนอ่านใหม่รอบนี้ บางตอนนี่ยังอ่านไม่ถึง แต่เรารู้แล้วว่า พลิกหน้าถัดไปจะเจออะไร บางฉากเราแทบจะจำบทสนทนาตัวละครได้คำต่อคำ ทั้งที่เคยอ่านมารอบเดียว อย่างนี้สินะ ที่เขาเรียกประทับอยู่ในใจ ตราตรึงในความทรงจำ ทั้งที่ผ่านมาตั้งเนิ่นนาน หนังสือบางเล่มเราอ่านจบไปแค่เดือนที่แล้ว ยังอาจจะเอามาเล่าไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ

หนังสือไม่หนา แค่ 202 หน้าเท่านั้น บอกเล่าช่วงเวลาประมาณไม่ถึง 1 ปีในชีวิต ผ่านมุมมองของจูไล การเล่าเรื่องราว และการบรรยายอารมณ์ความรู้สึกของเธอ แจ่มชัดมากซะจนรู้สึกเหมือนเรารู้จักจูไลดี รวมทั้งทุกคนที่แวดล้อมตัวเธอด้วย ฉากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จูไลก็พรรณนาออกมาได้กินใจ ไม่ว่าจะเป็นตอนลูกดิ้นความรู้สึกเหมือนผีเสื้อขยับปีกในช่องท้อง ไปจนถึงตอนหัวใจสลายท้ายเรื่องก็สะเทือนอารมณ์มาก เราชอบตัวละครเรื่องนี้ จูไลกับโบโจเป็นเด็กดีทั้งคู่นะ ถึงจะพลาดไป แต่ทั้งคู่ก็มีความตั้งใจดี และเราอาจจะแอบหลงรักโบโจนิดๆ ตั้งแต่สมัยก่อนก็เป็นได้ ถึงประทับใจเรื่องนี้มาจนถึงป่านนี้ ผู้ชายที่ลงมือต่อเปลให้ลูกในท้องเอง อ้างว่าอยากประหยัดแต่ลงทุนใช้วัสดุดีๆ จนแพงกว่าซื้อหลายเท่า เรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปอย่างสมจริงมาก ผู้แต่งไม่ได้ทำให้ปัญหาชีวิตครั้งนี้เป็นเรื่องโรแมนติก ปัญหามีเยอะ บางเรื่องแก้ได้ บางเรื่องก็ต้องทำใจ แต่ก็อยากเอาใจช่วยทั้งคู่มากๆ สองคนก็ได้บทเรียนชีวิตไปเยอะ แต่ตอนสุดท้ายก็ยังรู้สึกดีที่ทั้งคู่รอดมาได้ด้วยดีพอควร ถูกใจคนที่ชอบอ่านเรื่องที่จบแฮปปี้ ทั้งที่รู้ว่าชีวิตจริงหลายคู่คงไม่โชคดีกันแบบนี้

ถึงเนื้อเรื่องเป็นเรื่องท้องก่อนแต่ง แต่เรื่องนี้ไม่มีฉากเลิฟซีนเลย ไอ้คืนแห่งชะตากรรมยังเล่าแบบคลุมเครือเลย แต่ตอนอ่านครั้งนี้ รู้สึกว่าจูไลกับโบโจเข้าห้องปิดประตูกันไปหลายทีเหมือนกันนะ ตอนที่อ่านแต่ก่อนเรายังอายุน้อยกว่านางเอกของเรื่องหลายปี เลยไม่รู้เรื่อง หรือว่าฉบับแปลไทยโดนตัดหมดกันแน่คะ แต่ยังไงก็อยากให้เรื่องนี้ถูกพิมพ์ใหม่จัง เผื่อเด็กไทยจะได้อ่านเรื่องที่เตือนสติ บางทีนิยายดีๆ อ่านแล้วสอนใจดีกว่า และเข้าถึงจริงกว่าให้พ่อแม่ครูบาอาจารย์สอนอีก

เด็กสมัยนี้มันห้ามไม่ให้มีอะไรกันไม่ไหวแล้วมั้ง สอนให้ป้องกันไม่ให้ท้องดีกว่า แต่ถ้าดันท้องขึ้นมาอีก ก็ช่วยให้เขามีทางเลือกหน่อย ไปลงโทษเหยียดหยามประณามแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ไหนๆ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เลยไปพูดต่อถึงเรื่อง 2002 ศพแล้วกัน เมื่อไหร่สังคมไทยจะเลิกปากว่าตาขยิบ ยอมให้มีการทำแท้งถูกกฎหมายซะที โอเค โดยอุดมคติก็ต้องสอนให้รักนวลสงวนตัว ทางที่ดีอย่าให้มีปัญหา แต่ถ้าปัญหามันเกิดมาแล้ว ถ้าเขาไม่พร้อมจริงๆ เขาตัดสินใจเลือกจะทำอย่างนั้น มันก็สิทธิในการดำเนินชีวิตของเขานะ ด่าว่าบาปกรรม แล้วช่วยเขาเลี้ยงมั้ยล่ะ เด็กในสถานสงเคราะห์ตั้งกี่พันคนไม่มีใครรับ การทำให้ถูก กม. ไม่ใช่การส่งเสริมหรอก ใครมันจะอยากให้เกิดปัญหา แล้วถ้าคนมันจะทำยังไงก็คงหาทางทำอยู่ดี ก็ยอมให้มีทางเลือกแบบถูกต้องไม่ดีกว่าเหรอ ดีกว่าหลบๆ ซ่อนๆ ทำแล้วเป็นอันตรายกับแม่ หรือมีศพทารกมาเป็นข่าวให้น่าอเนจอนาถกับสังคมอีก เผลอๆ ยอมให้ถูกกฎหมาย ก่อนทำมีนักจิตวิทยาให้คำปรึกษา ปัญหาอาจจะน้อยลงด้วยซ้ำ

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรื่องธรรมดาของเธอกับฉัน - Tsuda Masami

คะแนน : 7

ขอเตือนคนที่หลงเข้ามาอ่านหน้าเว็บนี้ว่า ไม่ว่าคุณจะเคยอ่านการ์ตูนเรื่องนี้หรือไม่เคยอ่าน ชอบหรือไม่ชอบเรื่องนี้ ก็อย่าอ่านต่อเลยค่ะ ปิดทิ้งไปเถอะ เพราะโพสต์นี้เราตั้งใจจะบ่น บ่น บ่น ออกแนวพร่ำเพ้อ ไม่มีสาระ ฟังแล้วจะน่ารำคาญมาก

สาเหตุเพราะความเก็บกดจากไอ้เรื่องธรรมดาของเธอกับฉันนี่ล่ะ ในที่สุดวิบูลย์กิจก็ออกมาจนจบเล่ม 21 ได้ การ์ตูนที่ตามอ่านมาเกือบสิบปี (มั้ง) ไม่แน่ใจ เพราะหาวันเดือนปีที่พิมพ์ท้ายเล่มไม่เจอ ช่วง 3-4 ปีหลังมานี้ เป็นช่วงเวลาที่เราได้แต่ความรำคาญใจจากการ์ตูนเรื่องนี้ ออกเล่มใหม่มาทีไร เราก็ได้แต่ตะโกนในใจว่าเมื่อไหร่มันจะจบซะทีเนี่ย ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะ เราเซ็งเรื่องนี้ตั้งแต่เล่มกลางๆ ประมาณเล่ม 10 เป็นต้นมา เบื่อ อ่านไปด่าไป แต่ก็ยังตามซื้ออยู่ทุกเล่ม เกลียดตัวเองอยู่เหมือนกัน ตอนเห็นเล่มจบออกมานี่แทบจะเฮ โล่งใจ หมดภาระไปอีกเรื่องแล้ว พอกันกับอินุยาฉะเลย นั่นเราเบื่อตั้งแต่เล่ม 20 กว่า ก็ยังตามซื้อจนจบ 56 เล่ม

พอดีตอนที่ซื้อเรื่องนี้ ที่โชคดีออกพร้อมกันสองเล่มรวด 20-21 จบ อยู่กับเพื่อนพอดี เราก็บ่นยังงี้ให้มันฟัง เพื่อนเรามันก็บอกว่า อ้าว ไม่สนุกแล้วซื้อต่อทำไม
เรา: ช่วยไม่ได้ว่ะแก ชั้นถลำตัวซื้อมาเกินครึ่งเรื่องแล้ว มันต้องซื้อต่อ
มัน: แกต้องรู้จัก cut losses ว่ะ เหมือนเล่นหุ้น กราฟตกดูแล้วไม่ขึ้นแน่ก็ต้องตัดใจขายทิ้งถึงจะขาดทุน
เรา: เออว่ะ แต่เผอิญชั้นไม่ใช่คนที่ตัดใจจากอะไรได้ง่ายๆ มันไม่ใช่นิสัย คิดดู ฉันรักลิเวอร์พูลมาเกิน 20 ปีตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ช้ำใจไปไม่รู้เท่าไหร่ ชั้นไม่เคยตัดใจเลิกเชียร์ได้เลย อ้าว แล้วชั้นหลุดพูดถึงเรื่องนี้ตอกย้ำตัวเองขึ้นมาทำไม กลับมาเรื่องเดิมนะ
มัน: อือ (พยักหน้าหงึกๆ ในใจมันคงว่าเราบ้า แต่คบกันนานจนไม่ถือสากันแล้ว)
เรา: เดี๋ยวชั้นจะเอาการ์ตูนเรื่องนี้ไปด่าต่อในบล็อก
มัน: เขียนๆ ไปเนี่ยมีคนเข้ามาอ่านรึเปล่า
เรา: ไม่รู้ว่ะ ไม่สนใจ เขียนให้ตัวเองอ่าน ระบายอารมณ์ สบายใจดี ถ้าเรื่องไหนชอบมาก ความรู้สึกชอบมันท่วมท้นก็อยากเขียนถึง ถ้าไม่ชอบ ได้ด่าไป มันก็ได้มีทางออกไปจากจิตใจ แล้วก็จะได้ลืมๆ มันไป

สำหรับคนที่ยังอุตส่าห์อ่านต่อมาถึงตอนนี้ ไม่รู้เพราะอะไร อาจเป็นเพราะว่า คุณใช้เวลาแค่ 30 วินาที อ่านสิ่งที่เราใช้เวลาเขียน 15 นาที เราก็จะขอเตือนอีกครั้งว่า ต่อจากนี้จะเริ่มเข้าเรื่อง พร้อมสปอยล์แหลกราญ ตั้งแต่ต้นจนจบ ขี้เกียจแปะโค้ดปิดสปอยล์แล้ว เตือนแล้วนะ

เรื่องธรรมดาของเธอกับฉัน มาจากการ์ตูนผู้หญิงในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า Kareshi Kanojo No Jijo แปลญี่ปุ่นตรงตัวว่า สถานการณ์ของแฟนหนุ่มกับแฟนสาว หรือ His and Her Circumstance ในเวอร์ชันที่ถูกซื้อไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ อันนี้ต้องชม VBK ว่า ถอดชื่อเป็นภาษาไทยได้ดีมาก (ดีกว่าเนชั่นเยอะ อย่าง "นินจาคาถาโอ้โฮเฮะ" หรือ "วัยกระเตาะ ตึ่ง ตึง ตึ๊ง" เนี่ย ทุเรศมาก ตั้งมาได้ไงไม่รู้ ถ้าคนไม่บอกว่าสนุกคงไม่ซื้อแล้ว) เรื่องนี้ที่ปกติเมืองนอกเรียกสั้นๆ กันว่า Kare Kano เป็นมังงะที่ดังจนถูกเอามาสร้างเป็นอนิเมะ โดย Gainax (บริษัทที่สร้าง Evangelion เออ แต่อย่าเอ่ยถึงเรื่องนั้นดีกว่า เดี๋ยวจะบ่นยาวกว่านี้) เราสนใจการ์ตูนเรื่องนี้เพราะได้ยินชื่อเสียงว่ามันดัง นอกจากเอเชียกับอเมริกาแล้ว ยังแพร่ไปถึงยุโรป แล้วปกติเรื่องที่ถูกเอามาสร้างอนิเมะก็มักจะมีดีอยู่จริงๆ พอภาษาไทยออกก็ไม่รอช้า ซื้อทันที โดยไม่ได้ทดลองเช่าอ่านดูก่อน โอ้ แล้วแค่อ่านเล่มแรก เราก็สัมผัสได้ทันทีถึงสาเหตุที่มันดัง


เรื่องธรรมดาของเธอกับฉัน เป็นเรื่องราวของนักเรียน ม.ปลาย วัยรุ่นธรรมดา ไม่มีเวทมนตร์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใดๆ ทั้งสิ้น ตัวเอกของเรื่องคือ มิยาซาวะ ยูกิโนะ ที่มีภาพของนักเรียนดีเด่น เรียนเก่ง นิสัยดี รสนิยมสูง แต่ตัวจริงของเธอเป็นผู้หญิงเสแสร้ง อยากเด่นอยากดัง ออกจะโก๊ะ ติงต๊อง อยู่บ้านเป็นยายเพิ้งท่องตำราแทบตาย เพื่อจะได้ผลการเรียนอันดับหนึ่ง เพื่อที่คนอื่นจะได้ชื่นชม บอกใครๆ ว่าชอบฟังเพลงคลาสสิค ทั้งที่ความจริงชอบลูกทุ่ง ช่วยเหลือติวหนังสือให้เพื่อนตลอด เพราะจะได้ชื่อว่า ทั้งเก่งทั้งดี ไม่หยิ่ง สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง แต่แล้วเธอก็ได้พบกับ อาริมะ โซอิจิโร่ เด็กหนุ่มรูปหล่อ หัวดี กีฬาเลิศ ลูกชาย ผอ. โรงพยาบาลใหญ่ ตอนแรก ยูกิโนะมองอาริมะเป็นคู่แข่ง วันหนึ่งอาริมะมาที่บ้าน จึงรู้ความลับของยูกิโนะ เขาจึงบังคับให้เธอเป็นทาสให้ช่วยทำการบ้านให้ ทั้งสองจึงได้ใกล้ชิดกันและเห็นตัวตนภายในของกันและกันมากขึ้น ในที่สุดทั้งสองก็เริ่มคบกันเป็นแฟนจริงๆ

ในเนื้อเรื่องที่ดูเหมือนจะธรรมดาไม่มีอะไร กลับเต็มไปด้วยสิ่งที่ดึงดูดใจนักอ่าน การบรรยายความรู้สึกลึกๆ ของตัวละคร มันก็แทบพาคุณลงถึงก้นบึ้งหัวใจ บทสนทนาที่เฉียบคม อ่านไปๆ มันก็จะมีถ้อยคำที่พุ่งมาโดนกลางใจเลย อย่างตอนที่ยูกิโนะไม่กล้าตอบรับความรู้สึกของอาริมะในตอนแรก เพราะกลัวใจกับความผิดหวัง หลังสับสนมานาน แต่พอถึงฉากที่เธอตัดสินใจว่า เธอจะคบกับอาริมะล่ะ เธอคิดว่า "ยังไงอนาคตถ้ามันอาจจะต้องเจ็บ ก็ขอให้อาริมะเป็นคู่กรณีคนแรกแล้วกัน" กับภาพประกอบตอนที่เธอค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมืออาริมะ ว้าวเลย แล้วตอนที่ทั้งสองถูกอาจารย์เชิญผู้ปกครองมาพบ เพราะมีแฟนแล้วคะแนนตก พ่อแม่นางเอกจ๊าบมาก พ่อของยูกิโนะก็บอกประมาณว่า "ผมไม่บงการลูกหรอกครับ อนาคตที่มันต้องใช้ผลการเรียนดีมันก็อีกเรื่อง แต่เวลาที่ใช้กับคนที่คบตอน ม.ปลาย มีค่ากว่าคนที่คบในอนาคตนะครับ" เล่าแบบนี้มันไม่เห็นภาพมันฟังธรรมดา แต่ถ้าอ่านเอง มันจะโดนมากเลย

หลังจาก 3-4 เล่มไป เนื้อเรื่องของเธอกับเขาก็เริ่มอยู่ตัวล่ะ ก็เริ่มขยายขอบเขตมีเพื่อนของเธอ เพื่อนของเขา เข้ามาวนเวียนเกี่ยวพันกับพระเอกนางเอกมากขึ้น ตัวละครเพื่อนทั้งหลายที่เข้ามาช่วงแรกๆ นี่แต่ละคนก็บุคลิกโดดเด่นสีสันจัดจ้านทั้งนั้น เหล่านักเรียนพรสวรรค์มารวมตัวกัน ก็ทำให้ชีวิตพระเอกนางเอกมีเรื่องราวน่าสนใจน่าติดตามอยู่ตลอด แต่แล้วจุดเปลี่ยนของความรู้สึกที่เรามีต่อเรื่องนี้ก็มาถึง ช่วงกลางๆ ซีรีส์ เล่มที่โดดไปกล่าวถึงเรื่องราวชีวิตและความหลังของเพื่อนแต่ละคนที่โผล่เข้ามา มันเบี่ยงเบนโฟกัสของเรื่องออกไปเลยนะ เราก็เริ่มตงิดๆ ในใจ อะไรวะ เพื่อนแต่ละคนนี่แทบจะได้บทคนละเล่ม เราเข้าใจว่า ผู้แต่งต้องการให้ตัวละครของเธอมีชีวิต เพื่อนไม่ใช่แค่ตัวประกอบ แต่ตัวละครในเรื่องทุกคนต่างมีชีวิตจริงของตัวเอง และได้มาอยู่รวมกันในเรื่อง แต่มันไม่ไหวนะ โคตรยืด เนื้อเรื่องหลักมันไม่ไปไหนเลย กลุ่มเพื่อนมันเริ่มมีคนเยอะมากไป และด้วยลายเส้นจืดๆ ของสึดะ มาซามิ นี่ เพื่อนบางคนหน้าตาเหมือนกันมาก จนเราแทบแยกไม่ออกเลยนะ ถ้าไม่เรียกชื่อกันก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใครแล้ว

พอหมดเรื่องเพื่อน กลับมาเป็นเรื่องของพระเอกนางเอกบ้าง นึกว่าจะค่อยยังชั่ว โอ้ พระเจ้าช่วย อาริมะ โซอิจิโร่ ผู้เคยสมบูรณ์แบบ ถึงที่ผ่านมาจะมีเนื้อเรื่องบอกแล้วว่า เขามีอดีตลึกๆ ซ่อนอยู่ เพราะเขาไม่ใช่ลูกจริงๆ ของพ่อแม่ที่เลี้ยงมานี้ก็เถอะ แต่แกช่างจมดิ่งลงสู่ด้านมืดได้อย่างงี่เง่าเหลือเกิน มีแม่แท้ๆ ที่ทารุณกรรมเขาตอนเป็นเด็กเล็กๆ แล้วไง มีพ่อแท้ๆ ที่เห็นว่าเขาเป็นความผิดพลาดที่เกิดมาแล้วไง ไม่ไหว เราไม่ได้บอกว่า เขาไม่ควรเจ็บปวด เข้าใจว่าบาดแผลทางใจมันก็อาจฝังลึก แต่เรารับไม่ได้ที่แกเล่นพร่ำเพ้องี่เง่าบ้าบอคอแตกอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ชีวิตปัจจุบันที่มีพ่อแม่บุญธรรมสุดแสนจะประเสริฐ มีคนรักที่ดีพร้อม คุณสมบัติส่วนตัวก็เลอเลิศทุกอย่าง แล้วจะทำตัวมีปัญหาทำไม จะอะไรนักหนาวะ wth!! แต่ละเล่มไอ้หมอนี่ก็จะใช้เวลา 50 หน้า รำพันกับตัวเองว่า ไม่มีความสุข ไม่มีใครเข้าใจ เห็นคนอื่นมีความสุขก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้ง ไม่มีใครเห็นแผลใจแกเลย ขอโทษว่ะ ฉันยังไม่เคยอ่านข่าวเจอว่า แกนกลางของโลกหมุนตามใคร เคยมองคนอื่นที่เขาไม่มี เขาตกทุกข์ได้ยากจริงบ้างมั้ย บางทีการเข้าไปสำรวจจิตใจตัวเองลึกๆ มันก็ดี แต่ถ้าจมลึกหายลงไปเลยจนมองข้างนอกไม่เห็นก็เกินไป

แล้วโดยเฉพาะ พ่อแท้ๆ ของโซอิจิโร่ คือ เรย์จิ นี่ก็ไม่ไหวเหมือนกัน เราโคตรเกลียดเรื่องปัญหาชีวิตของตระกูลอาริมะ ช่วงนี้มีแต่ตัวละครพร่ำเพ้อ เนื้อเรื่องเล่าอดีตความหลังถึงรุ่นพ่อรุ่นปู่ เจ็บปวดมาจากเรื่องพ่อแม่ของแต่ละคนยังไง ชีวิตก็เลยบัดซบต่อกันมาเป็นทอดๆ บ้าป่าว ตัวเองจิตใจอ่อนแอเอง แล้วทำไมต้องหาเหตุผลโทษว่า เป็นเพราะชีวิตฉันมีอดีตที่มีปัญหาล่ะ คือ ถ้าชีวิตปัจจุบันของพวกนี้มีปัญหาจริงเราจะไม่ว่าอะไรสักคำ แต่เรย์จินี่พี่ชายพูดผิดหูคำเดียว ทำตัวเตลิดเปิดเปิง ปัญญาอ่อน แล้วผู้แต่งคงจะกลัวเราลืมว่า ที่อ่านอยู่นี่เป็นการ์ตูนนะ คนโรคจิตแบบนี้ในชีวิตจริงมันน่าจะกลายเป็นไอ้ขี้ยา ตายเพราะเสพยาเกินขนาด แต่ไอ้เจ้านี่ดันหนีหายไป กลับมากลายเป็นนักเปียโนที่ประสบความสำเร็จระดับโลก เพราะ DNA อันเลอเลิศในตัว แกทำตัวงี่เง่าแค่ไหนก็ได้ แต่ฟ้าประทานความสามารถให้ซะอย่างจะทำไม

โอย เราอ่านไปๆ ก็เบื่อเต็มทีแล้ว รู้สึกตลอดว่า เมื่อไหร่มันจะจบสักทีเนี่ย ที่ญี่ปุ่นมันออกจบตั้งนานแล้ว เราหาอ่านเรื่องย่อสปอยล์มาหมดแล้ว ส่วนหนึ่งต้องโทษ VBK ด้วย ที่ทิ้งช่วงนานมาก เล่มใหม่ออกแต่ละที มันก็จมอยู่กับอารมณ์ด้านมืดของตัวละครอยู่อย่างนี้ เนื้อเรื่องแทบไม่มีอะไรไม่ขยับไปไหนเลยนะ ยูกิโนะรู้ตัวว่าท้องมานานกี่เล่มแล้ว ไม่กล้าบอกโซอิจิโร่อยู่ตั้งนาน คนอ่านก็รอไปเถอะว่าเมื่อไหร่จะบอก เนื้อเรื่องจะได้ไปต่อ อย่างนี้เมื่อไหร่จะจบ จริงๆ ถ้าได้อ่านต่อเนื่องเราคงไม่รู้สึกแย่กับเรื่องนี้เท่านี้ เพราะคงไม่ต้องเสียเวลา 3-4 ปีรอว่า เมื่อไหร่ตัวละครจะเลิกบ้า แล้วเห็นมั้ย พอถึงเล่ม 20-21 เรื่องก็สรุปลงเอยง่ายๆ มากเลย แค่เขี่ยเสี้ยนกลางใจออกไปได้ เรื่องก็จบ ชีวิตก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว พ่อแม่ดันดีใจซะอีกที่ลูกท้องก่อนแต่ง cool กันจริงๆ

เล่ม 21 นี่มีฉากที่คนเขียนแกล้งคนอ่านด้วย กล่าวถึงอนาคต 16 ปีผ่านไป หน้าแรกตอนอ่านนี่หลุดปากเลย เฮ้ย เอาจริงดิ ลืมตัวไปว่า ที่อ่านสปอยล์มามันไม่ใช่ยังงี้ แต่ถ้าเรื่องมันจบแบบนั้นจริงนี่ อาจมีรายการยกหนังสือการ์ตูนทั้งตั้งไปเผาทิ้งแน่ (พูดเล่นน่า ความคิดพาไปแต่คงไม่ทำจริงหรอก) อ่านจบหน้าสุดท้ายไป ความรู้สึกเดียวที่แจ่มชัดในใจเรามีแค่ความโล่งใจ หมดเวรหมดกรรมกับมันซะที น่าเสียดายมากเลย ที่อารมณ์ความรู้สึกที่เหลือค้างอยู่ในใจของเราที่มีต่อเรื่องนี้ มันก็คงจะถูกจำในแง่ลบอย่างนี้ไปตลอด ยังไงคิดถึงความดีช่วงแรกให้คะแนนที่ 7 แล้วกัน

และถ้าใครที่ดื้ออ่านมาถึงย่อหน้านี้ ก็คงต้องบอกอีกทีว่า ทั้งหมดนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวของเรา ไม่จำเป็นต้องตรงกับใคร เรารู้ว่ามีคนที่ชอบเรื่องนี้มากอยู่ ประเด็นที่เราไม่ชอบ มันอาจจะเป็นสิ่งที่คุณชอบก็ได้ หรือถ้าคุณกำลังสนใจอยากหาเรื่องนี้อ่าน ถ้ามาเจอโพสต์นี้ก็อย่าทำให้มันเป็นเหตุผลที่หยุดคุณ คุณอ่านเองก็อาจจะชอบมันมากก็ได้ เรารู้ตัวว่าเราเป็นคนรักแรง เกลียดแรง แต่ในบล็อกตัวเองเราถือเป็นพื้นที่ของเราขอพูดอะไรตามใจแล้วกัน ถ้าเป็นที่บอร์ดสาธารณะก็คงไม่กล้าเขียนอะไรตรงแบบนี้ เกรงใจคนที่เขาอาจจะชอบ เข้าใจกันนะคะ

Update
หลังจากอ่านเรื่อง Room ทำให้เราเริ่มคิดว่าเราอาจจะออกอาการเกินกว่าเหตุกับอาริมะ วัยเด็กที่ผิดเพี้ยนทำให้เขาโตมามีปัญหา นึกถึงการทดลองที่แยกลูกลิงจากอกแม่ ลิงตัวนั้นจะโตขึ้นผิดปกติ พอเอากลับมาอยู่กับลิงตัวอื่นพฤติกรรมก็ผิดเพี้ยนหมด ชีวิตวัยเด็กของอาริมะที่ขาดความรักความอบอุ่น ถูกแม่ทุบตีทำร้าย ส่งผลกระทบใหญ่หลวงจนถึงตอนโต เอางี้ เราจะพยายามเข้าใจเหตุผลของตัวละคร แต่ก็ขอเปลี่ยนเป็นบ่นคนเขียนแทนแล้วกันว่า ไอเดียดีแต่นำเสนอไม่ดี เพราะทำให้เราเชื่อและยอมรับในการกระทำของตัวละคร จากการอ่านแค่เฉพาะในเรื่องเองไม่ได้ ประเด็นที่น่่าจะทำให้สงสารเห็นใจ ทำไมมันอ่านแล้วกลายเป็นเบื่อหน่ายรำคาญได้ก็ไม่รู้

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

The Lost Hero (Heroes of Olympus #1) - Rick Riordan

คะแนน : 8

หลังจากอ่านเพอร์ซีย์จบ ตอนแรกคิดว่าจะพักก่อนที่จะอ่านเรื่องชุดใหม่ของ Rick Riordan เพราะนึกว่าเป็นเรื่องใหม่ที่อยู่ในโลกเดียวกันเฉยๆ เห็นมีตัวเอกชุดใหม่ นึกว่าถ้ามีพวกตัวละครเดิมปรากฏตัว ก็อาจจะโตเป็นผู้ใหญ่กลายเป็นผู้ดูแลแคมป์ทำนองนั้น ที่ไหนได้ พอเปิดมาพลิกแป๊บๆ อ้าว นี่มันต่อเนื่องจากเรื่องเดิมเลยนี่นา เวลาไม่ได้ผ่านไปเลย มันก็คือ เพอร์ซีย์ แจ็คสัน ภาคสอง เลยจริงๆ แค่เปลี่ยนตัวพระเอก

เนื้อเรื่องภาคใหม่มีส่วนที่ต่อเนื่องมาจากท้ายเล่มภาคที่แล้ว ภาคเดิมเราก็รู้สึกว่าจบแบบไม่มีอะไรคาใจนะ แต่พอมาอ่านเล่มนี้ เออ มันก็มีประเด็นรายละเอียดที่ยังเคลียร์ไม่หมดจริงแฮะ เรื่องคำพยากรณ์ถึงผู้กล้า 7 คนที่ต้องเผชิญมหันตภัยครั้งใหม่ อดีตที่เธเลียไม่ยอมพูดถึง ถูกจับเอามาใส่ในภาคนี้ดีมากเลย แคมป์ฮาล์ฟบลัดยังอยู่ แต่บรรยากาศเปลี่ยนไปนิดหน่อย ตัวละครเดิมก็กล่าวถึงแต่ไม่ครบทุกคน

ตัวเอกภาคนี้คือ เจสัน ไพเพอร์ และลีโอ ทั้งสามอยู่ในรถบัสทัศนศึกษาของโรงเรียนสำหรับเด็กเจ้าปัญหา แต่ที่แปลกคือ เจสันไม่มีความทรงจำก่อนที่เขาจะมาอยู่บนรถบัสคันนั้นเลย และรอยสักปริศนาที่แขนของเขาหมายความว่าอะไร จู่ๆ ก็ถูกอสูรวายุโจมตี มีคนจากแคมป์ฮาล์ฟบลัดมาช่วย แล้วพาทั้งสามมาอยู่ที่แคมป์ ทั้งสามจึงเพิ่งได้รับรู้ความจริงว่า ตัวเองคือลูกครึ่งเทพ และทั้งสามเป็นวีรบุรุษ (& วีรสตรี) ที่อยู่ในคำพยากรณ์ งานชิ้นแรกของพวกเขาคือ การออกเดินทางเพื่อไปช่วยเทพีที่ถูกกักตัวไว้

แหม เพิ่งคิดอยู่หยกๆ ว่า ภาคที่แล้วตัวละครไม่ค่อยมีความในใจ เพอร์ซีย์เหมือนสู้ไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยคิดอะไร เล่มนี้ตัวละครแก๊งใหม่สามคนนี่เด็กเจ้าปัญหาทั้งนั้น คิดเยอะมาก สับสนในตัวเองกับเรื่องราวที่ต้องเผชิญ เนื้อเรื่องสลับการเล่าจากมุมมองของทั้งสามคน ไม่ได้เด่นที่พระเอกคนเดียวเหมือนภาคที่แล้ว เห็นทั้งมุมมองนางเอกไพเพอร์ ตอนคุณแม่ส่งสัญลักษณ์มารับเป็นลูกนี่อย่างฮา ความสามารถพิเศษคุณเธอขี้โกงใช้ได้ ช่วยการผจญภัยได้เยอะ ส่วนลีโอก็โคตรเก่งเลย ความสามารถสุดยอดมาก ไม่ได้เป็นผู้ช่วยพระเอกแบบตลกติงต๊องอย่างเดียว แต่เรายังชอบกลุ่มตัวละครเดิมมากกว่า แต่เดี๋ยวอ่านไปหลายๆ เล่ม ผูกพันกว่านี้ ก็คงชอบเหมือนกันแหละ

เพราะมีตัวเอกสามคน ช่วงแรกตอนแนะนำตัวละครเลยยืดๆ หน่อย จนถึง 1/3 เล่ม เริ่มผจญภัย ทีนี้ล่ะ บรรยากาศแอกชั่นกลับมาเต็มที่เหมือนเดิม บวกกับปมปริศนาเรื่องตัวตนของเจสัน ทำให้เล่มนี้อ่านสนุกน่าติดตาม มีพวกเทพ พวกอสูรตัวใหม่ บอสใหญ่คนใหม่ และที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้ ฉลาดมากเลย คือเอาเรื่องความเป็นกรีกสลับโรมันมาใส่ เป็นสีสันเพิ่มมาดี พวกเทพกับเทพีจากภาคก่อนไม่ค่อยปรากฏตัวเล่มนี้ แต่คนที่มีบทนี่โคตรตลกเลย เราชอบคนนี้มาตั้งแต่ภาคที่แล้ว ขำตอนพวกนี้ไปช่วยแล้วยืนคุยกันหน้ากรงขัง แล้วเจ๊แกบอกว่า "ฉันอยู่นี่นะยะ ช่วยสนใจหน่อย" สรุปว่า เล่มนี้ แฟนเพอร์ซีย์ แจ็คสัน พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เฮ้อ มีเรื่องที่ต้องรออ่านเพิ่มมาอีกแล้ว ผู้เขียนบอกชุดนี้มี 5 เล่ม กะจะออกปีละเล่ม ก็รอไปอีก 4 ปีกว่าจะได้อ่านจบ

การอ่านซีรีส์เพอร์ซีย์กับซีรีส์นี้ จริงๆ ไม่เคยอ่านเรื่องตำนานกรีก-โรมันมาก่อนก็อ่านสนุกรู้เรื่อง แต่ว่า ถ้ารู้เรื่องไปด้วย มันก็อาจจะอ่านสนุกขึ้นใช่ไหมล่ะ อย่างฉากที่คนแคมป์ฮาล์ฟบลัดมารับเจสัน ผู้ที่ใส่รองเท้าข้างเดียว ถ้าเราอ่านเรื่องต้นฉบับเจสัน (อภินิหารขนแกะทองคำ) มา ก็จะยิ่งชอบที่ได้เปรียบเทียบกับเรื่องในตำนาน ตอนอ่านซีรีส์นี้ทำให้เราต้องคอยเปิดอ่านเรื่องดั้งเดิมไปด้วย เพราะรายละเอียดมันเยอะ จำไม่หมด เรามีหนังสือแนวนี้เป็นสิบเล่มเพราะชอบอ่านตั้งแต่เด็ก มีสามเล่มที่เอาไว้เป็นคู่มือเปิดบ่อยๆ

- เทวดาฝรั่ง ของ อ. สายสุวรรณ เล่มนี้อ่านสนุกมาก เสียแต่ย่อไปหน่อย ฉบับพิมพ์เก่าเราเปิดบ่อย โดยเฉพาะเรื่องของคิวปิดกับไซคี พอพิมพ์ใหม่ก็ซื้ออีก
- ตำนานกรีก-โรมัน (ฉบับสมบูรณ์) โดย มาลัย (จุฑารัตน์) นี่ก็ชอบมากอ่านมาตั้งแต่สมัยลงเป็นตอนๆ ในกุลสตรี
- ปกรณัมปรัมปรา โดย นพมาส แววหงส์ เล่มนี้มันแปลมาจาก Mythology ของ Edith Hamilton ถือเป็นเล่มไฟต์บังคับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Percy Jackson and the Olyimpians (#2 - #5) - Rick Riordan


นึกว่าจะเคลียร์เพอร์ซีย์ แจ็คสัน หมดในวันหยุดยาวที่ผ่านมาซะอีก กลายเป็นว่า มีแต่คนชวนออกนอกบ้านทุกวันเลย แต่ก็สนุกดี กิจกรรมเยอะจนไม่ได้อ่านหนังสือเลย แล้วพรุ่งนี้ควรจะเป็นวันหยุดก็ไม่ได้หยุด โดนจับไปนั่งฟังสัมมนาอีก สุดสัปดาห์นี้หยุดวันอาทิตย์วันเดียวก็กะจะไปดูนาร์เนีย สงสัยช่วงนี้จะไม่ค่อยได้อ่านอะไรแน่เลย ทั้งๆ ที่เพิ่งได้ของที่สั่งจาก Amazon มาสอง Box Set ด้วย อยากมีเวลาเยอะๆ กว่านี้จัง

The Sea of Monsters     คะแนน : 8
The Titan's Curse     คะแนน : 8
The Battle of the Labyrinth     คะแนน : 8
The Last Olympian     คะแนน : 8.5

สนุกมากตั้งแต่ต้นจนจบ แอกชั่นมันส์ผจญภัยไม่มีพักตลอดเรื่องทุกเล่ม เนื้อเรื่องเอาตำนานกรีกมาประยุกต์ได้สนุกน่าติดตาม ตลกดีด้วย มีโรแมนติกนิดหน่อยเป็นสีสันกำลังดี มีตัวละครที่เราชอบหลายคน เพอร์ซีย์ แอนนาเบ็ธ เรเชล นิโก้ เป็นต้น เรื่องชุดนี้ไม่มีจุดที่ไม่ชอบเลย เพียงแต่คิดว่า ถ้าเรื่องนี้มันไม่เร่งฉากแอกชั่นมากไป อย่างช่วงฉากที่น่าจะซึ้งหรือประทับใจ ถ้าทอดเวลาให้นานกว่านี้หน่อย แทนที่จะรีบตัดเข้าฉากต่อไปแบบไม่เบรก มันน่าจะตราตรึงใจคนอ่านได้มากกว่านี้

หรือถ้ามีการพัฒนาตัวละครให้ลึกขึ้น มีช่วงพักให้ตัวละครทอดอารมณ์คิดถึงความในใจ หรือความสับสนกับการตัดสินใจอนาคตของตัวเองบ้าง อาจจะทำให้เราแน่ใจว่า เราจะจดจำเรื่องนี้ประทับใจไปได้อีกนาน มีแต่แอกชั่นมันสนุกดีแต่นานไปกลัวจะลืมน่ะสิ

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Possession in Death - J. D. Robb

คะแนน : 7.5

คั่นเวลาระหว่างเล่มของเพอร์ซีย์ แจ็คสัน พอดีมี In Death ตอนใหม่ออกมา เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่อยู่ในหนังสือ The Other Side แต่รูปที่เห็นเป็นปกของเวอร์ชันออดิโอบุ๊ค

เนื้อเรื่องจับใจความต่อเนื่องจาก Indulgence in Death เลยทันที เปิดเรื่องแบบเดินออกจากห้องสอบปากคำฆาตกรเล่มที่แล้วเลย จากนั้นก็มาที่งานเลี้ยงบาร์บีคิวที่ไปเชิญเพื่อนๆ ไว้ตั้งแต่เล่มที่แล้ว เหตุการณ์สำคัญในเล่มมาถึง เมื่ออีฟเจอหญิงชรายิปซีถูกทำร้ายบาดเจ็บปางตายอยู่ข้างทาง ก่อนสิ้นใจนางขอให้อีฟช่วยเหลนสาวที่ถูกคนร้ายจับตัวไป แต่แล้ว เมื่อใช้เครื่องมือตรวจสอบกลับพบว่า หญิงชรานั้นตายไปหลายชั่วโมงแล้ว และอีฟเริ่มมองเห็นและพูดคุยกับวิญญาณคนตายได้ !?

เล่มนี้แม้จะเป็นเรื่องสั้น แต่สนุกดีค่ะ เนื้อเรื่องการสืบสวนตามหาฆาตกรไม่มีอะไรมาก แต่มีฉากสั้นๆ น่าอ่านหลายฉากเลยในเรื่องนี้ อย่างเช่น ปฏิกิริยาของอีฟตอนเจอหนูน้อยเบลล่าลูกมาร์วิส ตลกน่ารักดี ขำอีฟถูกวิญญาณสิงแล้วพูดภาษารัสเซียได้ รู้วิธีทำอาหารฮังกาเรียนอีกต่างหาก ปกติในเรื่องสั้น In Death ตอนก่อนๆ ที่มีเรื่องพวกพิธีกรรมไสยศาสตร์อะไรพวกนี้เข้ามาปน เราจะไม่ค่อยชอบ แต่เล่มนี้เวิร์กมากเลย

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

The Lightning Thief (Percy Jackson #1) - Rick Riordan

คะแนน : 8

เราล้าหลังมากกับการอ่านวรรณกรรมเยาวชนแฟนตาซี ทั้งที่มันเป็นแนวโปรดที่อ่านมาตั้งแต่เด็ก แต่เพราะหลังๆ ที่มันมีแฟนตาซีออกมาเยอะแยะมาก อ่านไปกี่เรื่องต่อกี่เรื่องก็แป้ก รวมทั้งพวกที่โปรโมตว่าเอามาสร้างเป็นหนังนี่ก็ไม่ค่อยจะเวิร์ก โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราแทบจะหยุดอ่านแนวนี้ไปเลย คือ ชุดธุลีปริศนา His Dark Materials ขออภัยแฟนเรื่องนี้ถ้าบังเอิญมาอ่านเจอนะคะ แต่เราคิดว่ามันเป็นหนังสือที่ถูกตีค่าสูงเกินจริงที่สุด เท่าที่เราเคยเห็นมาในชีวิตการอ่านของเราเลย

หยุดไปหลายปีก็มีหลายชุดมากๆ เลยที่ดังๆ แล้วเรายังไม่ได้อ่าน เริ่มจาก Percy Jackson แล้วกัน เห็นมานานแล้วแต่ไม่สนใจ เพราะไม่ไว้ใจกระแส บวกกับตอนแรกที่ได้ยินว่า พระเอกเป็นลูกโพไซดอน ฮื้อ เพอร์ซีอุสมันต้องลูกซุสสิ สงสัยเอาตำนานกรีกมายำซะเละอีกเรื่องแล้ว แต่พักนี้ความอยากอ่านแฟนตาซีกลับมาแล้ว เรื่องนี้น้องเราก็ชม มันคงไม่แย่หรอกน่า ก็เอามาอ่านซะหน่อย

คงไม่ต้องพูดถึงเนื้อเรื่องแล้ว เพราะใครๆ ก็คงอ่านกันไปหมดแล้วล่ะเนอะ สำหรับความรู้สึกเราก็ว่า สนุกดี เนื้อเรื่องดำเนินไปรวดเร็ว เอาเรื่องราวเทพเจ้ากรีกมาใส่ได้ดี มีปริศนาเรื่องใครเป็นผู้ร้าย ใครเป็นคนทรยศ ตัวละครโอเค บวกอารมณ์ขันในเรื่อง ลงตัวมากๆ ชอบ ไม่ผิดหวัง ต้องรีบอ่านต่อ คงอยู่กับเรื่องนี้ไปทั้งสัปดาห์นี้ล่ะนะ