วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

The Light Between Oceans - M. L. Stedman

คะแนน : 8
ช่วงนี้ทำไมไม่ค่อยมีเรื่องที่นึกอยากอ่านไม่รู้ บางทีจะหานิยายสักเล่มเสียเวลานั่งเช็ครีวิวไปเยอะซะจนคิดว่าถ้าไม่คิดมากเอามาอ่านเลยก็อ่านจบไปแล้วล่ะ ใช้เวลาน้อยกว่าการพยายามหาข้อมูลเพื่อตัดสินใจซะอีก ชักจะรำคาญตัวเองเล่มนี้เราเลยไม่คิดเยอะเห็นเรื่องย่อพอน่าสนใจดาวดีพอควรก็ลองเลย แล้วก็คุ้ม

ทอม เชอร์บอร์น กลับมาบ้านเกิดออสเตรเลียหลังจากไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้จะกลับมาพร้อมเหรียญกล้าหาญแต่เขาก็ไม่มีความสงบใจ จึงไปขอรับงานเป็นผู้ดูแลประภาคารบนเกาะเล็กนอกชายฝั่ง เขาพบรักและแต่งงานกับหญิงสาวชื่ออิซาเบล และพาไปอยู่ด้วยกันบนเกาะเพียงสองคน ผ่านไปหลายปีหลังจากการสูญเสียลูกในท้องหลายครั้ง วันหนึ่งก็มีเรือลำหนึ่งลอยมาติดเกาะ บนเรือมีศพชายคนหนึ่งพร้อมเด็กทารกหนึ่งคน ทอมและอิซาเบลตัดสินใจเลี้ยงเด็กคนนั้นขึ้นมาในฐานะลูกสาวของตนเอง ผลที่ตามมาคือการต่อสู้ระหว่างความรักในครอบครัวกับสำนึกเรื่องความถูกต้องในจิตใจ

เนื้อเรื่องของนิยายเล่มนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ประเด็นหลักของเล่มนี้เป็นสิ่งที่เกิดในจิตใจของตัวละครมากกว่า เป็นความท้าทายมโนธรรม ถ้าต้องอยู่ระหว่างการกระทำที่จะทำร้ายครอบครัวตัวเองไปทั้งชีวิต กับการมีความสุขที่เกิดบนความทุกข์ของผู้อื่นต่อไป เวลาอ่านแล้วจะเกิดคำถามว่าถ้าสมมุติเราเจอแบบนั้นเราจะทำยังไง คงจะลำบากใจน่าดู แต่โชคดีในชีวิตจริงคงไม่เจอเรื่องแบบนั้นกันง่ายๆ หรอก แต่มันก็เป็นการทดสอบจิตใจคนอ่านเหมือนกันนะ บอกไม่ได้หรอกว่าใครถูกใครผิด บอกได้แต่ว่าเข้าใจและเห็นใจตัวละครในเรื่องทุกคน

เราชอบสำนวนการเขียนของนิยายเล่มนี้ อย่างประโยคที่ว่า "เมื่อภรรยาสูญเสียสามี จะมีศัพท์ใหม่มาใช้แทนสถานะ เธอกลายเป็นแม่ม่าย เมื่อสามีเสียภรรยาเขากลายเป็นพ่อม่าย แต่ถ้าพ่อแม่สูญเสียลูก ไม่มีคำพิเศษมาช่วยตีตราความทุกข์โศกนั้นเลย" หรือว่า "ให้อภัยและลืมมันไป ไม่ใช่ง่าย แต่เหนื่อยน้อยกว่ามาก การให้อภัยนั้นทำครั้งเดียว แต่ถ้าจะคับแค้นใจ ต้องทำตลอดวันตลอดไป" ผู้แต่งบรรยายสภาพความคิดจิตใจตัวละครได้ดีมากๆ ฉากที่อิซาเบลวิ่งออกไปนอกบ้านหลังเพิ่งเสียลูกไปนี่อ่านแล้วหัวใจขาดเป็นริ้วๆ เลย จดหมายที่ทอมเขียนถึงอิซาเบลจากในคุกก็ทำเราน้ำตาร่วง

ถึงแม้จะมีความในใจตัวละครเยอะ แต่ก็ยังสามารถรักษาระดับความเร็วของการดำเนินเรื่องได้ดี ไม่มีตอนที่รู้สึกว่าเอื่อย บอกเล่าเนื้อเรื่องได้น่าสนใจ มีเหตุการณ์ที่ค่อยๆ เกิดขึ้นต่อๆ มาเป็นลูกโซ่ ดึงดูดให้อยากรู้ความเป็นไปของตัวละครได้ตลอดเรื่อง ตอนเล่าจากมุมอิซาเบลบางทีเราก็เข้าใจที่เธอโกรธแค้นทอม แต่พอเห็นฮันน่าห์เราก็โคตรสงสารเลย เข้าใจทอมเหมือนกันแล้วก็คิดว่าอิซาเบลเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมคืนลูก ตอนจบเศร้าไปหน่อยแต่ทำไงได้  สถานการณ์แบบนั้นคงยากที่ทุกคนจะทำใจให้มีความสุขหมดทุกคนได้

อ่านจบแล้วเรารู้สึกว่ามันเศร้า แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากให้เรื่องนี้จบดีกว่านี้ยังไง ไม่รู้จะเปลี่ยนเหตุการณ์ตรงไหนในเรื่อง สุดท้ายต้องทำใจแล้วก็ยอมรับกับการกระทำ เสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วมันไม่มีประโยชน์ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่ คนเราคงมองภาพใหญ่ทั้งหมดของชีวิตตนเองไม่ออก เราไม่รู้หรอกว่าการกระทำแต่ละครั้งอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปยังไง อะไรจะดีกับชีวิตเราโดยรวมมากกว่า ได้แค่พยายามทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด ที่เหลือก็แล้วแต่เบื้องบน ตัวเอกในเรื่องคงคิดอย่างนี้

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

The Twilight Saga: Breaking Dawn - Part 2

คะแนน : 8 เตือนสปอยล์ 

ขอพูดถึงหนังเรื่องนี้ตามกระแสหน่อยเหอะ ไปดูภาคนี้เพราะอยากรู้ว่าที่บอกว่าไม่เหมือนหนังสือนี่เป็นยังไงเหรอ โดยเฉพาะฉากเผชิญหน้ากับพวกโวลตูรีตอนสุดท้าย เราก็สงสัยมาตั้งนานแล้วล่ะว่าในหนังจะสร้างยังไง เพราะในนิยายนี่มันมีแค่การต่อสู้ด้วยพลังจิตนิดหน่อยเอง ถ้าสร้างหนังตามนั้นมันก็เหมือนมามองหน้ากันเฉยๆ แล้วก็ปิดวิกเลิกแยกย้ายกลับ คนดูคงจะรู้สึกกร่อยน่าดูเลยนะ

แต่หนังทำฉากนี้ออกมาได้ดีมากเลยแฮะ ดูสนุกดี ตอนเริ่มแอกชั่นเราก็พยักหน้า ต้องอย่างงี้สิมีออกกำลังกันบ้าง แต่ตอนคาร์ไลส์หัวหลุดคนแรก เราก็เฮ้ยๆ ในใจ แบบนี้ไม่ค่อยดีนะ สู้ไปอีก แจสเปอร์หัวหลุดอีกคน แล้วพวกหมาป่าร่วงไปอีก ชักไม่ไหว เปลี่ยนเรื่องเยอะไปรึเปล่า พอเฉลยเรื่อง ฮือกันทั้งโรงเลย ประทับใจเหมือนกันนะ ขำที่ตัวเองเงิบแล้วก็โล่งใจด้วยที่ไม่มีใครตาย สุดท้ายก็กลับมาจบเหมือนในหนังสือ

เราไปดูกับคนที่ไม่เคยอ่านไม่เคยดูทไวไลท์เลยสักภาคก็ดูสนุกนะ แต่เราเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้ฟังก่อนแล้ว แล้วพอออกมาก็ต้องช่วยชี้บางจุดให้รู้เรื่องเพิ่มอีกหน่อย อย่างหนังสือที่อลิซเขียนข้อความทิ้งไว้ให้เบลล่าคือ The Merchant of Venice นี่มันมีความหมายนะ เพราะฉากจบนี่ก็เป็นไปตามเจตนาคนแต่งที่เอาการสู้ด้วยคารมมาจากเรื่องเวนิสวาณิช  ที่นางเอกแถจนชนะได้ในศาล

เรามารู้ทีหลังจากตอนอ่านจบทั้ง 4 เล่มแล้วว่าทไวไลท์ทุกภาคมีเนื้อเรื่องบางส่วนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมคลาสสิค ภาคแรกคือ Pride and Prejudice เราหัวเราะเลย นั่งจินตนาการเอ็ดเวิร์ดเป็นมิสเตอร์ดาร์ซีแล้วขำ ภาคสองคือ Romeo and Juliet เข้าใจผิดว่าตายก็เลยจะฆ่าตัวตายตาม ส่วนภาคสามคือ Wuthering Heights ใน Eclipse เบลล่าก็เลยสองใจ แต่เราแอบเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของเอ็ดเวิร์ดที่พูดในเรื่องนะ เรื่อง Wuthering Heights นี่มัน hate story มากกว่า love story ทั้งแคธีกับฮีธคลิฟนี่ไม่มีดีเลย เราชอบเรื่องของรุ่นลูกมากกว่า (เอ็ดเวิร์ดกับเบลล่าชอบคุยเรื่องวรรณกรรมใช่ป่ะ อนากับคริสเตียน Fifty Shades ก็ไม่น้อยหน้า คู่นั้นสนทนากันถึงเรื่องเทสส์ ผู้บริสุทธิ์) ^_^

สรุปว่า BD2 เป็นหนังที่ชอบมากที่สุดในบรรดาเรื่องที่ดูไปช่วงนี้เลย

Argo = 8 ดูสนุกแล้วก็ชอบ แต่เราคงจะผิดหวังน่าดูถ้าเรื่องนี้ได้ออสการ์
Looper = 7.5
ยักษ์ = 7
The Perks of Being a Wallflower = 7.5 หนังก็ดีนะ แต่หม่นไปนิดสำหรับเรา แล้วเราคงติดภาพเก่านักแสดงมากไป ตอนดูในใจมันคิดว่า เฮอร์ไมโอนี่จูบกับเพอร์ซีย์ แจ็คสัน
Skyfall = 8
House at the End of The Street = 6.5 (แต่ถ้านึกว่าไปดูเพราะนางเอก = 7)

เรื่องที่อยากดู
The Master
Cloud Atlas
The Impossible
Life of Pi
Silver Linings Playbook
Zero Dark Thirty
Les Miserables
Lincoln