คะแนน : 7.25
นิยาย In Death เล่มที่ 34 เนื้อเรื่องของเล่มนี้คือ คดีใน Origin in Death ที่นาดีนเอาไปเขียนเป็นหนังสือดัง ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เมื่ออีฟได้รับเชิญให้ไปงานเลี้ยงที่ทีมผู้สร้างหนังจัด ก็เกิดเหตุฆาตกรรมนักแสดงในเรื่อง
ช่วงต้นเรื่องอ่านสนุกดีมากเลย แต่พอกลางเรื่องชักแผ่ว พอรู้ตัวคนร้ายก็กร่อย จากเนื้อเรื่องภูมิหลังของคนร้าย ไม่ค่อยน่าเชื่อที่ฆาตกรจะลอยนวลมาได้นานขนาดนี้ เนื้อเรื่องช่วงสุดท้ายจืดสนิท เพราะการกระทำของคนร้ายไม่ค่อยสมเหตุสมผล แถมอีตอนการพยายามฆ่าครั้งสุดท้ายก็ไม่ฉลาดเลย คนจะฆ่าตัวตายใครเขาจะเอายานอนหลับใส่ในขวดไวน์ก่อนเป็นวัน เวลามีการพิสูจน์หลักฐานก็ต้องเหลือร่องรอยในขวด ไม่ต้องถึงมือตำรวจฉลาดอย่างอีฟ เป็นใครก็ต้องสงสัยอยู่แล้วล่ะ
ในส่วนเรื่องราวอื่นๆ ก็ไม่ค่อยมีอะไรอีก ตอนนี้เป็น In Death ที่เรื่อยๆ ธรรมดามากเลย
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
The Stand - Stephen King
คะแนน : 8
The Stand: The Complete & Uncut Edition ความหนาปาเข้าไป 1,400 กว่าหน้า ถ้าไม่ใช่คนเขาบอกว่า นี่คือเรื่องของคิงที่นักอ่านชอบกันมากที่สุด ก็ไม่กล้าหยิบนะเนี่ย
ในประเทศสหรัฐอเมริกา เกิดอุบัติเหตุในห้องทดลองอาวุธชีวภาพ จนเชื้อโรคร้ายหลุดออกมา ทำให้ประชากรมนุษย์ตายไปเกิน 99% ของคนทั้งโลก บางเมืองตายหมดเหลืออยู่คนเดียว คนที่ยังอยู่ก็ต้องพยายามฟันฝ่า และเดินทางมารวมตัวกัน แต่หายนภัยครั้งนี้ยังไม่จบ เมื่อเหล่าผู้มีชีวิตรอดถูกผลักเข้าสู่สงครามตัดสินระหว่างความดีกับความชั่ว
ตอนอ่านเล่มนี้ ความรู้สึกเหมือนตอนอ่านการ์ตูนเรื่อง 20th Century Boys เนื้อเรื่องไม่เหมือนกัน แต่บรรยากาศและองค์ประกอบต่างๆ ในเรื่องมีส่วนผสมหลายอย่างคล้ายกัน คือฉากเป็นเรื่องยุคอนาคตอันใกล้ (แต่เอามาอ่านตอนนี้มันจะเป็นเรื่องย้อนยุคไปแล้ว) ชอบพูดถึงดนตรี มีกลุ่มตัวละครเยอะๆ เล่าเรื่องกระจัดกระจายตามบทบาทตัวละคร มีอาวุธไวรัส ได้เห็นการจัดระเบียบสังคมโลกยุคใหม่ และมีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติปะปนในเรื่อง เป็นแนวปนๆ กันระหว่าง sci-fi, mystery, thriller, fantasy
เนื้อเรื่อง The Stand แบ่งเป็น 3 ส่วน ช่วงแรกเล่าเรื่องการแพร่ระบาดของโรค ฟังดูธรรมดาไม่ค่อยน่าสนใจเลยนะ แต่จริงๆ เนื้อเรื่องอ่านสนุกดีมาก ทั้งที่พล็อตเหมือนจะตามสูตรเดาได้ แล้วเล่มที่หนาก็ไม่ใช่เพราะเนื้อเรื่องเยอะ ส่วนใหญ่เป็นรายละเอียดจิ๊บจ๊อยซะมากกว่า แต่เพราะวิธีการเล่าเรื่องที่ดี มันก็อ่านแล้วลุ้นดี
เรื่องนี้มีตัวละครเยอะ ตัดสลับไปสลับมาจนแรกๆ งงเหมือนกันว่าใครเป็นใคร แต่พอไปเรื่อยๆ ก็จำได้ และดีที่ยังมีคนที่พอจะยกให้เป็นพระเอกของเรื่องได้ ปรกติไม่ชอบนึกหน้าตัวละครจากนักแสดงคนไหน แต่เวลากล่าวถึงคุณพี่สตู เรดแมน ทีไรนี่ เห็นหน้า ฮิวจ์ แจ็คแมน ลอยมาทุกทีเลย ที่จริงไม่ชอบแฟรนนี่เท่าไหร่ แต่ก็พอรับให้เป็นนางเอกได้ พวกนิคกับแลร์รี่ก็โอเค เรื่องนี้โชคดีที่ยังชอบกลุ่มตัวเอก ถ้าตัวละครเยอะตัดไปตัดมาแล้วไม่มีคนที่เราชอบเลยนี่คงมีปัญหา
แต่พอจบเนื้อเรื่องช่วงแรก จากไซไฟอยู่ดีๆ กลายเป็นแฟนตาซี ทุกคนจะเจอความฝัน แล้วก็จะเลือกเดินทางไปหาหญิงชราหรือเดอะดาร์คแมน ช่วงนี้ใช้แนวคิดจากศาสนาคริสต์เป็นแกนหลัก ศรัทธาพระเจ้า การต่อสู้กับซาตาน แอบคิดว่าเยอะไปหน่อยนึง ไม่ค่อยชอบเรื่องที่อิงศาสนาเท่าไหร่ แต่คิดซะว่ามันคือสัญลักษณ์การต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่วในจิตใจมนุษย์ก็พอไหว ยังไงเนื้อเรื่องก็น่าติดตามดี แต่นิยายนี้เป็นเรื่องเก่า พิมพ์ครั้งแรกก็นานมาแล้วตั้งแต่ยุค 70 ประเด็นแฝงในเรื่องก็อาจจะดูล้าสมัยไปหน่อย กลัวอาวุธเชื้อโรค กลัวระเบิดปรมาณู การแบ่งค่ายระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์ ฯลฯ
เนื้อเรื่องช่วงสุดท้ายนี่ตอนอ่านเรานึกถึงลอร์ดออฟเดอะริงส์มากๆ เลย โดยเฉพาะตอนเดินทางข้ามเขาผ่านหิมะนี่ จนอ่านจบแล้วมาดูข้อมูล อ้อ เพราะคนเขียนตั้งใจจะให้เรื่องนี้เป็น The Lord of the Rings ที่ใช้ฉากแบบอเมริกันนั่นเอง มิน่าล่ะ โดยรวมๆ แล้วนี่เป็นนิยายที่ตอนอ่านน่ะชอบ แต่ถ้าเอามาอ่านใหม่ก็คงไม่สนุกเท่าไหร่แล้ว และความยาวขนาดนี้ก็คงอ่านซ้ำไม่ไหว เพราะฉะนั้นเอาคะแนนไป 8 ถ้วนๆ พอ
The Stand: The Complete & Uncut Edition ความหนาปาเข้าไป 1,400 กว่าหน้า ถ้าไม่ใช่คนเขาบอกว่า นี่คือเรื่องของคิงที่นักอ่านชอบกันมากที่สุด ก็ไม่กล้าหยิบนะเนี่ย
ในประเทศสหรัฐอเมริกา เกิดอุบัติเหตุในห้องทดลองอาวุธชีวภาพ จนเชื้อโรคร้ายหลุดออกมา ทำให้ประชากรมนุษย์ตายไปเกิน 99% ของคนทั้งโลก บางเมืองตายหมดเหลืออยู่คนเดียว คนที่ยังอยู่ก็ต้องพยายามฟันฝ่า และเดินทางมารวมตัวกัน แต่หายนภัยครั้งนี้ยังไม่จบ เมื่อเหล่าผู้มีชีวิตรอดถูกผลักเข้าสู่สงครามตัดสินระหว่างความดีกับความชั่ว
ตอนอ่านเล่มนี้ ความรู้สึกเหมือนตอนอ่านการ์ตูนเรื่อง 20th Century Boys เนื้อเรื่องไม่เหมือนกัน แต่บรรยากาศและองค์ประกอบต่างๆ ในเรื่องมีส่วนผสมหลายอย่างคล้ายกัน คือฉากเป็นเรื่องยุคอนาคตอันใกล้ (แต่เอามาอ่านตอนนี้มันจะเป็นเรื่องย้อนยุคไปแล้ว) ชอบพูดถึงดนตรี มีกลุ่มตัวละครเยอะๆ เล่าเรื่องกระจัดกระจายตามบทบาทตัวละคร มีอาวุธไวรัส ได้เห็นการจัดระเบียบสังคมโลกยุคใหม่ และมีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติปะปนในเรื่อง เป็นแนวปนๆ กันระหว่าง sci-fi, mystery, thriller, fantasy
เนื้อเรื่อง The Stand แบ่งเป็น 3 ส่วน ช่วงแรกเล่าเรื่องการแพร่ระบาดของโรค ฟังดูธรรมดาไม่ค่อยน่าสนใจเลยนะ แต่จริงๆ เนื้อเรื่องอ่านสนุกดีมาก ทั้งที่พล็อตเหมือนจะตามสูตรเดาได้ แล้วเล่มที่หนาก็ไม่ใช่เพราะเนื้อเรื่องเยอะ ส่วนใหญ่เป็นรายละเอียดจิ๊บจ๊อยซะมากกว่า แต่เพราะวิธีการเล่าเรื่องที่ดี มันก็อ่านแล้วลุ้นดี
เรื่องนี้มีตัวละครเยอะ ตัดสลับไปสลับมาจนแรกๆ งงเหมือนกันว่าใครเป็นใคร แต่พอไปเรื่อยๆ ก็จำได้ และดีที่ยังมีคนที่พอจะยกให้เป็นพระเอกของเรื่องได้ ปรกติไม่ชอบนึกหน้าตัวละครจากนักแสดงคนไหน แต่เวลากล่าวถึงคุณพี่สตู เรดแมน ทีไรนี่ เห็นหน้า ฮิวจ์ แจ็คแมน ลอยมาทุกทีเลย ที่จริงไม่ชอบแฟรนนี่เท่าไหร่ แต่ก็พอรับให้เป็นนางเอกได้ พวกนิคกับแลร์รี่ก็โอเค เรื่องนี้โชคดีที่ยังชอบกลุ่มตัวเอก ถ้าตัวละครเยอะตัดไปตัดมาแล้วไม่มีคนที่เราชอบเลยนี่คงมีปัญหา
แต่พอจบเนื้อเรื่องช่วงแรก จากไซไฟอยู่ดีๆ กลายเป็นแฟนตาซี ทุกคนจะเจอความฝัน แล้วก็จะเลือกเดินทางไปหาหญิงชราหรือเดอะดาร์คแมน ช่วงนี้ใช้แนวคิดจากศาสนาคริสต์เป็นแกนหลัก ศรัทธาพระเจ้า การต่อสู้กับซาตาน แอบคิดว่าเยอะไปหน่อยนึง ไม่ค่อยชอบเรื่องที่อิงศาสนาเท่าไหร่ แต่คิดซะว่ามันคือสัญลักษณ์การต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่วในจิตใจมนุษย์ก็พอไหว ยังไงเนื้อเรื่องก็น่าติดตามดี แต่นิยายนี้เป็นเรื่องเก่า พิมพ์ครั้งแรกก็นานมาแล้วตั้งแต่ยุค 70 ประเด็นแฝงในเรื่องก็อาจจะดูล้าสมัยไปหน่อย กลัวอาวุธเชื้อโรค กลัวระเบิดปรมาณู การแบ่งค่ายระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์ ฯลฯ
เนื้อเรื่องช่วงสุดท้ายนี่ตอนอ่านเรานึกถึงลอร์ดออฟเดอะริงส์มากๆ เลย โดยเฉพาะตอนเดินทางข้ามเขาผ่านหิมะนี่ จนอ่านจบแล้วมาดูข้อมูล อ้อ เพราะคนเขียนตั้งใจจะให้เรื่องนี้เป็น The Lord of the Rings ที่ใช้ฉากแบบอเมริกันนั่นเอง มิน่าล่ะ โดยรวมๆ แล้วนี่เป็นนิยายที่ตอนอ่านน่ะชอบ แต่ถ้าเอามาอ่านใหม่ก็คงไม่สนุกเท่าไหร่แล้ว และความยาวขนาดนี้ก็คงอ่านซ้ำไม่ไหว เพราะฉะนั้นเอาคะแนนไป 8 ถ้วนๆ พอ
วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
Beastly: Lindy's Diary - Alex Flinn
คะแนน : 7
Beastly: Lindy's Diary เป็นภาคพิเศษของเรื่อง Beastly ที่ใช้เนื้อเรื่องจากใน Beastly มาเขียนใหม่ในรูปแบบไดอารี่ของลินดี้ที่เป็นนางเอก เป็นอีบุ๊คสั้นๆ อ่านแป๊บเดียวจบ เห็นว่าฉบับพิมพ์เป็นเล่มจะไปรวมอยู่ใน Beastly Special Edition ที่พิมพ์ใหม่ เห็นงานของ Alex Flinn (ยกให้เป็นเจ้าแม่นิยายรักโรแมนติคคอมเมดี้เลยเหรอ ขนาดนั้นเชียว) เปลี่ยนปกใหม่ทั้งเซตเลย คงเพื่อให้เข้าชุดกับเรื่องใหม่ Bewitching ที่เป็น spin-off ของเรื่องนี้ ให้แม่มดเคนดร้าเป็นตัวเอก
เหตุการณ์ในเรื่องเหมือนที่เกิดใน Beastly ทุกอย่าง แต่ย่นย่อกว่ามาก การเล่าจากมุมมองของลินดี้ยังไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ เวลาอ่านความคิดลินดี้แล้ว ทำไมรู้สึกว่านางเอกของเรื่องน่ารักน้อยลงกว่าตอนมองผ่านจากสายตาของเอเดรียนนะ ลินดี้ดูไม่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งอ่อนหวานน่ารักเหมือนเบลล์เวอร์ชันดิสนีย์เลย
(นอกเรื่องหน่อย ทำไม Beauty and the Beast 3D ไม่เข้าไทย อยากดูอ่ะ ตอนเวอร์ชัน IMAX จอใหญ่ก็เห็นมีคนดูเยอะนะ ทำไม 3D ไม่มาล่ะ เรื่องนี้เป็นการ์ตูนดิสนีย์อมตะนิรันดร์กาลในใจเรา ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก เพลงก็เพราะที่สุดแล้ว เรื่องอื่นน่ะดูรอบเดียว ยุคหลังปี 2000 ไม่ได้ดูแล้ว แต่ดิสนีย์ยุคกลางๆ นี่เราชอบเรื่องเว้นเรื่อง ถ้าเรื่องไหนตัวเอกเป็นผู้หญิงจะชอบมากกว่า พวกเจ้าหญิงดิสนีย์เธอจะต้องสู้ฝ่าฟันเอาชนะโชคชะตา ต้องพิสูจน์ให้ผู้อื่นยอมรับบทบาทของเธอ อย่างเงือกน้อย มู่หลาน โพคาฮอนทัส ฯลฯ ถ้าตัวเอกเป็นผู้ชายจะชอบน้อยหน่อย เพราะพวกดิสนีย์บอยน่ะอ่อนแอกว่า ต้องหนี ต้องโกหกว่าเป็นอะไรที่ตัวเองไม่ได้เป็น อย่างซิมบ้า อาละดิน เฮอร์คิวลิส ฯลฯ ประเด็นในเรื่องจะเป็นการต้องเอาชนะจิตใจตัวเองมากกว่า เลยรู้สึกว่าเก่งสู้ตัวเอกหญิงไม่ได้ ฮ่าฮ่า สงสัยอาจเพราะเป็นผู้หญิงเลยลำเอียง)
ไม่รู้สึกว่าได้อะไรใหม่จากในเรื่องสั้นนี้มากนัก แต่ก็โอเคแหละ อ่านได้เรื่อยๆ ยังไงนิทานเรื่องนี้มันก็เป็นพล็อตเรื่องโปรดของเราอยู่แล้ว ก็ถือเป็นโบนัสเฉยๆ มั้ง อาจจะเหมาะถ้าอยู่ในเล่มเดียวกัน แล้วพลิกกลับไปกลับมาอ่านเทียบกับฉากเดียวกันในเล่มหลักได้
ป.ล. อ้อ ลืมบอกว่า ชอบชื่อตัวละครเวอร์ชันนี้ เล่นคำดี ในเรื่องบอกว่า ไคล์แปลว่า handsome เอเดรียนแปลว่า the dark one แล้วก็ชอบตอนไคล์คุยกับลินดี้แล้วบอกว่า Lindy is pretty เพราะชื่อลินดาในภาษาสเปนแปลว่าสวย
Beastly: Lindy's Diary เป็นภาคพิเศษของเรื่อง Beastly ที่ใช้เนื้อเรื่องจากใน Beastly มาเขียนใหม่ในรูปแบบไดอารี่ของลินดี้ที่เป็นนางเอก เป็นอีบุ๊คสั้นๆ อ่านแป๊บเดียวจบ เห็นว่าฉบับพิมพ์เป็นเล่มจะไปรวมอยู่ใน Beastly Special Edition ที่พิมพ์ใหม่ เห็นงานของ Alex Flinn (ยกให้เป็นเจ้าแม่นิยายรักโรแมนติคคอมเมดี้เลยเหรอ ขนาดนั้นเชียว) เปลี่ยนปกใหม่ทั้งเซตเลย คงเพื่อให้เข้าชุดกับเรื่องใหม่ Bewitching ที่เป็น spin-off ของเรื่องนี้ ให้แม่มดเคนดร้าเป็นตัวเอก
เหตุการณ์ในเรื่องเหมือนที่เกิดใน Beastly ทุกอย่าง แต่ย่นย่อกว่ามาก การเล่าจากมุมมองของลินดี้ยังไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ เวลาอ่านความคิดลินดี้แล้ว ทำไมรู้สึกว่านางเอกของเรื่องน่ารักน้อยลงกว่าตอนมองผ่านจากสายตาของเอเดรียนนะ ลินดี้ดูไม่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งอ่อนหวานน่ารักเหมือนเบลล์เวอร์ชันดิสนีย์เลย
(นอกเรื่องหน่อย ทำไม Beauty and the Beast 3D ไม่เข้าไทย อยากดูอ่ะ ตอนเวอร์ชัน IMAX จอใหญ่ก็เห็นมีคนดูเยอะนะ ทำไม 3D ไม่มาล่ะ เรื่องนี้เป็นการ์ตูนดิสนีย์อมตะนิรันดร์กาลในใจเรา ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก เพลงก็เพราะที่สุดแล้ว เรื่องอื่นน่ะดูรอบเดียว ยุคหลังปี 2000 ไม่ได้ดูแล้ว แต่ดิสนีย์ยุคกลางๆ นี่เราชอบเรื่องเว้นเรื่อง ถ้าเรื่องไหนตัวเอกเป็นผู้หญิงจะชอบมากกว่า พวกเจ้าหญิงดิสนีย์เธอจะต้องสู้ฝ่าฟันเอาชนะโชคชะตา ต้องพิสูจน์ให้ผู้อื่นยอมรับบทบาทของเธอ อย่างเงือกน้อย มู่หลาน โพคาฮอนทัส ฯลฯ ถ้าตัวเอกเป็นผู้ชายจะชอบน้อยหน่อย เพราะพวกดิสนีย์บอยน่ะอ่อนแอกว่า ต้องหนี ต้องโกหกว่าเป็นอะไรที่ตัวเองไม่ได้เป็น อย่างซิมบ้า อาละดิน เฮอร์คิวลิส ฯลฯ ประเด็นในเรื่องจะเป็นการต้องเอาชนะจิตใจตัวเองมากกว่า เลยรู้สึกว่าเก่งสู้ตัวเอกหญิงไม่ได้ ฮ่าฮ่า สงสัยอาจเพราะเป็นผู้หญิงเลยลำเอียง)
ไม่รู้สึกว่าได้อะไรใหม่จากในเรื่องสั้นนี้มากนัก แต่ก็โอเคแหละ อ่านได้เรื่อยๆ ยังไงนิทานเรื่องนี้มันก็เป็นพล็อตเรื่องโปรดของเราอยู่แล้ว ก็ถือเป็นโบนัสเฉยๆ มั้ง อาจจะเหมาะถ้าอยู่ในเล่มเดียวกัน แล้วพลิกกลับไปกลับมาอ่านเทียบกับฉากเดียวกันในเล่มหลักได้
ป.ล. อ้อ ลืมบอกว่า ชอบชื่อตัวละครเวอร์ชันนี้ เล่นคำดี ในเรื่องบอกว่า ไคล์แปลว่า handsome เอเดรียนแปลว่า the dark one แล้วก็ชอบตอนไคล์คุยกับลินดี้แล้วบอกว่า Lindy is pretty เพราะชื่อลินดาในภาษาสเปนแปลว่าสวย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)