วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

The Best of Pippi Longstocking - Astrid Lindgren

คะแนน : 7.5

ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ไม่ค่อยมีนิยายออกใหม่ที่อยากอ่านเลย เล่มนี้หยิบมาอ่านเพราะ Stieg Larsson ผู้แต่ง Millennium Trilogy บอกว่า ปิ๊ปปี้เป็นต้นแบบของลิสเบ็ธ ก็เลยสนใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องคลาสสิคสำหรับเด็กฝรั่งไปแล้ว พิมพ์ครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่สองใหม่ๆ แต่งโดย Astrid Lindgren นักเขียนสวีเดนชื่อดัง คนเทียบกันกับนักเขียนเรื่องเด็กชื่อดังของอังกฤษ Enid Blyton ซึ่งเราชอบอ่านมากสมัยเป็นเด็ก โดยเฉพาะห้าสหายผจญภัย หุหุ ยังมีฉบับพิมพ์ครั้งแรกของแก้วกานต์เก็บอยู่เลยนะ

The Best of Pippi Longstocking เป็นเล่มที่รวมเรื่องของปิ๊ปปี้ 3 เล่มใน 1 เดียว ทั้ง Pippi Longstocking, Pippi in the South Sea, Pippi Goes Abroad ในนี้ประกอบด้วยเรื่องของปิ๊ปปี้สั้นๆ เป็นตอนๆ รวมทั้งหมด 32 ตอน บวก 1 ตอนโบนัส ก็คุ้มใช้ได้กับหนังสือสามร้อยกว่าบาท บนปกหลังบอกว่า เหมาะสำหรับเด็กอายุ 7 ปีขึ้นไป เราก็อายุเกินมาเยอะ แต่ก็ไม่เคยอ่านเรื่องนี้สมัยเด็กซะด้วย ถึงจะเขินนิดหน่อยแต่อยากรู้เรื่องก็ต้องอ่าน

อืมม์ อ่านแล้วก็พอเข้าใจที่เทียบปิ๊ปปี้กับลิสเบ็ธ แต่ปิ๊ปปี้เป็นเรื่องสำหรับเด็กก็ใสกว่าเยอะ ปิ๊ปปี้นี่มันเป็นเด็กไม่ปกติจริงๆ ด้วย นอกจากความเป็นซูเปอร์เกิร์ล เป็นเด็กผู้หญิงที่แข็งแรงที่สุดในโลกแล้ว ความคิดและการกระทำของเธอประหลาดไม่ธรรมดาจริงๆ ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่ในเรื่อง เจอเด็กอย่างปิ๊ปปี้คงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน อย่างตอนที่ไปโรงเรียน หรือตอนไปกินน้ำชาที่ข้างบ้าน

ถ้าเราอ่านเรื่องนี้ตอนเป็นเด็ก เราอาจจะชอบปิ๊ปปี้มากๆ ก็ได้ คงมองปิ๊ปปี้ด้วยสายตาของทอมมี่กับอันนิก้า ปิ๊ปปี้ทำอะไรก็เก่งไปหมด เล่นอะไรก็สนุก มีทองเต็มกระเป๋า ซื้อโน่นซื้อนี่แจกได้อีก อยู่คนเดียวไม่มีพ่อแม่ ไม่ต้องไปโรงเรียน ไม่ต้องทำตามกฎระเบียบของผู้ใหญ่ จุดเริ่มต้นที่ผู้แต่ง Astrid Lindgren เขียนเรื่องนี้ก็เพื่อเอาใจลูกสาวที่นอนป่วยไม่ได้ไปโรงเรียน ปิ๊ปปี้ก็เลยเป็นตัวแทนความฝันของเด็กๆ แต่ในเมื่อมาอ่านตอนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เวลาอ่านตอนที่ปิ๊ปปี้ให้ของ ให้ขนม หรือซื้อตั๋วให้ทอมมี่กับอันนิก้าทีไร เราก็ตะขิดตะขวงใจทุกที เหมือนทอมมี่กับอันนิก้ามาเกาะปิ๊ปปี้ยังไงไม่รู้ ซึ่งถ้าเป็นเด็กๆ อาจไม่ต้องคิดมาก เด็กๆ ในเรื่องเขาคบกันด้วยน้ำใจแท้จริง แต่เราเลยวัยที่จะมองโลกใสซื่ออย่างนั้นได้อีกแล้ว

อ่านแล้วก็นึกเสียดายมุมมองตอนเป็นเด็กขึ้นมาเหมือนกัน นึกถึงทีไรก็รู้สึกรักชีวิตวัยเด็กของตัวเองขึ้นมาทุกที ชีวิตตอนเด็กนี่มันสนุกจริงๆ มองโลกเหมือนเป็นสนามเด็กเล่น แต่ในเมื่อเราหยุดการเติบโตของตัวเองไม่ได้ และเอาเข้าจริงๆ ก็คงไม่มีใครอยากเป็นเด็กตลอดไป สิ่งที่ทำได้ก็คงมีแค่เพียง เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ลืมว่าตัวเองเคยเป็นเด็ก

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

A Game of Thrones - George R. R. Martin

คะแนน : 7

นิยายแฟนตาซีที่เคยได้รางวัลหนังสือแฟนตาซียอดเยี่ยมปี 1997 ตอนนี้กำลังถูกสร้างเป็นทีวีซีรีส์ของ HBO มีกำหนดจะออกฉายปีหน้า A Game of Thrones เป็นเล่มแรกของนิยายมหากาพย์แฟนตาซี ชุด A Song of Ice and Fire ซึ่งตอนนี้ออกมาแล้ว 4 เล่ม แล้วผู้แต่งวางแผนไว้ว่าจะมีตามมาอีก 3 เล่ม (เป็นอย่างน้อย)

หนังสือยาวมาก 800 กว่าหน้า กว่าจะอ่านจบก็เหนื่อยพอดู ถ้าเล่มบางเราจะรู้สึกว่าอีกนิดเดียวอ่านให้จบๆ แต่นี่มันยาว ก็ยิ่งอ่านได้ช้าเพราะวางบ่อยมาก ไม่ได้อ่านต่อเนื่อง หนังสือเล่าเรื่องราวของดินแดน Seven Kingdoms ที่มีบรรยากาศเหมือนยุคกลาง โดยเล่าผ่านมุมมองของตัวละครแต่ละคนสลับกันไปมาทีละบท โดยแต่ละบทก็จะขึ้นด้วยชื่อของตัวละครเด่นในบทนั้น ในเล่มแรกมีตัวละครแบบที่ว่า 8 คน โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนในครอบครัว Stark

เนื้อเรื่องกล่าวถึงสงครามภายในอาณาจักร การต่อสู้ชิงไหวพริบเล่ห์เหลี่ยม การแก่งแย่งระหว่างตระกูลต่างๆ เพื่อความเป็นใหญ่ในดินแดน ตัวละครหลักเป็นคนในตระกูล Stark เป็นผู้ปกครองดินแดนทางเหนือ เป็นผู้ช่วยของกษัตริย์ ในครอบครัวมีลอร์ดกับเลดี้ แล้วก็ลูกๆ ของพวกเขา มี 5 คน คนโตอายุ 14 ไล่ไปถึง 3 ขวบ แถมลูกชายนอกสมรสของลอร์ดอีกคน

บอกว่าเป็นนิยายแฟนตาซี แต่ความเป็นแฟนตาซียังไม่ค่อยเห็นนะ เหมือนจะมีอมนุษย์นอกกำแพง มังกร สุนัขป่าที่อาจจะมีพลังพิเศษ แต่โดยรวมเหมือนอ่านเรื่องประวัติศาสตร์การต่อสู้ยุคอัศวินซะมากกว่า ก็เป็นนิยายที่โอเค แต่ก็ยังไม่โดดเด่นประทับใจเรานัก ปัญหาคือ ตัวละครที่มีเยอะมาก การตัดเปลี่ยนมุมมองไปมา คือเราเข้าใจนะว่า เรื่องสไตล์ epic เนื้อเรื่องกับตัวละครมันก็จะเยอะเป็นธรรมดา อ่านๆ ไปมันก็จำได้แหละ ไม่มีปัญหาเรื่องจำชื่อคน แต่มีปัญหาว่า การไม่มีตัวละครหลักดำเนินเรื่อง ทำให้เราไม่รู้จะแคร์ใครดี พอไม่อินกับตัวละคร ก็ไม่อินกับเนื้อเรื่องไปด้วย ก็เหมือนอ่านๆ ไปให้รู้เนื้อเรื่องเท่านั้นเอง

ตัวละครที่มีเยอะแยะ แต่ไม่มีใครที่เราชอบสักคน พวกเด็กๆ อย่าง Arya กับ Bran ที่เรากำลังจะเริ่มชอบ ก็บทน้อยไป แป๊บเดียวก็ถูกตัดบทไม่กล่าวถึง ส่วน Lord Eddard Stark เป็นอัศวินผู้ทรงเกียรติที่ทำให้เราแสนรำคาญ เหมือนจะเป็นคนดี คนเก่ง แต่ทำไมบทจะงี่เง่าก็ห่วยเหลือเกิน โดยเฉพาะตอนที่รู้ความลับของราชินี
สปอยล์

ซึ่งก็รู้กันอยู่ในเรื่องว่าเป็นนางงูพิษ ตัวเองก็สงสัยเค้าอยู่ว่า ตระกูลของราชินีเป็นคนฆ่าเพื่อนตัวเอง แทนที่จะจัดการอะไร พี่แกทำไงรู้เปล่า ขอให้ราชินีมาพบ แล้วบอกให้ราชินีเนรเทศตัวเองซะ ผลสุดท้ายตัวเองเลยโดนย้อนรอยเล่นงานซะเอง

เจอแบบนี้เราก็หมดความอดทนกับเขาทันที จนคิดขึ้นมาว่า เลิกอ่านแค่นี้ดีมั้ย เพราะเดี๋ยวเราจะเจอพฤติกรรมโง่ๆ แบบนี้จากตัวละครอีกเรื่อยๆ รึเปล่า ดีที่คนอื่นไม่ค่อยงี่เง่าเท่าเขาเท่าไหร่ ก็เลยอ่านต่อได้

อ่านจบไปแบบสองจิตสองใจ บางช่วงก็เหมือนจะสนุก แต่ก็มีช่วงที่น้ำเยอะมากที่ทำให้เบื่อที่จะอ่าน ยังไม่รู้จะอ่านต่อเล่มสองดีรึเปล่า ตัดสินใจไม่ถูกว่ามันคุ้มกับเวลามั้ย

Update
- ดูซีรีส์ HBO ไปบางตอน โปรดักชันดีมากเลยนะ เห็นเป็นภาพเลยมันก็ช่วยให้น่าดู พวกฉากต่างๆ ทำตื่นตาตื่นใจดี
- แคสติ้งตัวละครดีมาก แต่พวกร็อบ จอน ซันซ่า เดเนอรีส จะถูกปรับบทให้อายุมากกว่าที่บอกในนิยายที่ยังไม่เกิน 14 กันสักคน เพราะเดี๋ยวพวกนี้ต้องมีบทสำคัญขึ้นในเล่ม/ซีซันต่อๆ ไป อย่างเดเนอรีสนี่ตอนอ่านในหนังสือฉากส่งตัวเจ้าสาว จะต้องทำใจเหมือนเห็นเด็กถูกล่วงเกิน แต่ในหนังดูโตหน่อยแล้วก็เลยไม่สะเทือนใจเท่าไหร่
- แหม เลือกตัวแสดงผู้หญิงมาแต่ละคน สวยๆ ทั้งนั้น ราชินีเซอร์ซี ซันซ่า เดเนอรีส พวกนี้ตามบทก็สวย แต่อ่านในหนังสือแล้วไม่ชอบ เพราะนิสัยไม่ค่อยดี แต่พอเห็นหน้าตาแบบนี้คงเรียกแฟนได้อื้อ
- เนื้อเรื่องตรงตามหนังสือ แต่เพราะต้องทำให้กระชับเหมาะกับเวลา เฉลี่ยหนังสือ 80 หน้า ใน 1 ตอน ก็ทำให้ดูสนุกกว่าอ่าน เพราะไม่มีไอ้ตอนที่รู้สึกว่ามันน้ำๆ
- บางฉากเรายังมีแอบเบื่ออยู่จากเรื่องการเมืองในเรื่อง แต่ถ้าใครดูหนังสนุกตลอด ก็ลองมาอ่านหนังสือดูอาจจะชอบ เพราะในเล่มถัดๆ ไปจะมีเนื้อเรื่องมากกว่านี้อีกเยอะ ตอนนี้นิยายออกมาถึงเล่ม 5 แล้ว

หมายเหตุ: ซับไตเติลไทยที่ฉายทาง HBO ทรูวิชั่นส์ มีขัดหลายที่นะคะ เข้าใจว่าคนแปลอาจไม่มีเวลามาอ่านนิยาย ขอช่วยอธิบายให้คนที่ดูเรื่องนี้แต่ไม่ได้อ่านหนังสือเข้าใจมากขึ้นหน่อย
- วิเซอรีส พี่ชายน้องเดนี่ ที่บอกว่าเป็น the Third of his Name ไม่ใช่เป็นรัชทายาทลำดับสามนะ ตระกูลแทการ์เรียนเหลือผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการแค่สองพี่น้องนี้แหละ คงหมายถึงว่าเป็นกษัตริย์ชื่อวิเซอรีสคนที่ 3 ของราชวงศ์ต่างหาก (ประมาณว่า พระเจ้าวิเซอรีสที่ 3) จริงๆ ยังไม่ได้เป็น ถึงจะไร้บัลลังก์ต้องหนีตายหัวซุกหัวซุนมาต่างแดน แต่นายสอพลอคนนั้นก็อวยให้
- เจมี่ แลนนิสเตอร์ เป็นน้องชายฝาแฝดของราชินี ไม่ใช่พี่ชาย นิยายบอกชัดว่าเจมี่เกิดตามหลังเซอร์ซี ประเด็นนี้เราคิดว่าสำคัญ เพราะมันจะเกี่ยวพันถึงเนื้อเรื่องอนาคตเล่มต่อๆ ไป เรื่องคำทำนาย

Update (5 ต.ค. 54)
ใครอยากอ่านรายละเอียดของเรื่องนี้เพิ่มเติม เข้าไปดูที่แฟนไซต์ของคุณ P Chong ได้เลยค่ะ ข้อมูลเยอะมาก ใส่ link ให้นะคะ จะได้กดสะดวก http://www.gameofthronesfansite.com

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

Mini Shopaholic - Sophie Kinsella

คะแนน : 8

สาวนักช้อปเล่มใหม่ สัปดาห์ก่อนที่ไปเดินคิโนะฯ เล่มนี้เพิ่งวางแผง เห็นหยิบกันอย่างกับขนมเค้กปีใหม่เลย จากตั้งสูงๆ แป๊บเดียวหายไปเกือบหมดกอง เล่มนี้เป็นสาวนักช้อปเล่มที่ 6 แล้ว ออกห่างจากเล่มก่อน Shopaholic & Baby นานเหมือนกัน 3 ปี ระหว่างนั้นมีเล่มก่อนหน้าของ Sophie Kinsella คือ Twenties Girl เราไม่อ่าน เพราะไม่ค่อยชอบเรื่องที่ไม่ใช่สาวนักช็อปของเธอ คือ The Undomestic Goddess โอเค แต่เราไม่ชอบ Can You Keep a Secret? ก็เลยเหมือนว่า เราทนคนแบบเบ็คกี้ได้คนเดียว คนอื่นแบบนี้มาอีกก็ไม่ไหวแล้ว

เล่มนี้ชื่อว่า Mini Shopaholic ตอนนี้ มินนี่ ลูกสาวของลุคกับเบ็คกี้ อายุ 2 ขวบแล้ว เป็นวัยที่กำลังรับมือยาก ทั้งน่ารักทั้งดื้อล่ะนะ แต่โฟกัสในเล่มนี้ไม่ใช่เรื่องลูก แต่อยู่ที่เรื่องราวของการจัดงานเซอร์ไพรส์ปาร์ตี้วันเกิดให้ลุค ก็ตามสูตรของซีรีส์ Shopaholic ล่ะ แม่สาวนักช้อปของเราทำอะไรธรรมดาๆ เป็นที่ไหน เบ็คกี้พยายามจัดงานโดยไม่ให้ลุครู้ แต่แล้วสถานการณ์ก็เริ่มบานปลาย สุดท้ายแทบจะเข้าตาจน แต่แล้วคุณก็รู้ว่ามันจะลงเอยด้วยดีใช่ไหมล่ะ ถ้าคุณเป็นแฟนซีรีส์นี้ก็คงไม่ผิดหวัง ยังตลกน่ารักเหมือนเดิม อ่านไปหัวเราะไป มีช่วงเวลาตกต่ำน่าใจหายของเบ็คกี้ แล้วสุดท้ายหัวใจก็เบ่งบานเมื่อเธอแก้ไขสถานการณ์ได้สำเร็จ

รู้จัก รีเบคคา บลูมวูด จากหน้าหนังสือมาหลายปี ได้ติดตามชีวิตของเบ็คกี้ตั้งแต่คุณเธอเพิ่งเริ่มทำงาน จนแต่งงานกับลุค มีลูก จนรู้สึกเหมือนเพื่อนเก่าแล้ว อ่านเล่มนี้ก็เหมือนไปงานเลี้ยง ที่ได้เจอเพื่อนที่นานๆ เจอทีแล้วคุยกัน แล้วได้รู้เรื่องอัปเดตชีวิตเค้า หัวเราะขำๆ กับเรื่องที่เค้าเล่า แต่ในชีวิตจริงเราไม่มีเพื่อนอย่างนี้หรอก คงอดทนกับผู้หญิงสติแตกแบบนี้ไม่ได้ แต่เราก็ชอบอ่านเรื่องของเธอเสมอ เบ็คกี้มีช่วงเวลาที่น่ารำคาญกับความบ้าช็อปปิ้งของเธอ ไหนจะยังความเหลวไหลไร้สติเพ้อเจ้อ ที่พาเธอไปสู่สถานการณ์ลำบากหลายๆ หน แต่ที่สุดแล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดีงาม และเป็นคนน่ารัก สรุปว่า ซีรีส์นี้ยังน่าตามอ่านเหมือนเดิม อาจจะไม่ใช่ด้วยการรอคอยใจจดใจจ่อ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้อ่านเล่มใหม่เสมอ และท้ายเล่มนี้ก็เตรียมปูพื้นของเล่มหน้าไว้แล้ว

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

Emerald Embrace - Shannon Drake

คะแนน : 7

นิยายของ Shannon Drake เรื่องนี้เป็นเรื่องโรแมนซ์แนวลึกลับ งานเก่าตั้งแต่ปี 1991 เอามาพิมพ์ใหม่ปีนี้ อารมณ์ประมาณเรื่องปราสาทมืด หลังสงครามกลางเมืองอเมริกาจบลง มาร์ทิส เซนต์เจมส์ เดินทางมายังปราสาทครีแกนในประเทศสกอตแลนด์ โดยอ้างว่า เธอคือ เลดี้เซนต์เจมส์ แม่ม่ายซึ่งเป็นพี่สาวของ แมรี่ อดีตเลดี้ภรรยาของ Laird (ตำแหน่งลอร์ดของสกอตแลนด์) ที่เพิ่งเสียชีวิตไปกะทันหันอย่างมีเงื่อนงำ มาร์ทิสต้องการสืบหาสาเหตุการตายของแมรี่ เพื่อนของเธอ เพราะก่อนตาย จดหมายของแมรี่แสดงว่าเธอกำลังกลัวอะไรอยู่ และสาเหตุสำคัญอีกอย่างก็คือ เธอจำเป็นต้องมาค้นหามรกตซึ่งเป็นสมบัติของตระกูลเธอ ที่ถูกนำไปฝากไว้กับแมรี่ เนื่องจากกลัวจะสูญเสียมันไปยามสงคราม ที่นั่น เธอได้พบกับ บรู๊ซ ครีแกน เจ้าของปราสาทรูปงาม และครอบครัวของเขา ท่ามกลางความลึกลับ และหวั่นไหวไม่แน่ใจว่าใครคือมิตรคือศัตรู มาร์ทิสต้องพยายามค้นหาความจริงและค้นหามรกตของเธอ

อารมณ์ลึกลับตลอดทั้งเรื่อง แต่ไม่ใช่แนวสืบสวน คือ เดี๋ยวก็เจอศพในสุสาน เดี๋ยวก็ถูกใครไม่รู้จับขังในห้องใต้ดิน มีทางเดินลับในปราสาท มีเด็กสาวในหมู่บ้านหายตัวไป เจอกลุ่มชายในผ้าคลุมลอบพบปะกัน แล้วถูกไล่ตาม แถมความลึกลับในตัว บรู๊ซ ครีแกน เขาอาจไม่ใช่คนที่เขาบอกว่าเป็น หรือเขาอาจจะเป็นผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ประหลาดต่างๆ ถึงจะไม่แน่ใจในตัวเขา แต่นางเอกก็อดไปหลงรักเขาไม่ได้ ก็ประมาณอย่างนี้ทั้งเรื่องอ่ะค่ะ อ่านได้เพลินๆ ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก

Millennium Trilogy Thailand Fan Club

Millennium Trilogy Thailand Fan Club Logo
ไม่ได้อัปเดตบล็อกซะนาน นอกจากเพราะงานที่ยุ่งจนต้องเอากลับมาทำต่อที่บ้านทุกวันแล้ว ช่วงที่ผ่านมายังอินอยู่กับ Millennium Trilogy ไปเดินคิโนะฯ มีเวอร์ชันปกอ่อนของทั้ง US กับ UK กับปกแบบ Film Tie-In แต่ไม่มีเล่มปกแข็ง เลยต้องสั่งซื้อกับอเมซอน พ่วง DVD หนังด้วย เรื่องไหนชอบมากๆ ต้องซื้อเก็บให้หมด เล่ม Fire ที่เราเคยบอกว่า ช่วงแรกน่าเบื่อ เราเอามาอ่านใหม่ มันก็ไม่น่าเบื่อแล้ว ตอนนี้อยู่ในอาการที่ว่า เท่าไหร่ก็ไม่พอ

เราไม่ได้ตกอยู่ในอาการคลั่งไคล้อะไรมานานหลายปีแล้ว ครั้งสุดท้ายคือ Harry Potter ดังนั้น เราก็เลยยังไม่อ่านหนังสือเรื่องอื่น ไม่อยากให้มีอะไรมาแบ่งแยกจิตใจ ยังอยากจมอยู่กับความรู้สึกปลาบปลื้มนี้ไปเรื่อยๆ ก่อน ใช้เวลาสัปดาห์ที่ผ่านมาท่องเว็บ หาอ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับหนังสือชุดนี้ ผลลัพธ์ก็คือ นี่ค่ะ เว็บไซต์ Millennium Trilogy Thailand Fan Club นั่งทำเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ใครสนใจแวะไปเยี่ยมเยียนได้ค่ะ