อ่านจบไป 30-40 เล่มมั้ง ไม่ได้เขียนเลย
The Cuckoo's Calling - Robert Galbraith (คะแนน : 7.5)
เล่มนี้ยังไงก็คงต้องอ่านล่ะ เจเคนี่ก็เข้าใจตั้งนามปากกานะ นี่เป็นนิยายสืบสวนขนานแท้แนวหาตัวคนร้าย พระเอกเป็นนักสืบเอกชนใส่ขาเทียม เป็นอดีตทหารหน่วยสืบสวน เราเฉยๆ กับตัวพระเอกนะ แต่ชอบโรบินที่เป็นเลขาฯ ตอนต้นเรื่องกับกลางๆ ก็เรื่อยๆ แต่ตอนท้ายสนุกดี ตอนอ่านเราไม่ได้คิดถึงว่าใครเขียนเลย ดีแล้วมั้งนะที่ The Casual Vacancy ทลายกำแพงความคาดหวังทั้งหมดไป ทำให้เล่มนี้เรามองที่ตัวนิยายเองเป็นหลักมากกว่า ก็เป็นเรื่องที่เขียนดีนะ วางโครงเรื่องดี ไม่มีหลุดอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษมากไปกว่าเรื่องแนวนี้ทั่วไป ยังไงเราว่าถ้าความลับไม่แตก นิยายเล่มนี้ก็คงจมอยู่อันดับท้ายๆ ยอดขายไม่กี่พันเล่มอยู่อย่างนั้นแหละ
Into the Light - Ellen O'Connell (คะแนน : 8) ภาคต่อของ Beautiful Bad Man ตอนแรกเกือบจะไม่กล้าอ่านแล้วเพราะความหลังนางเอก แต่เล่มนี้สนุกดีเลย
MacRieve - Kresley Cole (คะแนน : 7.5)
The Hit - David Baldacci (คะแนน : 8.5) เล่มนี้เป็นเรื่องที่สนุกที่สุดที่เราได้อ่านไปในรอบ 6-7 เดือนที่ผ่านมาเลย ตอนที่เราอ่านฉากการเผชิญหน้าครั้งแรกของพระเอกกับรีล เรานั่งอ่านตอนกินโต๊ะจีนอยู่กลางงานเลี้ยงที่เสียงลำโพงดังมาก แต่ตอนอ่านฉากนั้นเราไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ทั้งตัวทั้งใจเข้าไปอยู่ในเรื่องหมด พออ่านจบฉากรู้สึกตัวอีกทีต้องถอนหายใจเลย เป็นนิยายที่ให้ความหมายเต็มแก่คำว่า action thriller
The Innocent - David Baldacci (คะแนน : 8) อ่านเล่มนี้ก่อนก็ดีจะได้เข้าใจตัวพระเอกมากขึ้นก่อนจะอ่าน The Hit
The Bridgertons: Happily Ever After - Julia Quinn (คะแนน : 7.5) รวมเล่ม Second Epilogue ของชุด Bridgerton ชอบที่สุดคือตอนของ The Viscount Who Loved Me ฉากเล่นพาลมาลที่อ่านทีไรก็ยังขำทุกที ตอนอื่นๆ นอกนั้นเฉยๆ สามตอนที่เพิ่มมาใหม่งั้นๆ มาก โดยเฉพาะเรื่องของไวโอเล็ต มีเรื่องย้อนถึงรุ่นพ่อแม่ทั้งที น่าจะเขียนได้ประทับใจกว่านี้
One Heart to Win - Johanna Lindsey (คะแนน : 7.5)
The Informationist - Taylor Stevens (คะแนน : 7.5) ลิสเบ็ธ ซาลันเดอร์ของอเมริกาหรือ? ยังห่างไกล อย่าเทียบกันเลยไม่เหมือนหรอก
Heart of Obsidian - Nalini Singh (คะแนน : 8) เรานึกว่าจะชอบเรื่องของคาเล็บมากกว่านี้ สนุกนะแต่หวังเยอะไปหน่อยเลยเกือบๆ จะผิดหวังกับเล่มนี้เลย ว่าแต่แฟนๆ หนังสือชุดนี้เจ๋งมากที่มีคนเดาตัวนางเอกถูกกันตั้งนานแล้วด้วยทั้งที่มีกล่าวถึงในเล่มก่อนๆ นิดเดียวเองนะ
The Price of Salt - Patricia Highsmith (คะแนน : 7.5) ครึ่งเล่มแรกเหมือนน่าเบื่อแต่ครึ่งเล่มหลังดี อ่านตามแล้วนึกหน้านางเอกทั้งสองเป็นหน้าเคทกับมีอานี่ใช่เลยนะ แต่คงไม่ดูหนังเรื่องนี้มั้ง
Inferno - Dan Brown (คะแนน : 8) เราไม่เคยผิดหวังกับแดน บราวน์ ชอบตอนจบเรื่องนี้อ่ะ เราผิดปรกติรึเปล่า
Dead Ever After (Sookie Stackhouse #13) - Charlaine Harris (คะแนน : 7) มีเวลาทำใจเป็นปีเลยไม่เป็นไร ตอนอ่านก็แบบเมื่อไหร่กิโยตินจะหล่นลงมาซะที ไม่กี่บทก็รู้ชะตา หลังจากนั้นก็อ่านเรื่อยๆ อ่านจบแล้วไปอ่านเสียงครวญของคนอื่นๆ เรายังหัวเราะออก ยังมีคนที่เสียความรู้สึกมากกว่าเราเยอะ ไม่รู้จะพูดไงไม่ให้ฟังดูผูกใจเจ็บมากนัก แต่เราก็คิดเหมือนหลายคนว่าจะไม่มีวันอ่านงานของ Charlaine Harris อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะผิดหวังจากตัวละครที่เชียร์ แต่เพราะเรื่องมันเหมือนจบแบบขอไปทีมากเลย
The Son of Sobek - Rick Riordan (คะแนน : 7) คาร์เตอร์มาเจอหน้าเพอร์ซีย์แล้ว ยิ่งมาอยู่ด้วยกันยิ่งรู้สึกว่าคาร์เตอร์ห่วย เรื่องนี้เขียนเหมือนปูทางให้ The Kane Chronicles ที่จบชุดไตรภาคแรกแล้วไปมีภาคสองต่อ
ยุทธการล่าบัลลังก์ #1-7 - จิ่วถู (คะแนน : 7.5) ตอนอ่านสนุก ฉากรบเขียนดี แต่ตอนนี้เราจำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แทบไม่ได้เลย ตัวละครไม่มีอะไรน่าจดจำ อ้อ ว่าแต่พระเอกเรื่องนี้คือบทของเฮียเหลียงเฉาเหว่ยในเรื่องศึกลำน้ำเลือดใช่ป่าว ไม่ค่อยชอบเรื่องนั้นอาจจะมีผลถึงตอนอ่านเรื่องนี้
Love Irresistibly (FBI / US Attorney #4) - Julie James (คะแนน : 7.75) ครึ่งแรกตอนพระเอกนางเอกคุยกันสนุก ตอนหลังที่ไม่ยอมคุยกันมันก็น่าเบื่อ เบื่อประเด็นเรื่องงานของนางเอกกับประเด็นเรื่องพ่อของพระเอก เป็นครั้งแรกที่อ่านเรื่องของ JJ แล้วให้คะแนนน้อยกว่า 8
Wild Invitation: A Psy/Changeling Anthology - Nalini Singh (คะแนน : 7.5)
Calculated in Death - J.D. Robb (คะแนน : 7)
Shadow Woman - Linda Howard (คะแนน : 7)
Immortals After Dark #1-#12 - Kresley Cole (คะแนน : 8) เราอ่านเรื่องชุดนี้ 12 เล่มรวดเมื่อตอนช่วงหยุดปีใหม่มั้งนะ ก็แปลว่าชอบ ขอบคุณที่แนะนำนะคะ เราชอบคู่ของเซบีนกับริดสตรอมที่สุด แต่บางคู่ก็น่ารำคาญนิดหน่อย แบบลูเซีย ทำให้ยังชอบเรื่องชุดนี้ได้ไม่สุดค่ะ เราติดตรงที่ว่าพระเอก-นางเอกไม่เคยเคลียร์ปัญหากันเองก่อนเลย ต้องปล่อยให้สถานการณ์พาไปเลยเถิดค่อยตกลงปลงใจกันได้ทีหลัง จริงๆ มันมีหลายประเด็นที่อยากพูดถึงแต่ยังขี้เกียจเขียนยาวๆ เอาไว้ก่อนนะคะ
Days of Blood and Starlight - Laini Taylor (คะแนน : 8) YA แฟนตาซีที่มีประเด็นเรื่องรักดีที่สุด ตอนที่คารูวมองอาคิว่าแล้วเกลียดตัวเองที่ยังรักเขาน่ะ เฉือนหัวใจดี เล่มแรกเราว่าบรรยากาศเหมือน CLAMP เล่มนี้เราจินตนาการตัวละครด้วยลายเส้นแบบเรื่อง Bastard! (Kazushi Hagiwara) เล่ม 3 ออกเร็วๆ สิอยากรู้ตอนจบ
Looking for Alaska - John Green (คะแนน : 7.5) เราอ่านเรื่องนี้เพราะอยากรู้ว่าตรงไหนเป็นสไตล์ของคนแต่ง ตรงไหนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ TFiOS เราว่า John Green ออกจะหมกมุ่นกับความตายอยู่สักหน่อย เป็นธีมสำคัญของทั้งสองเรื่อง แต่ TFiOS เขียนดีกว่า เล่มนี้เราอ่านตอนที่เพิ่งไปดู The Perks of Being a Wallflower มาไม่นาน เลยยิ่งรู้สึกว่าไมลส์กับอลาสก้าเรื่องนี้เหมือนชาร์ลีกับแซมเรื่องโน้นมากๆ เลย
Beautiful Bad Man - Ellen O'Connell (คะแนน : 7.5)
วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
The Light Between Oceans - M. L. Stedman
คะแนน : 8
ช่วงนี้ทำไมไม่ค่อยมีเรื่องที่นึกอยากอ่านไม่รู้ บางทีจะหานิยายสักเล่มเสียเวลานั่งเช็ครีวิวไปเยอะซะจนคิดว่าถ้าไม่คิดมากเอามาอ่านเลยก็อ่านจบไปแล้วล่ะ ใช้เวลาน้อยกว่าการพยายามหาข้อมูลเพื่อตัดสินใจซะอีก ชักจะรำคาญตัวเองเล่มนี้เราเลยไม่คิดเยอะเห็นเรื่องย่อพอน่าสนใจดาวดีพอควรก็ลองเลย แล้วก็คุ้ม
ทอม เชอร์บอร์น กลับมาบ้านเกิดออสเตรเลียหลังจากไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้จะกลับมาพร้อมเหรียญกล้าหาญแต่เขาก็ไม่มีความสงบใจ จึงไปขอรับงานเป็นผู้ดูแลประภาคารบนเกาะเล็กนอกชายฝั่ง เขาพบรักและแต่งงานกับหญิงสาวชื่ออิซาเบล และพาไปอยู่ด้วยกันบนเกาะเพียงสองคน ผ่านไปหลายปีหลังจากการสูญเสียลูกในท้องหลายครั้ง วันหนึ่งก็มีเรือลำหนึ่งลอยมาติดเกาะ บนเรือมีศพชายคนหนึ่งพร้อมเด็กทารกหนึ่งคน ทอมและอิซาเบลตัดสินใจเลี้ยงเด็กคนนั้นขึ้นมาในฐานะลูกสาวของตนเอง ผลที่ตามมาคือการต่อสู้ระหว่างความรักในครอบครัวกับสำนึกเรื่องความถูกต้องในจิตใจ
เนื้อเรื่องของนิยายเล่มนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ประเด็นหลักของเล่มนี้เป็นสิ่งที่เกิดในจิตใจของตัวละครมากกว่า เป็นความท้าทายมโนธรรม ถ้าต้องอยู่ระหว่างการกระทำที่จะทำร้ายครอบครัวตัวเองไปทั้งชีวิต กับการมีความสุขที่เกิดบนความทุกข์ของผู้อื่นต่อไป เวลาอ่านแล้วจะเกิดคำถามว่าถ้าสมมุติเราเจอแบบนั้นเราจะทำยังไง คงจะลำบากใจน่าดู แต่โชคดีในชีวิตจริงคงไม่เจอเรื่องแบบนั้นกันง่ายๆ หรอก แต่มันก็เป็นการทดสอบจิตใจคนอ่านเหมือนกันนะ บอกไม่ได้หรอกว่าใครถูกใครผิด บอกได้แต่ว่าเข้าใจและเห็นใจตัวละครในเรื่องทุกคน
เราชอบสำนวนการเขียนของนิยายเล่มนี้ อย่างประโยคที่ว่า "เมื่อภรรยาสูญเสียสามี จะมีศัพท์ใหม่มาใช้แทนสถานะ เธอกลายเป็นแม่ม่าย เมื่อสามีเสียภรรยาเขากลายเป็นพ่อม่าย แต่ถ้าพ่อแม่สูญเสียลูก ไม่มีคำพิเศษมาช่วยตีตราความทุกข์โศกนั้นเลย" หรือว่า "ให้อภัยและลืมมันไป ไม่ใช่ง่าย แต่เหนื่อยน้อยกว่ามาก การให้อภัยนั้นทำครั้งเดียว แต่ถ้าจะคับแค้นใจ ต้องทำตลอดวันตลอดไป" ผู้แต่งบรรยายสภาพความคิดจิตใจตัวละครได้ดีมากๆ ฉากที่อิซาเบลวิ่งออกไปนอกบ้านหลังเพิ่งเสียลูกไปนี่อ่านแล้วหัวใจขาดเป็นริ้วๆ เลย จดหมายที่ทอมเขียนถึงอิซาเบลจากในคุกก็ทำเราน้ำตาร่วง
ถึงแม้จะมีความในใจตัวละครเยอะ แต่ก็ยังสามารถรักษาระดับความเร็วของการดำเนินเรื่องได้ดี ไม่มีตอนที่รู้สึกว่าเอื่อย บอกเล่าเนื้อเรื่องได้น่าสนใจ มีเหตุการณ์ที่ค่อยๆ เกิดขึ้นต่อๆ มาเป็นลูกโซ่ ดึงดูดให้อยากรู้ความเป็นไปของตัวละครได้ตลอดเรื่อง ตอนเล่าจากมุมอิซาเบลบางทีเราก็เข้าใจที่เธอโกรธแค้นทอม แต่พอเห็นฮันน่าห์เราก็โคตรสงสารเลย เข้าใจทอมเหมือนกันแล้วก็คิดว่าอิซาเบลเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมคืนลูก ตอนจบเศร้าไปหน่อยแต่ทำไงได้ สถานการณ์แบบนั้นคงยากที่ทุกคนจะทำใจให้มีความสุขหมดทุกคนได้
อ่านจบแล้วเรารู้สึกว่ามันเศร้า แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากให้เรื่องนี้จบดีกว่านี้ยังไง ไม่รู้จะเปลี่ยนเหตุการณ์ตรงไหนในเรื่อง สุดท้ายต้องทำใจแล้วก็ยอมรับกับการกระทำ เสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วมันไม่มีประโยชน์ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่ คนเราคงมองภาพใหญ่ทั้งหมดของชีวิตตนเองไม่ออก เราไม่รู้หรอกว่าการกระทำแต่ละครั้งอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปยังไง อะไรจะดีกับชีวิตเราโดยรวมมากกว่า ได้แค่พยายามทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด ที่เหลือก็แล้วแต่เบื้องบน ตัวเอกในเรื่องคงคิดอย่างนี้
ช่วงนี้ทำไมไม่ค่อยมีเรื่องที่นึกอยากอ่านไม่รู้ บางทีจะหานิยายสักเล่มเสียเวลานั่งเช็ครีวิวไปเยอะซะจนคิดว่าถ้าไม่คิดมากเอามาอ่านเลยก็อ่านจบไปแล้วล่ะ ใช้เวลาน้อยกว่าการพยายามหาข้อมูลเพื่อตัดสินใจซะอีก ชักจะรำคาญตัวเองเล่มนี้เราเลยไม่คิดเยอะเห็นเรื่องย่อพอน่าสนใจดาวดีพอควรก็ลองเลย แล้วก็คุ้ม
ทอม เชอร์บอร์น กลับมาบ้านเกิดออสเตรเลียหลังจากไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้จะกลับมาพร้อมเหรียญกล้าหาญแต่เขาก็ไม่มีความสงบใจ จึงไปขอรับงานเป็นผู้ดูแลประภาคารบนเกาะเล็กนอกชายฝั่ง เขาพบรักและแต่งงานกับหญิงสาวชื่ออิซาเบล และพาไปอยู่ด้วยกันบนเกาะเพียงสองคน ผ่านไปหลายปีหลังจากการสูญเสียลูกในท้องหลายครั้ง วันหนึ่งก็มีเรือลำหนึ่งลอยมาติดเกาะ บนเรือมีศพชายคนหนึ่งพร้อมเด็กทารกหนึ่งคน ทอมและอิซาเบลตัดสินใจเลี้ยงเด็กคนนั้นขึ้นมาในฐานะลูกสาวของตนเอง ผลที่ตามมาคือการต่อสู้ระหว่างความรักในครอบครัวกับสำนึกเรื่องความถูกต้องในจิตใจ
เนื้อเรื่องของนิยายเล่มนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ประเด็นหลักของเล่มนี้เป็นสิ่งที่เกิดในจิตใจของตัวละครมากกว่า เป็นความท้าทายมโนธรรม ถ้าต้องอยู่ระหว่างการกระทำที่จะทำร้ายครอบครัวตัวเองไปทั้งชีวิต กับการมีความสุขที่เกิดบนความทุกข์ของผู้อื่นต่อไป เวลาอ่านแล้วจะเกิดคำถามว่าถ้าสมมุติเราเจอแบบนั้นเราจะทำยังไง คงจะลำบากใจน่าดู แต่โชคดีในชีวิตจริงคงไม่เจอเรื่องแบบนั้นกันง่ายๆ หรอก แต่มันก็เป็นการทดสอบจิตใจคนอ่านเหมือนกันนะ บอกไม่ได้หรอกว่าใครถูกใครผิด บอกได้แต่ว่าเข้าใจและเห็นใจตัวละครในเรื่องทุกคน
เราชอบสำนวนการเขียนของนิยายเล่มนี้ อย่างประโยคที่ว่า "เมื่อภรรยาสูญเสียสามี จะมีศัพท์ใหม่มาใช้แทนสถานะ เธอกลายเป็นแม่ม่าย เมื่อสามีเสียภรรยาเขากลายเป็นพ่อม่าย แต่ถ้าพ่อแม่สูญเสียลูก ไม่มีคำพิเศษมาช่วยตีตราความทุกข์โศกนั้นเลย" หรือว่า "ให้อภัยและลืมมันไป ไม่ใช่ง่าย แต่เหนื่อยน้อยกว่ามาก การให้อภัยนั้นทำครั้งเดียว แต่ถ้าจะคับแค้นใจ ต้องทำตลอดวันตลอดไป" ผู้แต่งบรรยายสภาพความคิดจิตใจตัวละครได้ดีมากๆ ฉากที่อิซาเบลวิ่งออกไปนอกบ้านหลังเพิ่งเสียลูกไปนี่อ่านแล้วหัวใจขาดเป็นริ้วๆ เลย จดหมายที่ทอมเขียนถึงอิซาเบลจากในคุกก็ทำเราน้ำตาร่วง
ถึงแม้จะมีความในใจตัวละครเยอะ แต่ก็ยังสามารถรักษาระดับความเร็วของการดำเนินเรื่องได้ดี ไม่มีตอนที่รู้สึกว่าเอื่อย บอกเล่าเนื้อเรื่องได้น่าสนใจ มีเหตุการณ์ที่ค่อยๆ เกิดขึ้นต่อๆ มาเป็นลูกโซ่ ดึงดูดให้อยากรู้ความเป็นไปของตัวละครได้ตลอดเรื่อง ตอนเล่าจากมุมอิซาเบลบางทีเราก็เข้าใจที่เธอโกรธแค้นทอม แต่พอเห็นฮันน่าห์เราก็โคตรสงสารเลย เข้าใจทอมเหมือนกันแล้วก็คิดว่าอิซาเบลเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมคืนลูก ตอนจบเศร้าไปหน่อยแต่ทำไงได้ สถานการณ์แบบนั้นคงยากที่ทุกคนจะทำใจให้มีความสุขหมดทุกคนได้
อ่านจบแล้วเรารู้สึกว่ามันเศร้า แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากให้เรื่องนี้จบดีกว่านี้ยังไง ไม่รู้จะเปลี่ยนเหตุการณ์ตรงไหนในเรื่อง สุดท้ายต้องทำใจแล้วก็ยอมรับกับการกระทำ เสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วมันไม่มีประโยชน์ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่ คนเราคงมองภาพใหญ่ทั้งหมดของชีวิตตนเองไม่ออก เราไม่รู้หรอกว่าการกระทำแต่ละครั้งอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปยังไง อะไรจะดีกับชีวิตเราโดยรวมมากกว่า ได้แค่พยายามทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด ที่เหลือก็แล้วแต่เบื้องบน ตัวเอกในเรื่องคงคิดอย่างนี้
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
The Twilight Saga: Breaking Dawn - Part 2
คะแนน : 8
เตือนสปอยล์
ขอพูดถึงหนังเรื่องนี้ตามกระแสหน่อยเหอะ ไปดูภาคนี้เพราะอยากรู้ว่าที่บอกว่าไม่เหมือนหนังสือนี่เป็นยังไงเหรอ โดยเฉพาะฉากเผชิญหน้ากับพวกโวลตูรีตอนสุดท้าย เราก็สงสัยมาตั้งนานแล้วล่ะว่าในหนังจะสร้างยังไง เพราะในนิยายนี่มันมีแค่การต่อสู้ด้วยพลังจิตนิดหน่อยเอง ถ้าสร้างหนังตามนั้นมันก็เหมือนมามองหน้ากันเฉยๆ แล้วก็ปิดวิกเลิกแยกย้ายกลับ คนดูคงจะรู้สึกกร่อยน่าดูเลยนะ
แต่หนังทำฉากนี้ออกมาได้ดีมากเลยแฮะ ดูสนุกดี ตอนเริ่มแอกชั่นเราก็พยักหน้า ต้องอย่างงี้สิมีออกกำลังกันบ้าง แต่ตอนคาร์ไลส์หัวหลุดคนแรก เราก็เฮ้ยๆ ในใจ แบบนี้ไม่ค่อยดีนะ สู้ไปอีก แจสเปอร์หัวหลุดอีกคน แล้วพวกหมาป่าร่วงไปอีก ชักไม่ไหว เปลี่ยนเรื่องเยอะไปรึเปล่า พอเฉลยเรื่อง ฮือกันทั้งโรงเลย ประทับใจเหมือนกันนะ ขำที่ตัวเองเงิบแล้วก็โล่งใจด้วยที่ไม่มีใครตาย สุดท้ายก็กลับมาจบเหมือนในหนังสือ
เราไปดูกับคนที่ไม่เคยอ่านไม่เคยดูทไวไลท์เลยสักภาคก็ดูสนุกนะ แต่เราเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้ฟังก่อนแล้ว แล้วพอออกมาก็ต้องช่วยชี้บางจุดให้รู้เรื่องเพิ่มอีกหน่อย อย่างหนังสือที่อลิซเขียนข้อความทิ้งไว้ให้เบลล่าคือ The Merchant of Venice นี่มันมีความหมายนะ เพราะฉากจบนี่ก็เป็นไปตามเจตนาคนแต่งที่เอาการสู้ด้วยคารมมาจากเรื่องเวนิสวาณิช ที่นางเอกแถจนชนะได้ในศาล
เรามารู้ทีหลังจากตอนอ่านจบทั้ง 4 เล่มแล้วว่าทไวไลท์ทุกภาคมีเนื้อเรื่องบางส่วนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมคลาสสิค ภาคแรกคือ Pride and Prejudice เราหัวเราะเลย นั่งจินตนาการเอ็ดเวิร์ดเป็นมิสเตอร์ดาร์ซีแล้วขำ ภาคสองคือ Romeo and Juliet เข้าใจผิดว่าตายก็เลยจะฆ่าตัวตายตาม ส่วนภาคสามคือ Wuthering Heights ใน Eclipse เบลล่าก็เลยสองใจ แต่เราแอบเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของเอ็ดเวิร์ดที่พูดในเรื่องนะ เรื่อง Wuthering Heights นี่มัน hate story มากกว่า love story ทั้งแคธีกับฮีธคลิฟนี่ไม่มีดีเลย เราชอบเรื่องของรุ่นลูกมากกว่า (เอ็ดเวิร์ดกับเบลล่าชอบคุยเรื่องวรรณกรรมใช่ป่ะ อนากับคริสเตียน Fifty Shades ก็ไม่น้อยหน้า คู่นั้นสนทนากันถึงเรื่องเทสส์ ผู้บริสุทธิ์) ^_^
สรุปว่า BD2 เป็นหนังที่ชอบมากที่สุดในบรรดาเรื่องที่ดูไปช่วงนี้เลย
Argo = 8 ดูสนุกแล้วก็ชอบ แต่เราคงจะผิดหวังน่าดูถ้าเรื่องนี้ได้ออสการ์
Looper = 7.5
ยักษ์ = 7
The Perks of Being a Wallflower = 7.5 หนังก็ดีนะ แต่หม่นไปนิดสำหรับเรา แล้วเราคงติดภาพเก่านักแสดงมากไป ตอนดูในใจมันคิดว่า เฮอร์ไมโอนี่จูบกับเพอร์ซีย์ แจ็คสัน
Skyfall = 8
House at the End of The Street = 6.5 (แต่ถ้านึกว่าไปดูเพราะนางเอก = 7)
เรื่องที่อยากดู
The Master
Cloud Atlas
The Impossible
Life of Pi
Silver Linings Playbook
Zero Dark Thirty
Les Miserables
Lincoln
ขอพูดถึงหนังเรื่องนี้ตามกระแสหน่อยเหอะ ไปดูภาคนี้เพราะอยากรู้ว่าที่บอกว่าไม่เหมือนหนังสือนี่เป็นยังไงเหรอ โดยเฉพาะฉากเผชิญหน้ากับพวกโวลตูรีตอนสุดท้าย เราก็สงสัยมาตั้งนานแล้วล่ะว่าในหนังจะสร้างยังไง เพราะในนิยายนี่มันมีแค่การต่อสู้ด้วยพลังจิตนิดหน่อยเอง ถ้าสร้างหนังตามนั้นมันก็เหมือนมามองหน้ากันเฉยๆ แล้วก็ปิดวิกเลิกแยกย้ายกลับ คนดูคงจะรู้สึกกร่อยน่าดูเลยนะ
แต่หนังทำฉากนี้ออกมาได้ดีมากเลยแฮะ ดูสนุกดี ตอนเริ่มแอกชั่นเราก็พยักหน้า ต้องอย่างงี้สิมีออกกำลังกันบ้าง แต่ตอนคาร์ไลส์หัวหลุดคนแรก เราก็เฮ้ยๆ ในใจ แบบนี้ไม่ค่อยดีนะ สู้ไปอีก แจสเปอร์หัวหลุดอีกคน แล้วพวกหมาป่าร่วงไปอีก ชักไม่ไหว เปลี่ยนเรื่องเยอะไปรึเปล่า พอเฉลยเรื่อง ฮือกันทั้งโรงเลย ประทับใจเหมือนกันนะ ขำที่ตัวเองเงิบแล้วก็โล่งใจด้วยที่ไม่มีใครตาย สุดท้ายก็กลับมาจบเหมือนในหนังสือ
เราไปดูกับคนที่ไม่เคยอ่านไม่เคยดูทไวไลท์เลยสักภาคก็ดูสนุกนะ แต่เราเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้ฟังก่อนแล้ว แล้วพอออกมาก็ต้องช่วยชี้บางจุดให้รู้เรื่องเพิ่มอีกหน่อย อย่างหนังสือที่อลิซเขียนข้อความทิ้งไว้ให้เบลล่าคือ The Merchant of Venice นี่มันมีความหมายนะ เพราะฉากจบนี่ก็เป็นไปตามเจตนาคนแต่งที่เอาการสู้ด้วยคารมมาจากเรื่องเวนิสวาณิช ที่นางเอกแถจนชนะได้ในศาล
เรามารู้ทีหลังจากตอนอ่านจบทั้ง 4 เล่มแล้วว่าทไวไลท์ทุกภาคมีเนื้อเรื่องบางส่วนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมคลาสสิค ภาคแรกคือ Pride and Prejudice เราหัวเราะเลย นั่งจินตนาการเอ็ดเวิร์ดเป็นมิสเตอร์ดาร์ซีแล้วขำ ภาคสองคือ Romeo and Juliet เข้าใจผิดว่าตายก็เลยจะฆ่าตัวตายตาม ส่วนภาคสามคือ Wuthering Heights ใน Eclipse เบลล่าก็เลยสองใจ แต่เราแอบเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของเอ็ดเวิร์ดที่พูดในเรื่องนะ เรื่อง Wuthering Heights นี่มัน hate story มากกว่า love story ทั้งแคธีกับฮีธคลิฟนี่ไม่มีดีเลย เราชอบเรื่องของรุ่นลูกมากกว่า (เอ็ดเวิร์ดกับเบลล่าชอบคุยเรื่องวรรณกรรมใช่ป่ะ อนากับคริสเตียน Fifty Shades ก็ไม่น้อยหน้า คู่นั้นสนทนากันถึงเรื่องเทสส์ ผู้บริสุทธิ์) ^_^
สรุปว่า BD2 เป็นหนังที่ชอบมากที่สุดในบรรดาเรื่องที่ดูไปช่วงนี้เลย
Argo = 8 ดูสนุกแล้วก็ชอบ แต่เราคงจะผิดหวังน่าดูถ้าเรื่องนี้ได้ออสการ์
Looper = 7.5
ยักษ์ = 7
The Perks of Being a Wallflower = 7.5 หนังก็ดีนะ แต่หม่นไปนิดสำหรับเรา แล้วเราคงติดภาพเก่านักแสดงมากไป ตอนดูในใจมันคิดว่า เฮอร์ไมโอนี่จูบกับเพอร์ซีย์ แจ็คสัน
Skyfall = 8
House at the End of The Street = 6.5 (แต่ถ้านึกว่าไปดูเพราะนางเอก = 7)
เรื่องที่อยากดู
The Master
Cloud Atlas
The Impossible
Life of Pi
Silver Linings Playbook
Zero Dark Thirty
Les Miserables
Lincoln
วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555
The Mark of Athena (Heroes of Olympus #3) - Rick Riordan
คะแนน : 8.5
Heroes of Olympus เล่มใหม่ เล่มที่แล้วว่าสนุกมากแล้วนะ เล่มนี้สนุกขึ้นได้อีก เวลาอ่านเรื่องแฟนตาซีที่ออกโทนใสๆ นี่มันสบายใจดีจัง ผจญภัย มิตรภาพ ความรัก กอบกู้โลก เล่มนี้ก็ทั้งมันส์ทั้งขำตามสไตล์ของเรื่องนี้ นี่ถ้าอัดเสียงตัวเองตอนอ่านเรื่องนี้แล้วเอามาฟังคงขำตัวเองเหมือนกันนะ เดี๋ยวก็ คึคึกคึก วะฮะฮ่า ทั้งเล่มล่ะ
สนุกตั้งแต่เริ่ม เล่มที่แล้วค้างไว้ที่เรืออาร์โกทูมาถึงแคมป์จูปิเตอร์ ในที่สุดตัวละครฝั่งกรีกกับโรมันได้มาเจอกันแล้วพร้อมหน้า 7 คนตามคำพยากรณ์ เจอหน้ากันไม่ทันไรก็มีเหตุให้ต้องเร่งออกเดินทางไปกรุงโรมอย่างกะทันหัน เพราะนี่เป็นเล่ม 3 แล้ว รู้จักความเป็นมาตัวละครเรียบร้อยไม่ต้องเสียเวลาปูเรื่อง มาเล่มนี้ก็ได้เห็นปฏิสัมพันธ์ของตัวละคร การรวมพลของเหล่าฮีโร่ ตอนอ่านเล่มนี้ความรู้สึกเหมือนตอนดู The Avengers เลย ชอบมากๆ ทั้งๆ ที่เหมือนตัวละครจะเยอะ และต้องสลับหมุนเวียนการคุยกันไป-มา แต่ชอบทุกคน ชอบทุกฉากที่พวกนี้คุยกัน
สาวๆ ทั้งสามคนดูเข้ากันได้ดีมาก ชอบตอนที่เฮเซลมีเศษคุกกี้เปื้อนคาง แล้วแอนนาเบ็ธนึกชอบที่เฮเซลดูจะไม่รู้ตัวและไม่แคร์ กับตอนที่เจสันอึน แล้วแอนนาเบ็ธกับเฮเซลส่งสายตาเห็นใจให้ไพเพอร์ ส่วนพวกผู้ชาย ลีโอกับแฟรงค์มีปีนเกลียวกันเล็กน้อยแต่อย่างฮา เพอร์ซีย์เหมือนโทนี่ เจสันเหมือนแคป แต่ก็ดูไปกันได้ดี ฉากดวลกันระหว่างเพอร์ซีย์กับเจสันมันส์มาก (พูดแค่นี้คงไม่สปอยล์ใช่ป่าว เพราะมันอยู่บนหน้าปก)
ตัวละครภาคนี้เก่งทุกคน และมีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวช่วยในการผจญภัยได้เยอะ แต่เล่มนี้ชื่อตอนว่า The Mark of Athena เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าแอนนาเบ็ธต้องเด่นหน่อย หลังจากที่สองเล่มก่อนแทบไม่มีบท การพบหน้ากันอีกครั้งของเพอร์ซีย์กับแอนนาเบ็ธนี่อ่านแล้วต้องยิ้มเลย สองคนนี้น่ารักมากทั้งเล่ม ความรักความเข้าใจความผูกพันพัฒนาขึ้น นายสมองสาหร่ายนี่ก็พูดซึ้งๆ เป็นนะ หวานกำลังดียังไม่เลี่ยน
เล่มนี้พวกตัวละครจากตำนานกรีก-โรมันมาปรากฏหลายตัว ฮาทุกตัว นาร์ซิสซัส เอคโค่ เฮอร์คิวลิส ฯลฯ พวกเทพกับเทพีไม่ค่อยกล่าวถึง แต่ก็มาขโมยซีนเหมือนกัน เราชอบความฉลาดในการเล่าเรื่องของ Rick Riordan ที่เล่นกับบุคลิกที่แปลกแยกของเทพสองฝั่ง แต่อโฟรไดตี/วีนัสกลับมีบุคลิกเหมือนเดิม เพราะความงามเป็นสากล ส่วนพวกตัวร้าย บอสของเล่มนี้ตลกดีอ่ะ บอกชื่อคงไม่ดีเพราะอาจจะสปอยล์มากไป วิธีการปราบก็ฉลาดมาก อ่านสนุกเพลินจนมาถึงบทสุดท้าย โอ๊ย ทิ้งท้ายให้ไปลุ้นเล่มหน้าอีกแล้ว คงสนุกมากแน่ๆ เลย ก็ต้องรอลุ้นกันไปอีกปีเต็มๆ
Heroes of Olympus เล่มใหม่ เล่มที่แล้วว่าสนุกมากแล้วนะ เล่มนี้สนุกขึ้นได้อีก เวลาอ่านเรื่องแฟนตาซีที่ออกโทนใสๆ นี่มันสบายใจดีจัง ผจญภัย มิตรภาพ ความรัก กอบกู้โลก เล่มนี้ก็ทั้งมันส์ทั้งขำตามสไตล์ของเรื่องนี้ นี่ถ้าอัดเสียงตัวเองตอนอ่านเรื่องนี้แล้วเอามาฟังคงขำตัวเองเหมือนกันนะ เดี๋ยวก็ คึคึกคึก วะฮะฮ่า ทั้งเล่มล่ะ
สนุกตั้งแต่เริ่ม เล่มที่แล้วค้างไว้ที่เรืออาร์โกทูมาถึงแคมป์จูปิเตอร์ ในที่สุดตัวละครฝั่งกรีกกับโรมันได้มาเจอกันแล้วพร้อมหน้า 7 คนตามคำพยากรณ์ เจอหน้ากันไม่ทันไรก็มีเหตุให้ต้องเร่งออกเดินทางไปกรุงโรมอย่างกะทันหัน เพราะนี่เป็นเล่ม 3 แล้ว รู้จักความเป็นมาตัวละครเรียบร้อยไม่ต้องเสียเวลาปูเรื่อง มาเล่มนี้ก็ได้เห็นปฏิสัมพันธ์ของตัวละคร การรวมพลของเหล่าฮีโร่ ตอนอ่านเล่มนี้ความรู้สึกเหมือนตอนดู The Avengers เลย ชอบมากๆ ทั้งๆ ที่เหมือนตัวละครจะเยอะ และต้องสลับหมุนเวียนการคุยกันไป-มา แต่ชอบทุกคน ชอบทุกฉากที่พวกนี้คุยกัน
สาวๆ ทั้งสามคนดูเข้ากันได้ดีมาก ชอบตอนที่เฮเซลมีเศษคุกกี้เปื้อนคาง แล้วแอนนาเบ็ธนึกชอบที่เฮเซลดูจะไม่รู้ตัวและไม่แคร์ กับตอนที่เจสันอึน แล้วแอนนาเบ็ธกับเฮเซลส่งสายตาเห็นใจให้ไพเพอร์ ส่วนพวกผู้ชาย ลีโอกับแฟรงค์มีปีนเกลียวกันเล็กน้อยแต่อย่างฮา เพอร์ซีย์เหมือนโทนี่ เจสันเหมือนแคป แต่ก็ดูไปกันได้ดี ฉากดวลกันระหว่างเพอร์ซีย์กับเจสันมันส์มาก (พูดแค่นี้คงไม่สปอยล์ใช่ป่าว เพราะมันอยู่บนหน้าปก)
ตัวละครภาคนี้เก่งทุกคน และมีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวช่วยในการผจญภัยได้เยอะ แต่เล่มนี้ชื่อตอนว่า The Mark of Athena เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าแอนนาเบ็ธต้องเด่นหน่อย หลังจากที่สองเล่มก่อนแทบไม่มีบท การพบหน้ากันอีกครั้งของเพอร์ซีย์กับแอนนาเบ็ธนี่อ่านแล้วต้องยิ้มเลย สองคนนี้น่ารักมากทั้งเล่ม ความรักความเข้าใจความผูกพันพัฒนาขึ้น นายสมองสาหร่ายนี่ก็พูดซึ้งๆ เป็นนะ หวานกำลังดียังไม่เลี่ยน
เล่มนี้พวกตัวละครจากตำนานกรีก-โรมันมาปรากฏหลายตัว ฮาทุกตัว นาร์ซิสซัส เอคโค่ เฮอร์คิวลิส ฯลฯ พวกเทพกับเทพีไม่ค่อยกล่าวถึง แต่ก็มาขโมยซีนเหมือนกัน เราชอบความฉลาดในการเล่าเรื่องของ Rick Riordan ที่เล่นกับบุคลิกที่แปลกแยกของเทพสองฝั่ง แต่อโฟรไดตี/วีนัสกลับมีบุคลิกเหมือนเดิม เพราะความงามเป็นสากล ส่วนพวกตัวร้าย บอสของเล่มนี้ตลกดีอ่ะ บอกชื่อคงไม่ดีเพราะอาจจะสปอยล์มากไป วิธีการปราบก็ฉลาดมาก อ่านสนุกเพลินจนมาถึงบทสุดท้าย โอ๊ย ทิ้งท้ายให้ไปลุ้นเล่มหน้าอีกแล้ว คงสนุกมากแน่ๆ เลย ก็ต้องรอลุ้นกันไปอีกปีเต็มๆ
วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)