วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

Cat on a Hot Tin Roof - Tennessee Williams

คะแนน : 8.25

ถ้าไม่มาแปะไว้ก่อน สงสัยเราจะขี้เกียจเขียนบล็อกถึงเรื่องนี้จริงๆ นะนี่ ถ้าเขียนตอนเพิ่งอ่านจบใหม่ๆ อารมณ์ที่ยังอินจะทำให้เขียนง่าย พอหลายวันแล้วความรู้สึกมันจางลงจะฝืด บางทีก็ทำให้ข้ามการเขียนไปหลายเรื่องเลย แต่สำหรับเรื่องนี้ ควรจะเขียนถึงความรู้สึกเก็บไว้ให้ตัวเองอ่านสักหน่อย

เมื่อสมัยที่ TrueVisions ยังเป็น UBC มันมีช่อง TNT ที่เอาหนังฝรั่งเก่าๆ มาฉาย ปรกติก็ไม่ค่อยได้ดูช่องนี้หรอก แต่วันหนึ่งตอนที่เรากดรีโมตโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ ผ่านช่องนี้ เห็นหน้านางเอก นี่เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ นี่นา ยังสาวสวยปิ๊งอยู่เลย ก็เลยหยุดดูแป๊บนึง เห็นหน้าพระเอก โอ๊ะโอ หล่อโฮก หล่อเทพ ช่วงปีนั้นเราอุทานว่าอะไรหว่า เอาเป็นว่าหล่อมากแล้วกัน รู้ทีหลังว่าเขาคือ พอล นิวแมน นั่นเอง จำหน้าไม่ได้ ตอนนั้นเป็นฉากในห้องนอน สามีภรรยากำลังคุยกันอยู่ พอดีถึงช็อตที่นางเอกคร่ำครวญกับพระเอกว่า เมื่อไหร่คุณจะเลิกลงโทษฉันซะที คุณไม่ยอมนอนกับฉันเลย แล้วพยายามยั่วยวนพระเอกเต็มที่ ทีนี้ตาลุกเลย ผัวเมียคู่นี้เขาทะเลาะอะไรกัน อยากรู้เรื่องชาวบ้านขึ้นมาทันที รีบคว้าหนังสือโปรแกรม นี่เรื่องอะไรเนี่ย Cat on a Hot Tin Roof ฉายมากี่นาทีแล้ว ยังต้นเรื่องอยู่นิ คงดูรู้เรื่อง ทีนี้ก็ตั้งอกตั้งใจดูจนจบ ดูจบแล้วก็ชอบมาก แต่ก็มีงงหลายจุดเลย ไหนดูซิ ฉายอีกทีวันไหน แล้วช่วงนั้นก็ได้ดูซ้ำตั้งแต่ต้นไปอีกสองรอบ ประทับใจ ตอนหลังเราก็ซื้อแผ่นเรื่องนี้มาเก็บ



เมื่อตอนที่คุณยายลิซเสียชีวิต (R.I.P นะคะ) ทำให้เราหวนนึกถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เออ เรื่องนี้มันมีหนังสือด้วยนี่นา ในหนังมันมีประเด็นที่เราคาใจอยู่หลายอย่างเหมือนกัน ลองอ่านแบบเป็นหนังสือบ้างก็ดีแฮะ เผื่อจะได้รู้เรื่องราวลึกๆ มากขึ้น

Cat on a Hot Tin Roof เป็นบทละครของ Tennessee Williams เขียนขึ้นเพื่อแสดงเป็นละครเวที เมื่อออกแสดงก็ได้รับความสำเร็จทั้งด้านเสียงวิจารณ์และความนิยมจากคนดู และเป็นบทละครที่ทำให้ผู้ประพันธ์ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์เป็นครั้งที่สอง สามปีต่อมาก็ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงข้างบน แต่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาไปบางส่วนจากบทละคร ทำให้ผู้ประพันธ์ไม่ชอบเอามากๆ ถึงขนาดวันฉาย เขาไปบอกคนที่เข้าคิวซื้อตั๋วหน้าโรงให้คนดูกลับบ้านไป อย่าดูหนังเรื่องนี้เลย เพราะมันจะพาให้วงการภาพยนตร์ล้าหลังไปอีก 50 ปี แต่ความพยายามของเขาดูจะไม่ได้ผลเท่าไหร่นะ เพราะหนังเรื่องนี้ดังเป็นพลุแตก ทำเงินบ็อกซ์ออฟฟิศได้สูง แถมได้เสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ถึง 6 สาขา (แต่วืดหมด)

ถึงจะไม่นับฉบับภาพยนตร์แล้ว แต่ Cat ก็ยังเป็นบทละครที่มีหลายเวอร์ชัน ร่างแรกสุดที่ Tennessee Williams เขียน แล้วก็ฉบับที่ปรับปรุงเพื่อแสดงในบรอดเวย์ครั้งแรก ส่วนหนังสือที่เราได้มานี้ เป็นฉบับที่ผู้แต่งปรับปรุงครั้งล่าสุดก่อนเสียชีวิต และเป็นฉบับที่เขาขอให้ยึดถือเป็นหลัก เนื้อเรื่องของ Cat เกี่ยวพันกับเรื่องความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวในครอบครัว ทั้งสามี-ภรรยา พ่อ-ลูก พี่-น้อง ตัวเอกคือ บริค อดีตวีรบุรุษนักฟุตบอลที่กลายเป็นคนขี้เหล้า กับ แม็กกี้ ภรรยาของเขา มาร่วมงานวันเกิดของพ่อ บิ๊กแด๊ดดี้ ราชาเจ้าของอาณาจักรไร่ขนาด 28,000 เอเคอร์ ที่กำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง แต่หมอยังปิดบังเจ้าตัวคนป่วยไม่ให้รู้

ในนี้จะแบ่งเป็นสามองก์ องก์แรกเป็นฉากในห้องนอนของบริคกับแม็กกี้ แนะนำให้เรารู้จักตัวละครสองคน คู่สามีภรรยาที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ร้าวฉานกันที่สุด อยู่กันไปแบบที่ฝ่ายหญิงเรียกว่า "เราแค่อยู่ในกรงเดียวกัน" โดยชนวนเหตุบาดหมางมาจากเรื่องของสกิ๊ปเปอร์ เพื่อนสนิทของบริคที่ตายไป องก์สองจะเป็นการสนทนาระหว่างบริคกับพ่อ และองก์สุดท้าย ทุกคนในบ้านจะเผชิญหน้ากัน ตีแผ่ธาตุแท้ของทุกคน

ปรากฏว่า พอมาอ่านหนังสือ ไอ้ที่นึกว่าจะทำให้รู้และเข้าใจเนื้อเรื่องมากขึ้น กลับรู้เรื่องน้อยลง และสงสัยมากขึ้นยิ่งกว่าตอนดูหนังซะอีก เพราะความที่มันเป็นบทละคร ไม่ใช่นิยาย มันก็จะมีแค่บทพูดของตัวละคร และอธิบายกิริยาอาการของตัวละครสั้นๆ เท่านั้น ไม่มีการบรรยายความรู้สึกนึกคิดในจิตใจให้รู้เลย แถมบางทียังมีหมายเหตุผู้เขียนบอกนักแสดงอีกว่า ตรงนี้ทำตัวลึกลับไว้นะ อย่าแสดงออกชัด ให้คนดูตีความเอาเอง และเนื้อเรื่องในบทละครมีน้อยกว่าในภาพยนตร์ซะอีก แต่อ่านแล้วนับถือผู้แต่งเลย แค่ตัวละครมายืนคุยกัน รวมเวลาน่าจะชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น แต่มีพลังดึงดูดให้คนอยากรู้จักอยากเข้าใจตัวละครได้ขนาดนั้น ดูเผินๆ เนื้อเรื่องในบทละครกับในหนังมันคล้ายกันมาก แต่ถ้าดูรายละเอียดดีๆ บางทีคำพูดที่ต่างกันประโยคเดียว มันก็ทำให้เรื่องพลิกไปเยอะพอควรเลยแหละ อารมณ์ความรู้สึกที่ได้จากการอ่านกับการดูก็จะต่างกัน ซึ่งเราชอบทั้งสองแบบ แต่ขอโทษวิญญาณท่านผู้ประพันธ์นะคะ หนูชอบแบบภาพยนตร์มากกว่าค่ะ


เราจะพูดถึงเนื้อเรื่อง เปรียบเทียบในหนังสือกับหนังอย่างอิสระเลยนะคะ เพราะนี่เป็นเรื่องเก่า เขาอ่านกันจนปรุแล้ว เป็นบทละครที่ฝรั่งเขาเอามาให้นักเรียนอ่านในชั้นเรียนด้วย มีหนังสือคู่มือที่วิเคราะห์เรื่องนี้ จำนวนหน้าหนากว่าบทละครต้นเรื่องซะอีก เราอ่านไปนิดหน่อยยังทึ่งเลยว่า วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ ตีความแต่ละประโยคกันขนาดนั้นเลย และถึงรู้เนื้อเรื่องก็ไม่เรียกว่าสปอยล์หรอก เพราะอรรถรสของเรื่องมันไม่ได้อยู่ที่เนื้อเรื่อง แต่อยู่ที่การทำความเข้าใจคำพูดกับพฤติกรรมของตัวละครต่างหาก แบบความสนุกอยู่ที่การต้องใช้พลังในการอ่านระหว่างบรรทัดสูง

ในบทละคร แม็กกี้จะดูเป็นผู้หญิงทะเยอทะยานเห็นแก่ตัวมากกว่าในภาพยนตร์ แต่เราก็ชอบตัวละครตัวนี้นะ เปิดฉากมาด้วยการที่แม็กกี้พร่ำบ่นว่าคนโน้นคนนี้ อืมม์ ผู้หญิงคนนี้ปากร้ายใจด้านนิสัยไม่ดี แต่ในขณะที่เธอพูดไปเรื่อยๆ มันก็จะมีบางถ้อยคำที่ทำให้เรารู้สึกเห็นใจเข้าใจผู้หญิงที่ร้อนรนไม่มีความสุขคนนี้ขึ้นมาได้ อย่างเช่นตอนที่แม็กกี้ย้ำกับบริคว่า ฉันเคยจน คนเราไม่มีเงินตอนอายุน้อยได้ แต่ไม่มีเงินตอนอายุมากไม่ได้ เห็นภาพสการ์เล็ตตอนกำก้อนดินขึ้นมาประกาศว่า As God is my witness, I'll never be hungry again. เลย ไม่ได้หมายความว่า เราชอบแม็กกี้ขนาดสการ์เล็ตหรอกนะคะ ระดับความชอบคนละสเกลกันเลย Gone with the Wind นั่นเรื่องในดวงใจเรา แค่มันทำให้นึกถึง

ปรกติเรารู้สึกว่า เราชอบพระเอกนางเอกที่เป็นคนดี แต่บางครั้งมันก็จะมีตัวละครบางคนที่เราว่าเขานิสัยไม่ดี แต่กลับทำให้เราชอบ พอชอบแล้วก็ดันบอกเหตุผลไม่ค่อยได้ว่าชอบตรงไหน คงต้องบอกว่า เป็นตัวละครที่มีเสน่ห์มั้ง หรือไม่ก็เพราะเราว่า ความเห็นแก่ตัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าไม่เลวชั่วร้ายแบบไปทำร้ายคนอื่น เราก็ยังถือว่าไม่ล้ำเส้น เราคงชอบความมุ่งมั่น กล้าทำตามความต้องการตัวเองแบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น แม็กกี้แสดงให้เห็นชัดๆ ว่า หวังเงิน และก็ร้ายกาจไม่ใช่เล่น อย่างตอนที่แม็กกี้พูดใส่หน้าบริคว่า เธอยอมขึ้นเตียงกับสกิ๊ปเปอร์ เราก็ เฮอะ? แต่ก็ยังอยากรอฟังว่า ทำไม ในละคร แม็กกี้บอกว่า ที่คิดจะทำเพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้สกิ๊ปเปอร์กับเธอรู้สึกใกล้ชิดกับบริคมากขึ้น แต่ในหนัง เธอบอกว่า เพื่อพิสูจน์ให้บริคเห็นว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ แต่สุดท้ายเข้าใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสองเวอร์ชัน แต่ลงเอยที่สกิ๊ปเปอร์ฆ่าตัวตายเหมือนกัน

บริคในละครเป็นตัวละครที่ทำความเข้าใจยากมาก ผู้แต่งบอกว่า แก่นของเรื่องนี้คือโศกนาฏกรรมของบริค เขาจะดูเคว้งๆ อยู่ทั้งเรื่อง ในบทละครจะมีประเด็นเรื่องโฮโมเซ็กช่วลในเรื่อง คนอ่านคนดูก็นั่งวิเคราะห์กันไปเถอะ ตกลงบริคเป็นเกย์กับสกิ๊ปเปอร์รึเปล่า ในทางพฤตินัยน่ะคงไม่มีแน่ๆ และบริคก็เป็นฟืนเป็นไฟมากถ้าใครพูดไปในแง่นั้น เรื่องบนเตียงของบริคกับแม็กกี้ เจ้าตัวทั้งคู่ก็บอกว่าดี ผ่านมา 50 ปี คนยังเถียงกันไม่ได้ข้อสรุปเลย แต่ความคิดส่วนตัว เราว่าบริคเป็นค่ะ แต่ยังไม่ยอมรับตัวเอง แต่ในหนัง ตัดประเด็นนี้ออกหมด บริคเป็นชายแท้ทั้งแท่ง ปัญหาของเขาถูกโยนไปที่การขาดความรักจากพ่ออย่างเดียว ทำให้เราว่าบทของบริคในหนังจะดูอ่อนกว่าในละคร ดูหนังรอบแรกๆ เราไม่รู้สึก แต่หลังจากอ่านบทละครแล้วกลับมาดูหนังอีกที พอไม่มีประเด็นปัญหาเรื่องตัวตนทางเพศที่แอบซ่อนอยู่มารองรับ เลยเหมือนเขาเป็นแค่ crybaby ชีวิตผิดหวังไม่ได้ดังใจก็งอแง ประชดพ่อ ประชดเมีย ประชดตัวเอง

บิ๊กแด๊ดดี้เป็นตัวละครสำคัญมากอีกคนหนึ่ง โดดเด่นมีพลังขับดันเรื่อง เราช็อคค่ะ ตอนอ่านวิเคราะห์ทีหลังแล้วมีคนบอกว่า บิ๊กแด๊ดดี้ก็อาจจะเคยมีพฤติกรรมรักร่วมเพศสมัยหนุ่มๆ ก่อนแต่งงาน อ่านข้ามไปไม่สะดุดใจเลย ต้องย้อนมาอ่านช่วงนั้นอีกรอบ อืมม์ ก็ยังไม่เคลียร์ค่ะ ตาแก่แกชอบผู้หญิงอยากหาเมียน้อยไม่ใช่เรอะ แต่ถ้าใช่ พฤติกรรมของบิ๊กแด๊ดดี้ที่แสดงออกต่อบิ๊กมาม่า ก็จะดูมีเหตุผลมากขึ้น ส่วนในหนังก็ไม่มีประเด็นนี้อีกเช่นกัน แต่เบนประเด็นเพิ่มบทให้บริคตามไปคุยกับพ่อที่ห้องใต้ดิน แล้วบิ๊กแด๊ดดี้คุยเปิดใจเรื่องพ่อตัวเองให้ฟังแทน

สำคัญที่ตอนจบต่างกันลิบลับเลย เรื่องนี้มีฉากจบสามแบบ โดยภาพใหญ่อาจจะเหมือนกันตรงที่ ความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ ทำได้ทุกอย่างกระทั่งการโกหกครั้งใหญ่ของแม็กกี้ น่าจะทำให้เธอได้ตัวบริคกลับมา (และการันตีว่า มรดกจะไม่หลุดไปไหน) แต่เวอร์ชั่นที่ผู้ประพันธ์ชอบ เมื่อแม็กกี้บอกบริคว่าเธอรักเขา บริคกลับตอบด้วยรอยยิ้มเศร้าว่า Wouldn’t it be funny if that was true? ในขณะที่บทบรอดเวย์ครั้งแรก บริคก็จะแสดงท่าทางอ่อนลงนิดนึง ด้วยการบอกว่า "ผมชื่นชมคุณ แม็กกี้" ส่วนแบบภาพยนตร์ จบลงด้วยชัยชนะยิ่งใหญ่ของแม็กกี้เดอะแคท เพราะได้ทั้งตัวทั้งใจสามีกลับคืนมา

โดยทั่วไป เราจะเกลียดหนังฮอลลีวู้ดที่เน้น commercial แปลงบทประพันธ์ซะเสีย โดยเฉพาะ The Count of Monte Cristo (2002) กับ Man in the Iron Mask (1998) ที่เปลี่ยนเรื่องซะเละเทะทุเรศมาก แต่กรณี Cat สำหรับคนชอบเรื่องที่จบแบบมีความสุขอย่างเรา เราชอบแบบหนังมากกว่าค่ะ (8.5) บทละครก็จะชอบไปอีกแบบ (8.25) แต่คงต้องมองมันแยกจากกันเหมือนเป็นคนละเรื่อง

3 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณนะคะ

Unknown กล่าวว่า...

บทละครหาได้จากที่ใหนหรอครับ ขอบคุณมากครับ

Unknown กล่าวว่า...

บทละครหาได้จากที่ใหนหรอครับ ขอบคุณมากครับ

แสดงความคิดเห็น