วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

The Hunger Games (Movie)



A little hope is effective, a lot of hope is dangerous.

บทพูดของประธานาธิบดีสโนว์ประโยคนี้ในภาพยนตร์ ที่ไม่มีในหนังสือ
ใช้สรุปความคิดของเราหลังดูหนัง The Hunger Games ได้ดีที่สุด
มีความหวังบ้างมันก็ดี แต่หวังมากก็อันตราย
เพราะตอนนี้รู้สึกเหมือนถูกลูกโป่งที่ชื่อความหวังแตกใส่หน้า


Update: 24 ชั่วโมงหลังดูหนังจบ
เมื่อวานออกจากโรงกลับถึงบ้าน เรานั่งพูดระบายความผิดหวังที่หนังทำไม่ได้อย่างใจให้น้องฟังไปครึ่งชั่วโมง หายอัดอั้นไปเยอะล่ะ เผื่อถ้าใครอยากรู้ว่าเราบ่นอะไรไปบ้าง ก็ลองอ่านดูค่ะ

เริ่มแรกคงต้องพูดถึงความคาดหวังก่อนดูของตัวเองก่อน เพราะว่ามันคงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลังดูรู้สึกแบบนี้ เราหวังกับหนังเรื่องนี้มากๆ ตั้งตาเฝ้ารอ แต่ทั้งๆ ที่พยายามบอกตัวเองให้ลดระดับความคาดหวัง ให้สงบใจไว้ แต่ก็คอนโทรลอารมณ์ตื่นเต้นรอคอยไม่ค่อยอยู่ หนึ่งเพราะชอบนิยายเรื่องนี้มาก สองเพราะเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่ปลื้มเป็นการส่วนตัว และสามคือ แผนการโปรโมทของไลอ้อนส์เกตที่บิลท์กระแสได้น่านับถือจริงๆ ปล่อยของออกมายั่วตลอด ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ในแฟนไซต์ต่างๆ ของ HG มีข่าวใหม่ให้ลุ้นทุกวัน ทั้งทีเซอร์ เทรลเลอร์ มิวสิคฯ ภาพนิ่ง เว็บไซต์, fb, tumblr, สัมภาษณ์ และมากระหน่ำกันสุดๆ ช่วง 1-2 วีคนี้ และแต่ละอย่างเท่าที่ปล่อยออกมามันก็ดูดีได้ใจเกือบทั้งนั้น บวกกับทีมนักแสดง เท่าที่ติดตามข่าวมา แต่ละคนนิสัยน่ารักมากๆ ทั้งนั้นเลย และยิ่งหวังไปกันใหญ่เพราะรีวิวจากนักวิจารณ์ที่ออกมาดีมาก

กลับกลายเป็นว่า ทุกอย่างที่เห็นมาว่าน่าดู พอไปอยู่ในตัวหนังจริงๆ แล้ว ดับไปเกือบหมด



เริ่มต้นเรื่อง เนื้อเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงจากในหนังสือในช่วงแรก เราไม่ค่อยติดใจ เพราะเข้าใจว่าเป็นหนังก็ต้องตัดทอนรายละเอียดลง สิ่งที่ขอบ่นจริงๆ คือ การถ่ายภาพสั่นๆ แบบนี้โคตรเวียนหัวเลย มันมากเกินไป จากที่ผู้สร้างตั้งใจจะให้อารมณ์เครียดเหมือนจริง แต่เรากลับรู้สึกว่าภาพมันรบกวนการรับรู้เนื้อเรื่อง หมุนไปหมุนมาอยู่นั่นแหละ เราอยากเห็นหน้าตัวละครชัดๆ มากกว่า

นักแสดงเล่นดีทุกคนนะ แต่ความรู้สึกที่ได้จากตัวละครกลับดูขาดๆ เกินๆ นิดหน่อยจากภาพในจินตนาการของเรา อุทานในใจตั้งหลายที โอ๊ย แคทนิสแรงกว่านิยาย เฮย์มิตช์ออฟไซต์ไปนิด เอฟฟี่ไม่ถึงขนาดนี้ พีต้ากับซินน่าก็ไม่ได้ทำให้เราถูกชะตาแต่แรก อันนี้เราไม่โทษคนเล่นนะ โทษเวลาที่ทำให้บทมันต้องรวบรัดมากกว่า เราคิดว่านักแสดงทำดีที่สุดแล้วเท่าที่โอกาสอำนวยให้ อย่างเช่นเอฟฟี่นี่ ในนิยายเราขำๆ ตัวนี้มากเลยนะ แต่ไม่มีฉากให้เอฟฟี่แสดงมุมหวังดีบ้างเลย ซินน่าก็บทโคตรน้อย

ฉากในแคปิตอลมันหลอกตาชอบกล ฉาก CG ของเรื่องนี้ไม่ถึงเกรด A เลย ฉากเปิดตัวแคทนิสโอเค แต่ยังไม่อลังการล้านแปดเท่าในหนังสือ ฉากสัมภาษณ์ดี จนถึงตอนนี้เรายังโอเคกับหนังมากอยู่ ไม่ผิดจากที่ได้เห็นตัวอย่างมาเท่าไหร่

และที่ลุ้นที่สุดก็ตอนเริ่มเกมส์จริงนี่ละ เพราะค่ายหนังอุบเงียบเป็นความลับ ทีนี้เราก็กะว่าอารมณ์มันจะต้องลุ้นแอกชั่นสุดชีวิตตั้งแต่เริ่มแบบในหนังสือ แต่ผิดคาดมากๆ ตรงที่การนำเสนอเนื้อเรื่องช่วงนี้ มันกลายเป็นหนังดราม่าไปซะ เข้าใจว่าต้องการเลี่ยงความรุนแรงไม่ให้หนังได้เรต R แต่เราคิดว่า หนังไม่จำเป็นต้องแสดงการตะลุมบอนฆ่ากันขนาดนี้เลยก็ได้ ถ้าใช้มุมมองการดำเนินเรื่องของแคทนิสในนิยายจริงๆ ก็คว้าเป้วิ่งหนีเลย นั่นทำให้เรารู้ตัวแล้วว่า นี่ไม่ใช่ Hunger Games ในหัวเรา สำหรับเราเล่มแรกเป็นนิยายแอกชั่นไซไฟเต็มพิกัด ปนโรแมนติกนิดหน่อย แฝงประเด็นวิจารณ์สังคม แต่ทำไมหนังออกมากลายเป็นหนังชีวิตเสียดสีหมดเลย

นับตั้งแต่นั้น ทุกอย่างก็ผิดเพี้ยนไปหมดจากความคาดหวังของเรา บางฉากที่เพิ่มมาแล้วดีคือประธานาธิบดี กับได้เห็นเกมเมคเกอร์ แต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเลย ฉากในป่าเหมือนหนังเกรด B มากๆ ทุกอย่างถูกตัดทอนรวบรัดไปหมด จนไม่ได้ฟีลเลยสักนิด เนื้อเรื่องขาดการอธิบายจุดสำคัญให้เข้าใจ เช่นทำไมตอนพีต้าตะโกนให้หนี ไม่แสดงให้เห็นสักแว้บว่าพีต้าสู้กับเคโต้เพื่อช่วยให้แคทนิสหนีรอด รับรองคนไม่อ่านหนังสือจะงงแน่นอนว่าทำไมแคทนิสถึงต้องออกไปตามหาพีต้าตอนหลัง เพราะไม่เข้าใจว่าแคทนิสรู้แล้วว่าพีต้าไม่ได้ทรยศก็จากฉากนี้ ฉากรูวไม่ซึ้งเลย ตอนอ่านเราน้ำตาซึมนะ แต่ในหนังยังไม่ทันจะอินเลยถูกตัดไปเร็วมาก ฉากในถ้ำไม่เหลืออะไรเลย หมดกัน บทพูดดีๆ ของแคทนิสกับพีต้าหายเกลี้ยง แล้วมันจะไปซึ้งอะไรตอนหลังได้

เราเป็นห่วงเรื่องเคมีของเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กับจอช ฮัทเชอร์สัน มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะจอชดูเด็กกว่า เวลามีข่าวในกองถ่ายก็ดูเหมือนเล่นกันสนิทสนมเหมือนพี่น้อง และในหนังก็ไปไม่ได้จริงๆ ด้วย ถ้าเวลาเห็นภาพเดี่ยวๆ แยกกัน ก็พอจะเห็นเจนเป็นแคทนิส จอชเป็นพีต้าได้ แต่พออยู่ร่วมเฟรม ขัดตาเกือบทุกทีเลย มีจุดเล็กน้อยเรื่องหนึ่งที่เราพยายามมองข้ามแล้วแต่ไม่สำเร็จคือเรื่องความสูง เราไม่อยากได้ความรู้สึกว่า แคทนิสเป็นสาวอเมซอนก็เลยเก่งกว่า แล้วดันพีต้าให้กลายเป็นฝ่ายที่ได้รับการปกป้องเพราะตัวเล็กกว่า

มัตต์เหมือนหมาธรรมดา ทั้งที่ตอนอ่านนี่สยองมาก โคตรบีบ แล้วฉากสุดท้ายตอนเบอร์รี่นี่อะไรอ่ะ ให้เวลาฉากนี้อีกสัก 1 นาทีจะเป็นไร ความจริงฉากนี้จะต้องโรมีโอกับจูเลียตมากๆ ลุ้นที่สุดแล้วว่าจะจบยังไง ตอนอ่านนิยายเราเร่งสายตาพยายามกวาดตัวอักษรเข้าสมองไปให้เร็วที่สุด แต่ในหนังกลับทำได้แค่นี้เหรอ เทียบกับหนังสือแล้วได้แค่ 1 ใน 10 เองมั้ง

ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่า หนังที่แคสติ้งเยี่ยม นักแสดงเล่นดีทุกคน บทหนังก็เดินตามหนังสือเกือบทั้งหมด แทบไม่ได้เปลี่ยนอะไร แต่ผลลัพธ์ในความรู้สึกกลับออกมาไม่ใช่เลย ตอนอ่านนิยายนี่อารมณ์ลุ้นไม่อยากวาง แต่ในหนังดึงเข้าไปมีส่วนร่วมไม่ได้ เป็นหนังที่ไม่สนุกเลย และทั้งหมดนี้เราคิดว่า คนที่ต้องรับผิดชอบเต็มๆ คนเดียวคือ แกรี่ รอส เขาไม่ใช่ผู้กำกับหนังแอกชั่น และจินตภาพ Hunger Games ของเขาต่างมากจากของเรา

ถึงจะติล้วนๆ แต่หนังไม่ได้ห่วยแตกจนดูไม่ได้นะ เพราะต้นฉบับมันมาดี เราให้คะแนนหนัง 7 แต่ถ้าเทียบกับหนังสือ 8.5 นี่คนละเรื่องกันเลย สเกลคะแนนของเราเป็นมาตราแบบริกเตอร์ เลขต่างกันตัวเดียวแต่ความสั่นสะเทือนต่างกันเยอะค่ะ แต่เท่าที่อ่านตามรีวิวดูท่าทางคนชอบหนังเยอะเหมือนกันนะ (คนที่นั่งติดเราในโรงเป็นสองสาวเอเชียที่น่าจะอ่านหนังสือมาแล้ว ร้องโอ้มายก็อดเบาๆ ตลอดเรื่อง และกิ๊วก๊าวเล็กๆ กับฉากในถ้ำด้วย) ยังไงก็ยินดีด้วยกับคนที่ดูหนังเรื่องนี้สนุก ถึงเราจะไม่ค่อยสนุกด้วย แต่ก็คงเพราะหวังมากไปเองแหละ

8 ความคิดเห็น:

Chihaya กล่าวว่า...

รอดูอยู่ค่า แต่อาทิตย์นี้ไม่ว่าง คงเป็นอาทิตย์หน้าล่ะ

Nas กล่าวว่า...

หนังไม่แย่ พอดูได้ค่ะ แต่อย่าคาดหวังอะไรมาก

Chihaya กล่าวว่า...

อึ๊ก ดีค่ะ ที่เตือนกันก่อน เดี๋ยวจะหวังสูงเกินไป

pratrinity กล่าวว่า...

หนังได้ImDb 8.3 เยอะมากครับ ฉากต่อลุ้นมาก

MISSB กล่าวว่า...

ไปดูมาแล้วค่ะ ผิดหวังกับหลายฉาก ฉากพาเรดทริบิวส์ ฉากเป็นพันธมิตรกับrue (ทำไมหนังถึงถอดชื่อออกมาเป็นริว อ่านแล้วแปลกๆ 555 แต่มันก็ควรจะอ่านอย่างนี้ล่ะมั้ง ฉากควักเบอร์รี่ออกมา ซึ่งสมควรจะเป็นฉากสำคัญมากๆ ฉากหนึ่ง มันดูไม่มีพลังอะไรเลยแม้แต่น้อย ดูๆไปแล้ว รู้สึกไม่ค่อยได้กลิ่นอายของสงครามที่กำลังจะอุบัติเท่าที่ควรเลยค่ะ อาจจะเพราะรู้เรื่องอยู่แล้วรึเปล่าก็เลยไม่ตื่นเต้นล่ะมั้ง???

ฉากที่ชอบมีทีมของพวก gamemaker ที่อยู่ในห้อง รู้สึกว่ามันทำให้ hunger games ดูเป็นเกมจริงๆ มากขึ้น (ทั้งๆที่ไม่ใช่เกม ดูเสียดสีดีจัง) ชอบฉากที่เซเนก้า เครนโดนขังไว้ในห้องกับเบอร์รี่ด้วย รู้สึกว่ามันแรง 555 ชอบการแสดงของนางเอกมาก เล่นได้ดีจริงๆ พีต้าพอมาดูในหนังแล้วรู้สึกว่าเตี้ยยิ่งกว่าเตี้ยลงไปอีก เฮย์มิชดูไม่เหมือนเฮย์มิช (หรือเพราะหนังแสดงด้านที่เราไม่เคยเห็นของเขาออกมารึเปล่า? 555) แต่เราประทับใจอิฟฟี่มากกว่าที่คิดนะคะ 55 เธอดูเป็นมนุษย์ประหลาดดี
กลายเป็นว่าเวอร์ชั่นหนังตัวประกอบเด่นขึ้น ในขณะที่ตัวเอกหลายตัวบทลดลง งงเลย 555 ความรักระหว่างพีต้ากับแคทนิสดูไม่มีปี่มีขลุ่ยสุดๆ แล้วแผลที่ขาของพีต้าได้มายังไงก็น่าจะบอกนิดนึง ช่างดูไม่มีความเชื่อมโยง 555 มันไม่ชัดเจนจริงๆนะ แล้วยังตอนสุดท้ายที่ลืมฉากแคทนิสปฏิเสธว่าไม่ได้รักพีต้าไปซะอย่างงั้น มันคลุมเครือจนคนดูบางคนอาจจะคิดว่าคู่นี้รักกันสมหวัง happy ending ก็ได้นะ 555

บ่นไปอย่างนั้น แต่ถ้าภาคต่อไปออกมา ก็คงต้องไปดูอีกอยู่ดี 555

Nas กล่าวว่า...

=> pratrinity: ก็ดีใจที่เสียงวิจารณ์ดีค่ะ เอาใจช่วยหนังอยู่เหมือนกัน ยังไงก็อยากดูต่อ

=> MISSB: คิดคล้ายๆ กันค่ะ คนที่อ่านหนังสือก่อน หลายคนคงรู้สึกแบบนี้เนอะคะ

MISSB กล่าวว่า...

เย้ มาอัพแล้ว คงเพราะเราหวังมากไปจริงๆล่ะค่ะ เฮ้อๆ
mutt ดูน่าตกใจ แต่ไม่เสียดสีเท่ากับในหนังสือที่มองไปแล้วเห็นตาเพื่อนๆ แต่จตอนดูคิดนะว่า mutt ช่างเหมือนเทรช 5555
แต่เราชอบฉากที่ District 11 หลังจากที่ Rue ตายมากๆ ค่ะ ที่ทุกอย่างเริ่มจลาจล ยิ่งตอนที่แคทนิสทำท่านิ้วมือสามนิ้วกับกล้องแล้วผู้ชมทำตามนี่ เรากับน้องเราที่ไปดูด้วยกันหันมาพูดเลยค่ะว่าขนลุกมาก 55 เป็นฉากที่เรารู้สึกว่ามีพลังที่สุดในเรื่องแล้วมั้ง
ตอนนี้พีต้ากลายเป็นอะไรไม่รู้สำหรับเรา หนังเล่นมาแบบว่าพีต้าเป็นเด็กหนุ่มแสนธรรมดา (กว่าในหนังสือมาก ในหนังสือก็ธรรมดาแล้วนะ) ตอนนี้เกลคะแนนนำเลยค่ะ 555 เพราะรูปลักษณ์ใช่มั้ย เพราะบทเขาน้อย เลยไม่มีอะไรให้บ่นเท่าไหร่ด้วยล่ะมั้ง 555
สำหรับเรา หนังไม่ได้แสดงความแร้นแค้นของแคทนิสออกมาเท่าที่ควรจะเป็นเลย ในหนังสือเธอดูจนกว่านี้มาก 55
เห็นด้วยเรื่องมุมกล้องค่ะ เรารู้สึกขัดใจ แต่บางคนเขาคงชอบมั้ง นานาจิตตังเนอะ

Unknown กล่าวว่า...

เรายังไม่ได้อ่านหนังสือก่อนไปดูภาพยนตร์เลยค่ะ อยากอ่าน แต่ตอนนั้นฉบับภาษาอังกฤษขาดตลาด หาซื้อไม่ได้เลย (จริงๆเรื่องมาก เลือกปกสวยๆ 555)

ก่อนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรกับตัวหนังสือมากนัก จนกระทั่งอ่านเวบเกี่ยวกับภาพยนตร์เวบหนึ่ง พูดถึงตัวอย่างหนังเรื่องนี้ว่า มาแรง สร้างจากหนังสือ best-seller เทียบเคียงกับ Twilight และได้รับการวางแท่นว่าจะต้องสร้างปรากฏการณ์ใหม่บนวงการภาพยนตร์แน่นอน

ตอนนั้นก็เชื่อหูไว้หูค่ะ หึหึ เพราะได้บทเรียนว่า คำโฆษณาสวยหรูแบบนี้ไม่ได้รับประกันว่าตัวหนังจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ยิ่งภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยาย มักจะด้อยกว่าตัวหนังสือจริงๆ แถมโฆษณาเทียบกับ twilight อีก ซึ่งโดยส่วนตัว เราว่าตัวหนังของ twilight ถือว่าน่าิผิดหวังด้วยซ้ำ ตัวหนังสือเราก็ไม่ได้ประทับใจมากมาย ชอบเฉพาะเล่ม 4

พอจะรู้เรื่องย่อคร่าวๆจากเวบไซท์ข่าวหนังต่างๆ ความคิดแรก คือ battle royale ไปมั้ยอ่ะ....จนกระทั่งได้ดู trailer ของหนัง จึงได้ความคิดว่า ไม่หรอก โอเค ไอเดียเรื่องการเอาเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งมาฆ่ากันให้ตาย มันคล้ายกัน แต่ตัวหนังเองเหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้น นั่นทำให้อยากรู้อยากเห็นจนยอมเสียเงินเข้าไปดูในโรงภาพยนตร์

สำหรับเราถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ .... หนังเรื่องนี้ทำให้เราขนลุกหลายฉาก (โดยเฉพาะฉากที่ ฝูงชนชู 3 นิ้วส่งให้แคตนิส และฉากที่มีการลุกฮือขึ้นหลังจากแคตนิสส่งสัญญาณนั้น แถมเราก็ไม่มีความเข้าใจเอาเลยว่า สัญญาณมือนั่นมันคืออะไร??!! คิดไปแต่ว่ามันต้องมีความสำคัญ มันต้องมีความพิเศษ และฉากระหว่าง เซนาก้ากับประธานสโนว์) แม้กระทั่งในความไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่ก่อให้เกิดความใคร่รู้ อยากได้คำอธิบายและตามล่าหาหนังสือมาจนได้

ถ้าพูดถึงเฉพาะตัวภาพยนตร์เอง เราถือว่าผ่าน ผูกเรื่อง นำเสนอได้น่าสนใจ และสร้างความประทับใจด้วยการแสดงของ เจนนิเฟอร์ ลอเรนซ์ และนักแสดงมือเก๋าหลายๆคน


แต่มันก็มีช่องโหว่หลายๆอย่าง อย่างที่บอกไปคือ คนที่ไม่เคยอ่านนิยาย จะไม่เข้าใจการกระทำและเหตุผลหรือแรงกระตุ้นของตัวละครหลายๆตัวเลย เรื่องสำคัญคือ การสื่อฉากระหว่าง แคตนิส-พีต้า .... เคมีพระนาง มันไม่มาจริงๆ แต่ส่วนหนึ่งคือเราดูแล้วเข้าใจในทันทีว่า แคตนิสไม่มีใจให้แม้แต่น้อยและแค่เล่นละคร พีต้ามีใจมาก(แถมน่ารักด้วย ฉากในถ้ำทำเอามีเสียงคนดูหัวเราะขำกิ๊กในความน่ารักของพีต้า) แต่ดูแล้่วไม่ sparks เราก็เข้าใจว่าเค้าต้องการสื่อออกมาแบบนี้ แบบที่ความรักในสนามแข่งเป็นแค่ละคร

หลังจากนั้นยิ่งสับสนหนักในฉากที่แคตนิสเข้าใจผิดว่าพีต้าตายตอนไปเก็บลูกเบอร์รี่ เราดูแล้วเข้าใจว่าจริงๆ แคตนิสก็เริ่มมีใจให้พีต้าแล้ว

ฉากจะกินลูกเบอร์รี่ตอนจบเกม ไม่สร้าง impact ใดๆให้กับคนดู เหมือนแค่ว่า้เป็นการโชว์ไหวพริบของแคตนิสในการควบคุมการตัดสินใจของ gamemaker มากกว่าจะแสดงถึงอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น

ตอนจบบนรถไฟ ที่พีต้าถามแคตนิสว่า "แล้วจะเอายังไงต่อไป?"(ประมาณนี้) แคตนิส "ลืมมันให้หมด" หน้าพีต้าแบบว่าอึ้ง ..... ถึงตรงนี้เรายิ่งงง รู้สึกไม่แน่ใจว่าผู้กำกับวางแนวทางเรื่องระหว่างพระ-นางยังไง เราเลยคิดไปไกลว่า อ่อ สงสัยพีต้าจะไม่ใช่พระเอก มั้ง??


สรุปความรู้สึกตอนออกจากโรงภาพยนตร์ คือ ชอบหนังนะ ชอบแบบบอกไม่ถูก คือไม่ได้ชอบมาก แต่มันมีบางส่วนของหนังที่ประทับใจ ชอบที่หนังทำให้เราพยายามคิดถึง motive ของตัวละคร ชอบที่หนังแสดงตัวให้เห็นว่าไม่ใช่ battle royale เสียหน่อย



หลังจากได้หนังสือมาอ่าน (ฉบับ eng) จนจบเล่มแรก ได้ข้อเปรียบเทียบของหนังและหนังสือ ว่า คนเขียนบทถอดหนังออกมาจากหนังสือได้ค่อนข้างดี แม้ต้องตัดทอนบางส่วนออกแต่ก็ไม่มากจนเสียศูนย์ แต่ว่าอารมณ์ในฉากสำคัญมันไม่สื่อออกมาเลย หรือ สื่อแต่ไม่สำเร็จ โดยเฉพาะฉากเด่นๆ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างพีต้า-แคตนิส, ฉากลูกเบอร์รี่, ฉากริวตาย, ฉากปะทะหลายๆฉาก (ความเห็นของคุณ Nas ตรงใจเรามากๆเลยค่ะ)

แม้จะเสียใจว่าน่าเสียดายที่ตัวเองไม่ได้อ่านนิยายก่อนดูหนังเพราะคงจะทำให้่ประทับใจในเนื้อเรื่องเล่มแรกมากกว่านี้ แต่ก็ยังดีที่ดูหนังแล้วอยากอ่านหนังสือด้วย


ส่วนตัวคิดว่า ผู้กำกับสำหรับภาค 2 ต้องงานหนักแน่ ถ้ายังสร้างเคมีพระ-นาง ไม่รอด เพราะมันจะชี้เป็นชี้ตายในภาคจบ นักแสดงเจนนิเฟอร์กับจอช ต่างคนต่างทำได้ดีในบทของตัวเอง หวังว่าภาค 2 จะดีขึ้นเมื่อมาแสดงด้วยกันเพื่อทำให้คนดูเชื่อและซาบซึ้งต่อความรักของพีต้าต่อแคตนิส และ ความหวั่นไหวของแคตนิสที่มีต่อพีต้า เพราะต้องมีคนดูอีกจำนวนมากที่ีชีวิตนี้ยังไม่เคยได้อ่านหนังสือชุดเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น