วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Insurgent (Divergent #2) - Veronica Roth

คะแนน : 7.5 เล่มนี้เหมือนเนื้อเรื่องจะสนุกขึ้น มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตลอด และตัวละครก็ดูมีชีวิตจิตใจมากขึ้น แต่ก็ยังมีอะไรขัดความรู้สึกอยู่บ้างเป็นระยะๆ ลองไล่เหตุผลพวกนั้นในหัวตัวเองดูก็พบว่า แต่ละข้อก็เหมือนจะเป็นสาเหตุเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น พูดออกมาก็เหมือนหาเรื่องจับผิด สงสัยจะจริงที่เขาบอกว่า คนเราจะมีทัศนคติก่อนแล้วค่อยหาเหตุผลสนับสนุนทีหลัง สำหรับเล่มนี้มีจุดที่เราชอบจริงๆ ข้อเดียวคือ สำนวนการเขียน ส่วนนอกนั้นทั้งที่เหมือนจะดีเกือบทุกอย่าง แต่ก็มีอะไรไม่รู้มาฉุดรั้งไว้ทำให้ไม่อิน สุดท้ายไปๆ มาๆ คงต้องโทษที่ตัวละครนั่นแหละ

คำเตือน สปอยล์มากเป็นระยะๆ

เล่มที่แล้วเราคิดว่าคนเขียนยังสื่ออารมณ์ของนางเอก ทริส (/บีเอทริซ) ออกมาไม่ดีพอ ในฉากสำคัญท้ายเล่ม 2-3 ฉากนี้ สปอยล์มาก ตอนที่เห็นแม่ตายต่อหน้าต่อตา ถัดมาตอนรู้ว่าพ่อตายก็เฉยมากอีก และอีกฉากก็คือตอนที่เธอต้องต้องตัดสินใจยิงเพื่อนสนิทที่ถูกควบคุมสมองอยู่ พอมาเล่มนี้ทริสก็เลยเวิ่นเว้ออยู่กับเหตุการณ์สองเรื่องนั้นตลอดเรื่อง แบบจะคิดจะทำอะไรก็ต้องจิตประหวัดไปนึกถึงแม่กับเพื่อน ย้ำกันบ่อยๆ ก็กลายเป็นน่ารำคาญนา

อีกอย่างก็คือเรายังรู้สึกว่าทริสเป็นเด็กกะโปโล ทำอะไรไม่เคยคิดหน้าคิดหลัง ดุ่มๆ ไปเรื่อยๆ ในเรื่องพยายามบอกว่า ทริสเป็น Divergent ที่มีความถนัด 3 อย่าง รวมทั้งแบบ Erudite ด้วย เพราะฉะนั้นเธอเป็นคนฉลาด แต่ไม่เห็นมีตอนไหนที่เรานึกว่าเธอฉลาดเลย อย่างเช่นตอนที่เผชิญหน้าตัวร้ายของเรื่อง ตัวเองเป็นฝ่ายถืออาวุธเล็งเขาอยู่ แต่แล้วกลับยอมปล่อยให้หนีไปได้ เพราะได้ยินเสียงกรีดร้องเลยต้องวิ่งไปช่วย ยังไม่รู้เลยว่าทางโน้นเกิดอะไรขึ้น รีบวิ่งไปดูเขาแล้วตัวเองจะทำอะไรได้ ไม่ใช่ว่าจะมีพลังพิเศษไปช่วยรักษาถ้าเขาโดนยิงสักหน่อย รีบจับตัวบอสฝ่ายตรงข้ามไว้ก่อนแล้วค่อยไปดูสถานการณ์เพื่อนก็ยังไม่สาย บางทีเหมือนอยากจะดึงเนื้อเรื่องให้มันมีฉากลุ้นฉากเผชิญหน้ามากขึ้นแต่กลายเป็นว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผลที่ตัวละครจะทำอย่างนั้น

พูดถึงพระเอกของเรื่องบ้าง โฟร์/(โทเบียส) นายนี่เป็นเหมือนพวกพระเอกที่เป็นรุ่นพี่นางเอกในการ์ตูนน่ะ ตอนอ่านเรื่องนี้เหมือนดูอนิเมะที่ได้ยินเสียงแหลมๆ เรียก "เซมไป เซมไป" ตอนแรกก็เป็นครูฝึกให้นางเอก อายุมากกว่าแค่ 2 ปีแต่ทำเป็นวางมาด ตอนหลังก็เป็นแฟนกัน นายโฟร์ก็ทำตัวไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย งี่เง่ามากตอนที่มาโกรธทริสที่ไม่ยอมปรับทุกข์กับเขา แต่ตัวเองก็ไม่เคยยอมเล่าเรื่องส่วนตัวให้ทริสฟังเลยสักเรื่อง เป็นตัวละครพระเอกวัยรุ่นที่ไม่มีเสน่ห์เอาซะเล้ย แต่อาจเป็นเพราะไม่ใช่สเปกเราก็ได้

ความสัมพันธ์ของทริสกับคนอื่นๆ ก็เป็นในรูปแบบเดียวกัน กับเพื่อนสนิท กับพี่ชาย อยากจะแต่งเนื้อเรื่องให้ขัดแย้งกันก็เปิดประเด็นมาเลย ไม่ค่อยนึกถึงว่ามันจะสมเหตุสมผลมั้ย แค่อยากจะหักเหเรื่องไปมาแค่นั้น แล้วตัวละครเพื่อนๆ คนอื่นในกลุ่มมีหลายคนมาก แต่ว่าทุกคนไม่ค่อยมีจุดเด่นให้จดจำเลย เหมือนเป็นตัวประกอบฉาก ทริสไม่ได้แคร์พวกเพื่อนเหล่านั้นจริงหรอก เรื่องเล่าจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งนะ ถ้าทริสใส่ใจพวกตัวละครอื่นๆ จริง คนอ่านก็น่าจะจำได้สิว่าใครเป็นใคร

นิยายเรื่องนี้เป็นไซไฟ หาข้อมูลมาเยอะพอสมควร บางย่อหน้าเหมือนมาจากตำราเลย อืมม์ แต่บางอันก็ขัดกับที่เราเคยอ่านมาแฮะ ในเรื่องบอกว่าน้ำตาไม่มีประโยชน์อะไรทางชีวภาพ ตอนอ่านประโยคนั้นที่ความจริงเป็นซีนอารมณ์ที่เขียนดีทีเดียว เราเลยดันสะดุดไปซะ ต้องหยุดอ่านมาหาข้อมูล เพราะเราเคยอ่านบทความที่มีนักวิจัยบอกว่า เวลาคนเราน้ำตาไหล จะมีฮอร์โมนหลั่งออกมา ช่วยลดความเครียด หลังร้องไห้เราถึงรู้สึกดีขึ้น คือปรกติคนอ่านก็คงไม่มายึดถือสิ่งที่เขียนในนิยายว่าเป็นข้อเท็จจริงหรอก แต่ถ้าไม่ต้องมานั่งสงสัยเลยจะดีกว่านี้

กลายเป็นติมากกว่าชมอีกแล้ว ความจริงเรื่องสนุกนะ แต่ต้องอย่าไปคิดหาเหตุผลมาก เหมือนเล่นวิดีโอเกมส์ เดี๋ยวก็ถูกตัดเข้าฉาก เคลียร์ไปทีละสเตจ ฉากแอกชั่นเรื่องนี้จะเป็นซิมูเลชั่นอยู่ในจิตใจ โดนฉีดยาแล้วฝันกันอยู่หลายครั้งในเรื่อง ถ้าสร้างเป็นหนังแล้วอาจออกมาเทพแบบ Inception หรือไม่ก็อาจจะดับแบบ Sucker Punch ก็เป็นได้ (เราชอบ Sucker Punch นะ มารู้ทีหลังว่าหนังเจ๊งยังงงเลย มันก็สนุกดีนี่นา แต่คะแนนวิจารณ์ในเว็บมะเขืออย่างต่ำเตี้ยเลย มิน่า ในโรงมันว่างจัง เห็นมีคนที่นั่งแถวเดียวกันลุกออกไปกลางคันแล้วไม่กลับมาดูต่อด้วย ตอนโน้นนึกว่าเขามีธุระด่วนซะอีก)

เนื้อเรื่องฉากสุดท้ายตอนจบเล่ม เหมือนจะดี แต่เราเดาเรื่องได้ตั้งแต่กลางเล่ม ปล่อยเงื่อนงำมาเร็วไปหน่อยทำให้จับไต๋ได้ก่อน เพราะย้ำเนื้อเรื่องที่จะนำไปสู่จุดนั้นบ่อยมาก แต่ถ้าเดาไม่ได้ก็อาจจะรู้สึกว่ามันเจ๋งมากก็ได้ แต่ขอวิจารณ์เป็นคำสุดท้ายถึงแนวคิดอย่างในเรื่องเนี้ยหน่อยเหอะ โคตรสปอยล์แบบเฉลยเรื่อง ทุกคนในเรื่องนี้อยู่ในเมืองทดลองที่ออกแบบมาเพื่อหารูปแบบสังคมที่จะนำกลับไปใช้ในโลกจริงที่ฟอนเฟะ คนที่คิดไอเดียทดลองนี้อาจจะไม่บ้าหรอก แต่ตัวละครทุกคนในเรื่องที่ยอมรับไอเดียนี้มาทำตามน่ะโง่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น