วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Artemis Fowl and The Last Guardian - Eoin Colfer

คะแนน : 8.5 ไฟกระชากทำอุปกรณ์เสีย เน็ตมือถือมันง่อยมาก 3g ก็ยังไม่มีใช้ เสียอารมณ์จนพาลไม่อยากเขียนเลย สั้นๆ แล้วกัน อาร์ทิมิส ฟาวล์ #8 เล่มอวสาน (มั้ง) ออกมาแล้ว ตามอ่านกันมาเกินสิบปี จบลงแล้วในเล่มนี้ สนุกมากๆ

สปอยล์ถึงฉากจบ เฉพาะคนที่อ่านแล้วมาแชร์ความรู้สึกกันเท่านั้นนะ

สนุกตั้งแต่เริ่ม แอกชั่นลุ้นทั้งเล่ม ไม่มีเนื้อเรื่องช่วงอืดเลย บอสก็ยังเป็นโอปอลจอมแสบตามเคย เล่มนี้ยัยนี่โหดสุดๆ ขนาดตัวเองยังทำได้ลง จินตนาการไซไฟ+แฟนตาซีของเล่มนี้ก็น่าสนใจ เนื้อเรื่องตอนท้ายยอดเยี่ยมมาก ปรกติเรื่องชุดนี้ ความชอบของเราจะอยู่ในระดับ 8 มาตลอดเกือบทุกเล่ม แต่เล่มนี้บวกพิเศษให้เพราะ 3 บทสุดท้ายนั่นเลย เป็นฉากไคลแม็กซ์ที่ยิ่งใหญ่อลังการมาก ตอนที่อาร์ทิมิสตาย ทั้งที่เห็นตายกันต่อหน้าต่อตา มีศพให้ฝัง แต่เราก็แค่เฮ้ยในใจนิดหน่อย แต่ไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องนี้จะจบแบบพระเอกตาย ไม่งั้นแฟนๆ โวยวายกันทั่วโลกแน่ ยังไงก็ต้องรอด และในที่สุดก็หาทางออกได้ดีแสดงถึงมันสมองอัจฉริยะของอาร์ทิมิส

ขอเพ้อเรื่องนึงเถอะ อาร์ทิมิสกับฮอลลี่ ความจริงเราก็ไม่ได้อยากให้มีความรักในนิยายกันทุกเรื่องนะ เล่มแรกๆ ของชุดนี้ตอนที่อาร์ทิมิสยังเป็นเด็ก เราไม่สนใจประเด็นนี้เลย ไม่เห็นจำเป็นต้องมีนางเอก ถ้าจะมีเราก็ไม่คิดถึงฮอลลี่ เพราะคนละเผ่าพันธุ์ แล้วฮอลลี่ก็อายุร้อยกว่า คนละรุ่นกันเลย แต่เพราะในเล่ม 6 ตอน The Time Paradox นั่นล่ะ ที่อาร์ทิมิสจูบกับฮอลลี่ มันก็เหมือนคนเขียนเพาะเมล็ดพันธุ์ทิ้งไว้ให้เราคิด พอเล่มที่แล้วปิดประเด็นไปเราก็หยุดเพ้อ แต่มาเล่มนี้อาร์ตี้กับฮอลลี่ก็ทำซึ้งกันเหลือเกิน ต่างฝ่ายต่างจะยอมเป็นผู้เสียสละ มุ่งมั่นห่วงใยกันขนาดนั้น จะไม่ให้จิ้นยังไงไหว แต่คนเขียนก็ย้ำจัง เพื่อนคนสำคัญของฉัน คำก็เพื่อน สองคำก็เพื่อน โธ่ อย่าขัดคอสิ ถ้าไม่อยากให้คิดไกล ก็อย่าแต่งให้สองคนนี้เขานึกถึงกันเยอะนัก เราว่าถ้าดูเฉพาะบุคลิกนิสัยใจคอ อาร์ทิมิสกับฮอลลี่โคตรจะสมกันเลย เติมเต็มกันได้พอดี แต่มนุษย์กับแฟรี่มันก็ยากน่ะนะ อ้ะ เพื่อนก็เพื่อน

เล่มนี้คนแต่งบอกว่าจะเป็นเล่มสุดท้าย ไม่เขียนต่อแล้ว เราคิดว่าฉากอวสานของเรื่องนี้ก็จบได้ดีแล้ว วนไปถึงเล่ม 1 ได้พอดี แต่เพราะการที่เขียนให้จบลงแค่ตรงนี้ โดยไม่มีการเขียนบทส่งท้ายบอกเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นไปของตัวละครหลังจากนี้ให้คนอ่านรู้ มันก็เหมือนผู้แต่งยังกั๊ก เปิดทางให้กลับมาเขียนต่อได้อีก วันไหนเปลี่ยนใจก็หาบอสใหม่มาแต่งเล่มใหม่ได้ ขออย่าให้มีเลย จบอย่างนี้ดีแล้วกำลังสวย ถ้ายืดกว่านี้จะหมดมุก

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The Great Escape - Susan Elizabeth Phillips

คะแนน : 8 ตั้งแต่ที่เห็น AAR ให้เรื่องนี้มา C+ เมื่อเดือนที่แล้ว ก็ทำให้เราต้องรีบขยับลดระดับความคาดหวังของตัวเองลงทันที อย่ารอลุ้นมากจะได้ไม่กดดันตอนอ่านจริง ยังไม่ได้อ่านรีวิวอันนั้นเลย เดี๋ยวจะกลับไปดูอีกทีว่าทำไมเกรดต่ำจัง เพราะเมื่อได้อ่านเองแล้วเราว่าเล่มนี้มันก็สนุกดีนี่นา แค่ขึ้นหน้าที่ 4 เท่านั้นก็เรียกเสียงหัวเราะพรืดแรกของเราได้แล้ว ตลอดเรื่องก็ขำกิ๊กกั๊กไปเกินสิบ มีหนนึงเราฮาก๊ากนาน 30 วินาทีเลย

ตอนต้นเรื่องเหมือน Hot Shot ลูซี่หนีออกจากงานแต่งงานของตัวเองใน Call Me Irresistible ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์หนีหายไป แต่หลังจากนั้นเรื่องจะไปคล้ายๆ พวก Breathing Room, This Heart of Mine, Natural Born Charmer มากกว่า ตัวละครที่กำลังเสียศูนย์กับชีวิตมาอยู่ด้วยกันในบ้านพักริมทะเลสาบ บวกกับคู่รองที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน เป็นเรื่องที่เดินตามสูตรประจำของ SEP ทุกอย่าง ไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่เราชอบสูตรนี้น่ะ แล้วเราชอบตัวละครของ SEP จริงๆ

ทั้งเรื่องมีตัวละครแค่ไม่กี่คนหรอก หลักๆ แค่ 5-6 คนเอง เพี้ยนๆ สติแตกกันนิดหน่อยแต่ก็น่ารัก ทุกคนมีปัญหาชีวิตของตัวแต่ก็พยายามจะจัดการตั้งศูนย์ตัวเองอยู่ เป็นกลุ่มคนที่ทำให้การได้รู้จักกันเป็นสิ่งที่มีความหมาย ไม่ใช่แค่เดินผ่านไปผ่านมาในชีวิต ลูซี่หนีออกมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แล้วก็มาใช้เวลาตั้งหลักค้นหาตัวเอง (ในคราบของ the girl with the fake dragon tattoo) ^_^ คุณพี่หมีแพนด้าก็เป็นพระเอกที่โอเคนะ ส่วนบรีก็แทบจะเป็นนางเอกอีกคนได้เลย ฉากตอนที่กอดกับเด็กชายโทบี้ซึ้งมาก มีช่วงท้ายเรื่องเท่านั้นที่รู้สึกว่าเรื่องยืดไปหน่อย แต่โดยรวมๆ เล่มนี้ก็น่าพอใจมาก

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Insurgent (Divergent #2) - Veronica Roth

คะแนน : 7.5 เล่มนี้เหมือนเนื้อเรื่องจะสนุกขึ้น มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตลอด และตัวละครก็ดูมีชีวิตจิตใจมากขึ้น แต่ก็ยังมีอะไรขัดความรู้สึกอยู่บ้างเป็นระยะๆ ลองไล่เหตุผลพวกนั้นในหัวตัวเองดูก็พบว่า แต่ละข้อก็เหมือนจะเป็นสาเหตุเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น พูดออกมาก็เหมือนหาเรื่องจับผิด สงสัยจะจริงที่เขาบอกว่า คนเราจะมีทัศนคติก่อนแล้วค่อยหาเหตุผลสนับสนุนทีหลัง สำหรับเล่มนี้มีจุดที่เราชอบจริงๆ ข้อเดียวคือ สำนวนการเขียน ส่วนนอกนั้นทั้งที่เหมือนจะดีเกือบทุกอย่าง แต่ก็มีอะไรไม่รู้มาฉุดรั้งไว้ทำให้ไม่อิน สุดท้ายไปๆ มาๆ คงต้องโทษที่ตัวละครนั่นแหละ

คำเตือน สปอยล์มากเป็นระยะๆ

เล่มที่แล้วเราคิดว่าคนเขียนยังสื่ออารมณ์ของนางเอก ทริส (/บีเอทริซ) ออกมาไม่ดีพอ ในฉากสำคัญท้ายเล่ม 2-3 ฉากนี้ สปอยล์มาก ตอนที่เห็นแม่ตายต่อหน้าต่อตา ถัดมาตอนรู้ว่าพ่อตายก็เฉยมากอีก และอีกฉากก็คือตอนที่เธอต้องต้องตัดสินใจยิงเพื่อนสนิทที่ถูกควบคุมสมองอยู่ พอมาเล่มนี้ทริสก็เลยเวิ่นเว้ออยู่กับเหตุการณ์สองเรื่องนั้นตลอดเรื่อง แบบจะคิดจะทำอะไรก็ต้องจิตประหวัดไปนึกถึงแม่กับเพื่อน ย้ำกันบ่อยๆ ก็กลายเป็นน่ารำคาญนา

อีกอย่างก็คือเรายังรู้สึกว่าทริสเป็นเด็กกะโปโล ทำอะไรไม่เคยคิดหน้าคิดหลัง ดุ่มๆ ไปเรื่อยๆ ในเรื่องพยายามบอกว่า ทริสเป็น Divergent ที่มีความถนัด 3 อย่าง รวมทั้งแบบ Erudite ด้วย เพราะฉะนั้นเธอเป็นคนฉลาด แต่ไม่เห็นมีตอนไหนที่เรานึกว่าเธอฉลาดเลย อย่างเช่นตอนที่เผชิญหน้าตัวร้ายของเรื่อง ตัวเองเป็นฝ่ายถืออาวุธเล็งเขาอยู่ แต่แล้วกลับยอมปล่อยให้หนีไปได้ เพราะได้ยินเสียงกรีดร้องเลยต้องวิ่งไปช่วย ยังไม่รู้เลยว่าทางโน้นเกิดอะไรขึ้น รีบวิ่งไปดูเขาแล้วตัวเองจะทำอะไรได้ ไม่ใช่ว่าจะมีพลังพิเศษไปช่วยรักษาถ้าเขาโดนยิงสักหน่อย รีบจับตัวบอสฝ่ายตรงข้ามไว้ก่อนแล้วค่อยไปดูสถานการณ์เพื่อนก็ยังไม่สาย บางทีเหมือนอยากจะดึงเนื้อเรื่องให้มันมีฉากลุ้นฉากเผชิญหน้ามากขึ้นแต่กลายเป็นว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผลที่ตัวละครจะทำอย่างนั้น

พูดถึงพระเอกของเรื่องบ้าง โฟร์/(โทเบียส) นายนี่เป็นเหมือนพวกพระเอกที่เป็นรุ่นพี่นางเอกในการ์ตูนน่ะ ตอนอ่านเรื่องนี้เหมือนดูอนิเมะที่ได้ยินเสียงแหลมๆ เรียก "เซมไป เซมไป" ตอนแรกก็เป็นครูฝึกให้นางเอก อายุมากกว่าแค่ 2 ปีแต่ทำเป็นวางมาด ตอนหลังก็เป็นแฟนกัน นายโฟร์ก็ทำตัวไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย งี่เง่ามากตอนที่มาโกรธทริสที่ไม่ยอมปรับทุกข์กับเขา แต่ตัวเองก็ไม่เคยยอมเล่าเรื่องส่วนตัวให้ทริสฟังเลยสักเรื่อง เป็นตัวละครพระเอกวัยรุ่นที่ไม่มีเสน่ห์เอาซะเล้ย แต่อาจเป็นเพราะไม่ใช่สเปกเราก็ได้

ความสัมพันธ์ของทริสกับคนอื่นๆ ก็เป็นในรูปแบบเดียวกัน กับเพื่อนสนิท กับพี่ชาย อยากจะแต่งเนื้อเรื่องให้ขัดแย้งกันก็เปิดประเด็นมาเลย ไม่ค่อยนึกถึงว่ามันจะสมเหตุสมผลมั้ย แค่อยากจะหักเหเรื่องไปมาแค่นั้น แล้วตัวละครเพื่อนๆ คนอื่นในกลุ่มมีหลายคนมาก แต่ว่าทุกคนไม่ค่อยมีจุดเด่นให้จดจำเลย เหมือนเป็นตัวประกอบฉาก ทริสไม่ได้แคร์พวกเพื่อนเหล่านั้นจริงหรอก เรื่องเล่าจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งนะ ถ้าทริสใส่ใจพวกตัวละครอื่นๆ จริง คนอ่านก็น่าจะจำได้สิว่าใครเป็นใคร

นิยายเรื่องนี้เป็นไซไฟ หาข้อมูลมาเยอะพอสมควร บางย่อหน้าเหมือนมาจากตำราเลย อืมม์ แต่บางอันก็ขัดกับที่เราเคยอ่านมาแฮะ ในเรื่องบอกว่าน้ำตาไม่มีประโยชน์อะไรทางชีวภาพ ตอนอ่านประโยคนั้นที่ความจริงเป็นซีนอารมณ์ที่เขียนดีทีเดียว เราเลยดันสะดุดไปซะ ต้องหยุดอ่านมาหาข้อมูล เพราะเราเคยอ่านบทความที่มีนักวิจัยบอกว่า เวลาคนเราน้ำตาไหล จะมีฮอร์โมนหลั่งออกมา ช่วยลดความเครียด หลังร้องไห้เราถึงรู้สึกดีขึ้น คือปรกติคนอ่านก็คงไม่มายึดถือสิ่งที่เขียนในนิยายว่าเป็นข้อเท็จจริงหรอก แต่ถ้าไม่ต้องมานั่งสงสัยเลยจะดีกว่านี้

กลายเป็นติมากกว่าชมอีกแล้ว ความจริงเรื่องสนุกนะ แต่ต้องอย่าไปคิดหาเหตุผลมาก เหมือนเล่นวิดีโอเกมส์ เดี๋ยวก็ถูกตัดเข้าฉาก เคลียร์ไปทีละสเตจ ฉากแอกชั่นเรื่องนี้จะเป็นซิมูเลชั่นอยู่ในจิตใจ โดนฉีดยาแล้วฝันกันอยู่หลายครั้งในเรื่อง ถ้าสร้างเป็นหนังแล้วอาจออกมาเทพแบบ Inception หรือไม่ก็อาจจะดับแบบ Sucker Punch ก็เป็นได้ (เราชอบ Sucker Punch นะ มารู้ทีหลังว่าหนังเจ๊งยังงงเลย มันก็สนุกดีนี่นา แต่คะแนนวิจารณ์ในเว็บมะเขืออย่างต่ำเตี้ยเลย มิน่า ในโรงมันว่างจัง เห็นมีคนที่นั่งแถวเดียวกันลุกออกไปกลางคันแล้วไม่กลับมาดูต่อด้วย ตอนโน้นนึกว่าเขามีธุระด่วนซะอีก)

เนื้อเรื่องฉากสุดท้ายตอนจบเล่ม เหมือนจะดี แต่เราเดาเรื่องได้ตั้งแต่กลางเล่ม ปล่อยเงื่อนงำมาเร็วไปหน่อยทำให้จับไต๋ได้ก่อน เพราะย้ำเนื้อเรื่องที่จะนำไปสู่จุดนั้นบ่อยมาก แต่ถ้าเดาไม่ได้ก็อาจจะรู้สึกว่ามันเจ๋งมากก็ได้ แต่ขอวิจารณ์เป็นคำสุดท้ายถึงแนวคิดอย่างในเรื่องเนี้ยหน่อยเหอะ โคตรสปอยล์แบบเฉลยเรื่อง ทุกคนในเรื่องนี้อยู่ในเมืองทดลองที่ออกแบบมาเพื่อหารูปแบบสังคมที่จะนำกลับไปใช้ในโลกจริงที่ฟอนเฟะ คนที่คิดไอเดียทดลองนี้อาจจะไม่บ้าหรอก แต่ตัวละครทุกคนในเรื่องที่ยอมรับไอเดียนี้มาทำตามน่ะโง่

วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Divergent - Veronica Roth

คะแนน : 7.5 ตอนนี้เราชักไม่ค่อยไว้ใจนิยาย YA แนวดิสโทเปียเท่าไหร่ เบื่อไอ้พวกที่บอกว่าจะเป็น next-Hunger Games แล้ว และที่จริงก็ยังไม่อยากอ่านเรื่องนี้เลย อยากรอให้มันออกมาจบชุดก่อน แต่หลังๆ บนหน้าจอแดชบอร์ดของเราเห็นเรื่องนี้หลุดเข้ามาบ่อยมาก บางรีวิวก็ชมเรื่องนี้เลิศลอย ก็เลยชักจะสนใจ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือชอบนิยายปกสวยๆ ก็เลยหยิบมาอ่านจนได้

เรื่องนี้เกิดขึ้นในโลกอนาคต สังคมแบ่งคนออกเป็น 5 จำพวก คือ
  • Abnegation เป็นกลุ่มที่ยึดมั่นในเรื่องการเสียสละตน
  • Erudite ยึดถือความรู้และสติปัญญา
  • Amity ยึดถือความสมานฉันท์
  • Candor ยึดมั่นการพูดความจริง
  • Dauntless ยึดมั่นความกล้าหาญไม่ครั่นคร้าม

แต่ละกลุ่มจะแบ่งแยกกันรับผิดชอบหน้าที่ในสังคม และแยกตัวออกห่างไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกันข้ามกลุ่ม คนในกลุ่มจะอยู่ด้วยกันเป็นคอมมูน ตอนแรกเด็กแต่ละคนจะอยู่กับครอบครัวของตนเอง แต่เมื่ออายุครบ 16 จะต้องเข้ารับการทดสอบวัดลักษณะนิสัยว่าตรงกับพวกใด แล้วก็จะมีการจัดพิธีเลือกกลุ่มโดยให้เจ้าตัวเลือกเองได้ว่าจะไปอยู่กับกลุ่มไหน ถ้าเลือกไม่เหมือนพ่อแม่ก็จะไปอยู่กับกลุ่มที่เลือกแล้วตัดขาดจากครอบครัวไปโดยปริยาย

บีเอทริซเป็นเด็กสาวจากกลุ่ม Abnegation แต่เธอรู้สึกมาตลอดว่าเธอไม่ใช่คนดีผู้เสียสละที่จะไม่นึกถึงตัวเองเลย ใช้ชีวิตด้วยความกดดันอยู่ลึกๆ เพราะต้องอดทนอดกลั้นมาตลอด แต่เมื่อบีเอทริซเข้าซิมูเลชั่นทดสอบบุคลิกภาพ ผลปรากฏว่า เธอเป็นคนที่มีความโน้มเอียงเท่าเทียมกันถึง 3 กลุ่ม เป็นคนที่จัดเข้าพวกไม่ได้ หรือเรียกว่าพวก Divergent นั่นเอง และนี่เป็นความลับยิ่งยวดที่ต้องปกปิด เพราะพวก Divergent ถือเป็นตัวอันตรายต่อสังคมรูปแบบนี้ แล้วสุดท้ายเธอจะตัดสินใจเลือกไปอยู่กลุ่มใด แล้วผลการเลือกนั้นจะส่งปฏิกิริยาลูกโซ่ไปสู่อะไรบ้าง

ความรู้สึกหลังอ่านจบเล่มนี้ก็คือเหมือนจะดีแต่ยังไม่โดน ข้อดีที่เห็นคือมีสไตล์การเขียนค่อนข้างดี อ่านลื่น มีไอเดียที่เหมือนจะน่าสนใจหลายอย่าง แต่จะว่าสนุกมั้ย มันก็พูดยาก ความสนุกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สำหรับเรา สนุกก็คือว่าอยากติดตามเนื้อเรื่อง อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และอ่านแล้วไม่อยากวาง เล่มนี้มันไม่ถึงขนาดนั้น ช่วงต้นเรื่องก็ยังพอน่าสนใจ แต่ช่วงกลางๆ เรื่องนี่ชีวิตประจำวันมาก วันๆ นางเอกก็ไปฝึกต่อสู้ ไม่ค่อยมีอะไร จนท้ายๆ เรื่องค่อยเกิดฉากแอกชั่นใหญ่ที่จะนำไปสู่เล่มถัดไป

ความจริงเรื่องนี้เขียนได้โอเคมากๆ ฉากแอกชั่นและตัวละครก็พอไปไหว แต่ที่ขัดๆ ในใจเราก็คงเป็นเพราะสังคมแบบในเรื่องมั้ง เราไม่ได้ขัดแย้งว่าเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ แต่ปรกติดิสโทเปียเรื่องอื่นมักจะเห็นที่มาของแนวคิดได้ชัดเจนว่าจะประชดเสียดสีวิจารณ์หรือตักเตือนสังคมเรื่องอะไร แต่เล่มนี้แบ่งคนตามนิสัยเนี่ยนะ เพื่ออะไร เราคิดว่าเหตุผลที่บอกในเรื่องยังไม่ค่อยหนักแน่นสมเหตุสมผล

ในสังคมเรามีการแบ่งคนเป็นพวกๆ ตามนิสัยอยู่แล้วถมเถ เช่น แบ่งตามจักรราศี 12 ราศี ตามกรุ๊ปเลือด 4 กรุ๊ป คน Type-A, Type-B หรือตามจริต ก็ได้ 6 จริต (จากหนังสือจริต ๖ พิมพ์ครั้งที่ 28) หรือฮอกวอตส์แบ่งนักเรียน 4 บ้าน คือมันก็อาจใช้ประโยชน์ได้ตอนคบคน คัดคนเข้าเรียนหรือจัดคนเข้ากับงาน แต่การจับคนทั้งเมืองเป็นพวกแยกตามนิสัยเพื่อป้องกันความขัดแย้งเพื่อจะได้ไม่เกิดสงคราม ฟังไม่เข้าท่าแม้แต่น้อย ในสังคมรวมเอาคนนิสัยเหมือนกันมากๆ มาอยู่ด้วยกันจะยิ่งเละเทะน่ะสิไม่ว่า ในกลุ่มเดียวกันถ้าเฉื่อยกันหมดก็ไม่พัฒนา ถ้าห้าวกันหมดก็คงตีกันตาย แถมการแบ่งเป็นก๊กๆ แบบนี้รับรองรบกันชัวร์

เพราะรู้สึกว่าไอเดียในเรื่องนี้ยังผ่านกระบวนการตกผลึกทางความคิดมาไม่มากพอ สงสัยขนาดว่าอ่านจบแล้วต้องไปเช็คเว็บเลย อ๋อ แล้วก็เข้าใจ คนแต่งคิดเรื่องนี้ขึ้นได้ตอนเป็นเด็กมหาวิทยาลัยปี 1 มิน่าล่ะ ยังไม่พ้นระบบโรงเรียนหรือระบบคัดคนเข้าคณะ เลยคิดอะไรที่มันไม่ได้สะท้อนสังคมผู้ใหญ่จริงๆ แต่พอรู้ว่าคนเขียนเพิ่งเรียนจบเพิ่งทำงาน ก็ทำให้นึกชมขึ้นมาเหมือนกันว่า อ่านดูไม่รู้ว่านี่เป็นงานเขียนนิยายเล่มแรก เพราะภาษาเขาเป็นธรรมชาติดี

แต่ก็อีกแหละ พอคนแต่งอายุยังไม่มาก ตัวละครที่ปั้นขึ้นมาก็เลยดูยังไม่ค่อยมีจิตวิญญาณเท่าไหร่ เราไม่ค่อยชอบฉากที่นางเอกเห็นแม่ถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ช็อคไปแป๊บหนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งต่อโดยบอกตัวเองว่า I am brave อืมม์ มันน่าจะเขียนได้อารมณ์กว่านั้นนะ แล้วเรารู้สึกว่าเนื้อเรื่องช่วงท้ายๆ ดูจงใจและไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ แม่มาช่วยพาลูกหนี แต่แม่ตายเอง มาเพื่อส่งบทให้นางเอกเท่านั้นเองเหรอ

เหมือนจะติเยอะ แต่จริงๆ เรื่องนี้ใช้ได้นะ สนุกพอๆ กับเรื่องชุด Uglies ตอนอ่านเรื่องนี้เรานึกถึงเรื่องนั้น อารมณ์ตอนอ่านเหมือนกันเลย เนื้อเรื่องใช้ได้ จินตนาการไซไฟ/แอกชั่นดี แต่ตัวละครไม่ดึงดูด