วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Touch - Adachi Mitsuru





จุดพลุฉลอง ในที่สุด VBK ก็เข็นออกมาครบ การรอคอยแสนยาวนานของเราก็จบลงด้วย เรื่องนี้อ่านมาตั้งแต่สมัยประถม แต่ไม่เคยซื้อเก็บได้ครบชุดเลย แล้วก็ถูก VBK ทำเจ็บหลายที ลอยแพปกแข็ง เวอร์ชันนี้ก็ทำลุ้นอยู่นาน ตอนแรกเราเข็ดไม่กล้าซื้อนะ กะว่ารอจบแล้วยกแพ็ค แต่พอมันออกมาถึงเล่ม 8 ก็เริ่มคลายใจเห็นว่าคราวนี้มีลุ้น กลัวจะหมดหาไม่ได้ก็เลยต้องไปซื้อมาเก็บไว้ก่อน แต่พอหลังจากนั้น กว่าจะออกเล่มต่อมาแต่ละเล่มนี่ ทำเราเครียดมาก ชาตินี้ฉันจะได้เก็บครบมั้ยเนี่ย ในที่สุดก็สำเร็จจนได้ โพสต์นี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ขอเฮอย่างเดียว

เราอ่าน Touch ครั้งแรกตอนมันเป็นเล่มบางๆ ไม่มีลิขสิทธิ์ สมัยเล่มละ 10 บาทใช่มั้ย เป็นของพี่สาว ไม่ใช่ของตัวเอง การ์ตูนเก่าๆ ของพี่เรามีเรื่องสนุกเยอะมาก แต่เขาไม่เก็บสะสม โตมาก็หายไปหมด รับช่วงไม่ทัน บางเรื่องที่ดังๆ เอามาพิมพ์ใหม่ก็ยังโชคดีไปได้เก็บ แต่บางเรื่องมันก็ไม่เคยมีพิมพ์ซ้ำเลย อย่าง ไมมี่แองเจิล (อิงาราชิ ยูมิโกะ), หันมาทางนี้ซิเลิฟ (อาซากิริ ยู สมัยยังไม่เทิร์นดาร์ค), พลังรัก (ยามาโตะ วากิ) แล้วอีกตั้งหลายเรื่อง ฯลฯ พูดไปเรื่อยๆ ก็คงไล่ไม่หมด นึกถึงแล้วก็เสียดาย

เรื่อง Touch นี้เขาถือกันว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของอาดาจิ เราก็ชอบมาก แต่ที่สุดของอาดาจิ มิซึรุ สำหรับเรา ไม่ใช่ Touch แต่เป็น Rough ต่างหาก ทัชนี่เล่มหลังๆ มันยืดๆ ไป ความจริงตอนนี้เราเลิกราจากการเป็นแฟนผลงานของอาดาจิไปแล้วล่ะ หลังจากที่ซื้อเก็บทุกเรื่องที่มีชื่อนี้บนปก เพราะไม่ได้ชอบงานยุคหลังๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว ไม่รู้เขาเปลี่ยนหรือเราเปลี่ยน เราตามซื้อ H2 กับ Katsu! จนจบ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกอ่านสนุกเลย พอถึง Cross Game เราอ่านได้ครึ่งเรื่อง ก็ตัดสินใจว่า ไม่รู้จะยื้อความสัมพันธ์นี้ต่อไปทำไม บางทีมันก็คงต้องปล่อยวาง ปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการความทรงจำ ดีกว่าจะยิ่งเสียความรู้สึกกันต่อไปเปล่าๆ

แต่เมื่อวันนี้เรายก Touch ทั้งตั้ง 12 เล่มมาอ่าน ยังจำเนื้อเรื่องได้หมดเลย เพราะเคยอ่านมาไม่ต่ำกว่า 5 รอบแล้ว เอามาอ่านใหม่ตอนนี้ นอกจากความสนุกที่ได้จากเรื่อง ความรู้สึกตอนอ่านอีกครึ่งหนึ่งมันเป็นเรื่องการระลึกถึงความหลัง อ่านจบแล้วก็รู้สึกดี แบบที่โฆษณา Short Program ท้ายเล่มว่าไว้ "เก็บความสุขของวัยหนุ่มสาวไว้ให้คุณคิดถึง"

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

The Foundling - Georgette Heyer

คะแนน : 7.5

กลับมาหา GH อีกที ตอนนี้ชักเลือกยากแล้ว เหลือแต่เรื่องที่ดูไม่เข้าทางเราเท่าไหร่ เขาบอกเล่มนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ ตรงที่ไม่เน้นโรแมนติกเลย และบทสำคัญตกอยู่กับตัวเอกฝ่ายชาย ไม่ใช่ฝ่ายหญิงเหมือนเรื่องอื่นๆ ดูเหมือนเป็นพระเอกเบต้าที่เราอาจจะชอบ เอาเล่มนี้แล้วกัน

จิลลี่ หรือ อดอลฟุส จิลเลสพี แวร์ เกิดมาพร้อมกับตำแหน่งดยุคแห่งเซล คนที่ 7 เป็นเด็กขี้โรค จึงถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม แบบริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม มาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต โดยผู้เป็นอาและบรรดาคนรับใช้ทั้งโขยง ตอนนี้จิลลี่อายุ 24 แล้ว แต่ทุกคนก็ยังทำกับว่าเขาเป็นลูกแหง่ สร้างความเบื่อหน่ายคับข้องใจให้เขาเป็นอย่างยิ่ง วันหนึ่งเมื่อลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งเกิดปัญหาถูกแบล็คเมล์ จิลลี่จึงขันอาสาไปจัดการปัญหาให้ โดยแอบหลบออกจากบ้านโดยไม่ให้ทุกคนรู้ แล้วก็ได้ผจญกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างมั่นใจในตนเอง

เล่มนี้ก็เป็นเรื่องราวอลเวงชวนหัวไปเรื่อยๆ ทั้งเล่ม ตลกบ้างไม่ตลกบ้าง เรื่องของ GH ไม่ได้สำคัญที่พล็อตอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ภาษาที่ใช้กับตัวละครที่มีเสน่ห์ สำนวนแบบที่บางทีอ่านแล้วต้องให้มันไปหมุนในสมองสองรอบก่อนถึงจะเข้าใจแล้วก็จะอมยิ้ม ไม่อธิบายความคิดความรู้สึกตัวละครตรงๆ แต่ใช้การแสดงให้เห็นมากกว่า ในส่วนตัวละคร จิลลี่ก็โอเค ดูท่าแหยแต่จริงๆ ก็ได้เรื่องได้ราว รับมือกับปัญหาได้หมด จริงๆ แอบรำคาญพวกตัวละครประกอบบางคนบ้างนิดหน่อย อย่างทอมกับเบลินดา แต่ก็ต้องพยายามเข้าใจ ถูกสร้างมาให้เป็นพวกโง่จนขำ แต่แอบกรี๊ดกิเดี้ยน ชอบคนนี้น่ะ เท่ดี เสียดายแฮเรียตมีบทน้อยมากเลย แต่โดยรวมๆ เล่มนี้ก็โอเคแหละ อ่านเพลินดีเหมือนกัน

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Legend - Marie Lu

คะแนน : 7

นิยาย YA แนวดิสโทเปียอีกเรื่องหนึ่ง พล็อตเรื่องเหมือนจะน่าสนใจ และได้รีวิวจากสื่อต่างๆ ดี เห็นว่าถูกซื้อลิขสิทธิ์สร้างหนังไปแล้วด้วยตั้งแต่ก่อนวางแผง แต่ก็คงเหมือนที่เราเคยอ่านเจอจากเว็บของนักเขียนคนนึง ใครไม่รู้จำไม่ได้ เขาบอกว่า มันเป็นเรื่องการตลาดมากกว่า ซื้อขายออปชันกันถูกๆ เพราะฝ่ายนักเขียนกับสำนักพิมพ์ก็อยากขายเพื่อจะได้โปรโมทว่าถูกซื้อไปสร้างเป็นหนังแล้วนะ ฝ่ายสตูดิโอก็อยากซื้อลิขสิทธิ์มาแบบถูกๆ ก่อนตีพิมพ์ เหมือนซื้อล็อตเตอรี่เกิดฟลุกหนังสือดังขึ้นมาก็เหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง ทำกันเกร่อไปหมดแล้ว นิยายดีไม่ดีไม่สน อาจจะไม่ได้เอาไปสร้างเป็นหนังจริงก็ได้ เพราะฉะนั้นคนอ่านก็คงเชื่อคำโฆษณาง่ายๆ ไม่ได้แล้ว เลือกยากลำบากใจจริงน้อ แต่ดาวจากนักอ่านในอเมซอนก็ดีนะ ลองดู

เรื่องราวเกิดขึ้นในลอสแอนเจลิสยุคอนาคต หลังน้ำท่วมใหญ่ เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายสาธารณรัฐกับฝ่ายอาณานิคม ตัวเอกคือ เดย์ เด็กหนุ่มอายุ 15 นักก่อการร้ายที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด กับจูน เด็กสาววัย 15 นักเรียนอัจฉริยะในวิทยาลัยทหาร เดย์บุกลักลอบเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อปล้นยารักษาโรคให้ครอบครัวของเขา จูนต้องการล่าตัวคนร้ายที่สังหารพี่ชายนายทหารของเธอ เป็นเหตุการณ์ที่ชักนำให้ชะตาชีวิตของทั้งคู่โคจรมาพบกัน

ดำเนินเรื่องด้วยการตัดสลับไปมาทีละบทระหว่างเดย์กับจูน เพราะผู้แต่งทำงานเป็นนักพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์มาก่อน นิยายเรื่องนี้ก็จะรู้สึกเหมือนวิดีโอเกมจริงๆ แอกชั่นตัดไปตัดมาเร็วๆ ไม่ใช่ว่าเนื้อเรื่องเหมือนเกมไม่ดีนะ ถึงเดี๋ยวนี้เราจะห่างหายจากการเล่นเกมไปแล้ว แต่เกมที่มีเนื้อเรื่องดีๆ อย่าง FF6, FF12 หรือตระกูล Tactics Ogre นี่ก็ยังทำให้เราประทับใจไม่รู้ลืม หรือเรื่องแบบ Resident Evil ก็สนุกดีออก สำหรับเล่มนี้ช่วงแรกก็โอเคนะ มีฉากบรรยากาศน่าสนใจและโครงเรื่องก็น่าติดตามใช้ได้ แต่พอถึงครึ่งเรื่อง ก็จับทิศทางเรื่องได้หมดแล้ว พอตัวเอกสองคนมาอยู่ด้วยกันจริงๆ เรื่องก็หมดแรงอ่อนหายไปเลย

สาเหตุสำคัญอยู่ที่ตัวละคร สร้างมาแบบ 2D มาก แบนราบ ขอโทษนะ ตัวกราฟิกสไปรท์เล็กๆ ของ Celes Chere ฉากนี้ ยังทำให้เรารู้สึกว่าเซลีสเป็นตัวละครที่มีมิติมากกว่าเดย์กับจูน 100 เท่า


สปอยล์สุดๆ

ฟังดูภูมิหลังของเดย์กับจูนเหมือนจะดี แต่พอรู้จักสองคนนี้จริงๆ จะรู้ว่าทั้งคู่เป็นเด็กไม่เอาไหน จูนนี่อัจฉริยะยังไง การกระทำหลายอย่างดูออกจะไร้ความคิด ส่วนเดย์นี่ไม่อยากจะเซด ถ้าเป็นตัวในเกมจริงๆ ก็ไม่อยากเลี้ยงเก็บเลเวลให้ด้วยซ้ำ เรียกได้เต็มปากว่ากาก ไม่เห็นมีฝีมือตรงไหน เหลือเชื่อที่บอกว่าเป็นนักก่อการร้ายที่รัฐบาลตามจับ แต่โง่ๆ บุกเข้าไปดื้อๆ แผนอะไรก็ไม่มี เวลาถูกจับก็เห็นมีแต่ปากดี เอาตัวเองก็ไม่รอด ช่วยอะไรใครก็ไม่ได้ ไม่เห็นทำอะไรได้สักอย่าง

ความรักของเดย์กับจูนนี่อ่านแล้วรู้สึกคลื่นไส้ มีเวลาอยู่ด้วยกันแค่สองวัน แทบไม่ได้คุยกันมากมาย จูนคิดว่าเดย์ฆ่าพี่ชายตัวเองนะ ไปปิ๊งเขาได้ไง แล้วก็อย่างที่เดย์พูดใส่หน้าจูน "เหมือนเธอเหนี่ยวไกปืนฆ่าแม่ของฉัน" เรื่องที่แม่ของเดย์ถูกฆ่าตายนี่ จูนปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้นะ เพราะเป็นคนพาทหารบุกไปจับ แต่แทนที่จะเป็นชนวนให้เจ็บแค้นกดดัน ประโยคต่อมาเดย์ก็เปลี่ยนเรื่องพูดไปถามถึงคนอื่นแล้ว โห แม่ตายทั้งคนนะ แล้วถัดมาไม่ทันไรเดย์ก็นั่งคิดถึงจูน "เธอไม่ผิด เธอไม่ได้ตั้งใจ" เฮ้อ ตัวละครกลวง มีแต่เปลือก พวกตัวร้ายก็ไม่มีมิติพอๆ กัน ทั้งโง่ ทั้งเลวแบบไม่มีเหตุผล อ่านแล้วตลกอนาถๆ

อ่านสนุกได้แค่ครึ่งเรื่อง แต่นี่เป็นเล่มแรกของไตรภาค ยังไม่อยากฟันธงกับเรื่องนี้ เดี๋ยวเล่มถัดไปอาจจะมีดีกว่านี้ก็ได้ ความจริงถ้าเป็นเด็กๆ วัยรุ่นอ่านเล่มนี้เล่นๆ ก็อาจจะได้ แต่เราคงเกินวัยกลุ่มเป้าหมายของเรื่องนี้อีกแล้ว ไม่เข็ดสักที ชอบไปเอา YA มาอ่านแล้วก็บ่นว่ามันเด็ก

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

The Catcher in the Rye - J. D. Salinger

คะแนน : 7

ได้ยินชื่อนิยายคลาสสิคติดอันดับหนังสือดีเล่มนี้มานาน แต่ก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ การพร่ำบ่นของเด็กเกรียนคนหนึ่งนี่มันจะน่าอ่านเร้อ แต่เล่มนี้มันก็ถูกอ้างอิงบ่อยจริงๆ ชักอยากจะรู้ว่าเป็นไง ใน 11/22/63 ก็พูดถึงอีกที สงสัยต้องอ่านซะล่ะ จะได้หายสงสัย

ไม่ต้องพูดถึงเนื้อเรื่อง เพราะมันไม่ได้สำคัญอะไรเลย อ่านความคิดของเด็กพระเอกคนเดียวทั้งเรื่อง ไดอารี่ของวัยรุ่นขวางโลก ที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียน แต่ก็อ่านเพลินดีนะ โฮลเด้นนี่มันบ่นพล่ามได้ทุกเรื่องจริงๆ แอบหัวเราะในใจตลอดทั้งเล่ม ไม่มีอะไรตลกทั้งสิ้น แต่เพราะคิดว่า ดีนะนี่ที่พ้นอายุตอนนั้นมาแล้ว วัยนั้นคงเป็นวัยที่ยากลำบากที่สุดในการอยู่กับตัวเองล่ะนะ ยังหาตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองในโลกไม่เจอ

ฉากที่ชอบที่สุดคือ ตอนที่ไปคุยกับครูที่บ้าน กับฉากที่นัดเจอกับน้องสาวตอนท้ายเล่ม เจ้าตัวก็ยังรู้ตัวนะว่าฝันเฟื่องอวดเก่ง ถูกกระตุกนิดเดียวก็รู้ตัวว่าไปไม่รอด คงเพราะมาอ่านตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วถึงชอบสองฉากนี้ แบบมองว่า อารมณ์ต่อต้านแบบในเรื่องมันเป็นแค่ช่วงหนึ่งของชีวิตตอนนั้นซึ่งเดี๋ยวมันจะผ่านไป และดีใจอีกอย่างที่ไม่ได้อายุเท่านั้นแล้ว เพราะถ้าได้อ่านเล่มนี้วัยนั้นแปลว่าอาจจะถูกให้อ่านในวิชาเรียน แล้วคงต้องนั่งทำการบ้านวิเคราะห์เรื่องนี้หัวแตกแน่เลย แค่ตีความชื่อเรื่องก็เหนื่อยแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

11/22/63 - Stephen King

คะแนน : 8.5

คงไม่ต้องช่วยเชียร์เยอะ เพราะชื่อ สตีเว่น คิง บนปก ก็รับประกันได้ในตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณชอบอ่านแนว action thriller แล้วคิดว่าคำพูดของเราพอจะเชื่อได้บ้าง ก็อยากบอกว่า ใครที่ยังไม่ได้อ่าน รีบๆ ปิดโพสต์นี้ แล้วไปหาเล่มนี้มาอ่านเถอะค่ะ มันส์โคตรๆ

แต่ถ้าฟังแค่นี้ยังตัดสินใจไม่ได้ เราจะพยายามโน้มน้าวใจคุณๆ ต่อ จะได้มีแนวร่วมคนที่ชอบเหมือนกันเยอะๆ แต่ก็อาจจะเขียนได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะมันเลยมาเกือบสองวันแล้ว แต่คืนนั้นอ่านจบก็ง่วงแล้ว เมื่อวานกลับจากเที่ยว นอนดูหนัง แล้วดูลิเวอร์พูลต่อ ก็หมดวันอีก ถ้าเขียนบล็อกตอนเพิ่งอ่านจบ อะดรีนาลีนที่เกิดจากการอ่านเรื่องนี้ยังพล่านทั่วตัว คงจะจูงใจได้มากกว่านี้

วันที่ 22 เดือน 11 ปี 1963 คือวันที่ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ถูกลอบยิงเสียชีวิต แต่ถ้าวันนั้นเขาไม่ตาย ประวัติศาสตร์โลกก็อาจจะพลิกโฉมไป ปัจจุบันที่เรารู้จักก็อาจไม่ใช่เช่นนี้ นิยายเล่มนี้คือเรื่องราวของชายหนุ่มชื่อ เจค เอปปิ้ง ครูสอนภาษาอังกฤษธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในต้นทศวรรษที่ 2 ของศตวรรษที่ 21 (ก็ปี 2011 นั่นแหละ ในหนังสือเรียกให้มันเท่ๆ ว่างี้) เขาได้ย้อนเวลากลับไปสู่อดีต พร้อมกับคำขอร้องให้เขาช่วยหยุดยั้งการลอบสังหาร JFK ฮ่าฮ่า บอกโครงเรื่องแค่นี้ก็คงพอ เพราะเราก็รู้แค่นี้แหละตอนก่อนอ่าน ดูชื่อคนแต่ง เห็นพล็อต เห็นดาวอเมซอน กับรู้ว่าไม่ใช่แนวสยองขวัญ ก็อยากอ่านแล้ว เชื่อใจคนขับแล้วก็กระโจนขึ้นรถเลย

สนุกมากตั้งแต่เริ่ม บทแรกก็ทำเราติดแล้ว แนะนำตัวพระเอก แล้วก็เริ่มลุยเลย ไอเดียการย้อนเวลาทำได้น่าสนใจมากๆ ช่วงต้น 1/3 เรื่อง เต็มไปด้วยแอกชั่น ระทึกมาก เหมือนนั่งรถที่โชเฟอร์ขับซิ่ง มียางแตกแหกโค้งอีกต่างหาก คนอ่านก็นั่งเกาะเบาะตัวเกร็ง ลุ้นดี พอเข้าช่วงกลางเรื่อง คนขับเริ่มผ่อนคันเร่ง พระเอกเริ่มปรับตัวกับการใช้ชีวิตในยุคอดีต ไปเป็นครูโรงเรียนมัธยม และได้พบหญิงสาวคนหนึ่ง เนื้อเรื่องช่วงนี้ยาวมากทีเดียว ถึงจะไม่มีแอกชั่นเยอะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนเขียนจะปล่อยให้เรานั่งชมวิวสบายๆ จนอาจเผลอหลับ มีการเบรกให้คนอ่านหัวทิ่ม กระตุกอารมณ์ลุ้นกันเป็นระยะๆ

เราไม่เบื่อกับเหตุการณ์ชีวิตช่วงตรงกลางเลย เราคิดว่ามันเป็นการทำให้ตัวละครมีเลือดเนื้อ ตัวหนังสือของ สตีเว่น คิง มีพลัง บางครั้งอ่านไปน้ำตาเปื้อนแก้มไม่รู้ตัว ตอนไหนก็จำไม่ได้ ไม่ใช่ฉากสำคัญอะไร แต่มัน moved อีกอย่าง เราชอบเรื่องราวความรักในเล่มนี้ ตอนอ่านสุภาษิตญี่ปุ่นตอนเปิดเรื่อง ก็งงนะว่าเกี่ยวอะไร แต่พอถึงเนื้อเรื่องตอนนั้นซึ้งมากเลย ถ้าไม่มีเรื่องราวพวกนั้น มันก็เหมือนพระเอกฮีโร่ธรรมดา ย้อนมาช่วยแก้ไขเหตุการณ์ เสร็จจบก็ไป ถ้าทำไม่สำเร็จก็แล้วไง แต่พอแต่งเรื่องให้เจคมีความผูกพันกับอดีต ก็เหมือนการเพิ่มเดิมพันให้ตัวละคร สถานการณ์ของพระเอกก็จะถูกบีบคั้นขึ้นว่าต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ตอนอ่านก็จะยิ่งอิน ยิ่งเชียร์ แล้วจะยิ่งเจ็บปวดใจแทนพระเอกกับการตัดสินใจครั้งสุดท้ายตอนจบเรื่องของเขา

ช่วงท้ายเรื่อง เข้าสู่ฉากแอกชั่นยาวเหยียด วันที่ 11/22/63 เนื้อเรื่องสปีดสุดชีวิต แทบหายใจหายคอไม่ทัน แปลกนะทั้งที่มันเป็นเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ที่เราควรจะรู้ตอนจบดีอยู่แล้วใช่ไหม แต่กลับเดาทางไม่ได้เลยว่าจะจบยังไง มีความเป็นไปได้นานัปการ ตอนจบสุดท้ายเป็นแนว sci-fi เต็มที่ จักรวาลสตริง พอถึงบทสุดท้ายของเรื่อง เราคงพูดได้แค่ว่า ในเมื่อเรื่องมันเป็นอย่างนี้ จบแบบนี้ก็คงเป็นฉากจบที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้แล้ว อ่านจบแล้วคิดว่า เวลาทุกนาทีที่เราใช้อ่านทุกตัวอักษรของนิยาย 849 หน้าเล่มนี้ คุ้มค่ามาก

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

The Load of Unicorn - Cynthia Harnett

คะแนน : 8
ตอนเป็นเด็กชอบอ่านเรื่อง "กระสอบขนแกะ" มาก ยืมจากห้องสมุด ตอนโตมาคิดถึงอยากอ่าน แต่ภาษาไทยมันหายาก ก็ต้องตามหาต้นฉบับ โชคดีมีพิมพ์ใหม่เมื่อปี 2001 ก็เลยได้ The Wool-pack (คะแนน 8.5) มาเก็บ ตอนนี้คิดถึงอีกที ก็เลยอยากอ่านเรื่องอื่นของผู้แต่งคนเดียวกันอีกบ้าง

ชื่อเรื่องนี้เหมือนแฟนตาซี แต่ไม่ใช่เลย เป็นวรรณกรรมเยาวชนอิงประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษยุคกลางช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 บอกเล่าเรื่องราวของเบเนดิกต์ หรือเบนดี้ ซึ่งเป็นลูกชายของอาลักษณ์นักทำหนังสือ ซึ่งสมัยนั้นยังคัดด้วยลายมืออยู่ เบนดี้เป็นลูกชายคนเล็ก และมีปัญหากับพวกพี่ชายต่างมารดาที่อายุมากกว่ากันเยอะ พ่อจึงส่งเขาไปเป็นลูกศิษย์ของผู้ที่กำลังเริ่มทำธุรกิจการพิมพ์ขึ้นมาในอังกฤษ ชื่อ The Load of Unicorn หมายถึงหีบห่อบรรจุกระดาษที่มีลายน้ำรูปยูนิคอร์นที่โรงพิมพ์สั่งนำเข้า แต่กลับสูญหายไปจากเรือที่บรรทุกมา เบนดี้ต้องช่วยแก้ปัญหา และเขาก็ต้องไปตามหาต้นฉบับลายมือของเรื่อง Le Morte d'Arthur ตำนานกษัตริย์อาร์เธอร์ เพื่อนำมาพิมพ์หนังสือ

อ่านสนุกดี ความรู้ด้านประวัติศาสตร์เพียบ มีรายละเอียดสิ่งละอันพันละน้อยในวิถีชีวิตผู้คนยุคนั้นชัดเจน ให้เห็นภาพสมัยโน้นแจ่มแจ้งดีจัง มีรูปวาดลายเส้นสวยๆ เป็นภาพประกอบด้วย ผู้แต่งวาดเอง เก่งจังเลย ตัวละครก็มีโลกทัศน์เหมือนคนที่อยู่ในยุคนั้นจริงๆ พวกความเชื่อในศาสนา หรือสภาพสังคม อย่างเช่น เบนดี้กับเพื่อน เบนดี้เป็นลูกพ่อค้า แต่เพื่อนเป็นลูกหลานคนงาน ไปส่งของด้วยกัน เจ้าของบ้านชวนเบนดี้กินอาหารร่วมโต๊ะด้วย แต่ไม่เชิญเพื่อน ในหนังสือก็ไม่ต้องอธิบายเหตุผล ปล่อยตัวละครทำตัวตามธรรมชาติ แต่อ่านแล้วก็จะสัมผัสได้ถึงการแบ่งชนชั้นสมัยนั้น ทุกอย่างแนบเนียนเรียงร้อยสวยงาม ที่ชอบมากอีกอย่างก็ตรงที่อ่านแล้วซึ้งเรื่องวิวัฒนาการของหนังสือ ถ้าไม่มีเทคโนโลยีอะไร กว่าจะได้หนังสือเล่มหนึ่งมันก็ลำบากนะ และยิ่งรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของการพิมพ์ นับเป็นเครื่องมือปฏิวัติโลกสมัยนั้นจริงๆ

ถึงจะเน้นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ แต่เนื้อเรื่องก็สนุกน่าติดตามด้วย มีฉากการผจญภัยของเบนดี้ แต่ที่ขาดไปไม่น่ารักอย่างเรื่องกระสอบขนแกะ ก็ตรงที่ไม่มีเด็กนางเอกนี่ล่ะ (ยังจำที่นิโคลัสเรียกเซซิลีว่า "ตุ๊กตุ่นของฉัน" ได้เลย น่ารักเนอะ เป็นคู่หมั้นกัน สมัยนั้นอายุ 12-13 ก็แต่งงานได้แล้ว) เรื่องนี้บทเด็กผู้หญิงไม่เด่น เพราะตัวละครเอามาจากคนจริงในประวัติศาสตร์มากกว่าเรื่องนั้น ก็เลยมีอิสระในการดำเนินเรื่องไม่เท่า

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

The Copeland Bride - Justine Cole

คะแนน : 6


นิยายเก๋ากึ้กตั้งแต่ปี 1983 ผลงานเรื่องแรกและเรื่องเดียวของ Justine Cole ผู้ไม่มีตัวตนจริง เพราะนี่คือนามปากกาของเพื่อนบ้านสองคนชื่อ Susan Elizabeth Phillips กับ Claire Kiehl ร่วมมือกันแต่งนิยายเล่มนี้ขึ้นมา ก่อนที่เพื่อนจะย้ายบ้านไป แล้ว SEP จะเริ่มต้นงานเขียนเดี่ยวๆ ในชื่อของตัวเอง เรื่องนี้ขาดตลาดไปนาน และคงไม่มีพิมพ์ใหม่เพราะเนื้อเรื่องมีปัญหาด้าน political correctness กดขี่ทางเพศ เป็นเล่มที่หายาก และเพราะเสียงวิจารณ์ด้านลบ ทำให้เราเฉยๆ ไม่ได้คิดอยากจะขวนขวายตามอ่านซะเท่าไหร่ แต่แล้ววันดีคืนดี ก็ราวกับมันลอยมาอยู่ตรงหน้า คนแจกก็เหมือนกลัวคนไม่รู้ ย้ำชื่อผู้แต่งซะเด่นว่า aka Susan Elizabeth Phillips เลยรู้สึกว่ามันส่งเสียงเรียกร้อง อ่านสิ อ่านสิ SEP เชียวนะ มันจะเลวร้ายสักแค่ไหนกัน

เตือนสปอยล์
โนเอลล์ ดอเรียน เติบโตในสลัมลอนดอนหลังจากแม่ตายตอนเธอยังเด็ก หาเลี้ยงตัวเองด้วยการเป็นนักล้วงกระเป๋ามืออาชีพ ลวงเหยื่อให้ตายใจด้วยการแต่งตัวเป็นโสเภณี วันหนึ่งดวงซวยไปเจอ ควินน์ โคปแลนด์ จับได้ ควินน์เป็นลูกชายของเจ้าของอู่ต่อเรือที่ประสบความสำเร็จ แต่เขามีเรื่องไม่ถูกกับพ่อ ก็เลยจับโนเอลล์แต่งงานด้วย เพื่อประชด (พล็อตนี้โหลเหมือนกันนะนี่) แล้วเขาก็พาเจ้าสาวในคราบโสเภณีไปทิ้งไว้บ้านพ่อ แล้วก็หายตัวไป พ่อเจ้าบ่าวเกิดเห็นใจเธอขึ้นมา ก็เลยตัดสินใจจะช่วยชุบตัวโนเอลล์ให้สมฐานะการเป็นเจ้าสาวของโคปแลนด์

ที่จริงเราไม่ชอบเรื่องที่พระเอกข่มขืนนางเอกนะ แต่ก็กะว่าเรื่องมันเก่าแล้ว อ่านนิยายสมัยนั้นก็ทำใจหน่อยแล้วกัน ถือว่าเป็นเครื่องมือในการเดินเรื่อง พระเอกไม่รู้ว่านางเอกเวอร์จิ้น หลังจากแต่งงาน ขืนใจนางเอกเสร็จแล้ว เอาไปปล่อยบ้านพ่อ แล้วก็หายตัวไปเกือบครึ่งเล่ม ระหว่างนั้น นางเอกก็เรียนหนังสือ ฝึกกิริยามารยาท การเต้นรำ แต่งตัวใหม่ แปลงโฉมเป็นสาวสวย พอพระเอกกลับมาก็เลยจำไม่ได้ ช่วงกลางๆ เรื่องนี่มันก็พออ่านได้เพลินๆ นะ ถึงจะไม่ดีเด่นอะไร แต่ถ้าตั้งใจสังเกตก็พอมองเห็นร่องรอยบางอย่างของ SEP เหมือนกัน แต่พอเรื่องมาถึงตอนพระเอกรู้ความจริงแล้วจับตัวนางเอกไปขังที่บ้านในชนบท เราคิดว่าตัวเองเป็นคนรักความสงบ ไม่นิยมความรุนแรง แต่ตอนอ่านช่วงนี้ อยากเอาหนังสือเล่มที่โพสต์ถึงข้างล่างแพ่นกบาลหมอนี่มากๆ เลย

พระเอกนางเอกเรื่องนี้แทบจะไม่เคยคุยกันดีๆ เลย ทะเลาะกันทั้งเรื่อง พระเอกอัลฟ่ายุคเก่า จองหอง วางก้าม บ้าอำนาจ ส่วนนางเอกก็เจ้าอารมณ์ไร้เหตุผลไม่ใช่น้อย แต่โนเอลล์ยังไม่ร้ายเท่าควินน์ พระเอกเรื่องนี้แย่มากๆ เลวแบบต้องถามว่า นี่พระเอกเหรอ ตอนจะจบเรื่องที่เขาข่มขืนนางเอกอีกครั้ง ตอนนี้เรารับไม่ได้ ไม่มีข้อแก้ตัวไหนฟังขึ้นแล้ว คนรักกันไม่ทำแบบนี้ ตอนอ่านฉากนี้ถึงขั้นอยากยิงพระเอกทิ้งเลย เจตนาอยากฆ่าตัวละครในนิยายนี่คงไม่บาปใช่มั้ย ถ้าไม่มีฉากนั้น เราว่าเรื่องนี้มันก็พออ่านได้ แต่พอเป็นแบบนี้ก็ไม่ไหว พระเอกไม่มีการสำนึกตัวทำดีไถ่โทษใดๆ ทั้งสิ้นด้วย

หึ! ทีนี้ซึ้งแล้วว่า นี่เป็นเรื่องที่แย่ที่สุดของ SEP จริงๆ นั่นแหละ ถ้าเทียบแล้วคงจะเป็นน้องๆ เรื่อง Pirate's Love ของ Johanna Lindsey ทีเดียว เรื่องนั้นพระเอกก็ข่มขืนนางเอกทั้งเรื่องเหมือนกัน เป็นเรื่องที่จัดอยู่ในจำพวกที่เขาเรียกว่า เสียดายต้นไม้ที่ถูกตัดมาทำกระดาษเพื่อพิมพ์หนังสือ สิ่งดีอย่างเดียวที่เราได้จากนิยายเล่มนั้นคือ มันทำให้เราพูดได้เต็มปากว่า เราอ่าน JL ครบทุกเรื่องแล้ว เพราะฉะนั้นเล่มนี้ก็คงต้องพูดแบบเดียวกัน ต่อไปจะได้ไม่ต้องสงสัยว่า งานเก่าชิ้นแรกของ SEP นั้นเป็นยังไง ดีนะนี่ ที่เราเป็นแฟนผลงานเธออยู่ อ่านจบแล้วถึงไม่ชอบยังไงก็ยังรู้สึกขำๆ กับมันได้

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Harry Potter Page to Screen: The Complete Filmmaking Journey


จริงๆ ยังอ่านเล่มนี้ไม่จบเลย ได้มาแล้วก็ต้องทิ้งไว้ที่บ้าน หอบไปหอบมาไม่ไหว แต่คิดว่าเขียนถึงไว้หน่อยก็ดี เผื่อเป็นข้อมูลให้คนที่อาจจะกำลังตัดสินใจ เพราะตอนจะสั่งซื้อเล่มนี้ เสียเวลาหาข้อมูลนานมากๆ ทั้งที่มีคนรีวิวเยอะแยะ มีเป็นวิดีโอรีวิวใน youtube ก็หลายอัน แต่ไม่มีอันไหนตอบข้อสงสัยเราได้ชัดๆ จริงๆ เสียทีว่า ตกลงแบบของ U.S. กับ U.K. ต่างกันยังไง ของ U.S. ข้อมูล Amazon บอกมี 540 หน้า แต่ U.K 528 หน้า แล้ว 12 หน้าที่ต่างกันนี่คืออะไร แต่เท่าที่ไล่ดูคลิปก็เห็นมีเนื้อหาเหมือนกันทั้งนั้นประมาณ 532 หน้า การนับหน้าที่ไม่เท่ากันนั้นอาจจะเพราะนับปกในด้วย

เพราะฉะนั้น เลยคิดเข้าข้างตัวเองว่า มันคงไม่ต่างกัน หน้าปกเหมือนกัน ข้อมูลข้างในเหมือนกัน ชื่อหนังภาคแรกในเล่ม U.K. ยังเป็น the Sorcerer’s Stone เลย ต่างแค่ที่สำนักพิมพ์ และขนาดรูปเล่มอาจจะต่างกันนิดหน่อย ตัดสินใจซื้อจาก Amazon U.K. เพราะถูกกว่า เล่มนี้ร้านหนังสือในเมืองไทยขายในราคา 2,000 ขึ้นทั้งนั้น แต่ถ้าสั่งซื้อจากป่า UK รวมมากับเล่มอื่นๆ คิดแยกราคา+เฉลี่ยค่าส่งออกมาแล้ว เล่มนี้ตกอยู่ที่ 1,500-1,600 บาทเท่านั้น

หนังสือเล่มใหญ่มาก ปกแข็ง เล่มหนา ยืนยันว่า 532 หน้าไม่รวมหน้ารองปก และหนักมากๆ ประมาณ 3 กิโลได้ เอาฟาดหัวคนก็ตาย ถืออ่านไม่ไหว ถ้าไม่วางโต๊ะก็ต้องวางตัก ข้างในเป็นกระดาษอาร์ต พิมพ์สี่สีทั้งเล่ม ภาพประกอบมีทั้งรูปถ่ายและรูปวาด concept art ใครอยากรู้เนื้อหาข้างในไปหาดูใน youtube แต่ที่ชอบมากและอาจจะเห็นไม่ชัดจากในวิดีโอก็คือ ในเนื้อกระดาษบางหน้าจะมีพิมพ์ลายฝังเป็นรูปเงาเล็กๆ เช่น ปากกาขนนก ไม้กวาด พวกนี้ด้วย เก๋ดี


ในส่วนเนื้อหามีบางส่วนคาบเกี่ยวกับเล่ม Harry Potter Film Wizardry (อันนั้นเลือกง่ายเพราะชอบปกแดง) แต่เล่ม Page to Screen เนื้อหาละเอียดกว่า และเล่าเรื่องต่อเนื่องกว่า ตั้งแต่แรกเริ่มก่อนเป็นหนังจนจบภาคสุดท้าย ในขณะที่ Film Wizardry จะเน้นลูกเล่นที่เปิดออกมาได้ เช่น พวกจดหมาย แผนที่ตัวกวน ตำราวิชาปรุงยา โฆษณาร้านของเล่นวีสลีย์ อะไรพวกนั้น ถ้าเทียบกันเล่มแดงสวยกว่า แต่เล่มใหญ่เนื้อหาดีกว่า ส่วนตัวชอบเล่ม Page to Screen มากกว่าเพราะชอบอ่านเกร็ดเบื้องหลังเยอะๆ แต่ทั้งคู่ก็คุ้มค่าน่าสะสมมากๆ พลาดไม่ได้ทั้งสองเล่ม