วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Graceling - Kristin Cashore

คะแนน : 6.5

เรื่องแฟนตาซีที่มีฉากดำเนินเรื่องอยู่ในดินแดน Seven Kingdoms ตัวเอกคือ แคทซ่า เป็นผู้มีพลังพิเศษที่เรียกว่าเกรซ พวกเกรซลิงก์จะมีลักษณะพิเศษคือดวงตาสองข้างจะมีสีไม่เหมือนกัน และความสามารถเกรซของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป ตั้งแต่เมื่ออายุแปดปีที่แคทซ่าพลั้งมือฆ่าคนตาย เธอก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฆ่าและการลงทัณฑ์ โดยราชาผู้เป็นลุงของเธอเอง แม้จะจำใจยอมทำตามคำสั่ง แต่แคทซ่าก็ได้แอบร่วมมือกับกลุ่มคนสนิทตั้งเป็นสภา เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่ได้รับความยุติธรรม

อ่านไม่สนุกเลย เรื่องมันแบ่งเป็น 3 Part ช่วงแรกเป็นการแนะนำฉากกับตัวละคร น่าเบื่อมาก อืด เอื่อย อ่านไปก็นึกไปว่า เมื่อไหร่มันจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นสักทีเนี่ย สงสัยติดดูหนัง action มากไป เรื่องไหนดำเนินเรื่องไม่ทันใจก็เบื่อมากเลย วาง หันไปเล่นเกมดีกว่า พอเข้าช่วงที่สอง เออ ค่อยสนุกขึ้นหน่อย ไปสืบเรื่องราวถึงผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวพ่อของราชาอีกอาณาจักร เริ่มเห็นแววว่าทำไมคนชมเยอะ ดาว Amazon เรื่องนี้ดีมากเลยนะ แต่พอมาถึงช่วงปีนเขาก็ทำเราเบื่ออีกแล้ว เดินทางไม่รู้กี่วันกี่คืนผ่านพายุหิมะ สู้กับสิงโตภูเขาไปตัวเดียวเอง หลังฆ่าตัวร้ายจบ ก็ไม่ยอมจบ เรื่องหลังจากนั้นกลายเป็น anticlimax ไปเลย

เราไม่ชอบตัวเอกเรื่องนี้ ทั้งแคทซ่าทั้งโพเลย โพยังไม่เท่าไหร่ ธรรมดางั้นๆ แต่แคทซ่าเป็นผู้หญิงน่าเบื่อมาก นอกจากสู้เก่งก็ไม่เห็นมีอะไรดี คนเข้มแข็งไม่จำเป็นต้องเป็นคนกระด้างนะ ว่าแต่นี่มันเป็น YA เหรอนี่ วรรณกรรมเยาวชนนี่มันมีตัวร้ายโรคจิตที่ชอบทำร้ายเด็กผู้หญิงด้วยเรอะ แถมมีฉากอย่างว่าด้วย ถึงจะไม่ได้บรรยายโจ่งแจ้ง แต่อ่านก็รู้หมดเลยนะว่ากำลังทำอะไร อืมม์ อย่างน้อยคนอ่านก็ควร 15+ นะเรื่องนี้

ประเด็นสุดท้ายที่จะพูดถึงเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้คือ เราว่าในสังคมปัจจุบัน การเป็นคนรักกันเฉยๆ โดยไม่แต่งงาน มันก็ไม่เป็นไรนะ แล้วแต่ความคิดของแต่ละคน แต่อย่างในเรื่อง เราคงไม่ติดใจถ้าแคทซ่าจะเลือกทำอย่างนั้นเพราะเป็นความต้องการของตัวเองจริงๆ แต่นี่มันดูเหมือนเธออยากทำเพื่อพิสูจน์อะไรก็ไม่รู้ เรานับถือคนที่กล้าแหกกรอบถ้าเรารู้สึกว่าเขาทำไปเพราะเขาไม่ยึดติดกับกรอบ ไม่แคร์สังคมจริง แต่คนที่ต่อต้านธรรมเนียมเพราะแค่รู้สึกไม่อยากอยู่ในกรอบ มันฟังไม่เข้าท่ายังไงก็ไม่รู้ มันก็เหมือนโดนกรอบบังคับตัวตนอยู่นั่นแหละ จนจบเรื่องก็เหมือนใจยังไม่สงบ ดูแคทซ่ายังมีความสุขในตัวเองไม่ได้เลย แต่นี่อาจเป็นความรู้สึกของเราคนเดียวก็ได้

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The Accidental Wedding - Anne Gracie

คะแนน : 7.5

เป็นเรื่องจากนักเขียนที่ยังไม่เคยอ่าน เห็นได้รีวิวระดับ A จาก AAR ก็เลยลองซะหน่อย จริงๆ มันเป็นเรื่องชุดแต่ขี้เกียจไปหาเรื่องก่อนอ่านแล้ว ถ้าชอบเรื่องนี้แล้วค่อยย้อน ดูเรื่องย่อแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ เรื่องใหม่เพิ่งออกสมัยนี้ยังใช้มุกความจำเสื่อมแบบนี้อยู่ แล้วได้คำชมนี่มันก็น่าสนใจนะ

พระเอกคือ แนช เรนฟรูว น้องชายท่านเอิร์ล ประสบอุบัติเหตุตกม้า นางเอก แมเดอเลน วู้ดฟอร์ด ก็เลยพามาพักที่กระต๊อบของเธอ พอเขารู้สึกตัวขึ้นมากลับพบว่า เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่ก็นึกเองเสร็จสรรพว่า ผู้หญิงที่นอนอยู่ข้างเขาคงเป็นภรรยาของเขานั่นเอง แล้วเด็กเป็นโขยงที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวคงเป็นลูกเขามั้ง แต่ความจริงคือ แม้ดดี้เป็นสาวผู้ดีตกยากที่ต้องดูแลน้องๆ ต่างมารดา 5 คน และที่ต้องมานอนเตียงเดียวกัน เพราะกระท่อมหลังกระจิ๊ดไม่มีที่เหลือให้นอนแล้ว ถึงจะรู้แล้วว่าเข้าใจผิด แต่เขาก็ยังไปไหนไม่ได้ เพราะหมอบอกให้พักผ่อนก่อนจนกว่าจะหาย

ครึ่งเล่มแรกน่ารักมาก.ก.ก พระเอกนางเอกน่ารัก เด็กๆ ก็น่ารักทุกคน เล่นเรื่องสถานการณ์ความจำเสื่อมของพระเอกได้มีเสน่ห์ดี แต่พอครึ่งเล่มหลัง พอความจำแนชกลับมาแล้ว เนื้อเรื่องมันก็กลับมาเข้าสูตรนิยายโรแมนซ์ธรรมดา ปัญหาเกิดจากฐานะที่แตกต่างกันเป็นอุปสรรค สาวชาวบ้านอย่างเธอจะคู่ควรกับหนุ่มนักการทูตอนาคตไกลอย่างเขาหรือ แต่เพราะแม้ดดี้เสียชื่อเสียง ชาวบ้านซุบซิบเรื่องที่มีผู้ชายอยู่ในบ้าน ดูท่าคงอยู่หมู่บ้านนี้ต่อไม่ได้ เธอจะแก้ปัญหาด้วยการยอมแต่งงานกับผู้ชายอื่น แต่แนชก็ไม่ยอมเสียเธอไปก็เลยขอแต่งงานกับเธอซะเอง แต่ก็ยังปากแข็งไม่ยอมรับว่าเขาทำไปเพราะรัก แม้ดดี้เป็นนางเอกที่ดีตั้งแต่ต้นจนจบ แต่แนชตั้งแต่ฟื้นความทรงจำ เราเบื่อเขาหน่อยๆ ก็เลยทำให้ยังไม่ชอบเรื่องนี้เท่าที่ควร

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The Weed That Strings the Hangman's Bag - Alan Bradley

คะแนน : 7
Flavia de Luce เล่มสอง เล่มนี้เริ่มชินกับสำนวนการเล่าเรื่องของฟลาเวีย ก็เลยไม่รู้สึกวกวนเท่าไหร่แล้ว ในเล่มนี้เนื้อเรื่องด้านปริศนาดีขึ้น เดาตัวคนร้ายได้ยากขึ้น เพราะใส่ตัวละครน่าสงสัยเข้ามาหลายคน แต่ความที่มันดำเนินเรื่องด้วยความเร็วในระดับเต่าคลาน ก็ยังทำให้เรื่องนี้ไม่น่าประทับใจสำหรับเราอยู่ดี ปูเรื่องนานมาก มีนักเชิดหุ่นกระบอกกับผู้ช่วยสาวเดินทางผ่านมาที่เมือง รถเสียกลางทาง บาทหลวงเลยขอให้เปิดการแสดงที่โบสถ์ กว่าจะเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมขึ้นจริงก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งเล่ม มันไม่ทันใจ อ่านไปเรื่อยๆ กว่าจะสนุกตื่นเต้นก็เกือบถึงตอนจบอยู่แล้ว

ฟลาเวียยังฉลาดอัจฉริยะ รู้รอบตัว ช่างสังเกต และหลอกถามผู้ใหญ่เก่งตามเคย แต่นึกไปก็สงสารฟลาเวียเหมือนกัน ไม่มีแม่ตั้งแต่เด็ก พ่อก็ไม่สนใจ กับพวกพี่สาวก็เข้ากันไม่ได้ ไม่ค่อยปลื้มฉากที่พี่สาวแกล้งฟลาเวียด้วยการบอกว่า เป็นเด็กขอมาเลี้ยงเลย แล้วฟลาเวียก็แก้แค้นด้วยการเอายาพิษใส่ช็อกโกแลตของพี่ เล่มที่แล้วยังพอทำเนา เล่มนี้ซ้ำอีกแล้ว แรงไปมั้งทั้งคู่ ไม่คิดจะแต่งให้มีฉากพี่น้องดีกันบ้างเลยเหรอ

เท่าที่อ่านมาตั้งแต่เล่มหนึ่งจนถึงเล่มนี้ มีครั้งเดียวที่เรารู้สึกว่า ฟลาเวียยังเป็นเด็กอยู่ คือตอนที่ฟลาเวียไปถามผู้ใหญ่ว่า "ในหนังสือตอนที่มาดามโบวารียอมมอบกายเธอให้โรดอล์ฟ หมายความว่าอะไร" พอได้คำตอบว่า "พวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆ สนิทชิดเชื้อกันที่สุด" แล้วฟลาเวียก็ "อ๋อ อย่างที่คิดไว้เลย" ทำเป็นรู้ดีทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรขึ้นมาเลย นั่นแหละค่ะ เราถึงหัวเราะ อยากจับฟลาเวียยีหัวเล่น ค่อยเชื่อหน่อยว่านี่เป็นเด็กย่างสิบเอ็ดขวบ

คนที่อ่านแล้วชอบเรื่องนี้มากๆ ก็คงมีเยอะนะ แต่สำหรับเรา อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่า ที่หนังสือชุดนี้ประสบความสำเร็จด้านยอดขายขนาดนี้ เพราะมีการตลาดที่ดีมากๆ ชื่อเรื่องแปลกสะดุดตา ปกสวย บวกกับที่ใครๆ ก็อยากเอาใจช่วยคุณปู่นักเขียนรึเปล่า

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Gallagher Girls 3 & 4 - Ally Carter

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา กลายเป็นนั่งดู Harry Potter Marathon ไป ตอนแรกก็ไม่ตั้งใจ แต่พอไปดูโรงภาค 7.1 กลับมา ก็อดเอาแผ่นภาคก่อนๆ มาดูไม่ได้ พอย้อนดูภาค 1 นักแสดงยังเป็นเด็กตัวกระเปี๊ยกน่ารักดี เรื่อง Harry Potter นี่มีมนต์เสน่ห์สำหรับเราจริงๆ รู้สึกเหมือนตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำอีก ทุกครั้งที่เอามาอ่านหรือเอามาดูใหม่

Don't Judge a Girl by Her Cover (Gallagher Girls #3)
คะแนน : 7.5

ในเล่มสาม แคมมี่รับคำเชิญมาเป็นเพื่อนเมซี่ในขบวนหาเสียง ที่พ่อเมซี่ลงเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดี แต่แล้วก็มีกลุ่มคนลึกลับพยายามจะบุกมาลักพาตัวเมซี่ไป นักเรียนกัลลาเกอร์สาวสองคนเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด เมื่อเปิดเทอมใหม่ เมซี่จึงต้องมาเรียนโดยมีผู้คุ้มครองติดตามมาอยู่ในโรงเรียนด้วย อันตรายยังไม่หมดไป เพราะเมซี่จำเป็นต้องออกไปทัวร์หาเสียงเป็นระยะๆ แคมมี่กับเพื่อนๆ จึงตกลงกันว่า จะช่วยกันติดตามดูแลเมซี่

แคมมี่อายุ 16 ขึ้นชั้นจูเนียร์แล้ว จู่ๆ เล่มนี้ เนื้อเรื่องก็ซีเรียสขึ้นมาเฉยเลย จากสองเล่มก่อน นี่เป็นเรื่องสปายเด็กๆ ไม่เคยมีอันตรายจริงจัง เนื้อเรื่องช่วงไคลแม็กซ์ก็เป็นเรื่องปฏิบัติการในการสอบปลายภาค แต่เล่มนี้เปิดเรื่องมาก็เริ่มเอาจริงแล้ว ตัวละครได้ออกนอกโรงเรียนบ่อยขึ้น ตอนแรกๆ ก็อ่านสนุกอยู่ มีตัวละครใหม่น่าสนใจเพิ่มมา แต่พอถึงสัก 1/3 เรื่องก็ยวบลงไปเลย แคมมี่กับเพื่อนเจอแต่คำถามที่พวกเธอหาคำตอบไม่ได้ กลุ่มบุคคลลึกลับนั้นเป็นใคร มีเป้าหมายอะไร ถามแม่ ถามครู ก็ไม่มีใครยอมตอบ แซคก็ทำตัวน่าสงสัยผลุบโผล่มาพูดจาโยกโย้น่ารำคาญ ผู้แต่งทิ้งคนอ่านให้อยู่ในความมืดนานเกินไป ส่งมาแต่ปริศนาถมๆ กันแต่ไม่มีเฉลยมาบ้างเลย คนอ่านก็เบื่อนะ ไม่รู้อะไรสักอย่าง จนตอนจบก็ไม่ได้เรียกว่าเฉลยเลยนะนั่น ว่าตกลงไอ้องค์กรบ้านี่มันอะไร ค้างไว้เฉยๆ รอเล่มหน้า สรุปว่า ในด้านตัวละครยังน่าอ่าน ฉากที่เป็นเรื่องมิตรภาพของเพื่อนๆ อบอุ่นดี ฉากแอกชั่นก็โอเค แต่หย่อนด้านพล็อต

Only The Good Spy Young (Gallagher Girls #4)
คะแนน : 7.5


เล่มสี่ ช่วงปิดเทอม แคมมี่ไปพักกับครอบครัวเบ็กซ์ที่อังกฤษ แคมมี่พบว่า ตัวเองตกเป็นเป้าหมายการปองร้าย คนที่เคยคิดว่าเป็นพวกเดียวกันคนหนึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทรยศ เมื่อกลับมาโรงเรียน พบอาจารย์คนใหม่ แม่ของแคมมี่ถูกรั้งตัวไว้ โรงเรียนถูกเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้น และบรรดาทางลับที่แคมมี่ใช้หลบออกนอกโรงเรียนถูกไล่ปิดตายหมด แคมมี่กับเพื่อนจะทำยังไง

เล่มนี้เป็นเรื่องสปายจริงจังขึ้นอีก เล่มที่แล้วมีคนถูกยิง เล่มนี้มีพูดถึงว่ามีสายลับคนอื่นตาย ถึงจะไม่เห็นในเรื่องก็เถอะ ฉากแอกชั่นสนุก แต่เนื้อเรื่องไม่ค่อยสมเหตุสมผล ทำไมจะต้องพูดเป็นรหัสซับซ้อนขนาดนั้น บอกมาเลยไม่ได้เหรอ แล้วเราไม่ค่อยชอบเนื้อเรื่ององค์กรลับนี่เลย คือเข้าใจว่า ผู้แต่งพยายามแต่งพล็อตใหญ่ที่เป็นแกนสำหรับซีรีส์นี้ขึ้นมา สำหรับเล่มที่เหลืออีก 2 เล่มด้วย สนุกมันก็สนุกนะ แต่รู้สึกว่าเรื่องมันไม่น่ารักแล้ว อารมณ์มันยังไม่ลงตัวน่ะ ถ้ามีองค์กรลับระดับนั้นจริง กลุ่มเด็กนักเรียนไม่กี่คนปราบได้มันก็ตลกๆ ยังไงก็ไม่รู้

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Cross My Heart and Hope to Spy - Ally Carter

คะแนน : 8

เพราะอ่านเล่ม 1 จบแล้วชอบ ก็เลยเข้าไปดูในเว็บของเรื่องนี้ก็เลยเจอข้อมูลที่ตัวเองเขียนผิดๆ ไปซะแล้ว ขอแก้ข่าว เรื่อง Ally Carter กับ Jennifer Crusie นะคะ อ่านหน้าเว็บ wiki ผ่านๆ แล้วเข้าใจผิด ทีหลังต้องระวังกว่านี้ ระแวงเลยค่ะว่าแล้วไอ้ที่ผ่านๆ มาเรามั่วไปเยอะแค่ไหนแล้วเนี่ย ยังไงถ้าใครเจอเราเขียนผิดตรงไหนช่วยบอกหน่อยนะคะ จะได้แก้ข้อมูล

เล่ม 2 ของ Gallagher Girls เหตุการณ์สำคัญในเล่มนี้ก็คือ ในเทอมใหม่นี้ มีกลุ่มนักเรียนชายจากโรงเรียนสปายอีกแห่งมาเรียนด้วย ก็เลยสร้างความตื่นเต้นให้นักเรียนโรงเรียนหญิงล้วนอย่างกัลลาเกอร์ได้มาก แคมมี่ก็ได้เจอเด็กผู้ชายคนใหม่ชื่อแซค อ่านแล้วช่วงแรกรู้สึก drop ไปนิด คงเพราะอารมณ์แปลกใหม่กับโรงเรียนสปายหายไปแล้ว แต่พอครึ่งเล่มหลังก็สนุกขึ้นมาก อ่านแล้วอยากให้เรื่องนี้ถูกสร้างเป็นหนังจัง แต่เราก็ไม่ได้มองมันถึงระดับหนังใหญ่นะ มันไม่ได้ดูมีเรื่องราวมากขนาดนั้น แค่ประมาณมินิซีรีส์โทรทัศน์ก็น่าจะสนุกดี

พูดซ้ำอีกครั้งว่าเราชอบตัวละครในเรื่องนี้ แคมมี่น่ารัก เพื่อนๆ รูมเมทก็ดีทุกคน
เบ็กซ์ = เด็กอังกฤษ ลูกสายลับ MI6 นักเรียนต่างชาติคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์โรงเรียนกัลลาเกอร์
ลิซ = เด็กอัจฉริยะ เจ้าของสถิติคนอายุน้อยที่สุดที่มีบทความตีพิมพ์ในนิตยสาร Scientific American เมื่อตอน 8 ขวบ
เมซี่ = ลูกสาววุฒิสมาชิก อดีตเด็กมีปัญหาย้ายโรงเรียนมานับไม่ถ้วน
เป็นกลุ่มตัวละครที่สร้างเรื่องราวได้สนุกสนานดี
รวมทั้งแม่ของแคมมี่ คุณแม่ยังสาวสุดยอดสปายกับลูกสาววัยรุ่น ชอบที่ผู้แต่งบรรยายฉากสั้นๆ ได้น่าอ่านดี เวลาแคมมี่คุยกับแม่ มีอ้อนมีโอ๋กันนิดหน่อยน่าเอ็นดู

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

I'd Tell You I Love You, But Then I'd Have to Kill You - Ally Carter

คะแนน : 8

ช่วงนี้เราคงจะวนเวียนอยู่กับนิยาย Young Adult นะคะ กำลังติดใจ เราเรียก YA เพราะรู้สึกว่า วรรณกรรมเยาวชนมันฟังดูเป็นหนังสือเด็ก แต่จะให้เรียกนิยายวัยรุ่น ก็ฟังเหมือนหนังสือที่มีหน้าปกแบบการ์ตูนตาหวานไปซะ ยังไม่เจอคำไทยที่ถูกใจ

I'd Tell You I Love You, But Then I'd Have to Kill You หนังสือชื่อยาวเหยียดเล่มนี้ เป็นเล่มแรกของซีรีส์ Gallagher Girls เห็นเรื่องย่อน่าสนใจ ก็เลยอยากลองอ่าน ชื่อ Gallagher ในที่นี้ มาจากชื่อ Gallagher Academy for Exceptional Young Women ซึ่งดูภายนอกเหมือนโรงเรียนประจำที่มีแต่พวกคุณหนูมาเรียน เด็กที่จะมาเรียนโรงเรียนนี้ทุกคนต้องผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี ต้องมีไอคิวเลิศ มีความสามารถพิเศษ แต่ความพิเศษจริงๆ ของโรงเรียนนี้คือ มันเป็นโรงเรียนฝึกหัดสายลับ โดยความร่วมมือกับ CIA !! น่าสนใจใช่มั้ยล่ะ หน้าปก เด็กใสๆ ใส่เครื่องแบบในโรงเรียนสปาย

แคเมอรอน มอร์แกน เป็นเด็กสาวอายุ 15 ปี ลูกสาวอดีตจารชน CIA กำลังเรียนอยู่ปี 2 ไฮสกูล ร.ร. กัลลาเกอร์ สามารถพูดได้ 14 ภาษา ชื่อรหัสคือ Chameleon เชี่ยวชาญการสะกดรอย แต่พอถึงชั้นเรียนฝึกปฏิบัติการภาคสนาม ได้ออกนอกโรงเรียนไปในเมือง แล้วไปปิ๊งจอช เด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งเข้า แคมมี่กลับไม่รู้ว่า เธอควรจะทำตัวยังไงดี

เรื่องนี้เป็นเรื่องสปายเด็กๆ ใสๆ ที่น่ารักมากเลยค่ะ ทั้งๆ ที่เอามาอ่านต่อจาก Hunger Games ตอนแรกอ่านไป HG ก็ไม่ยอมออกจากหัวเราไปง่ายๆ แต่ในที่สุดด้วยความสนุกน่ารักของเรื่องนี้ ก็ดึงความสนใจของเรามาอยู่ที่เรื่องนี้ได้สมบูรณ์ ตัวละครในเรื่องน่ารักทุกคนเลย เราชอบทั้งหมด แคมมี่ กับรูมเมท เบ็กซ์ ลิซ รวมทั้งเด็กใหม่เมซี่ด้วย ชอบแม่ของแคมมี่ที่เป็นครูใหญ่ของโรงเรียน รวมทั้งมิสเตอร์โจ ซอโลมอน อาจารย์วิชา Covert Operations

ชีวิตในโรงเรียนสอนสปาย อ่านแล้วสนุกดี นึกถึงโรงเรียนฮอกวอตส์ที่ไม่สอนเวทมนตร์แต่สอนสปายแทน วิชาที่เรียนน่าเรียนทั้งนั้น สอนถอดรหัส เคมี ภาษาสำคัญทั่วโลก ศิลปะป้องกันตัว เด็กทุกคนสายดำกันหมด นอกเวลาเรียน แคมมี่กับเพื่อนก็ใช้ทางลับ แอบย่องออกนอกโรงเรียนเพื่อมาสอดแนมจอช ด้วยอุปกรณ์สปายไฮเทค การเล่าเรื่องผ่านมุมมองแคมมี่ ตลกดีค่ะ น่ารัก (ใช้คำนี้ไปกี่ครั้งแล้วเนี่ย) สรุปว่าเป็นเรื่องใสๆ ที่อ่านแล้วอารมณ์ดีมากๆ เลย แต่ทีแรกตอนจะให้คะแนนเกือบจะถูกกดลงมา 7.75 แล้วล่ะ เพราะเทียบ Mockingjay แต่ก็ตัดสินใจว่า เอาล่ะ ถ้าไม่ได้อ่านต่อกัน เราคงให้ 8 ไปแล้ว เพราะฉะนั้นยืนตามนั้นค่ะ ตอนนี้ซีรีส์นี้ออกมา 4 เล่มแล้ว ก็คงจะอ่านต่อเลย

Update
ขอโทษเป็นอย่างสูงค่ะ เราอ่านข้อมูลไม่ดีเองเรื่อง Ally Carter กับ Jennifer Crusie ไม่ใช่คนเดียวกันนะคะ เค้าเลือกนามปากกาให้ชื่ออยู่ติดกันเท่านั้น อายจัง ปล่อยไก่หมดฟาร์มเลย ขอแก้ไขข้อความออกนะคะ ขอโทษจริงๆ

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The Hunger Games Trilogy


ยังอยู่ในอารมณ์อินกับหนังสือชุด The Hunger Games ก็เลยใช้เวลานั่งท่องเน็ต หาอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็รู้สึกว่า จากโพสต์ก่อนๆ ยังเล่าความรู้สึกของเราเกี่ยวกับหนังสือชุดนี้ไม่หมด เพราะฉะนั้นคิดว่า สมควรจะเขียนถึงอีกสักครั้ง ลองไล่ดูในเน็ต อยากอ่านพวกความคิดเห็น อยากฟังว่า คนอื่นคิดยังไงกับหนังสือที่เราชอบมากๆ ชุดนี้บ้าง ในเมืองไทย ทำไมไม่มีใครพูดถึงฮังเกอร์เกมส์สักเท่าไหร่เลยเนี่ย มีคนเขียนถึงอยู่ไม่กี่คน เศร้าจัง ทั้งๆ ที่ในเว็บเมืองนอก เรื่องนี้มีคนพูดถึงกันเยอะมาก แบบเรื่อง Twilight เลย

ที่เว็บบอร์ดเมืองนอก คนชอบเปรียบเทียบ Twilight กับ Hunger Games ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน ความจริงสองเรื่องนี้ไม่เหมือนกันเลย ทั้งแนวเรื่อง พล็อตเรื่อง อารมณ์ เหมือนอย่างเดียวคือนักอ่านเป็นกลุ่มเดียวกันมั้ง เค้าเลยชอบพูดอ้างอิงกัน เราก็ไม่อยากเปรียบเทียบสองเรื่องนี้เท่าไหร่ มันก็ดีทั้งคู่ แต่ถ้าในความรู้สึกก็ชอบฮังเกอร์เกมส์มากกว่า ตัวละครมีมิติมากกว่า จริงๆ ไม่ค่อยอยากสรุปแบบนี้นะ เดี๋ยวโดนหาว่าเป็นหน้าม้าสำนักพิมพ์ซะอีก คือเคยนานมาแล้วแหละ ไม่เกี่ยวกับ สนพ. ของสองเรื่องนี้หรอก เราโพสต์ในบอร์ดสาธารณะ ชมเรื่องหนึ่ง ติเรื่องหนึ่ง บอกว่าสู้อีกเรื่องไม่ได้ เจอจิกว่าเป็นคน สนพ. คู่แข่งเฉยเลย พอปฏิเสธว่าไม่ใช่ ไม่ได้ทำงานวงการหนังสือ ไม่มีญาติโกโหติกาอยู่สำนักพิมพ์ที่ไหนทั้งสิ้น เค้าก็ยังบอกไม่เชื่ออีก เออ เป็นนักอ่านเมืองไทย แสดงความคิดเห็นอะไรไม่ได้เลยหรือไง ต้องถูกมองว่ามีเจตนาแอบแฝง ^_^; แต่วงการหนังสือต่างประเทศเค้าใจกว้างดีนะ เพราะ The Hunger Games ได้รับคำชมหราบนหน้าปกจาก Stephen King และ Stephenie Meyer เองเลย

จากโครงเรื่อง The Hunger Games ที่บอกว่า จับเด็กมาแข่งฆ่ากัน บางคนฟังปุ๊บ บอกว่าเหมือนนิยาย/การ์ตูน/หนังญี่ปุ่นเรื่อง Battle Royale ปั๊ป ฟังเผินๆ อาจจะเหมือน แต่เราว่า มันคนละอารมณ์กันนะ รายละเอียดต่างกันลิบลับเลย BR รุนแรงมาก รับไม่ค่อยไหว จริงอยู่ The Hunger Games อาจไม่ใช่ไอเดียที่แหวกแนวแบบไม่เคยมีมาก่อน ผู้แต่งบอกว่า มันมีที่มาจาก รีอัลลิตี้โชว์ + สงครามอิรัก + ปกรณัมกรีกเรื่องของวีรบุรุษธีซีอุส ตอนที่เอเธนส์อยู่ใต้อำนาจเกาะครีต และต้องส่งชายหญิงอย่างละ 7 คน ไปเป็นบรรณาการให้มิโนทอร์ฆ่าในเขาวงกต แต่สุดท้ายพอจับไอเดียมารวมกัน ใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไป มันก็เป็นเรื่องราวที่สนุก และมีเอกลักษณ์ของตัวเองไม่ซ้ำใคร

เท่าที่อ่านคนรีวิว คนอ่านหนังสือชุดนี้มีทั้งวัยรุ่นแล้วก็ผู้ใหญ่ พอๆ กันเลยมั้ง มีแฟนนักอ่านทั้งผู้หญิงผู้ชาย ตอนนี้คนก็กำลังอยากรอดูหนัง แต่หนังเพิ่งกำลังเตรียมสร้างอยู่เท่านั้น นักแสดงยังไม่ได้ตัวเลย แต่แค่การหาว่าใครจะมารับบทแคทนิสก็สร้างข่าวได้เยอะเหมือนกันนะ แล้วฉบับภาพยนตร์ Suzanne Collins จะเป็นคนเขียนบทเองเลย เพราะจริงๆ เธอเป็นนักเขียนบทละครโทรทัศน์มาก่อนอยู่แล้ว มิน่า ในหนังสือ ถึงมีการแบ่งแต่ละเล่มเป็น 3 องก์ องก์ละ 9 บท แล้วตอนจบแต่ละบท มันถึงจบแบบให้ได้ลุ้นตลอด

ใน Amazon เค้า discussion เรื่องนี้กันสนุกดีนะ ถึงแม้ความเห็นจะแตกต่าง แต่ก็ยกเหตุผลมาโต้ตอบกันดี ใน 3 เล่ม เรื่อง Mockingjay จะได้คะแนนโหวตดาวน้อยที่สุด อันนี้ก็เข้าใจได้นะ เพราะอารมณ์มันไม่เหมือนสองเล่มแรก แต่เราก็คาดว่า เนื้อเรื่องแบบเล่มสามนี่แหละ ที่จะทำให้เราจดจำเรื่องนี้ประทับใจไปอีกนาน เพราะมันเพิ่มระดับของเนื้อเรื่องจาก action ให้มีความลึกเพิ่มขึ้น มีหัวข้อที่แฟนๆ แบ่งข้างเชียร์พีต้ากับเกล เหมือนสมัยเอ็ดเวิร์ดกับเจค็อบเลย ในบรรดาทั้งหมดที่เข้าไปอ่าน เราชอบที่เว็บ Forever Young Adult อ่านแล้วสนุกสุดๆ อ้อ ที่นั่นสปอยล์นะคะ เพราะเค้าอ่านไปเล่าไปทีละ 5-6 บท บอกความรู้สึกเค้าไปตลอด ละเอียดมาก เค้าเขียนดีมาก อ่านสนุก ความคิดความรู้สึกเค้าต่างจากเราเยอะเลย ชอบมากเลยค่ะ อ่านแล้วได้มุมมองใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนตัวเองคิด ฮิฮิ แต่มันมีเรื่องที่เค้า debate กันเรื่องพีต้า vs. เกล ทำให้เราอยากจะพูดความเห็นตัวเองบ้าง ในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับตัวละครคนโปรดของเรา

เนื้อหาต่อไปนี้คือสปอยล์อย่างแรง แบบเฉลยฉากจบ
เตือนซ้ำ!! สปอยล์สุดๆ จริงๆ เกี่ยวพันกับเนื้อหาทั้งเรื่อง ยังไม่อ่านอย่าคลิกนะคะ สำหรับคนที่อ่านแล้วแชร์ความคิดกันเท่านั้น ได้โปรดหยุดฟังคำเตือนนี้



สปอยล์


พีต้า vs. เกล
อันที่จริง เราไม่เคยหวั่นเลยนะว่าแคทนิสจะเลือกเกล เพราะเกลไม่เห็นมีบทเลย กล่าวถึงตอนต้นแต่ละเล่มนิดหน่อย จากนั้นตลอดเรื่องแคทนิสก็อยู่กับพีต้า ถ้ากลัว เรากลัวพีต้าตายมากกว่า แต่ก็เข้าใจคนเชียร์เกลนะ เกลเก่ง และก็เป็นคนดีเหมือนกัน

ที่เว็บนั้น เจ้าของเว็บเชียร์เกล วิจารณ์พีต้าซะเสีย บอกว่า เป็นผู้ชายนิ่ม ถ้าแคทนิสเลือกพีต้า เวลามีอะไรกัน (เค้าใช้คำแอบติดเรตกว่านี้น่ะนะ) พีต้าก็คงคอยถามว่า รู้สึกยังไง เป็นไงมั่ง ผู้หญิงคงจะหมดอารมณ์กันพอดี!! โอ๊ย ตอนอ่านหัวเราะจนจะตกเก้าอี้เลยค่ะ คิดได้ไง กั๊ก กั๊ก ขำกลิ้งเลย ไม่ได้ค่ะ ในฐานะกองเชียร์พีต้า เราต้องแก้ตัวแทน ฮื่อ ตอนแคทนิสจูบกับพีต้าในถ้ำ เล่ม 1 กับที่ชายหาด เล่ม 2 แคทนิสก็หวิวนะ เพราะฉะนั้น มันคงไม่ถึงขนาดอย่างที่ว่าหรอกน่า

พีต้าโดนวิจารณ์ว่า ไม่เก่ง ต้องให้คนอื่นช่วยปกป้องตลอด อ้า อันนี้ยอมรับก็ได้ ก็ลูกชายร้านเบเกอรี่ จะให้สู้เก่งเท่านักล่าสัตว์อย่างเกลกับแคทนิสได้ไง แต่การเอาประเด็นนี้มาบอกว่าพีต้าไม่สมควรคู่แคทนิส มันก็ไม่ยุติธรรมนะ ถ้าผู้หญิงเก่ง แล้วผู้ชายไม่เก่งเท่าก็ไม่ได้ อย่างนี้มันก็ sexism กลับข้างนี่นา

แคทนิสเป็นคนชอบปกป้องคน ดูการที่เธอปกป้องน้องสาวสิ แต่กลับกัน คนที่เธอคอยปกป้องดูแลนั่นแหละ ที่เป็นที่พึ่งพิงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้เธอ นึกถึงความสัมพันธ์ของตัวละครแบบเรื่อง Of Mice and Men สิ เพราะฉะนั้น พีต้าที่สู้ไม่เก่งเนี่ยแหละ ตอบสนองความต้องการทางจิตใจของแคทนิสได้มากกว่าเกล

พีต้าอาจจะไม่เก่ง แต่เขาเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุดในสามคนด้วยซ้ำ ไม่เคยเสียหลักการและจุดยืนความเป็นคนดีของตัวเองเลย เขาทำให้แคทนิสเป็นคนที่ดีขึ้น คิดดูตอนจบเล่มหนึ่ง ถ้าไม่ใช่พีต้าเสียสละตัวยืดอกบอกให้แคทนิสลงมือฆ่าตัวเอง แคทนิสจะทำอย่างนั้นแล้วรอดมาได้มั้ย

แคทนิสกับเกลนิสัยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถึงเข้าใจกัน แต่อยู่ด้วยกันไปไม่เวิร์กหรอก ทั้งคู่ใช้สมองตัดสินใจ เป็นไงล่ะ แคทนิสไม่ได้ไม่เลือกเกลนะ เกลไม่มาเลยด้วยซ้ำ เพราะรู้ว่า เธอไม่มีวันทำใจรับความผิดทางอ้อมของเขาได้อีกแล้ว แต่ถ้ากลับกัน พีต้าจะไม่มีวันยอมตัดใจละทิ้งแคทนิสเป็นอันขาด ยังไงก็ต้องมาอยู่ข้างๆ ดูแล

ตอนจบ ชีวิตตอนหลังที่แคทนิสลงเอยกับพีต้า อยู่กันเงียบๆ ที่เขต 12 โดนวิจารณ์อีกว่า เห็นมั้ย อยู่กับพีต้าได้ชีวิตห่วยๆ แคทนิสก็ยังคงเจอฝันร้าย กว่าจะกล้ามีลูกก็ต้องรอ 15 ปี ฟังดูไร้สุข ชีวิตเต็มไปด้วยบาดแผล ถ้าคู่เกล ที่ไปรับตำแหน่งสำคัญในการสร้างประเทศยุคใหม่ ชีวิตต้องมีความหมายกว่านี้ ประเด็นนี้เถียงขาดใจค่ะ แคทนิสไม่มีวันมีความสุขกับเกลได้อีกแล้ว ภายหลังการตายของพริมโรส น้องสาวที่เป็นคนเดียวในโลกที่แคทนิสรักอย่างไม่มีเงื่อนไข ที่เธอเข้าแข่งฮังเกอร์เกมส์ก็เพื่อพริม พอเสียพริมไป แคทนิสก็เหมือนเหลือแค่ซากชีวิต นิสัยแคทนิสเป็นคนแบบไม่อยากรักใครเพราะกลัว ไม่ยอมเป็นเพื่อนกับใครในเกมเพราะกลัวต้องมาฆ่ากันเอง เพราะฉะนั้นถ้าคู่เกลที่นิสัยเด็ดขาดคล้ายกัน แคทนิสจะไม่มีวันเปิดใจให้ใครอีกแล้ว ก็จะเป็นแค่ซากชีวิตอย่างนั้น แต่พีต้าจะเป็นคนเยียวยาแคทนิสจนยอมเปิดใจ พีต้าตื๊อจนแคทนิสยอมใจอ่อนมีลูกได้ แต่เกลไม่มีทาง

ถึงเรื่องจะจบเศร้าๆ ที่ตัวละครตายเยอะมาก แต่เราดีใจที่แคทนิสได้คู่กับพีต้าค่ะ คนที่เธอ can't survive without

Update (11 ต.ค. 54)
เราพอจะรู้คำตอบแล้วล่ะว่า ทำไมเรื่องนี้ในเมืองไทยมันถึงไม่ดัง คงเพราะคุณภาพการแปลฉบับภาษาไทยนี่เอง ในงานหนังสือ เราซื้อเล่ม 1-2 เกมล่าชีวิต กับ ปีกแห่งไฟ มา คราวที่แล้วเราลังเลว่าจะซื้อภาษาไทยดีมั้ย เพราะไม่ค่อยชอบงานแปลฝีมือนาธานเท่าไหร่ ตั้งแต่สมัยเดลโทร่าเควสต์ ที่ชอบใช้คำลิเก แต่เพราะเราชอบ Hunger Games จริงๆ เลยอยากจะเก็บเรื่องนี้ อ่านฉบับแปลไทยไปแค่นิดหน่อย ก็เจอจุดที่ขัดใจเพียบ มีตั้งแต่จุดเล็กน้อยเรื่องการเลือกใช้คำแปลที่แปลกๆ หรือแปลคำตรงตัวเกินไปจนอาจทำให้คนอ่านไม่เข้าใจความนัย ไปจนถึงประโยคที่แปลผิดความหมายจากต้นฉบับจังๆ หลายที่ เราทั้งเศร้าและโกรธ ที่หนังสือชุดที่เรารักโดนกระทำแบบนี้

เพราะฉะนั้นอยากบอกทุกคนว่า อย่าซื้อฉบับภาษาไทยเลยค่ะ อ่านต้นฉบับสนุกกว่าเยอะ เรื่องนี้ภาษาอังกฤษอ่านไม่ยากเลย เป็นนิยาย YA ศัพท์ที่ Suzanne Collins ใช้ก็ระดับเด็ก ม.ปลาย ทั้งนั้น

Update (21 ม.ค. 55)
สำนักพิมพ์บอกว่าจะแก้ไขการแปลภาษาไทยในการพิมพ์ครั้งต่อไป ก็รอดูค่ะ
Update (17 ก.พ. 55)
เกมล่าชีวิตฉบับที่พิมพ์ปกใหม่ ยังไม่ได้แก้ไขคำแปลนะคะ เห็นว่าต้องรอครั้งต่อไป
Update (4 ก.ค. 55)
ฉบับปรับปรุง เล่ม 1 กับ เล่ม 2 ออกมาแล้วนะคะ ถ้าใครที่รอซื้อภาษาไทยอยู่ก็คงซื้อได้แล้ว เพราะแก้ไขตรงที่ผิดเยอะๆ แล้ว แต่โดยส่วนตัวแล้วเรายังรู้สึกว่าน่าจะทำให้ดีกว่านี้ได้ ยังไงก็ยืนยันว่า ถ้าอ่านภาษาอังกฤษได้อ่านต้นฉบับดีกว่ามากค่ะ สนุกกว่าเยอะ

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Mockingjay (Hunger Games #3) - Suzanne Collins

คะแนน : 8

เพิ่งเห็นว่า นิยายเรื่อง The Hunger Games มีแปลเป็นไทยแล้วชื่อ เกมล่าชีวิต เราก็ไม่ค่อยได้ติดตามความเคลื่อนไหวในตลาดหนังสือซะเท่าไหร่ แต่ทำไมรู้สึกว่า ในเมืองไทยเรื่องนี้ไม่ค่อยดังเลย น่าเสียดายจัง เรื่องดีๆ อยากให้คนได้อ่านเยอะๆ เสียดายที่ปกฉบับภาษาไทยออกแบบอย่างนั้นด้วย ไม่ใช่ไม่สวยนะ แต่เราว่า มันไม่โดดเด่นมีพลังเท่าปกฉบับภาษาอังกฤษ และสูญเสียความหมายจากเนื้อเรื่องตามแบบปกต้นฉบับไป ที่ปกเล่มแรกเป็นเข็มกลัดนก Mockingjay ของแคทนิส เล่มสองนกเริ่มมีชีวิต ติดไฟต่อสู้ และเล่มสาม ปกสีฟ้า นก Mockingjay ทลายสิ่งที่เป็นเหมือนเป้า เลิกเป็นเสมือนเหยื่อที่ถูกไล่ล่า เชิดหัวขึ้นออกโบยบินสู่อิสรภาพ

นี่เป็นเล่มอวสานของนวนิยายไตรภาค Hunger Games จากเล่มที่แล้วที่ทิ้งท้ายเรื่องโดยปล่อยผู้อ่านค้างไว้ริมหน้าผา ในเล่มนี้บทสรุปเรื่องราวทุกอย่างจบลงสมบูรณ์ ถ้าคุณมองคะแนนของสองเล่มก่อนที่เราให้ไว้ แล้วเห็นคะแนนเล่มนี้ จาก 8.5 --> 9 --> 8 อย่าเพิ่งคิดว่า เล่มนี้แย่ลง ที่จริงมันเป็นเล่มที่ดีขึ้นด้วยซ้ำ แต่คะแนนที่เราให้ไม่ใช่คะแนนคุณค่าของหนังสือ แต่มันเป็นคะแนนที่ให้โดยวัดจากความรู้สึกว่า เราอยากจะเอามันกลับมาอ่านซ้ำบ่อยครั้งแค่ไหนต่างหาก และเราไม่คิดว่าเราจะรับการอ่านที่ทำให้ตัวเองเศร้าอยู่ลึกๆ บ่อยๆ ได้

Mockingjay เป็นเล่มที่เครียดและหนักที่สุดในชุด ผู้แต่ง Suzanne Collins ได้ไอเดียการแต่งเรื่องนี้มาจากการเปิดโทรทัศน์ดูในวันหนึ่ง เป็นรายการรีอัลลิตี้โชว์ พอเปลี่ยนช่องเจอข่าวสงครามอิรัก สองสิ่งรวมกันนำไปสู่ Hunger Games สองเล่มแรกเราได้เห็นเกมไล่ล่าเอาตัวรอดที่อ่านสนุกสนาน ประดุจดูรายการแบบ Survivor แต่ที่สุดเราต้องไม่ลืมว่า ฮังเกอร์เกมส์คือเกมที่มีต้นกำเนิดมาจากด้านมืดของมนุษย์ มันเป็นเกมที่สกปรกน่ารังเกียจ การจับเด็กมาฆ่ากันถ่ายทอดเป็นรายการทีวีให้คนทั่วประเทศดู เล่มนี้ Suzanne Collins เตือนให้เราเห็นอีกครั้งว่า การฆ่ากันไม่ใช่เรื่องสนุก สงครามเป็นความโหดร้ายทารุณ และผู้มีอำนาจในมือนั้นไว้ใจไม่ได้!

ในเล่มนี้การดำเนินเรื่องไม่เหมือนสองเล่มก่อน เนื้อเรื่องพัฒนาออกนอกขอบเขตของฮังเกอร์เกมส์ ตอนนี้เขตต่างๆ ลุกฮือขึ้นต่อต้านเมืองหลวงอย่างเปิดเผย แคทนิสต้องรับบท Mockingjay สัญลักษณ์การต่อสู้ของฝ่ายกบฏ ชีวิตของแคทนิสที่ผ่านมาก็บังคับให้เธอต้องต่อสู้ยิบตาเพื่อเอาตัวรอดมาตลอดอยู่แล้ว แต่ในเล่มนี้ เธอต้องเจอการทดสอบเข้าไปอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนอ่านกลางๆ เรื่อง กดดันมากๆ

สปอยล์



เมื่อเล่มที่แล้วเราแสดงความเป็นห่วงเป็นใยพีต้าไปกลัวเขาจะตาย แต่เราไม่นึกมาก่อนเลยว่า ในเล่มนี้จะพิสูจน์ให้เราเห็นชัดๆ ถึงคำที่มีคนกล่าวไว้ว่า จากเป็นแย่ยิ่งกว่าจากตาย ถ้าพีต้าถูกฆ่า นั่นก็คงน่าเสียใจที่สุดแล้ว แต่แคทนิสก็คงยังเหลือความรักของพีต้าในความทรงจำ แต่การปล้นตัวตนและความรักของพีต้าไป ประธานาธิบดีสโนว์ทำร้ายแคทนิสให้ตกอยู่ในห้วงแห่งความทรมาน ได้มากกว่าเอาชีวิตพีต้าไปซะอีก อาการกรี๊ดเรื่องเชียร์ให้จับคู่กับคนนั้นคนนี้ของเราในเล่มที่แล้ว รู้สึกมันกลายเป็นอารมณ์เด็กไปเลยในเล่มนี้ อ่านแล้วรู้สึกเข้าถึงจิตใจมนุษย์มาก ความสัมพันธ์ของพีต้ากับแคทนิสถูกพลิกโฉมไป ไม่มีความรักแบบหวานซึ้งโรแมนติกอีกแล้ว ขนาดบทสรุปยังฟังดูไร้หัวใจเลย เพื่อ survive แต่ตอนจบมันกินใจเรามาก ชอบมากเลยตอนที่เปรียบพีต้ากับดอกแดนดีไลอ้อน


นี่เป็นครั้งที่สามติดๆ กันที่เราต้องเขียนชมการเล่าเรื่องของผู้แต่ง การบรรยายเนื้อเรื่องลื่นไหลมาก การจบบท การเล่าย้อนความหลังแทรกเข้ามา การใช้คำ บทสนทนา บทเพลงในเรื่อง แคแรกเตอร์ตัวละคร ทำได้ดีไปหมดเลย เนื้อเรื่องยังคงอ่านสนุกมีประเด็นพลิกไปมา แต่ก็อ่านแล้วเศร้าปนหดหู่ นี่เป็นนิยาย YA แต่มันมีเนื้อหาที่มีความลึกอยู่มากทีเดียว ถ้าเด็กวัยรุ่นอ่านหนังสือเล่มนี้ พวกเขาน่าจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหลายปี มันไม่ใช่การสอนสั่ง แต่มันทำให้คนอ่านได้คิด หวังว่า เด็กที่ได้อ่าน จะไม่พลาดประเด็นสำคัญๆ พวกนี้ไป ความตายที่เกิดขึ้นมากมายในท้ายเรื่อง ชีวิตที่สูญเสียไปโดยไร้ความหมาย เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิด มนุษย์ควรจะตระหนักเรื่องเหล่านี้ให้มากๆ ใช่มั้ย และอย่างน้อย เนื้อเรื่องตอนจบสุดท้ายก็ยังมอบความหวังให้แก่เรา แม้ว่าอาจต้องเจอสิ่งเลวร้ายแค่ไหน แม้จะสูญเสียทุกอย่าง สิ้นหวังซะจนคิดว่าความตายน่าจะดีกว่า แต่ในที่สุดแล้ว การเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิด

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Catching Fire (Hunger Games #2) - Suzanne Collins

คะแนน : 9

โอย ทำไมสนุกอย่างนี้ เรื่องพลิกไปพลิกมา ยอดเยี่ยมมาก อย่างที่บอกตั้งแต่เล่มที่แล้ว ผู้แต่งเล่าเรื่องเก่งมากเลย การจบบททำได้อย่างมีพลังทุกบทเลย และโชคดีอีกแล้วที่เรามาอ่านทีหลังตอนเล่ม 3 ออกมาแล้ว ถ้าต้องรอคงทรมานใจตอนอ่านจบเล่มนี้พอดู รีบไปอ่านเล่มจบต่อดีกว่า

ข้อความต่อไปนี้ สำหรับคนที่อ่านแล้วเท่านั้น

อ่านจบเล่มนี้แล้ว ขอกรี๊ดพีต้าหน่อยเถอะ โอ๊ย เราชอบเขามากๆ ช่างเป็นผู้ชายแสนดีอะไรอย่างนี้ อย่างที่แคทนิสคิดในเรื่อง ตอนไปทัวร์เขต 11 ว่าเธอจะไปหาคนที่ไหนดีกว่านี้ได้ ขนาดเฮย์มิตช์ยังบอกว่า แคทนิสเกิดใหม่อีก 100 ชาติ ยังไม่คู่ควรกับพีต้าเลย (แต่ไม่จริงหรอก แคทนิสก็ดีเหมือนกันแหละ)

พีต้ารักแคทนิสมากๆ ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ ถึงแม้เขาจะไม่มีฝีมือเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ก็รักแบบมีศักดิ์ศรีของตัวเองนะ เวลาเจออะไรไม่ถูกต้อง อย่างตอนที่ถูกปิดบังความจริง เขาก็ระเบิดอารมณ์กลับมาได้เหมือนกัน เป็นบุคลิกตัวละครที่กำลังดีเลย เวลาพีต้าเปิดใจกับแคทนิสทีไร ก็กวาดหัวใจเราไปได้ทุกที ถ้าเราเป็นแคทนิส ก็คงยกหัวใจให้พีต้าไปนานแล้ว เท่าที่เป็นอย่างในเรื่อง คงต้องใช้ภาษาน้ำเน่าแบบที่เขาพูดกัน ความผิดเดียวที่พีต้ามี ก็คือเขามาทีหลังเกล มาพบแคทนิสช้าเกินไป

ตอนพีต้าโดนสนามพลัง ทำเอาหัวใจเราหยุดเต้นไป 2 วินาทีเลย ตอนจบเล่มสอง ไม่รู้ชะตากรรมของพีต้าจะเป็นไงต่อ ภาวนาให้พีต้ารอดในเล่มสาม

ฮ่าฮ่า ถ้าใครอ่านข้อความข้างต้นทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อ่านเรื่องนี้ อย่าเข้าใจผิดว่านี่เป็นเรื่องรักนะ นี่เป็นนิยาย action/sci-fi ทั้งเรื่อง แต่มันมีจุดย่อยที่เรากรี๊ดกับพีต้านี่แหละ

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The Hunger Games - Suzanne Collins

คะแนน : 8.5

ที่เลือกเรื่องนี้มาอ่านเพราะตอนที่เรากำลังบ้า Millennium Trilogy เห็นหนังสือเรื่อง Mockingjay ซึ่งเป็นเล่ม 3 ในชุด The Hunger Games เบียดอันดับหนังสือขายดีกับ The Girl Who Kicked the Hornet's Nest ที่ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน แค่นี้ก็พอแล้วค่ะที่จะทำให้เราสนใจหนังสือชุดนี้ เพราะหนังสือที่ออกมาปุ๊บทำ The Girl ตกอันดับหนึ่งได้ มันต้องมีอะไรดีสิน่า เรื่องอื่นเราไม่ตามกระแส แต่เรื่องหนังสือนี่ เห็นเล่มไหนดังเป็นไม่ได้ ผิดกับเพื่อนบางคน มันจะเป็นแบบ เชอะ อ่านตามคนอื่น ชั้นไม่เอาหรอก กลายเป็นหมั่นไส้หนังสือฮิตซะอีก มันต้องอ่านแบบเด็กแนว ติสท์ๆ นิยายพวกที่อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง 55 นานาจิตตัง

เนื่องจากที่เลือกมาอ่านเพราะเหตุผลว่ามันเป็นเบสต์เซลเลอร์ ก็ไม่ได้ไปหารีวิวอ่านก่อน ที่จริงทิ้งช่วงมานานจากตอนที่ได้มาด้วยซ้ำ เก็บไว้ยังไม่ได้เริ่มอ่านสักที ถึงเวลาอยากอ่านก็เปิดเลย ทำให้เราเซอร์ไพรส์ตัวเองเล็กน้อย เพราะพอเริ่มอ่านไป 1-2 บท ฉากและบรรยากาศที่แปลก โลกอนาคตที่สังคมสงบสุขแบบปัจจุบันพังทลายไปแล้ว ทำให้พบว่า เราไม่รู้ว่าเราจะเจออะไรต่อในหนังสือเล่มนี้ เรื่องนี้มันเป็นแนวเรื่องยังไง เดี๋ยวมันจะไปไงต่อ แล้วมันทำให้เราอยากรู้ต่อมากๆ และก็รู้สึกกับตัวเองขึ้นมาว่า ช่วงที่ผ่านมา เราคงจมอยู่กับหนังสือที่เราอ่านตามสูตร จำพวกนิยายโรแมนซ์ นิยายนักสืบ มากเกินไป หรือไม่ก็ด้วยความระมัดระวังในการอ่าน ก่อนอ่านก็หาอ่านรีวิวซะก่อนเสมอ ทำให้เวลาอ่านจริงไม่รู้สึกแปลกใหม่ พอมาอ่านหนังสือที่ไม่รู้อะไรมาก่อน รู้สึกเหมือนกำลังแกะห่อของขวัญเลย

ถ้าเล่าเรื่องย่อ มันก็ไม่มีอะไรให้เล่ามาก ในดินแดนที่เคยเป็นอเมริกาเหนือ จากวิกฤติที่ผ่านมามากมาย บัดนี้สิ่งที่เหลือรอดมาคือประเทศแพเนม ที่แบ่งเขตการปกครองเป็น 12 เขต มีเมืองหลวงควบคุมเขตต่างๆ และทุกปี เขตต่างๆ จะต้องส่งเด็กชายเด็กหญิงวัยรุ่นอย่างละคน มาเป็นบรรณาการ เพื่อร่วมแข่งขันในฮังเกอร์เกมส์ เกมที่ไม่จำกัดกติกาในการฆ่ากัน ผู้ชนะคือผู้ที่เหลือรอดคนสุดท้าย

หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกมาก น่าติดตามตั้งแต่เริ่ม สไตล์และจังหวะการเล่าเรื่องดีมาก พออ่านมาถึงย่อหน้าสุดท้ายตอนจบแต่ละบท มันจะเปิดประเด็นใหม่ให้เราอยากรู้ต่อทันที จนวางไม่ได้ เมื่อคืนเรานั่งอ่านแบบแทบไม่ได้ขยับตัว นอกจากลุกมาเข้าห้องน้ำ อ่านแบบรวดเดียวจบจริงๆ วางไม่ลงเลย ทะลุถึงตี 1 วันนี้เลยต้องโด๊ปกาแฟแต่เช้า เพราะเป็นคนนอนน้อยไม่ได้

เรายังไม่แน่ใจว่าเราจะเก็บเรื่องนี้ประทับใจไปนานแค่ไหน เพราะเหมือนเนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยมีอะไร แต่ตอนอ่านนี่ยอมรับจริงๆ ว่า สนุกมาก ชอบการบรรยายของเรื่อง วิธีการเอาตัวรอดของตัวเอก แอกชั่นทั้งเรื่อง แต่พอถึงฉากสะเทือนใจตอนที่ตัวละครคนหนึ่งถูกฆ่า รู้สึกตัวเลยว่ากล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก ฉากลาที่ตามมาก็ทำเอาน้ำตาซึมเลย รักษาความน่าติดตามของเนื้อเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ชอบ ชอบมากๆ

สารบัญโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับ Hunger Games Trilogy
Catching Fire (Hunger Games #2)
Mockingjay (Hunger Games #3)
The Hunger Games Trilogy (ระวัง!! สปอยล์ตอนจบ)
The Girl Who Was on Fire (บทวิเคราะห์ สปอยล์)
คอมเมนต์เทรลเลอร์หนัง The Hunger Games ทีละช็อต
The Hunger Games: Official Illustrated Movie Companion
ความรู้สึกหลังดูหนัง The Hunger Games

หมายเหตุ
ฉบับแปลของ The Hunger Games ในภาษาไทยชื่อ "เกมล่าชีวิต" มีคำแปลผิดจำนวนมาก ทั้งปกเก่าและปกใหม่เพราะข้างในเหมือนกัน ฉบับที่ว่าจะแก้ไขคำแปลยังไม่ออกมา ไปดูตัวอย่างที่แปลผิด ที่นี่ แต่ไม่ใช่แปลผิดแค่เท่านั้น อย่างน้อยที่สุดเท่าที่เราเจอก็เกิน 50 จุดแล้ว ไม่แน่อาจผิดเกินร้อย

ยังไงคนที่จะซื้อฉบับภาษาไทยก็ลองพิจารณาดูค่ะ อ่านต้นฉบับอังกฤษจะดีที่สุด หรือไม่ก็รอฉบับแปลแก้ไข แต่ถ้าใครไม่อยากรอก็แล้วแต่ ถ้าคิดว่ารับได้ แต่อย่างน้อยก็รู้ข้อมูลไว้ก่อนที่จะซื้อ ดีกว่ามารู้ทีหลังแล้วเสียความรู้สึกน่ะค่ะ

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The Triplets' First Thanksgiving - Cathy Gillen Thacker

คะแนน : 7

แม้จะมีคำกล่าวว่า Don't judge a book by its cover แต่หน้าปกหนังสือเล่มนี้ก็ทำให้อดใจไม่ไหวจริงๆ ถึงแม้จะไม่ได้ชอบอ่านโรแมนซ์เล่มบางของ Harlequin มากเท่าไหร่ เพราะมันมักจะเป็นเรื่องไม่ยาว เบาๆ ดำเนินเรื่องตามสูตร เอาไว้อ่านเล่นๆ แก้เซ็งเฉยๆ แต่ปกนี้มันช่างน่ารักเหลือเกิน เลยทำให้อยากอ่าน ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักชื่อผู้แต่งเลย

นี่เป็นเรื่องของ ดร. เคิร์ท แม็คเคบ สัตวแพทย์หนุ่ม กับ ดร. เพจ แชมเบอร์เลน กุมารแพทย์สาว ทั้งคู่มาจากครอบครัวมีฐานะในเท็กซัส (พ่อแม่ของทั้งคู่เป็นพระเอกนางเอกเรื่องก่อนๆ ของผู้แต่งคนนี้) แม้ทั้งสองครอบครัวจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่เคิร์ทกับเพจเป็นคู่กัดกันตั้งแต่เด็กจนโต วันหนึ่ง มีเด็กทารกแฝดสามถูกทิ้งไว้ที่หน้าบ้านไร่ของตระกูลแม็คเคบ พร้อมจดหมายจ่าหน้าถึงเคิร์ท ขอให้เขาทำหน้าที่พ่อให้เด็กหญิงทั้งสาม เคิร์ทเลยต้องขอความช่วยเหลือจากเพจ ให้ช่วยดูแลเด็กๆ จนกว่าจะตามหาแม่เด็กเจอ ทั้งคู่เลยต้องมาอยู่ด้วยกันในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า

เนื้อเรื่องเล่มนี้คล้ายๆ The Diaper's Diaries ของ Abby Gaines แต่เราชอบเรื่องนั้นมากกว่านี้ เรื่องนี้ทั้งๆ ที่ไม่ได้คาดหวังอะไรจากพล็อตเรื่อง เพราะมันรู้อยู่แล้ว แต่เราก็หวังให้มันมีฉากน่ารักๆ มากกว่านี้หน่อย เรื่องนี้มันธรรมดาไปนิด เพจน่ารำคาญนิดหน่อย ปากไม่ตรงกับใจ เพราะมีความหลังเจ็บปวดมา และเคิร์ทก็ยังไม่ค่อยมีเสน่ห์เท่าไหร่ และไม่ได้ใช้ความน่ารักของเด็กๆ มาช่วยดำเนินเรื่องเท่าที่ควร ก็เลยเฉยๆ มาก แต่ตอนอ่านไปก็ดูหน้าปกไป แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ทุกที ที่ได้คะแนนเท่านี้เพราะหน้าปกช่วยไว้จริงๆ นะนี่

สรุปว่า เรื่องนี้ไม่มีอะไร อ่านเล่นๆ ไม่คิดมาก อ้อ แต่มีจุดที่เราติดใจอยู่นิดนึง เรื่องนี้เล่นเรื่องความเป็นลูกแฝดพร่ำเพรื่อมากเลย พระเอกเป็นแฝดคู่ มีพี่ชายแฝดสาม พี่ชายแต่ละคนมีลูกแฝดอีก แต่เราเคยอ่านเจอบทความเรื่องฝาแฝดว่า การเกิดฝาแฝดเป็นลักษณะทางพันธุกรรม เรื่องนี้คงรู้กันอยู่ทั่วไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ในนิยายถึงชอบแต่งว่า ในครอบครัวพ่อแม่เป็นฝาแฝด ก็จะมีลูกฝาแฝดอีก แต่ที่จริงมันมีข้อมูลบอกว่า พันธุกรรมฝาแฝดนี่มันถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ก็จริง แต่มันจะแสดงออกในเพศหญิงเท่านั้น เพราะฉะนั้น โดยทั่วไป ถ้าแม่เป็นฝาแฝด ก็มีโอกาสที่จะคลอดลูกที่เป็นแฝดอีก แต่ฝั่งพ่อ สถิติฝาแฝดถ้าจะเกิดมี มักจะเกิดเจนเนอเรชั่นเว้นเจนเนอเรชั่น เช่น ถ้าพ่อเป็นฝาแฝด แม่ปกติ ลูกก็มักไม่เป็นแฝด (เพราะพ่อไม่ได้เป็นคนท้อง) แต่พ่อแม่คู่นี้ถ้ามีลูกสาว ลูกสาวโตขึ้นแต่งงานก็มีโอกาสเกิดลูกแฝด แบบนี้ งงมั้ยคะ นึกถึงความจริงว่า การตกไข่มากกว่าหนึ่งใบ มันเป็นเรื่องของยีนฝั่งผู้หญิง ส่วนแฝดเหมือนไข่ใบเดียวกัน ผลการศึกษาบอกว่า ยังไม่พบความสัมพันธ์กับยีน จึงสรุปว่ามันเกิดแบบสุ่มไปก่อน

เราไม่อยากเป็นนักอ่านที่จู้จี้มากนัก ไม่ได้อยากจับผิดคนแต่ง แต่รู้สึกเหมือนเขาไม่ทำการบ้าน นี่มันสมัยไหนแล้ว อยากรู้อะไรก็ google แป๊บเดียว ก็เลยอดรำคาญใจไม่ได้เวลาเห็นนิยายแต่งเรื่องฝาแฝดในครอบครัวเยอะๆ น่ะค่ะ ถึงมียีนก็ไม่ใช่ว่ามันจะเกิดฝาแฝดซะทุกคู่ขนาดนั้น มันดูไม่สมจริง เหมือนเวลาอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น แล้วเจอตัวละครลูกครึ่งผมสีทองตาสีฟ้า เราก็สงสัยเสมอเลยว่า ที่ญี่ปุ่น วิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมนี่เขาไม่สอนเรื่องกฎของเมนเดลกันเลยเหรอ

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Indulgence in Death - J. D. Robb

คะแนน : 8

In Death เล่มใหม่ นี่เป็นเรื่องที่ 38 แล้ว ถ้าไม่นับเรื่องสั้นนี่เป็นนิยายเล่มที่ 31 เปิดเรื่องมา อีฟ กับ รอร์ค (สารภาพว่า ครั้งแรกเราเห็นชื่อ Roarke ก็ไม่รู้ว่าจะอ่านว่าอะไร เห็นคนเขียนเป็นภาษาไทยว่า โร้ค ก็อ่านตามว่า โร้ค แต่เพิ่งมาได้ยินตัวอย่าง audiobook ออกเสียงว่า รอร์ค ถ้าฟังไม่ผิดนะ) ทั้งคู่ไปพักกับญาติที่ไอร์แลนด์ อีฟตลกน่ารักมาก มีแอบซึ้งกันตอนอีฟให้ของขวัญครบรอบแต่งงาน

พอกลับมาถึงนิวยอร์กวันแรกก็ได้เรื่อง พบศพคนขับรถลิมูซีนถูกยิงด้วยหน้าไม้ ถัดมาก็พบศพหญิงสาว LC ถูกแทงด้วยดาบปลายปืน เล่มนี้อ่านสนุกดี จริงๆ เรื่องคดีก็ไม่เท่าไหร่นะ คล้ายๆ เรื่องก่อนๆ
สปอยล์

เหมือนเรื่อง Seduction In Death + Stranger in Death นิดหน่อย
แล้วรู้ตัวฆาตกรเร็ว เรื่องไปเน้นที่การสืบว่าจะหาหลักฐานมัดตัวคนร้ายได้ยังไงมากกว่า แต่เล่มนี้อ่านแล้วขำอีฟ อย่างพวกสำนวนผิดๆ ถูกๆ ที่อีฟพูด แล้วรอร์คกับพีบอดี้ต้องคอยแก้คำให้ อีฟน่ารัก ชอบจัง ที่จริงก็ชอบตัวละครในเรื่องนี้ทั้งหมดล่ะนะ รวมถึงพวกตำรวจทั้งกรม ขนาดดิ๊กเฮดก็ยังชอบเลย อ่านตลกดี เป็นเล่มที่ให้คะแนนยากนะ เพราะจริงๆ เนื้อเรื่องในเล่มนี้ธรรมดา แต่ในความเป็นซีรีส์ มันก็ยังเป็นเรื่องที่สนุกน่าติดตามอยู่มากๆ นับถือฝีมือผู้แต่ง สามสิบกว่าเล่มแล้วยังดีไม่ตกเลย

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Happy Ever After - Nora Roberts

คะแนน : 7

เล่มสุดท้ายในชุด Bride Quartet เรื่องของพาร์คเกอร์ สาวคนสุดท้ายในบรรดาเพื่อนสมัยเด็กสี่คน ที่ร่วมกันเปิดธุรกิจรับจัดงานแต่งงานด้วยกัน โดยที่พาร์คเกอร์เป็นคนดูแลความเรียบร้อยในภาพรวมทั้งหมด ไม่รู้จากรีวิวไหน มีคนเรียกเธอประมาณว่า She Who Never Leave Her BlackBerry คำจริงๆ จำไม่ได้ ตอนอ่านเจอก็ขำนะคะ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ล่ะนะ ตั้งแต่เล่มหนึ่งจนถึงเล่มสี่ โทรศัพท์เธอดังไม่เคยหยุดจริงๆ ส่วนมัลคอล์มก็เป็นอดีตสตันท์แมนที่มาเปิดธุรกิจซ่อมรถของตัวเอง สองคนนี้เจอกันตั้งแต่เล่มสอง ซึ่งเป็นฉากที่อ่านสนุกมากเลยนะ แต่เล่มสามก็เอื่อยลงไป เล่มนี้ไม่เสียเวลาเท้าความเรื่องความสัมพันธ์จากเล่มก่อนเลย พูดถึงนิดเดียว แล้วดำเนินเรื่องต่อเลย

มัลคอล์มตัดสินใจว่าจะรุกพาร์คเกอร์จริงจังซะที แม้จะเจอกับสายตาพาร์คเกอร์ ที่ตวัดมาทีเดียวอุณหภูมิลดไปยี่สิบองศา เขาก็ไม่ยั่น ช่วงที่เขาบุกฝ่าแนวป้องกันหัวใจของพาร์คเกอร์เข้ามานี่ ทำได้อย่างรวดเร็วและชาญฉลาด อย่างตอนที่เขาบอกเธอเรื่องพนัน เราชมในใจเลย แถมเขายังจัดการกับอาการหวงน้องสาวของเดลได้อย่างเฉียบขาดตรงไปตรงมา มัลคอล์มเป็นตัวละครที่ถือว่าเป็นคนนอกกลุ่มที่สุดในเรื่องแล้ว ช่วงแรกๆ ก็เลยดีที่ได้รู้จักเขามากขึ้น ผิดกับเล่มของเดล (Savor the Moment) ที่คนอ่านได้เห็นมาตลอดเลยไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นน่าค้นหา ถ้าจะอธิบายมัลคอล์มสั้นๆ ก็อย่างที่ในหนังสือบอก แบดบอยที่เป็นคนดี

อืมม์ แต่หลังจากทั้งคู่คบกันแล้ว เรื่องมันเอื่อยมากเลย ฉากความวุ่นวายในการจัดงานแต่งงานทั้งหลาย ก็อ่านมาเยอะมากแล้วตลอดซีรีส์นี้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไปเรียบๆ ตอนที่มีเรื่องขัดแย้งกัน ปฏิกิริยาของทั้งคู่ก็รับมือกับปัญหาแบบเป็นผู้ใหญ่มาก จนพอเราอ่านเลยมา เราก็อ้าว ไอ้บทตะกี๊ที่โต้กันสองสามประโยค นี่เรียกว่าทะเลาะจนอาจถึงกับจะต้องเลิกกันแล้วเรอะ แล้วก็ไม่มีอะไร อารมณ์เย็นลงคิดได้ก็ดีกัน ตกลงปลงใจกันได้ง่ายๆ คือที่จริงมันก็ดีแหละค่ะ ตัวละครเป็นผู้ใหญ่ มีความคิด มีสติ ทำตัวสมเหตุสมผล แต่มันทำให้เรื่องไม่มีช่วงพลิกผันอารมณ์อะไร ก็ถือเป็นเรื่องอ่านสบายๆ ปิดท้ายเรื่องชุดนี้แล้วกันนะ

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

A Kiss in Time - Alex Flinn

คะแนน : 7

พอตั้งใจทำงานมันก็ทำเสร็จจนได้ล่ะนะ ได้อ่านหนังสือต่ออย่างสบายใจ ต่อเนื่องจากการอ่าน Beastly ที่ชอบมาก ก็เอาเล่มนี้มาอ่านต่อ A Kiss in Time นิยายสำหรับวัยรุ่นที่ดัดแปลงมาจากเทพนิยายเรื่องเจ้าหญิงนิทรา

ในงานฉลองการประสูติของเจ้าหญิงทาเลียแห่งอาณาจักรยูเฟรเซีย เหล่านางฟ้ามอบพรเป็นของขวัญให้แก่เจ้าหญิงน้อย ทั้งความงามและสติปัญญา แต่แล้วแม่มดผู้โกรธแค้นที่ไม่ได้รับเชิญให้มาร่วมงานก็เข้ามา สาปเจ้าหญิงว่า นางจะถูกเข็มปั่นด้ายตำเสียชีวิตก่อนอายุ 16 ปี นางฟ้าองค์สุดท้ายจึงแก้คำสาปให้เป็นว่า แทนที่เจ้าหญิงจะเสียชีวิต แต่จะนอนหลับไปแทน และจะฟื้นตื่นด้วยจุมพิตจากรักแท้ แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามเรื่องในนิทานที่เราคุ้นเคย เพียงแต่ว่า ในนิยายเวอร์ชันนี้ เจ้าหญิงไม่ได้หลับใหลไปแค่ 100 ปี แต่มันผ่านมา 300 ปีแล้ว และคนที่มาพบเจ้าหญิงกลางป่าไม่ใช่เจ้าชาย แต่เป็น แจ็ค เด็กหนุ่มอเมริกันอายุ 17 ที่พ่อแม่ส่งมาทัวร์ยุโรปตอนปิดเทอม

ที่เล่ามาข้างต้นเป็นแค่ช่วงเปิดเรื่องเท่านั้น เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ของเวอร์ชันนี้เป็นการจับใจความต่อจากนิทาน แจ็คไม่เคยคิดว่า จูบเดียวนั้นจะทำให้เขาต้องรับผิดชอบแต่งงานกับเจ้าหญิงจริงๆ นั่นทำให้เขาถูกจับขังคุกใต้ดิน โทษฐานบังอาจแตะต้องเจ้าหญิงให้เสื่อมเสียเกียรติยศ ส่วนเจ้าหญิงทาเลียที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า เวลาผ่านไป 300 ปี โลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ต้องเผชิญกับความโกรธขึ้งของพระราชา เพราะทั้งๆ ที่ถูกเตือนนักเตือนหนา เธอก็ยังถูกเข็มปั่นด้ายทิ่มแทงจนได้ เป็นต้นเหตุให้คนทั้งอาณาจักรต้องลำบาก อาณาจักรยูเฟรเซียหายไปกลายเป็นพื้นที่เล็กๆ ส่วนหนึ่งในประเทศเบลเยียมเท่านั้น ทาเลียจึงช่วยแจ็ค พากันหนีออกจากปราสาท และติดตามแจ็คกลับมาอเมริกา

พอมาถึงฟลอริด้า ทาเลียก็ต้องพยายามปรับตัวเข้ากับโลกใหม่ แต่อันตรายก็ยังไม่หมดไป เพราะแม่มดยังตามมากล่าวหาว่า การฟื้นจากนิทราครั้งนี้ขี้โกง เพราะมันไม่ใช่จุมพิตจากรักแท้ ดังนั้น ทาเลียหวังว่า เธอจะทำให้แจ็ครักเธอจริงๆ ได้ เพราะจะได้แก้คำสาปอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับช่วยให้แจ็คเติบโต มีความรับผิดชอบมากขึ้นกว่าการเป็นเด็กหนุ่มเหลวไหลธรรมดา ส่วนแจ็ค เขาก็ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าพร้อมจะเผชิญหน้ากับปัญหา ไม่ย่อท้อ เพื่อช่วยผู้หญิงที่เขารัก

อ่านจบแล้วก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้วจริงๆ ที่เลือก Beastly มาอ่านก่อน เพราะถ้าเราอ่านเล่มนี้ก่อน เราคงไม่สนใจอ่านเรื่อง Beastly แน่เลย และก็จะพลาดเรื่องที่ชอบมากๆ ไปอีกหนึ่งเรื่อง

จริงๆ เรื่องนี้ก็มีไอเดียดีนะที่เอาเจ้าหญิงนิทรามาเล่าใหม่ แล้วก็ไม่ได้จบห้วนๆ ง่ายๆ แบบในนิทาน เพียงแต่ว่า เรารู้สึกว่า การแปลงให้เป็นสมัยใหม่ในเรื่องนี้ มันดูอ่อน ไม่สมเหตุสมผล เพราะมันเกี่ยวพันกับคนจำนวนมากเกินไป คนทั้งเมืองโผล่มาเฉยๆ ไม่เป็นที่แตกตื่นของคนทั้งโลกหรือไง มันทำให้เรื่องดูเหลือเชื่อ แถมประเด็นเรื่องของแจ็คกับทาเลีย ดูยังไงก็ยังเป็นแค่เรื่องของเด็กวัยรุ่น มันฟังดูกลวงมากเลย ความรักแท้ของเด็กสองคนที่ยังไม่รู้จักตัวเองดีเลย

ทาเลียฉลาดและปรับตัวเก่ง ปฏิกิริยาของทาเลียกับสภาพสังคมยุคใหม่น่าเอ็นดูดี ขำตอนทาเลียนั่งดูนารุโตะ (การ์ตูนผู้ชายที่สนุกสุดยอดที่สุด ณ ตอนนี้ ในความคิดเรา) เดี๋ยวนี้เด็กฝรั่งอ่านมังงะ ดูอนิเมะ กันเยอะแล้วจริงแฮะ เธอจัดการสถานการณ์ได้เร็ว ถ้าไม่เอาชีวิตตัวเองไปยึดติดกับแจ็คมากไปจะดูไม่อ่อนต่อโลกเท่านี้ จริงๆ แจ็คก็ไม่แย่มาก ปัญหาของเขาเป็นปัญหาที่วัยรุ่นพบกันทั่วไป คิดว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ อยากได้การยอมรับ แต่ไม่รู้จะทำตัวยังไง ก็ล่องลอยไปวันๆ ยังหาตัวเองไม่เจอ แต่นั่นแหละ มันทำให้เขาเป็นเด็กที่ดูธรรมดาเกินไปสำหรับเรา เอ้า แต่เขาเขียนให้วัยรุ่นอ่าน คนเลยวัยรุ่นอย่างเรามาอ่านทำไมล่ะ อย่าบ่นสิ

Update
A Kiss in Time ฉบับภาษาอังกฤษ ที่ร้านคิโนะฯ กับเอเชียบุ๊คส์ น่าจะมีขายนะคะ
ส่วนฉบับแปลไทย ลองตามข่าวจาก สนพ. ปราชญ์เปรียว ที่แปล Beastly ดูค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Play of Passion - Nalini Singh

คะแนน : 7.5

สัปดาห์นี้ช่างเป็นช่วงที่ดวงชะตาถูกฟ้ากลั่นแกล้ง มีหนังสือออกใหม่เยอะมาก เมื่อวานได้มาทั้ง Play of Passion, In Death เล่มใหม่ กับ Bride Quartet เล่มจบ แต่ก็มีงานเข้ามาเต็มๆ เหมือนกัน เรื่องโน้นเรื่องนี้เยอะไปหมด ไม่ว่างสักวันเลย มีรายงานสำคัญที่อู้มานานถึงกำหนดส่งจันทร์นี้แล้วด้วย แต่ด้วยกิเลสความอยากอ่านที่ครอบงำจิตใจ เมื่อคืนก็พ่ายแพ้ต่อด้านมืด เลือกใช้เวลานั่งอ่าน Play of Passion เข้าจนได้ เพราะชอบซีรีส์นี้มากๆ เล่มใหม่ออกมาก็อดใจไม่ไหว อ่านไปก็รู้สึกผิดไปด้วย เพราะเราควรเริ่มต้นทำงานได้แล้ว มันไม่ใช่น้อยๆ นะนั่น จากวันนี้เป็นต้นไป ออกจากที่ทำงานกลับมาบ้านแล้ว เรายังต้องนั่งทำงานถึงเที่ยงคืนทุกวันแน่ๆ T_T

Play of Passion เป็นเรื่องในชุด Psy & Changeling เล่มนี้เป็นเล่มที่ 9 แล้ว เรื่องของอินดิโก้ เชนจลิงก์หมาป่าสาวรองจ่าฝูงสโนว์แดนเซอร์ กับแอนดรูว์ เชนจลิงก์หมาป่า ที่เป็นพี่ชายเบรนน่า (นางเอกเล่ม 3 Caressed By Ice) และเป็นน้องชายของไรลีย์ (พระเอกเล่ม 6 Branded by Fire) คือดรูว์นี่เราจำได้ดีจากบทบาทในเล่มก่อนๆ แต่อินดิโก้เป็นยังไง เราก็จำเธอไม่ค่อยได้เหมือนกัน ถึงแม้อินดิโก้กับดรูว์จะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่ง่ายเลย เพราะอินดิโก้ เธอมีตำแหน่งในฝูงเป็นเหมือนมือซ้ายของฮอว์ค จ่าฝูง ส่วนดรูว์เป็นนักแกะรอยประจำฝูง แม้จะขึ้นตรงต่อฮอว์ค แต่ว่ากันตามหลักก็ถือว่าลำดับต่ำกว่าอินดิโก้ แถมดรูว์ยังอายุน้อยกว่าถึง 4 ปี ดังนั้น เขาจึงไม่ใช่คนแบบที่เธอคาดหวังไว้ในใจ แต่ดรูว์ซึ่งแอบปิ๊งอินดิโก้มานานก็ตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้ว ที่เขาจะทำทุกวิธีให้อินดี้มาเป็นของเขาให้ได้

เนื้อเรื่องเล่มนี้โฟกัสที่ความสัมพันธ์ของพระเอกนางเอกเป็นหลัก เนื้อเรื่องอย่างอื่นหายไปเกือบหมด มีแค่แว้บๆ ให้เห็นสมาชิกสภาไซคู่สามีภรรยาสกอตต์กำลังวางแผนการร้ายอะไรอยู่เท่านั้น การดำเนินเรื่องเล่มนี้อยู่ในฝูงหมาป่าสโนว์แดนเซอร์ ซึ่งเรายังไม่ได้เห็นในเล่มก่อนๆ มากนัก เล่มนี้ก็เห็นบรรยากาศความเป็นไปในฝูงเต็มที่ และความสำคัญของเรื่องเน้นๆ เต็มๆ อยู่กับดรูว์และอินดิโก้

แม้จะหวั่นไหวกับความเซ็กซี่ บวกความขี้เล่นมีเสน่ห์ของดรูว์ แต่อินดิโก้เคยเห็นตัวอย่างไม่ดีของคู่ที่ฝ่ายหญิงมี dominance เหนือกว่าฝ่ายชาย นั่นจึงเป็นปัญหาในใจของเธอ แรกๆ เรายังอ่านสนุกอยู่ แต่พอถึงครึ่งเรื่องตอนที่อินดิโก้ตัดสินใจเลือกหนทางง่ายๆ ออกจากปัญหา ก็ทำให้เราผิดหวังในตัวเธอนิดหน่อย แต่เธอก็ยังรู้สึกตัวเร็วน่ะนะ เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นไร ส่วนตอนดรูว์ง้ออินดิโก้นี่โคตรน่ารักเลย เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์น่ารักจริงๆ และตอนดรูว์กับตุ๊กตาหมีนี่ ทำเอาหัวใจละลายเลย มิน่า ก็เด็กน่ารักอย่างนี้ ถึงมีศัพท์อย่างพวก กินเด็ก เปิดเนิร์สเซอรี่ เกิดขึ้นมา ^_^ แต่คิดไปคิดมา เราไม่ค่อยชอบคำพวกนั้นนะคะ เรื่องอายุถ้ามันไม่ได้ห่างเกินไปจนดูผิดปกติ ไม่น่าจะถูกเอามาเป็นประเด็นล้อเลียน

แต่ยังไงก็ตาม พออ่านจบ เรารู้สึกว่า เนื้อหาของเล่มนี้มันน้อยเกินไป มีช่วงท้ายนิดเดียวที่เกิดแอกชั่นขึ้น ทำให้ภาพรวมของซีรีส์นี้ เนื้อเรื่องมันยังไม่คืบหน้าไปไหน มันทำให้เรื่องนี้ได้คะแนนความชอบไม่สูงนัก เหมือนเล่มนี้เป็นแค่เล่มเตรียมศึกใหญ่ ที่เขียนเรื่องของอินดิโก้กับดรูว์ ก็เพื่อให้เราได้เห็นสโนว์แดนเซอร์และฮอว์คมากขึ้น เป็นบันไดสำหรับเล่มถัดไป แต่เล่มหน้า เรื่องของฮอว์คนี่ล่ะ น่าจะมีเนื้อเรื่องที่เป็นจุดสำคัญของซีรีส์เกิดขึ้น และเท่าที่อ่านจากเล่มนี้ เราว่า นางเอกของฮอว์คไม่น่าผิดจากเซียนน่าแล้วนะ (เย้ ชูกำปั้น) แต่ต้องรอถึงกลางปีหน้าแน่ะ เล่มถัดไปของ Nalini Singh จะเป็น Guild Hunter เล่ม 3 มาคั่น

สุดท้ายคงต้องหยุดเขียนแค่นี้ก่อน หมดเวลาสนุกแล้ว ได้เวลาทำงานๆ แม้จะมองเล่มที่เหลือตาละห้อย แต่ต้องตัดใจแล้ว ว่าแต่ Nalini Singh กับ Nora Roberts นี่เขียนเร็วจัง ปีนึงออกตั้ง 3-4 เล่ม อย่างเราอย่าว่าแต่จะมีปัญญาเขียนนิยายเป็นเล่มเลย เขียนรายงานไม่กี่สิบหน้ายังแทบแย่

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Beastly - Alex Flinn

คะแนน : 8.5

เห็นรีวิวหนังสือ A Kiss in Time เทพนิยายสมัยใหม่ที่บอกว่ามีเค้าโครงมาจากเจ้าหญิงนิทราแล้วสนใจ เช็คดูพบว่า มีเรื่องของคนเขียนคนเดียวกัน ที่เป็นเรื่องมาจาก Beauty and the Beast ออกมาก่อนหน้านี้ เลยหยิบ Beastly มาลองก่อน เพราะโฉมงามกับเจ้าชายอสูรฉบับ Disney เป็นอนิเมชั่นเรื่องโปรดของเรา ดูไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว

Beastly เป็นนิยาย Young Adult เรื่องของ ไคล์ คิงส์เบอรี เด็กหนุ่มวัยรุ่นรูปหล่อพ่อรวย ป๊อปปูลาร์ที่สุดในโรงเรียน แต่นิสัยไม่ดี หลงตัวเอง วันหนึ่งจึงถูกแม่มดสั่งสอน สาปให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์ จะแก้คำสาปได้ต่อเมื่อเขาค้นพบรักแท้ โดยไม่ต้องสนใจรูปกายภายนอก เรื่องย่อคงไม่ต้องเล่าเยอะ เพราะคงคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว

อ่านจบแล้วชอบมาก ไม่รู้เพราะมันเป็นเรื่องโปรดของเราอยู่แล้วรึเปล่า มันก็โดนใจ อ่านสนุกน่าติดตาม พลิกหน้าถัดไปเรื่อยๆ ไม่หยุดเลย แต่จะว่าไปก็ต้องชมคนแต่งนะ เนื้อเรื่องที่ทุกคนรู้จักกันดี จะเขียนยังไงให้มันน่าสนใจ ซึ่งก็เขียนออกมาได้ดีมาก โครงเรื่องทุกอย่างดำเนินเรื่องเหมือนตามนิทาน Beauty and the Beast ทั่วไป แต่ปรับทุกอย่างทั้งฉากและตัวละคร ให้เป็นยุคสมัยใหม่ในนิวยอร์ก ปราสาทของเขาเป็นตึกห้าชั้นในบรู๊คลีน บีสต์คนนี้เข้าแชตรูม คุยกับเจ้าชายฟร็อกกี้ ไซเลนต์เมอร์เมด ดูแลเว็บโดยมิสเตอร์แอนเดอร์สัน อ่านคำแชตกันแล้วขำดี

อ๊ะ แล้วยุคปัจจุบันนี้ หญิงสาวที่จะมาแก้คำสาปให้เขา จะไปบังคับตัวมาอยู่ด้วยยังไงล่ะ ในหนังสือฉบับนี้แปลงมาเป็นยุคปัจจุบันได้ดีมาก ความสัมพันธ์ระหว่างบีสต์ ที่ตั้งชื่อใหม่ให้ตัวเองว่าเอเดรียน กับลินดี้ ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ รวมทั้งตัวละครอื่นอย่างครูสอนพิเศษและแม่บ้าน ก็ทำได้ดี เอเดรียนค่อยๆ สำนึกตัว รู้จักความรักแบบไม่เห็นแก่ตัว ปล่อยตัวลินดี้กลับบ้านไป เนื้อเรื่องตอนท้ายที่พาเรื่องเข้าสู่ไคลแม็กซ์ก็สนุกดีมาก การเล่าเรื่องไม่ติดขัด ไม่รู้สึกผิดธรรมชาติกับฉากสมัยใหม่เลย เวิร์กๆ ต้องอ่านเรื่องอื่นต่อ

ป.ล. พอชอบแล้วมาเช็คข้อมูล เจอว่าเรื่อง Beastly ถูกเอามาสร้างเป็นหนังแล้ว จะฉายปีหน้า ดูหนังตัวอย่างแล้ว บีสต์ในหนังไม่ค่อยเหมือนที่บรรยายในหนังสือ ที่บีสต์เป็นตัวขนปุยแบบชิวแบคก้า แต่ในหนัง พระเอกยังดูดีอยู่เลย แล้วคงจะเปลี่ยนแปลงบทบ้าง เพราะในหนังสือ ไคล์อายุ 14 เท่านั้น ตอนจบเรื่องก็เพิ่ง 16 แต่ดูในคลิปนี้ เป็นหนุ่มแล้ว



Update (5 มี.ค. 54)
หนังสือ Beastly ภาษาอังกฤษมีขายที่ร้าน Kinokuniya
มีแปลภาษาไทยแล้ว ชื่อ Beastly "ตามหาหัวใจของนายอสูร" ราคาปก 250 บาท
กำหนดภาพยนตร์เข้าฉายในไทย 17 มี.ค. 54

Update 2 (19 มี.ค. 54)
ดูหนังมาแล้ว ก็โอเค ดูเพลิน และมีหัวเราะบ้างเป็นระยะ พระเอกหล่อมาก ตอนเปิดเรื่องโชว์กล้าม ได้ยินสาวๆ แอบกรี๊ดกร๊าดกันเล็กๆ ส่วนนางเอก ปกติคิดว่าวาเนสซ่าหน้าตาไม่สวยเท่าไหร่นะ แต่เรื่องนี้น่ารัก หนังเปลี่ยนเรื่องจากในหนังสือหลายอย่างเหมือนกัน ฉากไคลแม็กซ์ในหนังสือก็หายไปเฉยๆ เลยดูเหมือนเป็นหนังทุนต่ำ แค่หนังรักวัยรุ่นเบาๆ รวมๆ ก็ไม่เสียดายค่าตั๋วนะ ชอบเหมือนกัน โดยเฉพาะฉากที่บีสต์พยายามเอาใจลินดี้ แล้วก็ชอบครูสอนพิเศษ ขโมยซีนตลอด แต่อ่านหนังสือสนุกกว่า

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Artemis Fowl: The Atlantis Complex - Eoin Colfer

คะแนน : 7.75

อาร์ทิมิส ฟาวล์ เล่มใหม่ ถ้าไม่นับตอนพิเศษกับฉบับการ์ตูน นี่เป็นนิยายเล่มที่ 7 แล้ว ในเล่มนี้ อาร์ทิมิส อายุ 15 โตเป็นวัยรุ่นและกลับตัวจากการเป็นเด็กอัจฉริยะวายร้ายแล้ว ตอนนี้เขาติดต่อแฟรี่เพื่อวางแผนการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมโลก แต่อาร์ทิมิสคนนี้ดูแปลกไปไม่เหมือนคนเดิม แต่แล้วในกลางที่ประชุมนั้นเอง พวกเขาก็ถูกยานปริศนาโจมตี

ซีรีส์อาร์ทิมิส ฟาวล์ เป็นเรื่องแฟนตาซีผสมไซไฟ พวกวิทยาการเทคโนโลยีของแฟรี่ก็น่าสนใจดี มีเนื้อเรื่องสนุกแนวแอกชั่นผจญภัย มีตัวละครที่น่าชื่นชอบ เล่มนี้ พวกตัวละครหลักๆ ก็ยังมากันค่อนข้างครบ โดยเฉพาะผู้กองฮอลลี่ ชอร์ต กับเซ็นทอร์ โฟลลี่ เราชอบฮอลลี่ เล่มก่อนๆ เคยมีแอบโรแมนติกกับอาร์ทิมิสนิดนึง ทำเอาเราสงสัยเลยนะว่า มันจะไปได้ไง แต่ก็ชอบนะอยากรู้ต่อ แต่เล่มนี้อาร์ทิมิสเกิดอาการผิดปกติเป็นคนสองบุคลิกไป ส่วนนั้นก็พักไป แล้วพออาร์ทิมิสมีอาการประหลาดก็ไม่ฉลาดแล้ว เลยทำให้การดำเนินเรื่องแปลกๆ ไปหน่อย เล่มนี้รวมๆ ก็ยังอ่านสนุกอยู่ แต่อาจจะน้อยกว่าเล่มก่อนๆ นิดหนึ่ง ทุกทีจะรู้สึกว่าสนุกตื่นเต้น มีการพัฒนาของตัวละครและเนื้อเรื่องมากกว่านี้ เล่มนี้มันเหมือนเขียนทิ้งปมรอเล่มหน้าอีก เลยลดคะแนนลงจาก 8 นิดนึง