วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Millennium Trilogy The Movies


เรากำลังอยู่ในอาการคลั่งไคล้หนังสือชุด Millennium Trilogy มากๆ สุดสัปดาห์นี้กลับบ้าน ก็อุตส่าห์ดั้นด้นไปดูหนังที่เฮ้าส์ อาร์ซีเอ โรงภาพยนตร์เดียวในประเทศไทยที่ฉายเรื่องนี้ ตอนนี้ยังมีฉายอยู่ทั้งภาค 1 และ 2 พร้อมกัน ขอออกตัวก่อนว่า นี่ไม่ใช่การรีวิวหนังแบบทั่วไป เพราะเนื่องจากเราไปดูหนังในฐานะที่มันเป็น adaptation จากหนังสือ มุมมองของเราจึงเป็นการดูเพื่อเปรียบเทียบกับหนังสือ ว่าเป็นยังไงบ้าง

เตือนสปอยล์

ภาพยนตร์ไตรภาค Millennium ฉบับออริจินอลสวีเดน นำแสดงโดย Michael Nyqvist ผู้รับบท มิเกล บลูมควิสต์ (สะกด Blomqvist จากเสียงในหนัง ฟังเหมือนกึ่งๆ ระหว่างเสียง โบลมควิสต์ กับ บลูมควิสต์) และ Noomi Rapace รับบท ลิสเบ็ธ ซาลันเดอร์ เริ่มต้นที่ภาคปฐมบท The Girl With The Dragon Tattoo เนื้อเรื่องมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดปลีกย่อยจากหนังสือบ้าง เพราะต้องรวบรัดย่นย่อเรื่องให้เหมาะสมกับเวลา หนังแต่ละภาคยาวประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที แต่ก็ถือว่ารักษาประเด็นหลักของเนื้อเรื่องไว้ได้ดี แต่เราติดใจนิดหนึ่งว่า ตอนที่ลิสเบ็ธไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล แล้วบอกว่าไม่เคยมาหาเลย ทั้งๆ ที่ในหนังสือไปเยี่ยมหลายที มันทำให้ลิสเบ็ธดูไม่มีน้ำใจ แล้วสิ่งที่แม่พูด กับความฝันของลิสเบ็ธตอนเด็ก เอามาใส่ไว้ตั้งแต่ในหนังภาค 1 แต่ความจริงมันเป็นเนื้อเรื่องในส่วนของเล่ม 2 ทำให้เรารู้สึกว่ามันสปอยล์ภาค 2 มากไป แต่โดยรวมๆ โอเคมากๆ

The Girl Who Played With Fire น่าจะเป็นภาคที่ดัดแปลงมาเป็นภาพยนตร์ได้สนุกที่สุด เพราะแอกชั่นเยอะอยู่แล้วตามหนังสือ แต่เนื้อเรื่องถูกตัดไปเยอะอยู่เหมือนกัน และรายละเอียดปลีกย่อยหายไป จนเราไม่แน่ใจว่า คนที่ดูแต่หนัง ไม่ได้อ่านหนังสือ จะติดตามเนื้อเรื่องได้เข้าใจ เข้าถึงการกระทำของตัวละครรึเปล่า แต่ก็สนุกมากๆ ล่ะ ข้อดีของหนังในด้านการดำเนินเรื่องก็คือ เลือกมาแต่เนื้อๆ ของโครงเรื่องหลัก ก็เลยไม่มีช่วงยืดเยื้อน่าเบื่อเลย

หนังได้เรต R เพราะฉากความรุนแรง ฆาตกรรม ฉากข่มขืน เซ็กส์ซีนเห็นหน้าอก แต่เราคิดว่า มันก็ยังไม่ได้มากเกินไป ถือว่านำเสนอได้เหมาะกับโทนของเรื่องพอดี

The Girl Who Kicked The Hornet's Nest เป็นภาคที่เรารู้สึกว่า สร้างมาด้อยที่สุด เหมือนเขียนบทภาพยนตร์ไม่ดีเท่าไหร่ (หรือไม่ก็เพราะใจร้อนโหลดบิทมาดูก่อน เพราะหนังยังไม่เข้าโรง แต่เดี๋ยวพอหนังเข้าจะไปดูอีกรอบ) ส่วนหนึ่งเพราะรายละเอียดในหนังสือภาคนี้จะเยอะมากๆ ทั้งตัวละครและเหตุการณ์ เจอรวบรัดตัดความเข้าไป ทำให้รู้สึกว่า อะไรวะ นี่ก็ไม่มี นั่นก็ไม่มี แล้วไอ้นี่มันใคร ถ้าฉันไม่อ่านหนังสือมาก่อน ฉันจะดูรู้เรื่องมั้ย ฉากการพิจารณาคดี มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่อง ในหนังสือ ฝ่ายพระเอกจะเป็นฝ่ายวางกับดัก ขุดหลุมล่อหน่วยลับกับอัยการไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ในหนัง เพิ่งจะมาได้หลักฐานทีหลัง ไม่เท่เลย แล้วอย่างการที่ลิสเบ็ธแต่งตัวสุดพังค์ตอนศาลพิจารณาคดี ก็ไม่อธิบายว่าทำไม ทั้งๆ ที่มันเป็นส่วนหนึ่งของกับดักที่ล่อให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจแท้ๆ

ในส่วนของนักแสดง ผู้รับบทมิเกล ตอนแรกดูจากตัวอย่างหนัง รู้สึกว่าแก่ไป อ้วนด้วย เพราะจากที่อ่าน เห็นผู้หญิงไม่รู้กี่คนต่อกี่คนถลาใส่เขาโดยแทบไม่ต้องกระดิกนิ้ว ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ดูดีกว่านี้หน่อย แต่พอดูในเรื่อง ก็ดูมีเสน่ห์ดีนะ โดยเฉพาะเวลายิ้มหรือตอนขยิบตาให้

ส่วนนูมี่ ราเพซ ผู้รับบทลิสเบ็ธ อันที่จริงรูปร่างหน้าตาก็ไม่เหมือนภาพในใจเราเท่าไหร่ คือ เวลาอ่าน เราจะจินตนาการตัวละครตามที่หนังสือบรรยายเป็นภาพแบบเบลอๆ ไว้ในหัว เราหลงรักลิสเบ็ธมาก จนเวลานึกถึงตัวละครตัวนี้ เราไม่ค่อยอยากให้หน้าคนจริงๆ โผล่มาซ้อนทับในใจเรา แต่ราเพซก็ได้รับคำชื่นชมมากจากบทบาทการแสดงในหนังชุดนี้ นูมี่ ราเพซ ในบทลิสเบ็ธ ซาลันเดอร์ เธอใช้เวลาเตรียมตัวแสดง 7 เดือน ลดน้ำหนัก หัดคิกบ็อกซิ่ง จากที่อ่านตามรีวิว มีแต่แฟนๆ บอกว่า นี่แหละ ใช่เลยทั้งนั้น เธอได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากบทนี้ด้วย ซึ่งเราเห็นด้วยนะว่าแสดงดี ตีบทแตก ถ้าคุณสังเกต จะเห็นว่าลิสเบ็ธในหนัง บางทีท่าเดินจะดูเก้งก้างขัดตาบ้างใช่มั้ย ถ้าอ่านในหนังสือ จะรู้ว่ามีหมอตั้งข้อสังเกตว่า ลิสเบ็ธอาจมีอาการของ Asperger Syndrome เช็คจาก wiki ได้ความว่า คล้ายๆ เป็นออทิสติกแบบหนึ่ง คนที่เป็น นอกจากจะมีปัญหาเรื่องการรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น เข้าสังคมยาก เพราะสื่อสารความรู้สึกของตัวเองไม่ได้แล้ว จะมีปัญหาเรื่องการควบคุม co-ordinate ของร่างกาย ถึงแม้ว่าในหนังสือและภาพยนตร์จะไม่อธิบายเรื่องพวกนี้ไว้ แต่ตอนเราดู นึกถึงบทความ wiki ที่ไปอ่านมา ก็พยักหน้าหงึกๆ เลย แล้วเวลาลิสเบ็ธพูดเรื่องส่วนตัว ก็จะกระอึกกระอักตามอาการที่ว่าเป๊ะ ใส่ใจรายละเอียดของตัวละครดี ปรบมือให้นักแสดง (และ/หรือผู้กำกับ) เยี่ยมมาก

แคสติ้งตัวละครคนอื่นๆ ก็ดีหมด แฮเรียตนี่สวยจัง เอริก้า ใช่ นีเดอร์มานน์ นี่ก็ใช่เลย แต่ซาลาเชงโก้ ผิดคาดนิดหน่อย ไม่ค่อยมีมาดเลย แต่โดยรวม ในด้านการคัดตัวนักแสดงนี่ หนังทำได้ดีมาก

แล้วก็มาพูดถึงสิ่งที่หนังทำไม่ได้อย่างในหนังสือบ้าง อันนี้มันก็เป็นข้อจำกัดของภาพยนตร์ล่ะนะ ดูแล้ว เราเห็นแต่แอกชั่น แต่เราไม่รู้เรื่องราวและความคิดของตัวละครเลย ในหนังเราไม่เห็นความเป็นอัจฉริยะของลิสเบ็ธ เราไม่รู้ว่าลิสเบ็ธอกหักจากมิเกลยังไง ถ้าไม่เข้าใจตัวละคร ดูหนังแล้วจะรู้หรือว่า ทำไมเธอถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องทำอย่างนั้น เราเป็นห่วงว่า คนที่ดูแต่หนัง จะไม่เห็นถึงความพิเศษของหนังสือชุดนี้ ไม่รู้เป็นเพราะในส่วนของหนังภาค 2 กับภาค 3 ตอนแรกถูกวางแผนจะสร้างเป็นแค่ทีวีซีรีส์รึเปล่า (แต่หนังภาค 1 เกิดดัง เลยตัดมาทำเป็นหนังใหญ่) ก็เลยดูบทหนังไม่เนียนเท่าไหร่

ตอนนี้ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูไม่ได้อ่าน Millennium Trilogy เราก็พยายามป่าวประกาศกับคนรอบตัวเรา ชวนว่าไปดูหนังก่อน ถ้าดูแล้วชอบก็อ่านหนังสือซะ ถ้าไม่ชอบ ก็มาอ่านหนังสือเถอะ อ่านเล่มแรกแล้วยังไม่ชอบก็อย่าเพิ่งหยุดด้วย อ่านให้ถึงเล่มสองก่อน เชียร์สุดใจเลย

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

The Girl Who Kicked The Hornet's Nest - Stieg Larsson

คะแนน : 9

โอ้ ว้าว สุดยอด เล่มสุดท้ายของหนังสือไตรภาค Millennium ทำให้เราต้องกลับคำพูด เมื่ออ่านมาถึงเล่มนี้ มันทำให้เรารู้สึกว่าหนังสือชุดนี้ดีสมคำร่ำลือจริงๆ ความคิดของเราค่อยๆ เปลี่ยนตั้งแต่ที่เริ่มรู้ตัวว่า ความรู้สึกที่ค้างมาจากเล่มสอง ภาพของ ลิสเบ็ธ ซาลันเดอร์ ยังติดอยู่ในความนึกคิดเรามาตลอด 3-4 วันนี้ ไม่มีตัวละครคนไหนที่ทำให้เรารู้สึกติดตรึงใจได้เท่านี้มานานมากๆ แล้ว ลิสเบ็ธ ห่างไกลจากคำว่าเพอร์เฟกต์ พฤติกรรมของเธอหลายอย่างออกนอกขอบเขตของค่านิยมในแบบจารีต แต่เธอไม่เคยล้ำเส้นความเป็นคนดีในความคิดเรา อย่างที่ตัวละครในเรื่องนึกถึงลิสเบ็ธว่า เธออาจทำสิ่งที่อาจผิดในสายตากฎหมาย แต่เธอจะไม่มีวันก่ออาชญากรรมที่ผิดต่อกฎของพระเจ้า มีการกระทำบางอย่างของเธอที่เราไม่ยกย่อง แต่เรารู้สึกว่า เธอสอนให้เราเคารพนับถือความเป็นคนมากขึ้น เรียนรู้ และพยายามเตือนสติตัวเองที่จะไม่ตัดสินคนอื่น

เนื้อเรื่องเล่มนี้สนุกตั้งแต่เริ่ม เพราะเรื่องราวต่อเนื่องจากเล่มที่แล้วที่ปูพื้นไว้หมดแล้ว เล่มนี้ก็ต่อเรื่องการสืบคดีได้เลย เล่มนี้ไม่ต้องฉงนสงสัยว่าใครเป็นคนร้าย เพราะสมาชิกกลุ่มลับสุดยอด ที่แฝงตัวอยู่ในฝ่ายรักษาความมั่นคงภายในของสวีเดน (S.I.S) เผยตัวออกมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ต่างฝ่ายต่างชิงไหวชิงพริบกันเต็มที่ หน่วยลับต้องจัดการเก็บกวาดคดี Zalachenko ให้เรียบร้อย และลิสเบ็ธเป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจปล่อยให้ลอยนวลไปได้ ในขณะที่มิเกล กับ กอง บ.ก. มิลเลนเนียม ตำรวจสต็อกโฮล์ม และตำรวจ S.I.S ก็ช่วยกันระดมสรรพกำลัง พยายามเปิดโปงโฉมหน้าของกลุ่มหน่วยลับให้สำเร็จ ดำเนินเรื่องฉับไวรวดเร็วตัดไปตัดมาตลอด อาจมีบางช่วงเยิ่นเย้อไปหน่อยแต่ไม่มีเบื่อ

อ่านเล่มนี้นอกจากความสนุกของเนื้อเรื่องแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ชอบมากกับความคิดของคนประเทศที่ประชาธิปไตยเจริญแล้ว เป้าหมายสำคัญที่ต้องทำลายหน่วยลับ เพราะการมีอยู่ของหน่วยนี้ กระทบกระเทือนถึงรากฐานการปกครองแบบประชาธิปไตยของสวีเดน นั่นคือ สิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี รัฐธรรมนูญเป็นข้อตกลงร่วมกันของคนในชาติ ต่อให้เป็นคิงของสวีเดนถ้าคิดเป็นปฏิปักษ์กับรัฐธรรมนูญ ก็ถือเป็นศัตรูของชาติ ชอบมากๆ กับฉากที่คุยกับนายกรัฐมนตรีสวีเดน เมื่อถูกถามว่า คุยกับอัยการให้ยกฟ้องไม่ได้หรือ นายกฯ บอกไม่ได้ ไม่มีสิทธิก้าวก่ายอำนาจศาล นั่นคือ ระบบตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของประเทศที่ประชาธิปไตยเจริญ ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบอนาถๆ อย่างบางประเทศ

บทของลิสเบ็ธเล่มนี้น้อยหน่อย เพราะถูกควบคุมตัวอยู่ในโรงพยาบาลเกือบตลอดเรื่อง แต่กล่าวถึงทีไร ก็ดึงดูดใจได้ทุกที เราชอบเวลาที่ผู้แต่งบรรยายถึงวิธีคิดของลิสเบ็ธ อย่างเช่น ตอนที่นอนอยู่บนเตียงขยับไม่ได้ ก็ยังคำนวณระยะห่างของศัตรู โดยการนับก้าวของฝีเท้าพยาบาล เราชอบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้แหละ เป็นความสามารถของผู้แต่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า เธอเจ๋งจริงๆ

เล่มนี้นอกจากจะเป็นเล่มที่ดีที่สุด สนุกที่สุดในชุดแล้ว มันยังช่วยยกระดับเล่มหนึ่ง เล่มสอง ขึ้นอีกด้วย เมื่อคุณอ่านครบทั้งสามเล่มแล้วมองภาพโดยรวม จากเล่มหนึ่งที่ดูเป็นการสืบคดีธรรมดา มันก็ดูมีความหมายมากขึ้น ในฐานะของการเปิดตัวให้คนอ่านรู้จักตัวละครหลัก เล่มสองดึงคุณเข้าไปสัมผัสตัวละครลึกซึ้งขึ้น และเล่มสามขยายขอบเขตของสถานการณ์ เพิ่มผู้คนและเหตุการณ์เข้ามามากมาย ในระดับความมั่นคงของประเทศ สนุกมากกกกกกกกกกก แต่ถ้าใครขี้เกียจ จะหยิบเฉพาะเล่มนี้มาอ่านก็ไม่ได้ ต้องอ่านเรื่องเรียงลำดับ เพราะไม่งั้นก็สปอยล์ และถ้าไม่รู้ภูมิหลังของตัวละครและเนื้อเรื่องเล่มก่อน ก็จะอ่านแล้วงง และไม่อิน

น่าเสียดายมากๆ ที่ผู้แต่ง Stieg Larsson เสียชีวิตไปแล้ว มีข่าวว่า ที่จริงเขาเขียนเล่ม 4 ค้างไว้ด้วย ตอนอ่านเล่ม 3 ยังไม่จบ เราก็กลัวๆ อยู่ว่าตอนจบจะเหลือค้างประเด็นสำคัญอะไรรึเปล่า ภาวนาให้จบสมบูรณ์ทีเถอะ ก็โล่งไปนะที่อย่างน้อยก็จบแบบไม่มีอะไรคาใจ สำนักพิมพ์เมืองไทยไม่รู้ใคร แต่น่าจะมีคนซื้อลิขสิทธิ์มาแล้ว ช่วยแปลออกมาให้ไวเลย คนไทยจะได้อ่านกันเยอะๆ

ป.ล. เราดูหนังภาค 1 แล้ว ถ้าได้ภาค 2-3 มาดูจบ ว่าจะเขียนถึงฉบับภาพยนตร์ของหนังสือชุดนี้อีกที

Update
แวะชมเว็บไซต์ที่เราสร้างให้นิยายชุดนี้ที่ Millennium Trilogy Thailand Fan Club

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

The Girl Who Played with Fire - Stieg Larsson

คะแนน : 8

เล่มสองของซีรีส์ที่มีคนยกย่องว่า เป็นเรื่องเปิดศักราชของหนังสือทริลเลอร์แนวอาชญากรรมนอร์ดิก ในเล่มนี้ ช่วงต้นๆ เริ่มต้นอย่างช้าๆ กล่าวถึงชีวิตของลิสเบ็ธช่วงที่เดินทางท่องโลก เรื่องชุดนี้ต้องอ่านเรียงลำดับ เพราะในเล่มมีสปอยล์สรุปเล่าเรื่องราวที่เกิดในเล่มแรก The Girl With The Dragon Tattoo ไว้หมดเลย อ่าน 20% แรกอย่างเบื่อๆ เลยวางแล้วหันไปเล่มเกมซะทั้งวัน เพราะยังจับเนื้อเรื่องไม่ได้ว่า ประเด็นของเล่มนี้จะเกี่ยวกับเรื่องอะไร เหมือนเล่าเรื่องลิสเบ็ธให้คนอ่านรู้จักมากขึ้นเฉยๆ จนลิสเบ็ธกลับมาสวีเดนแล้วนั่นแหละ ที่เนื้อเรื่องเริ่มเร่งเร็วมากขึ้น

ส่วนที่นิตยสารมิลเลนเนียม ชีวิตมิเกลก็ดูเป็นปกติอยู่ นักข่าวอิสระรายหนึ่งติดต่อเข้ามา เพื่อจะเขียนสกู๊ปพิเศษ และจะตีพิมพ์หนังสือเปิดโปงขบวนการค้ากามข้ามชาติ โดยมิเกลรับหน้าที่บรรณาธิการ แต่แล้วขณะที่กำลังอยู่ระหว่างหาข้อมูลประกอบหนังสือเพิ่มเติม เกี่ยวกับบุคคลปริศนาชื่อ Zala นักข่าวอิสระรายนั้นก็ถูกยิงเสียชีวิตพร้อมแฟนสาว ตำรวจพบอาวุธปืนที่ใช้ยิงตกอยู่ชั้นล่างของอพาร์ทเมนต์ที่เกิดเหตุ หลักฐานที่พบบนปืนสังหารกระบอกนั้นเป็นรอยนิ้วมือของหญิงสาวชื่อลิสเบ็ธ ซาลันเดอร์ !?

เล่มนี้โฟกัสอยู่ที่เรื่องของลิสเบ็ธเต็มๆ นะ ทั้งมิเกล ทั้งตำรวจ ทั้งแก๊ง พยายามตามรอยตามล่าหญิงสาวรอยสักมังกรกันจ้าละหวั่นทั้งเรื่อง โดยตัดสลับถึงลิสเบ็ธเป็นระยะๆ ในช่วงกบดานหลบการตามล่าของทางการ พร้อมกับไล่ตามล่า Zala เพื่อเป้าหมายอะไรยังไม่รู้ ส่วนมิเกลก็ต้องพยายามสืบความจริงของคดี เพราะเขาเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของลิสเบ็ธ เมื่อค่อยๆ อ่านไป จากมุมมองการสืบสวนของมิเกล และตำรวจ เราจะได้รับรู้เรื่องราวอดีตความเป็นมาของลิสเบ็ธทั้งหมด ชีวิตวัยเด็ก วัยรุ่น ตัวตนของลิสเบ็ธ จนถึงสาเหตุที่แท้จริง เบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อลิสเบ็ธอายุ 12 ปี ที่ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถาบันจิตเภทจนถึงอายุ 15 ปี

จากภูมิหลังของผู้แต่งที่เป็นบรรณาธิการนิตยสารแนวสังคม นิยายชุดนี้จึงไม่ใช่นิยายสืบสวนธรรมดา แต่สอดแทรกปัญหาสังคม ประเด็นเรื่องความรุนแรงต่อผู้หญิง การค้ามนุษย์ อคติต่อรักร่วมเพศ ความล้มเหลวของระบบ ช่องว่างที่เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ทางการเลวๆ เอารัดเอาเปรียบคนด้อยโอกาส จริยธรรมในวิชาชีพ ความขัดแย้งของมโนธรรมกับกฎหมาย ฯลฯ

จะว่าไป การสืบสวนคดีในเล่มนี้ ไม่มีวิธีไขปริศนาที่โดดเด่นแยบคายเป็นพิเศษ เหมือนสืบไปเรื่อยๆ ไปสัมภาษณ์คนนี้มา ได้ชื่อคนนั้น ไปคุยกับคนนั้น ได้เบาะแสคนโน้น ก็ตามไปเรื่อยๆ จากข้อมูลที่ได้มาทีละนิดๆ ทำให้เราได้รับรู้ภาพใหญ่ แต่ที่ทำให้อ่านสนุกก็คือ มันเป็นเรื่องของลิสเบ็ธไง เธอเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นได้แบบโดดเด่นสุดๆ ทั้งบุคลิก ความสามารถพิเศษ และนิสัยใจคอ มีมิติ ซับซ้อน น่าทึ่งมากๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งดึงดูดให้หลงใหล แล้วทำให้อดชื่นชมเธอไม่ได้

ช่วงท้ายเป็นแอกชั่นเต็มๆ ลุ้นมาก หุหุ กะไว้แล้วเชียว เรื่องความเกี่ยวข้องกับ Zala ทายถูกจริงๆ ช่วงนี้ ลิสเบ็ธโคตรสุดยอด นึกภาพตามตอนมือโผล่จากดินขึ้นมา โห.... บรรยายไม่ถูกเลย ตอนจบนี่ทิ้งท้ายไว้ให้คนอ่านรอลุ้นในเล่ม 3 โดยเฉพาะเลยนะนี่ โชคดีจังที่เราอ่านตอนที่ออกมาครบแล้ว เดี๋ยวถ้ามีฉบับแปลไทยออกมา คนที่อ่านหน้าสุดท้ายของเล่มสองจบ ตอนที่เล่มสามยังไม่ออก คงแทบคลั่งว่าจะเป็นไงต่อ

Update
แวะชมเว็บไซต์ที่เราสร้างให้นิยายชุดนี้ที่ Millennium Trilogy Thailand Fan Club

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Veil of Night - Linda Howard

คะแนน : 7.5

นิยายเรื่องใหม่แนวโรแมนติกสืบสวน เจืออารมณ์ขันแบบแสบๆ คันๆ ตามสไตล์ของลินดา โฮเวิร์ด เรื่องราวของแจ็คลีน ไวลด์ สาวเจ้าของธุรกิจจัดงานแต่งงาน กับตำรวจหนุ่มเซ็กซี่ เอริค ไวลเดอร์ (เป็นแก๊กเล็กๆ ในหนังสือเลยนะ นามสกุลพระเอก-นางเอกเนี่ย) แจ็คลีนกับเอริคพบกัน เกิด one night stand แต่ยังไม่ทันจะได้สานสัมพันธ์กันต่อ วันรุ่งขึ้น ลูกค้าสาวไบรด์ซิลล่าจากนรกคนหนึ่งของแจ็คลีนหาเรื่องทะเลาะกับเธอ แล้วกลับถูกฆาตกรรม เธอจึงตกอยู่ในข่ายของผู้ต้องสงสัยไปโดยปริยาย เอริครับหน้าที่สืบคดีนี้ แม้จะเชื่อในความบริสุทธิ์ของเธอ เขาก็ต้องสืบสวนเธอตามหน้าที่ แต่แล้วก็มีคนพยายามเอาชีวิตแจ็คลีน...

หลังๆ นี่มีนางเอกนิยายหลายคนทำอาชีพนักจัดงานแต่งงานนะ ชักจะเห็นบ่อย เรื่องนี้เป็นสืบสวนแบบค่อนข้างเบาๆ หน่อย เพราะคดีฆาตกรรมไม่ซับซ้อนอะไร อารมณ์คล้ายๆ เรื่อง Mr.Perfect หรือ To Die For แต่ไม่สนุกเท่า พระเอกนางเอกน่ารัก ตลกดี นางเอกขำๆ กัดเจ็บไม่เบา บทสนทนาอ่านแล้วก็ทำให้อมยิ้มได้ตลอด แล้วก็ขำมุกเรื่องของพระเอกกับกาแฟมากๆ เลย อ่านจบหน้าสุดท้ายไปแล้ว ยังหัวเราะพรืดอยู่เลย อ่านสนุกดีตามแบบฉบับของลินดา เพียงแต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องในระดับที่ดีที่สุดของเธอ ลังเลใจอยู่ว่าจะให้คะแนนเท่าไหร่ดี จริงๆ ก็เกือบๆ 8 ล่ะนะ

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

The Girl with the Dragon Tattoo - Stieg Larsson

คะแนน : 8

นิยาย International Bestseller ที่กำลังมาแรง ต้นฉบับดั้งเดิมเป็นภาษาสวีเดน ผู้แต่ง Stieg Larsson เสียชีวิตในปี 2004 โดยทิ้งต้นฉบับนิยายไว้ 3 เล่ม ซึ่งในที่สุดได้ตีพิมพ์เป็นนิยายไตรภาคชุด Millennium ซึ่งเป็นชื่อนิตยสารของตัวเอกในเรื่อง โดยเล่มแรกคือ The Girl with the Dragon Tattoo นี้เอง พอถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษก็ขึ้นอันดับขายดี สร้างเป็นหนังสวีดิชก็ดัง เพิ่งมาฉายเมืองไทยเดือนที่แล้ว กำลังจะสร้างเวอร์ชั่นฮอลลีวู้ดด้วย อเมซอนก็โปรโมทน่าดู เห็นกระแสอย่างนี้แล้วก็อดไม่ได้ ต้องลองอ่านซะหน่อยว่ามีอะไรดี

มิเกล บลูมควิสต์ นักข่าววัยกลางคน ที่ถนัดทำข่าวแนวเปิดโปง ได้รับการว่าจ้างจากมหาเศรษฐี เฮนริก แวงเกอร์ ให้มารับหน้าที่สืบหาความจริงในคดีที่แฮเรียต หลานสาวของเขาหายตัวไปเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน ในการรับงานครั้งนี้ ทำให้มิเกลมีโอกาสได้พบกับ ลิสเบ็ธ ซาลันเดอร์ แฮกเกอร์สาวอัจฉริยะ ที่มีบุคลิกภาพแปลกแยก เจาะห่วงที่ใบหน้า กับรอยสักรอบตัว ทั้งสองร่วมมือกันเพื่อคลี่คลายปมจากอดีต ที่ลึกลับซับซ้อนและมืดมนเกินกว่าภาพที่เห็น

เตือนสปอยล์อีกที

เล่มนี้ดึงคนอ่านให้ติดตามได้ตั้งแต่หน้าแรกทีเดียว ช่วงแรกเป็นการแนะนำตัวละคร ถึงแม้ยังไม่มีอะไรมาก แต่ก็ปูพื้นเรื่อง และตัดเหตุการณ์ไปมาได้รวดเร็ว ทำให้น่าสนใจ ความจริงเนื้อเรื่องช่วงแรกไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาก เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต และตัวละครในครอบครัวแวงเกอร์ แต่สไตล์การเล่าเรื่องก็ทำได้ดี และทำให้เรารู้สึกจดจ่อรอลุ้น เหมือนเราเดินเข้าไปในบ้านใหญ่หลังหนึ่ง ห้องด้านหน้ายังไม่มีอะไร เราเดินเข้าไปเรื่อยๆ สังเกตเครื่องตกแต่งสองข้างผนังไป แต่ระหว่างเดินเราก็รู้สึกได้ว่า เดี๋ยวมันจะต้องมีอะไรใหญ่ๆ เกิดขึ้นรออยู่ตรงหัวเลี้ยวข้างหน้าแน่ๆ ก็เลยอ่านไม่เบื่อเลย

จนเมื่อผ่านครึ่งเล่ม ตัวละครเอกทั้งสองคนได้เจอกัน เนื้อเรื่องก็เข้าสู่ช่วงสืบคดีปริศนาเต็มที่ ช่วงนี้สนุกดีมาก จากเงื่อนงำเล็กน้อยที่มิเกลสังเกตเห็น นำไปสู่การไขความลับทีละเปลาะๆ จนพบว่า นี่ไม่ใช่การหายตัวไปของเด็กสาวคนเดียว แต่มันเกี่ยวข้องกับฆาตกรรมต่อเนื่องที่กินเวลายาวนานกว่า 40 ปี ซึ่งขอเตือนไว้เลยว่า เนื้อเรื่องแสดงด้านมืดและความวิปริตของฆาตกรมากๆ ต้องทำใจแข็งอ่านหน่อย

มิเกลเป็นตัวละครที่เราบอกไม่ถูก เหมือนจะไม่ชอบแต่ก็เกลียดไม่ลง ในขณะที่ลิสเบ็ธ มีพลังความโดดเด่นของตัวละครสูงมาก ด้วยบุคลิกแรงๆ ไม่พูดกับใคร แทบไม่มีใครรู้ถึงความเป็นอัจฉริยะที่ซ่อนอยู่ในตัวเธอ เธอถูกพิจารณาว่า มีความผิดปกติทางจิต ต้องมีผู้พิทักษ์ทางกฎหมาย และเสี่ยงต่อการถูกส่งไปควบคุมตัวในสถาบันประสาท ความจริงบทของลิสเบ็ธน้อยกว่ามิเกลมาก แต่สิ่งที่คนอ่านจะจดจำไปน่าจะต้องเป็นตัวละครของลิสเบ็ธ และไม่แปลกเลยที่ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษจะใช้คำที่สื่อถึงตัวเธอ (ต่างจากต้นฉบับภาษาสวีดิช ที่ชื่อเรื่องแปลว่า "Men Who Hate Women")

ความจริงในเรื่องนี้ มีสิ่งที่เราไม่ชอบอ่านเกิดขึ้นหลายอย่างนะ พระเอกเหมือนเป็นผู้ชายเจ้าชู้ (ที่ใช้คำว่าเหมือน เพราะผู้หญิงเป็นฝ่ายกระโดดใส่เขาเองทั้งนั้น) มีฉากนางเอกถูกคนชั่วข่มขืน ความสัมพันธ์ของชายหญิงต่างวัย ซึ่งสารภาพว่า ปกติถ้าเจอ 3 ประเด็นนี้ในเรื่องไหน เราจะรู้สึกต่อต้านและหมดสนุกในการอ่านไปเลย แต่อ่านเรื่องนี้แล้วกลับเฉยๆ แฮะ เพราะมันถูกบรรยายออกมาเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ถูกทำร้ายก็ลุกขึ้นตอบโต้ มีอะไรกับคนอื่นก็บอกอีกคนเฉยๆ เจ้าตัวก็ทำตัวไปตามธรรมชาติ เหมือนก็รู้ตัวอยู่ว่าไม่ใช่คนดีเด่อะไร โลกไม่ดีพร้อม คนเราไม่สมบูรณ์แบบ จนเราไม่ติดใจจะหาความเป็นคนดีจากตัวละครซะแล้ว ประเด็นพวกนั้นก็เลยไม่รบกวนใจเราเท่าไหร่ ทำให้ตรึงความสนใจไปอยู่กับเนื้อเรื่องเป็นหลักได้ ตอนวิ่งไล่ติดตามแก้ปริศนาทีละนิด วางไม่ลงเลย

ช่วงท้ายเรื่อง หลังจากคลายคดีปริศนาได้แล้วดันไม่ยอมจบแฮะ เรื่องกลับพลิกไปเป็นการทลายอาณาจักรธุรกิจของนักการเงิน ที่เป็นศัตรูของพระเอกซะ ซึ่งจะว่าไปก็สนุกแหละ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกไม่เข้ากับเนื้อเรื่องหลักเท่าไหร่ สรุปว่า นิยายเล่มนี้เป็นนิยายสืบสวน/ตื่นเต้นที่อ่านสนุก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า กระแสที่ชื่นชมเรื่องนี้มากๆ ชมกันเกินไปรึเปล่า เพราะทำให้เราตั้งความคาดหวังไว้ซะสูงเชียวว่า มันคงมีอะไรที่ดีเด่นแหวกแนวมาก กับความแปลกที่เราไม่คุ้นแบบสวีเดน อ่านจบแล้วเราพบว่า มันก็ไม่ต่างจากการอ่านนิยายอเมริกันเท่าไหร่หรอก

Update
หลังจากอ่านเล่ม 3 จบ ความคิดเราเปลี่ยนไปแล้ว ขอกลับคำที่บอกว่า ชมกันมากเกินไปรึเปล่า นิยายชุดนี้ยอดเยี่ยมและมีเสน่ห์เฉพาะตัวของตัวเองจริงๆ แต่ขอไม่แก้ข้อความเดิม เพราะจะได้จำความรู้สึกตอนอ่านจบเฉพาะเล่มแรกได้ เขียนบล็อกไว้เรื่อยๆ ก็ดีเหมือนกัน จะได้รู้ว่าความคิดเราเปลี่ยนไปยังไง

แวะชมเว็บไซต์ที่เราสร้างให้นิยายชุดนี้ที่ Millennium Trilogy Thailand Fan Club

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

My Lord and Spymaster - Joanna Bourne

คะแนน : 6

เล่ม 2 ในซีรีส์ เนื้อเรื่องเป็นเหตุการณ์หลังจากเล่มแรก The Spymaster's Lady ประมาณ 10 ปีมั้ง สังเกตจากที่เอเดรียนเป็นหนุ่มใหญ่เต็มตัว จนแทบจำไม่ได้ แต่นอกจากตัวละครบางคนแล้ว เนื้อเรื่องสองเล่มไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ประเด็นสายลับในเล่มนี้ก็ไม่ใช่เรื่องระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส

พ่อของเธอถูกกล่าวหาว่าส่งข่าวให้พวกของนโปเลียน เจสซี่ วิธบี้ ต้องการช่วยแก้มลทินให้พ่อและช่วยไม่ให้เขาถูกแขวนคอ เธอต้องพยายามหาคนร้ายตัวจริง และหนึ่งในผู้ที่เธอสงสัยก็คือ เซบาสเตียน เคนเน็ตต์ กัปตันเรือ ผู้ที่เป็นคนกล่าวหาพ่อของเธอนั่นเอง เจสซี่พยายามวางแผนล้วงกระเป๋าเซบาสเตียน แต่เกิดอุบัติเหตุทำให้เธอหมดสติไป เซบาสเตียนจึงพาเธอเข้ามาอยู่ในบ้านของเขา เขารู้สึกติดใจเธอ ก่อนที่จะรู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของคนทรยศในวันรุ่งขึ้น

เซบาสเตียนเป็นเพื่อนของเอเดรียน ซึ่งบัดนี้เติบโตก้าวหน้าในหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษแล้ว ส่วนเจสซี่ก็เคยเป็นสมุนของลาซารัส หัวหน้าอาชญากรตัวเอ้ และรู้จักกันดีกับเอเดรียน เรื่องราวส่วนใหญ่ก็เป็นการพยายามหาหลักฐานว่า ใครกันแน่เป็นคนขายชาติตัวจริง ซึ่งที่จริงง่ายมาก คนร้ายโผล่มาปุ๊บคนอ่านก็เดาได้ทันที การหาหลักฐานก็ไม่มีแผนการยิ่งใหญ่อะไร แค่แอบเข้าไปค้นห้องพัก ปีนหลังคา หาบันทึกเดินเรือ เพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องในส่วนของงานสายลับในเล่มนี้อ่อนมาก ไม่สนุกเลยสักนิดเดียว

เซบาสเตียนกับเจสซี่เป็นคู่พระนางที่ห่วยมาก เราไม่ชอบบุคลิกของทั้งคู่ และไม่รู้สึกว่าทั้งสองมีปฏิกิริยาเคมีที่เข้ากันได้ลงตัวเลย เจอหน้าก็เถียงกันไปซะครึ่งเล่ม เรื่องใครผิดใครถูกกันแน่ ที่จริงอ่านซีรีส์นี้มาสามเล่ม เรารู้สึกว่า พระเอกนางเอกรักกันง่ายไปทุกเล่ม เหมือนกับว่า ยังไม่ค่อยรู้จักกันดี ทั้งๆ ที่ยังไม่ไว้ใจกันเลย ก็บอกตัวเองว่ารักอีกฝ่ายซะแล้ว แต่เรื่อง SML กับ FR เอาตัวรอดจากปัญหานี้ไปได้ เพราะพระเอกนางเอกโอเค และเนื้อเรื่องยังพอจะสนุก แต่เล่มนี้ไม่มีข้อดีพวกนั้นมาช่วยกลบเกลื่อนความอ่อนด้านโรแมนซ์ไปได้เลย เซบาสเตียนไม่เคยทำดีกับเจสซี่ เจสซี่ไม่เคยทำดีกับเซบาสเตียน ไม่รู้ว่ารักกันเข้าไปได้ไง

ตัวละครหลายตัวไม่ค่อยอธิบายความเป็นมา เหมือนเล่าครึ่งไม่เล่าครึ่ง ปล่อยให้คนอ่านงง อย่างอาสะใภ้กับลูกพี่ลูกน้องของเซบาสเตียน บาทหลวงที่เจสซี่ไปหา เหมือนบรรยายบุคลิกแล้วดูน่าจะมีความสำคัญ แต่กลับไม่มีบทบาทอะไร เหมือนกับว่า คนแต่งคิดเรื่องราวตัวละครไว้ในหัวเยอะมาก แต่ปล่อยเรื่องให้คนอ่านรู้ได้ไม่ดี ถ้ามันไม่สำคัญกับเนื้อเรื่องเล่มนี้ก็ยังไม่น่าใส่มาให้คนอ่านเสียสมาธิ แม้แต่เอเดรียนตอนแรกก็ยังทำให้เรางงว่า เป็นคนเดียวกับเด็กในเล่มก่อนรึเปล่า เอเดรียนไม่เหลือเสน่ห์จากตอนเด็กเลย ลาซารัสที่กล่าวถึงบ่อยๆ ในสองเล่มที่อ่านไป เราได้เจอตัวจริงในเล่มนี้ แต่เราไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ของเจสซี่กับลาซารัส จนอ่านจบแล้วต้องไปอ่านในเว็บของผู้เขียนถึงจะรู้เรื่อง ซึ่งคนอ่านไม่ควรต้องทำขนาดนั้น

เนื้อเรื่องและบรรยากาศในเล่มนี้แสดงถึงโลกมืดเกินกว่ารสนิยมของเรา ฉากที่เจสซี่บุกเข้าไปหาลาซารัสที่รัง ความเลวร้ายต่างๆ ของลาซารัส โดยเฉพาะผู้หญิงที่ถูกจับตัวมา รบกวนจิตใจของเราอย่างรุนแรง และเราไม่ชอบเอามากๆ ที่เหมือนกับว่า ตัวเอกของเรื่องนับถือคนเลว เจอด้านมืดในเล่มนี้เข้าไป เราแทบไม่อยากอ่านเรื่องของเอเดรียนกับจัสตีนที่จะเป็นเรื่องในเล่ม 4 แล้วนะ ดูจากบุคลิกของเอเดรียนที่กลายเป็นตัวอันตรายเต็มที่ ไม่อยากนึกภาพเลยว่า สองคนนั้นต้องผ่านอะไรมาบ้างในชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

The Spymaster's Lady - Joanna Bourne

คะแนน : 8.5

The Spymaster's Lady เป็นเล่มแรกของซีรีส์ แต่เรื่องราวเกิดขึ้นหลัง The Forbidden Rose เล่ม 3 พอมาอ่านทีหลัง เลยเหมือนเล่มนี้เป็นภาค 2 เลย ใจหนึ่งก็ดีใจที่ชอบเล่มนี้มากกว่าเล่มนั้น แต่อีกใจก็เป็นห่วงว่า ถ้าเล่มแรกสนุกกว่าเล่มหลัง แปลว่า นักเขียนฝีมือตกรึเปล่าหวา?

โรเบิร์ต เกรย์ หัวหน้าหน่วยจารชนชาวอังกฤษ มาติดอยู่ในคุกเดียวกันกับ แอนนีค วิลลิเยร์ สายลับสาวชาวฝรั่งเศส จึงร่วมมือกันหนีออกมา แต่เพราะเกรย์คิดว่าแอนนีครู้ที่ซ่อนแผนการลับที่เป็นแผนบุกอังกฤษของนโปเลียน เขาจึงคุมตัวเธอเดินทางหนีการไล่ล่ากลับอังกฤษ

เราชอบแอนนีคตั้งแต่แรก เก่งรอบตัวมากสมเป็นสายลับหญิงเลื่องชื่อ ช่วยพระเอกหนีออกจากคุก พอถูกเกรย์หลอกจับ ก็เกือบหนีไปได้ตั้งหลายครั้ง และยิ่งตอนที่เนื้อเรื่องเปิดเผยความลับครั้งแรก เกี่ยวกับอาการผิดปกติของเธอ เราทึ่งมากๆ สภาพแบบนี้ยังเอาตัวรอดได้ ความนับถือนางเอกเพิ่มขึ้นหลายกิโล ส่วนเกรย์ก็เก่งค่ะ อาจจะไม่ชอบนิดหน่อยที่เขาหลอกแอนนีคหลายครั้ง แต่เมื่อคิดถึงอาชีพของตัวเอกแล้วก็ต้องยอมรับว่า มันต้องเป็นอย่างนี้

เล่มนี้เรื่องราวดำเนินเกี่ยวพันกับงานสายลับล้วนๆ ซึ่งสนุกน่าติดตาม การหลบหนีการตามล่า การต่อสู้แบบไม่เน้นกำลังแต่เน้นไหวพริบ รายละเอียดต่างๆ ในงานสายลับอ่านแล้วสนุกดี แต่เรื่องความเป็นโรแมนซ์ก็ไม่ด้อยเลย ความขัดแย้งในใจนางเอก ระหว่างความรักที่ไม่ตั้งใจให้เกิดแต่ก็รักไปแล้ว กับการเป็นคนทรยศต่อชาติ ต่อสหาย เป็นเรื่องที่ทำใจยากลำบากจริงๆ ตอนที่เธอบอกลาเกรย์ แล้วยกคำของเพลโตขึ้นมา แล้วบอกว่า เธอคิดว่าเกรย์เป็นอีกครึ่งหนึ่งของตัวเธอ แต่ถูกสลับบนสวรรค์ จนทำให้มันเป็นไปไม่ได้ อ่านแล้วประทับใจมากๆ

เรื่องราวตอนอยู่ในอังกฤษก็สนุก ความลับที่เกี่ยวกับสถานะของตัวแอนนีค อันที่จริงก็พอเดาเรื่องได้อยู่ จากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้แต่งปล่อยออกมา แต่พอถึงฉากเปิดเผยความจริง ก็ยังเป็นฉากที่เร้าอารมณ์มากๆ ส่วนฉากไคลแม็กซ์ที่เป็นการเผชิญหน้าสุดท้ายระหว่างสายลับต่างฝ่าย เพื่อคลี่คลายปมของเรื่อง ก็สนุกมาก ผู้แต่งหาทางออกได้อย่างลงตัว ทางเลือกของนางเอกที่ทำไปจะไม่ผิดต่อความรู้สึกตัวเอง และไม่ได้ยอมศิโรราบต่อฝ่ายพระเอกเฉยๆ ชะตาชีวิตนางเอกในอนาคตที่ดูเหมือนไม่น่ารอดจากการถูกตามล่า ก็คลี่คลายได้ด้วยดี ด้วยวิธีการที่พระเอกจัดการได้อย่างน่าชื่นชมมากๆ

ที่จริงก่อนหน้านี้เราขัดใจกับเกรย์หลายที อยากให้เขาตรงไปตรงมากับแอนนีคมากกว่านี้หน่อย เพราะแม้แต่หลังจากที่เป็นคนรักกันแล้ว เกรย์ก็ยังพยายามล่อหลอก/ไล่ต้อน/ควบคุมให้แอนนีคทำดังที่เขาต้องการเสมอ แต่ในตอนสุดท้ายนี่ เขายกระดับตัวเองในสายตาเราได้เยอะเลย เกรย์กับแอนนีคเป็นคู่ที่ perfect มาก สรุปว่าชอบเรื่องนี้มากๆ เลย

เล่มนี้ฮอว์คเกอร์หรือเอเดรียน โตเป็นเด็กหนุ่ม ไม่ค่อยแสบเท่าไหร่แล้ว เขาดีกับแอนนีคมาก แต่ยังปากเก่งตอนอยู่กับดอยล์+แม็กกี้ พอดีบทไม่ค่อยเยอะ ส่วนจัสตีนไม่กล่าวถึงเลย แต่ก็น่าจะเป็นสาวฝรั่งเศสคนที่ฝังลูกปืนในตัวเอเดรียนมั้ง

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Suddenly You - Lisa Kleypas

คะแนน : 7.5

Lisa Kleypas เป็นนักเขียนที่เราอยากจะชอบมากๆ งานของเธอก็ติดอยู่ในอันดับ Top 100 Romances เยอะ ครั้งหนึ่งเราเคยตั้งใจว่าจะอ่านให้ครบทั้ง 100 เล่ม แต่ยอมแพ้นานแล้ว เพราะเคยไล่อ่านตามลิสต์แล้วเจอเรื่องไม่ถูกใจเยอะ สำหรับงานของ LK เคยอ่าน 3 เรื่อง ก็ยังไม่โดนใจสักที เรื่อง Dreaming of You ที่เค้าชื่นชมกัน เราก็เฉยๆ เรื่องต่อมาที่อ่านก็ไม่ค่อยชอบ จำชื่อไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ หยุดไปนาน หันมาลอง Contemporary บ้าง คือ Smooth Talking Stranger ก็ยิ่งรู้สึกไม่เวิร์กเลย แต่ด้วยความที่เจอเสียงชื่นชม LK เยอะ เราก็เลยมีความรู้สึกอยากอ่านอีก เพราะกลัวว่าถ้าด่วนตัดใจไป อาจทำให้พลาดเรื่องดีๆ คราวนี้เลยลองอีกเรื่องบ้าง

Suddenly You เป็นเรื่องของนักเขียนนิยายสาวทึมทึก ที่ตั้งใจจะเสียความบริสุทธิ์ฉลองวันเกิดวัย 30 ปี ด้วยการจ้างโสเภณีชาย แต่ชายหนุ่มที่มาถึงประตูบ้านของเธอในคืนนั้น คือ เจ้าของสำนักพิมพ์ใหญ่ที่ถูกแกล้งให้มาแทน เรื่องตอนแรกน่าติดตามและสนุกดี ชอบฉากที่อแมนด้าไปที่สำนักงานของแจ็ค เจอหนังสือเต็มชั้นจรดเพดาน บรรยายได้เข้าใจอารมณ์คนรักหนังสือตอนที่เดินเข้าไปมากๆ เลย ได้ความรู้เรื่องธุรกิจสำนักพิมพ์สมัยนั้นด้วย แต่พอเข้ากลางๆ เรื่อง มันก็เริ่มอืดๆ ช่วงท้ายเรื่องค่อยมีดราม่าขึ้นมาอีกหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรให้เราประทับใจมากเท่าไหร่

ทั้งที่โดยรวมๆ เล่มนี้ก็ดี พระเอกนางเอกก็โอเค เนื้อเรื่องก็ใช้ได้ สไตล์การเขียนไม่มีที่ติ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมเราไม่ชอบมากกว่านี้ ยังไงก็ไม่โดนแฮะ คงต้องทำใจแล้วว่าไม่ใช่แนว มานั่งนึกอยู่ตั้งนานว่าทำไม อาจเป็นเพราะเรารู้สึกว่า พระเอกของ LK แต่ละคนดีเกินไปมั้ง คอยดูแลเอาใจใส่นางเอกตลอด ในขณะที่นางเอกต่างหากที่ไม่ค่อยเห็นจะทำอะไรเพื่อพระเอกเท่าไหร่ กลัวหัวใจตัวเองท่าเดียว เหมือนเรื่องของ LK มีไว้ตอบสนองความฝันของผู้หญิงธรรมดาๆ ที่อยากจะให้มีผู้ชายในฝันมาดูแลเอาใจ ยอมรับความเป็นเธอ มาต่อสู้เพื่อเธอ โดยที่เธอไม่ต้องลงทุนลงแรงทำอะไรเพื่อความสัมพันธ์นั้น ซึ่งหายากในชีวิตจริง

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Lady Isabella's Scandalous Marriage - Jennifer Ashley

คะแนน : 8

นี่เป็นเล่ม 2 ในชุด Highland Pleasures ที่มีพี่ชายน้องชายตระกูลแมคเคนซี่ 4 คนเป็นพระเอก อันที่จริงเราค่อนข้างเฉยๆ กับเล่ม 1 เรื่องของเอียน น้องสุดท้อง กับเบธ ใน The Madness of Lord Ian MacKenzie นะ ทั้งที่มีคนชมเยอะ ได้รางวัลด้วย แต่เนื่องจากในเล่มนั้นกล่าวถึงตัวละครสองคน คือ แมค พี่ชายคนที่ 3 กับอิซาเบลล่า ภรรยาที่แยกกันอยู่ของเขา มีฉากหนึ่งในเรื่องนั้น ที่อิซาเบลล่าให้เบธดูภาพเขียนที่แมควาดรูปเธอ มันทำให้เราสนใจตัวละครคู่นี้ และเมื่อเรื่องของทั้งคู่ออกมา ก็เลยเอามาอ่าน

อิซาเบลล่าเป็นเลดี้ ลูกสาวท่านเอิร์ล ในงานบอลล์เปิดตัวของเธอ ลอร์ดโรแลนด์ แมคเคนซี่ หรือที่ทุกคนเรียกว่าแมค บุกเข้าไปในงานโดยไม่ได้รับเชิญ ตามคำท้าของเพื่อน และกลับออกมาโดยมีอิซาเบลล่าติดตามมาด้วย ทั้งสองตกหลุมรักกันและได้แต่งงานกันในคืนนั้นเอง ช่วงเวลาที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันสามปี เป็นช่วงที่ทั้งสุขและทุกข์ แมคติดเหล้าและติดเพื่อน จนทำให้ทะเลาะกันบ่อย แล้วแมคก็จะจากบ้านไปทีละเป็นเดือน ไปวาดรูปที่ฝรั่งเศสหรืออิตาลี ตามแต่อารมณ์ศิลปินของเขาจะพาไป จนในที่สุดอิซาเบลล่าก็ทนไม่ไหวแยกบ้านไป ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันเลยสามปีครึ่ง ทำเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตน แต่แล้ววันหนึ่ง อิซาเบลล่าก็บุกไปหาแมคที่บ้าน เพื่อบอกข่าวว่า มีคนปลอมภาพเขียนของเขา และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เส้นทางของทั้งคู่มาบรรจบกันอีกครั้ง

เนื่องจากไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ช่วงแรกเริ่มต้นอ่านอย่างเนือยๆ เนื่องจากในเรื่องไม่ได้เล่าเหตุการณ์ช่วงที่ทั้งคู่แต่งงานกันแบบลงรายละเอียด แต่รู้จากคำสนทนาของตัวละครรวมกับข่าวซุบซิบในอดีตที่ตอนต้นของแต่ละบทเท่านั้น ทำให้เราไม่ค่อยรู้ลึกเรื่องราวความรักความเป็นมาของทั้งคู่เท่าไหร่ อ่านไปก็ขัดใจไปบ้างว่า ทำไมทั้งๆ ที่พระเอกและนางเอกต่างก็ยังดูรักกันมากอย่างเห็นได้ชัด ทำไมทั้งคู่ไม่รีบคืนดีกันไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว เรารู้ว่าอิซาเบลล่ายังรักแมคไม่เสื่อมคลายตั้งแต่เล่มที่แล้ว ในเล่มนี้เราก็เห็นชัดว่า แมคยังรักและโหยหาเธอแค่ไหน เขาเลิกเหล้า เลิกสำมะเลเทเมากับเพื่อน ทั้งคู่ไม่เคยนอกใจกันเลย ตอนที่แมคพยายามขอคืนดีแล้วอิซาเบลล่าแข็งขืนนี่อ่านไปเบื่อไป จะอะไรนักหนา แต่พอเนื้อเรื่องดำเนินไปจนถึงตอนที่ได้รับรู้สาเหตุที่เป็นชนวนให้อิซาเบลล่าตัดสินใจแยกทางไป เราพบว่า มันมีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ทั้งคู่แสดงพฤติกรรมแบบนั้น พอเข้าใจเหตุผลตัวละครปุ๊บ อารมณ์อินก็มาทันทีค่ะ อ่านสนุกขึ้นมากๆ

เรื่องนี้มีความแปลกจากเรื่องโรแมนซ์ทั่วไป ตรงที่แสดงให้เห็นได้ดีว่า แค่ความรักอย่างเดียวมันยังไม่พอจะประคองชีวิตคู่ อิซาเบลล่ากับแมคเป็นตัวละครที่เขียนได้ดีทั้งสองคน ตอนแต่งงานใหม่ๆ อิซาเบลล่ายังเด็ก ยังรับมือกับแมคไม่ได้ดี ในขณะที่แมค ถ้าไม่ได้บทเรียนอันเจ็บปวดแบบนี้บ้าง ก็คงไม่สำนึก และกลับตัวกลับใจ แต่ตอนนี้ทั้งคู่เติบโตขึ้น และพร้อมจะเข้าใจในตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้น

ในส่วนของการดำเนินความสัมพันธ์ของตัวเอก ชอบมาก แล้วอีกเรื่องคือ พล็อตเรื่องในส่วนของตัวปลอมของแมค ก็เขียนออกมาได้น่าติดตาม ปล่อยเงื่อนงำมาทีละนิด ทำให้อยากรู้ตลอด และลุ้นมากช่วงท้าย แต่เราเกลียดหน้าตัวละครตัวนี้มาก รู้สึกผลสุดท้ายของคนร้ายยังไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่ อยากให้โดนทรมานกว่านี้หน่อย (โหดไปมั้ยเรา) หรือติดคุกนานๆ อาจจะสาสมกว่านี้

สรุปว่า ชอบเรื่องนี้ สนุกดี ทำให้อยากติดตามผลงานของ Jennifer Ashley ขึ้นมาแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มหากาพย์ภูผามหานที ตอน วีรบุรุษผู้กล้า - เฟิ่งเกอ

คะแนน : 7

ภาคนี้มี 8 เล่ม เรื่องราวต่อเนื่องจากปฐมบทผู้กล้า ตัวเอกเป็นลูกชายของพระเอกนางเอกภาคที่แล้ว ชื่อเหลียงเซียว ไม่เล่าเรื่องย่อนะคะ มีคนเขียนเล่าไว้ในเน็ตเยอะแล้ว จะพูดถึงแต่ความคิดเรา

เล่ม 1 เหลียงเหวินจิ้งตายอนาถจริงๆ ด้วย ตายไม่ว่า แต่น่าจะยิ่งใหญ่กว่านี้หน่อย เหลียงเซียวตอนเป็นเด็กนี่เกรียนอย่างที่มีคนวิจารณ์จริงๆ เล่มต้นๆ นี่ยังโอเค ตอนเข้าวังความลับฟ้า มีเรื่องราวน่าติดตามใช้ได้ทีเดียว วิชาฝีมือที่ผสมคณิตศาสตร์กับกระบวนท่ารูปปั้นวีรบุรุษโบราณนี่แปลกใหม่ใช้ได้ แต่พอออกจากวังความลับฟ้า เรื่องราวก็เริ่มมั่วสะเปะสะปะ ตกลงจะแก้แค้นหรือจะทำอะไร เดี๋ยวก็ไปสู้กับยอดฝีมือคนโน้นคนนี้ เดี๋ยวก็ไปนำทัพมองโกล วิชาฝีมือก็สับสน ไอ้วิชาที่อุตส่าห์ฝึกก็กลับเปลี่ยนแนว เป็นลูกกลมหยินหยาง กระบี่ฝ่ามือกำลังภายในมั่วไปหมด ท่าเท้าทศทิศที่เป็นจุดเด่นอุตส่าห์คิดเองได้ก็ไม่เห็นจะใช้เท่าไหร่เลย

ช่วงเล่มกลางๆ ถ้าใช้สำนวนกำลังภายใน ต้องบอกว่าอ่านแล้วรู้สึกท้อแท้ผิดหวัง แทบเห็นว่าเฟิ่งเกอนี้มีเพียงกระบวนท่าลักจำ ปราศจากวิชาฝีมือที่แท้จริง ในภาคปฐมบทผู้กล้า เนื่องจากเล่มเดียวจบ จึงรวบรัดชัดเจนกว่า เป็นผลงานเล่มแรกของนักเขียนใหม่ จะดำเนินรอยตามปรมาจารย์กิมย้ง ก็ไม่ใช่เรื่องน่าตำหนิมากนัก เนื่องจากไม่ยาว ยังเห็นฝีมือผู้แต่งไม่นาน เห็นเปล่งประกายมีแวว คนอ่านก็ยินดี แต่ในวีรบุรุษผู้กล้า มีหลายส่วนลอกเลียนกิมย้งมากเกินไป เช่นการประลองดนตรีของสามยอดฝีมือ ฉากฉลามกัดกินพวกเดียวกันในทะเล คัดลอกมาชัดเจน รู้สึกว่าน่าละอายไปบ้าง เนื่องจากเป็นเรื่องยาวแล้ว ได้เห็นฝีมือเต็มที่ เปรียบเหมือนเฟิ่งเกอแสดงกระบวนท่าออกมามากหลาย แต่ไม่มีไม้ตายที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองที่แท้จริง ดูไปดูมามีแค่นี้เอง อ่านไปรู้สึกไร้รสชาติยิ่ง

เล่ม 7-8 เนื้อเรื่องสนุกขึ้น การพบกันอีกครั้งของสองแม่ลูก จนถึงบทสรุปของความแค้นนี่เขียนได้ประทับใจ เรื่องราวความรักของเหลียงเซียวกับหญิงสาวในเรื่อง ก็ดำเนินเรื่องได้ดี แม้ตัวเอกจะโลเลไปบ้าง แต่ไม่ใช่ผู้ชายน่ารังเกียจ อ่อนแอห่วยแตกแบบเตียบ่อกี้ในดาบมังกรหยก แต่แสดงภาพความรักสามเส้าที่ทุกฝ่ายน่าเห็นใจและไม่มีใครผิดได้ดี

แต่ในข้อดีที่มี ก็ไม่อาจกลบจุดอ่อนที่เห็นชัดได้ เนื้อเรื่องไม่มีพล็อตหลัก แค่ติดตามการผจญภัยของเหลียงเซียวตั้งแต่เป็นเด็กสิบขวบ จนถึงอายุ 30 ปี เรื่องราวสับสนไม่ปะติดปะต่อ เดี๋ยวอยู่ในจงหยวน เดี๋ยวลงทะเล เดี๋ยวเดินทางข้ามทะเลทราย ตัวละครในเรื่องไม่มีใครโดดเด่น แค่มีบุคลิกสุดโต่งเลียนแบบตัวละครจากเรื่องดังๆ ยุคเก่า ฉากสงครามการรบเลียนแบบเรื่องของหวงอี้ แต่ไม่อลังการเท่า ฉากสุดท้ายเรื่องปริศนาชะตากรรมของตัวเอก เหมือนจะดีเขียนให้ตีความ แต่จริงๆ ห่วย มีคนใช้มุกนี้ไม่รู้กี่เรื่องแล้ว

ที่เห็นแปลกหน่อย มีเพียงมุมมองที่มีต่อสงครามและการต่อสู้แก่งแย่งในเรื่อง เฟิ่งเกอเป็นนักเขียนยุคใหม่ ความคิดก็เลยออกแนวโลกาภิวัตน์หน่อย มองโกลไม่ใช่เพียงคนเลวผู้รุกราน ต่างจากความคิดกู้ชาติในเรื่องมังกรหยก ที่อาจจะดูคร่ำครึไปบ้างในสายตาคนปัจจุบัน

สรุปว่า อ่านได้เอาสนุก แต่ยังไม่สามารถจัดเข้าทำเนียบยอดนิยายกำลังภายใน หวังว่า ภาค 3 จะดีกว่านี้ แต่รอเวลาก่อนดีกว่า ยังไม่รีบอ่าน จะได้ไม่ติดอคติไปมากนัก

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Whisper of Sin & Stroke of Enticement - Nalini Singh

Whisper of Sin (Psy/Changeling)
คะแนน : 7


นี่เป็นนิยายสั้นที่รวมอยู่ในเล่ม Burning Up เป็นเรื่องราวก่อนหน้า เล่ม 1 Slave to Sensation พระเอกนางเอกคือ เอมเม็ตต์ เชนจลิงก์ฝูงเสือดาวดาร์คริเวอร์ กับ รีอา เวมบลีย์ หญิงสาวมนุษย์ ที่ทำงานเป็นผู้ช่วยของลูคัสในบริษัท รีอาเคยปรากฏตัวในหลายเล่ม แต่ตอนที่เด่นๆ หน่อยก็ในเล่ม Mine to Possess (เล่ม 4) ที่คุยกับทาลิน ที่ให้คำแนะนำเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์กับเชนจลิงก์ จำเรื่องกรี๊ดจนแก้วหูแตกได้มั้ย ^_^ เราได้รู้เหตุการณ์นั้นในเรื่องนี้ล่ะ

ก่อนหน้าที่ดาร์คริเวอร์จะปักหลักในซานฟรานซิสโกอย่างมั่นคง มีแก๊งมาเฟียพยายามเข้ามาเรียกค่าคุ้มครองในพื้นที่ย่านไชน่าทาวน์ รีอาถูกลอบทำร้ายในตรอก ดีที่ทหารลาดตระเวน เอมเม็ตต์และดอเรียน ช่วยเหลือทัน เอมเม็ตต์รับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้รีอา เพราะเป็นเรื่องสั้นมันก็ไม่ค่อยมีเนื้อเรื่องมาก การพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวเอกก็ต้องไปเร็วหน่อย แต่ครอบครัวนางเอกน่ารักดี ยายเป็นคนจีน พ่อแม่ก็หวงลูกสาว มีปนแอกชั่นในการจัดการพวกแก๊งบ้าง ก็ถือเป็นเรื่องที่อ่านได้โอเค ได้รู้เรื่องราวประกอบในซีรีส์เพิ่ม

Stroke of Enticement (Psy/Changeling)
คะแนน : 7


นิยายสั้นโนเวลล่าเล่มนี้ อยู่ในรวมเล่มชื่อ The Magical Christmas Cat เรื่องของ แซค ทหารดาร์คริเวอร์ กับ แองเจลิน่า หญิงสาวมนุษย์ที่เป็นครูโรงเรียนประถม วันหนึ่งหลานชายของแซคถูกทำโทษ เรียกผู้ปกครองมาพบ แซคจึงได้เจอกับแอนนี่ แอนนี่มีปํญหาเรื่องครอบครัวนิดหน่อย แม่เจ้ากี้เจ้าการเพราะเป็นห่วง นับแต่ที่เธอเคยประสบอุบัติเหตุตอนเป็นเด็ก ส่วนพ่อก็ไม่ค่อยใส่ใจครอบครัว ทำให้แอนนี่กลัวความเจ็บปวด กลัวคนที่ตัวเองรักจะจืดจางไปในที่สุด เล่มนี้ไม่ค่อยมีแอกชั่น เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกล้วนๆ ก็โอเคค่ะ อ่านเพลินดี แต่เป็นเรื่องสั้นมันก็ทำอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว แต่เดาว่า เด็กผู้ชายที่ช่วยชีวิตแอนนี่ตอนเด็กน่าจะเป็นคาเล็บรึเปล่า

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Stardust of Yesterday - Lynn Kurland

คะแนน : 7.5

สัปดาห์นี้ที่จริงก็ดูเหมือนจะว่าง แต่เอาเวลาไปทำอย่างอื่นซะเยอะ ดูหนัง เล่นเกม ท่องเน็ต เลยไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเท่าไหร่

เล่มนี้เป็นนิยายเก่า งานเขียนเล่มแรกของ Lynn Kurland จู่ๆ ที่หยิบเล่มนี้มาอ่าน เพราะเคยอ่านนิยายแฟนตาซี (ปนโรแมนติกนิดหน่อย) ชุดไตรภาค Nine Kingdoms ของเธอ แล้วชอบมากพอควร นึกว่าจบสมบูรณ์ไปแล้ว แต่เห็นมีเล่ม 4 เพิ่งออก โดยมีพระเอกนางเอกคู่ใหม่ แต่ยังไม่อ่าน เพราะอยากรอให้ครบภาคก่อน ก็เลยลองย้อนไปเลือกงานเก่าของเธอมาอ่านบ้าง

Stardust of Yesterday เคยมีแปลเป็นไทยด้วย ชื่อเรื่อง "เงาฝันวันวาน" เล่มนี้เป็นโรแมนซ์ ไม่ใช่แฟนตาซี อ้อ แต่นิยายของ Lynn Kurland เค้าเรียกกันว่าเป็นเรต PG ไม่มีบทรักโจ่งแจ้งนะคะ มีพารานอร์มอลปนนิดหน่อย เพราะว่า พระเอกของเราเป็นผี

เจเนวีฟ บูคาแนน เป็นหญิงสาวชาวอเมริกันเจ้าของธุรกิจบูรณะเคหสถาน จู่ๆ เธอก็ได้รับการติดต่อกับทนายความแจ้งว่า เธอได้รับมรดกเป็นปราสาทในอังกฤษ แต่มีข้อแม้ว่า เธอต้องย้ายเข้าไปอยู่ในปราสาท เจเนวีฟปฏิเสธเพราะไม่อยากทิ้งธุรกิจของเธอไป แต่แล้ว โดยไม่ทราบสาเหตุ ลูกค้าทุกรายยกเลิกจ้าง ลูกน้องทุกคนขอลาออก หญิงสาวสิ้นหนทาง เมื่อทนายติดต่อมาอีกครั้ง เธอก็กระโดดเข้ารับข้อเสนอทันที เพียงย้ายเข้ามาอยู่ในปราสาทคืนแรก เธอก็ต้องพบกับ ผ..ผ..ผี อัศวินหนุ่มรูปหล่อ นาม เคนดริก เดอ เพียเกต์ เขาถูกทรยศโดยคู่หมั้นสาวเมื่อ 700 ปีก่อน ถูกฆ่าและสาปไม่ให้ไปผุดไปเกิด ต้องสิงสู่อยู่ในปราสาทมาตลอด เจเนวีฟเป็นสายเลือดคนสุดท้ายของศัตรูที่ฆ่าเขา เคนดริกตั้งใจจะแก้แค้น และเพื่อปลดปล่อยวิญญาณตัวเอง ด้วยการหลอกหลอนให้หญิงสาวเสียสติ หรือถ้าดื้อด้าน เขาก็พร้อมจะทำทุกวิถีทางแม้แต่การฆ่า

พระเอกเรื่องนี้น่ารักมากค่ะ ไอ้ที่ตั้งใจจะแก้แค้น ไม่ทันไรก็เปลี่ยนมาจีบนางเอกซะแล้ว คู่นี้หวานกันสุดๆ ฉากกุ๊กกิ๊กน่ารักเยอะมาก ยิ่งตอนที่พระเอกต้องพยายามเอาชนะใจนางเอกด้วยวิธีการต่างๆ นานา ให้หายกลัวการเข้าหอ น่ารักสุดๆ อัศวินในฝันจริงๆ แต่พออ่านถึงตอนหลังๆ แล้วรู้สึกมันไม่ค่อยมีเนื้อเรื่องอะไรเท่าไหร่ หนังสือยาวเหมือนกัน แต่อุปสรรคไม่ค่อยมี วิธีถอนคำสาปก็ง่าย นานๆ ฝ่ายศัตรูจะโผล่มาป่วนสักที แล้วตัวร้ายก็ไม่ค่อยมีน้ำยาเท่าไหร่ ถ้าเปรียบเป็นอาหาร หนังสือเล่มนี้ก็เหมือนเนื้อน้อย น้ำเยอะ แต่ถ้าคนที่ชอบรสชาติน้ำแบบนี้ ซดได้เต็มที่ มันก็จะอร่อย กลายเป็นเรื่องที่น่าชอบสุดๆ ไปเลยนะ แต่พอดีเราอยากอ่านอะไรที่มีเนื้อเรื่องเยอะกว่านี้หน่อย เหมือนกินของอร่อยแต่ไม่อิ่ม ก็เลยยังไม่ประทับใจเล่มนี้มากนัก

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มหากาพย์ภูผามหานที ตอน ปฐมบทผู้กล้า - เฟิ่งเกอ

คะแนน : 8

นิยายจีนเรื่องสุดท้ายที่อ่านไปคือ "จอมคนแผ่นดินเดือด" ของหวงอี้ ซึ่งก็สนุกนะแต่ไม่ปลื้มมากเท่าไหร่ พอถึง "ศึกรักแดนสนธยา" กับ "ผู้พิชิตดาราจักร" เห็นพล็อตเรื่องแปลกๆ ก็เลยขี้เกียจอ่าน ตอนนี้เห็นนิยายชุดใหม่ของนักเขียนใหม่ชื่อเพราะดี มหากาพย์ภูผามหานที เห็นเขาว่า สไตล์การเขียนคล้ายกิมย้ง ก็เลยสนใจ ลองหน่อยซิ

พออ่านแล้วก็รู้สึกว่า เหมือนกิมย้งจริงๆ ด้วย ฉากของเรื่องอยู่ในยุคสมัยซ้องใต้ ชาวฮั่นเผชิญกับการรุกรานของมองโกล พระเอกชื่อเหลียงเหวินจิ้ง โง่งมงายเหมือนต้วนอวี้ในแปดเทพอสูรมังกรฟ้าเลย พระเอกหน้าตาเหมือนไหวอันอ๋อง โอรสองค์รองของฮ่องเต้ พอดีท่านอ๋องตัวจริงถูกลอบสังหาร จับพลัดจับผลูต้องสวมรอยแทน บังเอิญได้รับถ่ายทอดวิชาจากยอดฝีมือ ฝึกวิชาท่าเท้าสามสาม ศัตรูช่วยฝึกกำลังภายในให้อีก นางเอกเป็นสาวแสบชาวมองโกลลูกศิษย์มาร ตอนหลังพระเอกต้องนำทัพรักษาเมืองต้านมองโกล

สนุกดี วิชาในเรื่องก็แปลกดีใช้ได้ นี่เป็นนิยายเล่มเดียวจบ เนื้อเรื่องก็ไปเร็วหน่อย แต่ใส่เรื่องราวทั้งรักทั้งบู๊มาได้กำลังดีนะ ถึงจะไม่แปลกใหม่ เรื่องดำเนินตามสูตรนิยายกำลังภายใน แต่สนุกอ่ะ นิยายชุดนี้มีอีก 2 ภาคใหญ่ ภาคต่อไป วีรบุรุษผู้กล้าก็ 8 เล่มแล้ว หุหุ ดีใจ มีกองหนังสือตั้งใหญ่ที่อยากอ่านแล้ว แต่ต้องรอวันหยุดเสาร์อาทิตย์หน้าก่อน จะได้อ่านรวดเดียวไม่ต้องเบรก สัปดาห์นี้ก็มีความสุขกับการรอคอยไปก่อน