วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

The Forbidden Rose - Joanna Bourne

คะแนน : 7.5


นี่เป็นเล่มสามในชุดสายลับ Spymaster ซึ่งไม่เคยอ่านหรอก แต่เห็นเล่มที่เพิ่งออกนี้ได้รีวิวดี ก็เลยลองซะหน่อย

ในฝรั่งเศสหลังการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์เป็นยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย มาเกอริต เดอ เฟรอริยัค ลูกสาวมาร์ควิส เป็นผู้นำขบวนการลักลอบช่วยเหลือผู้ลี้ภัยหนีไปอังกฤษ วิลเลียม ดอยล์ สายลับชาวอังกฤษถูกส่งตัวไปสืบหาตัวพ่อของหญิงสาว มาเกอริตโกหกว่าเธอชื่อแม็กกี้เป็นสาวสก็อต ในขณะที่ดอยล์ก็แนะนำตัวเป็นพ่อค้าเร่ชาวฝรั่งเศส ในชื่อ กิโยม เลอเบรตอง ทั้งสองเดินทางมุ่งสู่ปารีส สถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายรอทั้งสองอยู่

นี่เป็นนิยายสายลับซะมากกว่าโรแมนซ์นะ พระเอกรู้ตัวตนนางเอกตั้งแต่แรก นางเอกก็สงสัยพระเอกอยู่แล้ว รักกันง่าย รักกันเร็ว โฟกัสของเนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะไปเกี่ยวพันกับขบวนการของนางเอก กับงานตำรวจลับของพระเอก การปลอมตัว การสะกดรอยเป้าหมาย การหาเอกสารลับ เนื้อเรื่องก็โอเค แต่ยังไม่ได้ชอบมากนัก แต่พอถึงตอนวางแผนช่วยพระเอกออกจากคุกนี่สนุกดี

กลุ่มตัวละครในเรื่องนี่ใช้ได้เลย พระเอกนางเอกนี่ฉลาดและเก่ง ยกเว้นที่พระเอกพลาดท่าถูกจับง่ายไปหน่อย และเราชอบฮอว์คเกอร์ (เอเดรียน) เด็กลูกน้องของพระเอกมากๆ เด็กอะไรแสบจริงๆ กับอีกคน จัสตีน สายลับสาวน้อยก็เยี่ยมมาก อยากอ่านตอนสองคนนี้โตอ่ะ เดี๋ยวจะลองอ่านย้อนสองเล่มแรกดูว่ามีบทสองคนนี้รึเปล่า

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

The Kite Runner - Khaled Hosseini

คะแนน : 8


ช่วงนี้ไม่มีหนังสือออกใหม่ที่อยากอ่านเลยจริงๆ ก็เลยถือโอกาสเคลียร์เรื่องที่ค้างอยู่ในโหลหมักดองซะบ้าง เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ตอนที่ภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือเล่มนี้ฉาย พี่สาวเราอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วบอกว่าดี ให้เราอ่านสิ พี่เราจบอักษร จะค่อนข้างหัวสูงเรื่องการอ่านกว่าเราหน่อย ตอนนั้นก็อือออไปอย่างนั้น เพราะเราระแวงคำว่าดี ถ้ามีคนบอกว่าสนุกสิ จะไม่ค่อยลังเล หนังสือดี หนังชิงรางวัลนี่ โอกาสที่จะสร้างความปั่นป่วนในอารมณ์ความรู้สึกตอนอ่านมีสูง ถ้าเรื่องหนัก บางทีมันติดคาในใจอยู่หลายวันเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ไม่เท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้อยากอ่านเพื่อพักสมองมากกว่า ก็เลยปล่อยเล่มนี้ไว้หลายปีเลย

ประเด็นหลักของ The Kite Runner อยู่ที่เรื่องราวของการจัดการกับความรู้สึกผิด และการไถ่บาปของตัวเอก โดยมีความล่มสลายของประเทศอัฟกานิสถานเป็นฉากหลัง อาเมียร์ เด็กชายลูกชนชั้นสูงที่อาศัยอยู่ในเมืองคาบูลในยุคที่ยังสงบสุข เขาเติบโตมาด้วยกันกับ ฮัสซัน ลูกชายของคนรับใช้ ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นรักใคร่กัน แม้จะต่างฐานะต่างเผ่าพันธุ์ แต่แล้ววันหนึ่ง ในเทศกาลเล่นว่าวซึ่งเป็นงานใหญ่ของชาวอัฟกัน ก็เกิดเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของอาเมียร์ไปตลอด ความสัมพันธ์ของอาเมียร์และฮัสซันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ฮัสซันกับพ่อออกจากบ้านไป หลังจากนั้นไม่นาน โซเวียตก็บุกอัฟกานิสถาน อาเมียร์กับพ่อลี้ภัยไปอยู่สหรัฐอเมริกา เป็นเวลายี่สิบปีที่เขาใช้ชีวิต ทำงาน และแต่งงาน ในดินแดนเสรีภาพ ห่างไกลจากบ้านเกิดที่ถูกแผดเผาด้วยไฟสงครามและการสู้รบ สงครามกลางเมืองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อย แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อเพื่อนเก่าของพ่อคนหนึ่ง โทรศัพท์มา ขอให้เขาเดินทางมาพบ ความทรงจำในอดีตของเขาก็ท่วมท้นกลับมา

อย่างที่คิด แค่อ่านไปถึง 1/4 ของเล่ม ฉากการทรยศของอาเมียร์ ก็ทำเอาเราต่อมน้ำตาแตก กับความกดดันในเรื่อง ดีน่ะดีนะ แต่เปลืองกระดาษทิสชู่ ที่จริงเราไม่ขี้แย ไม่เคยร้องไห้เพื่อตัวเองเป็นสิบๆ ปีแล้ว แต่เราแพ้เรื่องแบบนี้อ่ะ (แต่พวกพระเอกนางเอกตายเรากลับไม่เป็นไร โกโบริตายก็ไม่ร้อง แจ็คน้ำแข็งเกาะไปก็เฉยๆ) พอพ้นจุดนั้นไปได้ ถึงแม้จะมีเรื่องเศร้าบ้าง แต่ไม่กดดันมากเท่าไหร่แล้ว ช่วงที่สองที่เป็นเนื้อเรื่องในสหรัฐอเมริกา ออกจะอืดๆ หน่อย พระเอกจมอยู่กับความรู้สึกผิดเป็นหลัก จุดพลิกของเรื่องเพื่อเข้าสู่ช่วงที่สาม ความลับที่เพื่อนของพ่อเปิดเผย ทำเอาเราคาดไม่ถึงเหมือนกันนะ ทั้งที่ในเรื่องก็มีสัญญาณบอกอยู่แล้วล่ะ แต่อ่านไปเรื่อยๆ ไม่วาง ก็เลยไม่ทันหยุดคิดว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น

ช่วงที่สามเป็นเรื่องราวการเดินทางกลับมายังอัฟกานิสถาน สภาพความทุกข์ยากของชีวิตที่อยู่ในประเทศที่เหมือนต้องสาป ความโหดร้ายของตาลีบัน แสดงให้เห็นแจ่มชัด บางฉากนี่แทบจะต้องนิ่วหน้ากับความทารุณที่คนเหล่านั้นต้องพบ จากแต่ก่อนที่เรารู้จักอัฟกานิสถานจากแค่ในข่าว และไม่ยี่หระอะไรเพราะไกลตัว แต่อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกถึงคนที่มีชีวิตเลือดเนื้อที่อยู่ในข่าวพวกนั้น ผู้แต่ง Khaled Hosseini เป็นชาวอัฟกันที่ลี้ภัยมาอยู่อเมริกา ทำงานเป็นหมอ มุมมองที่เขามีต่อประเทศบ้านเกิดที่แสดงผ่านในเรื่อง ปนกันระหว่างความหดหู่อาลัย แต่ก็เจ็บใจเย้ยหยันประเทศตัวเองไปด้วย

หนังสือเขียนได้น่าติดตาม ทำให้อยากรู้เนื้อเรื่องต่อไปได้ตลอด ผู้แต่งเล่าเรื่องแบบ irony ได้ดีมาก โดยเฉพาะตอนที่ คนขับรถถามว่า ทำไมคุณถึงยอมทำขนาดนี้ เขาเป็นชาวชีอะห์นะ โอ้ ปรบมือให้เลย ก็นี่ล่ะนะ มันถึงรบกันไม่จบไม่สิ้น สไตล์และสำนวนการใช้คำดีมาก ตัวละครก็ ตามประสาหนังสือดี เป็นมนุษย์ธรรมดา มีข้อดีข้อเสีย อาเมียร์ทำผิดพลาดหลายเรื่อง จนถึงตอนท้ายก็ยังสะเพร่าอย่างไม่น่าเชื่อ พูดอะไรไม่นึกถึงใจคน จนสร้างความเสียหายร้ายแรงอย่างที่ไม่ควรเกิด แต่ก็อย่างที่ในเรื่องว่า เราเป็นใครดีแค่ไหน ไม่เคยผิดพลาดหรือไง ถือดียังไงที่จะไปตัดสินคนอื่น อ่านเรื่องแบบนี้แล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องหยุดคิด ย้อนกลับมานึกถึงตัวตนของตนเอง ความคิดในใจ สถานการณ์บ้านเมืองเปรียบเทียบ ฯลฯ สรุปว่านี่เป็นหนังสือที่ดี อ่านแล้วได้คิด แต่ก็ถือว่ายังไม่หนักมากเกินไป และอ่านสนุกดี ฉบับแปลไทยของเรื่องนี้ชื่อว่า "เด็กเก็บว่าว" ฟังแปลกๆ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่มันก็ตรงแล้วจริงๆ

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Enchanted Time - Amy Elizabeth Saunders

คะแนน : 7


อ่านเรื่องย้อนเวลาจาก Time of the Rose คราวที่แล้วยังไม่จุใจ เห็นลิงก์เรื่องนั้นมาที่เรื่องนี้ ได้คะแนนรีวิวดี ก็เลยลองเอามาอ่านดู

ไอวี่ เป็นเจ้าของร้านวัตถุโบราณในเมืองซีแอตเติล วันหนึ่งมีหญิงชราประหลาดคนหนึ่งเข้ามาในร้าน แล้วเสนอขายหนังสือโบราณให้เล่มหนึ่ง ไอวี่ตกลงซื้อทันที หนังสือเล่มนั้นเป็นตำราพื้นบ้าน จำพวกสูตรยาสมุนไพร แต่ในนั้นมีบทกลอนบทหนึ่งพูดถึงการตามหาคนรักแม้ข้ามวันเวลา เมื่อไอวี่ลองร่ายมนต์ มันก็นำเธอมาสู่ประเทศอังกฤษในยุคสมัยของโอลิเวอร์ ครอมเวล ช่วงเวลา 11 ปีที่อังกฤษไม่มีกษัตริย์ปกครอง และได้พบกับจูเลียน แรมสเดน อดีตขุนนางที่จงรักภักดีกับบัลลังก์ ปัจจุบันจึงตกยากถูกริบยศฐาบรรดาศักดิ์ทั้งหมด

จูเลียนพาไอวี่กลับมาพักที่คฤหาสน์ซอมซ่อของเขา ที่นั่น ไอวี่ได้พบกับย่าและน้องสาวของจูเลียน ที่รู้ความลับเรื่องมนต์คาถา และได้เห็นหนังสือต้นเหตุเล่มนั้นอยู่กับย่า จูเลียนนำหนังสือไปซ่อน ไอวี่จึงต้องติดอยู่ที่ยุคนี้ หญิงสาวต้องพยายามหาวิธีกลับบ้าน แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่า มันเป็นเรื่องยาก ที่จะตัดใจจากหนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้กักตัวเธอไว้ที่นี่ ในขณะที่หญิงสาวเริ่มผูกพันกับครอบครัวนี้มากขึ้นเรื่อยๆ อันตรายจากการล่าแม่มดก็เข้ามารุมเร้าพวกเขาทั้งหมด

นี่เป็นเรื่องเบาๆ กลุ่มตัวละครในบ้านแรมสเดนค่อนข้างน่ารัก บ๊องนิดๆ และไม่ค่อยสำนึกถึงอันตรายเท่าไหร่ อ่านแบบเบาสมองมาก ผิดกับพล็อตเรื่องที่ดูน่าจะเคร่งเครียดกับการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ลำบากมากกว่านี้ สรุปว่าก็พออ่านได้ค่ะ แต่เฉยๆ ไม่ประทับใจเท่าไหร่

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Hot Shot - Susan Elizabeth Phillips

คะแนน : 7


ยังอยู่ในอารมณ์ขุดกรุอ่านหนังสือเก่านะคะ หยิบเรื่องที่ยังไม่อ่านของ Susan Elizabeth Phillips ซึ่งเป็นนักเขียนคนโปรดคนหนึ่งของเรามา เรื่อง Hot Shot นี้เป็นนิยายเก่าของ SEP พิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 1991 เกือบ 20 ปีแล้ว ซึ่งงานยุคต้นๆ ของ SEP จะไม่ใช่นิยายโรแมนซ์แท้ๆ ไม่เหมือนเรื่องแบบที่เราคุ้นเคยกับสไตล์ของเธอ นับตั้งแต่ It Had To Be You เล่มแรกของชุดชิคาโก้สตาร์เป็นต้นมา เราก็ไม่ค่อยชอบงานเก่าอย่าง Glitter Baby, Fancy Pants, Honey Moon มากเท่าไหร่ แต่นี่คือ SEP ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่พออ่านได้ ช่วงที่ไม่ค่อยมีอะไรน่าอ่าน ก็ว่าจะค่อยๆ ไล่เก็บเรื่องของเธอให้ครบ ตอนนี้เหลือ Just Imagine อีกแค่เรื่องเดียวแล้ว

ในยุคสมัยที่โลกยังรู้จักแต่เครื่องเมนเฟรม และมินิคอมพิวเตอร์ขนาดเท่าตู้เย็น Hot Shot เป็นเรื่องของซูซานน่าห์ ฟอลคอนเนอร์ ลูกสาวมหาเศรษฐีผู้ภายนอกดูเพียบพร้อม แต่ในใจโหยหาสิ่งที่จะมาเป็นความหมายของชีวิต เธอกำลังจะแต่งงานกับหนุ่มนักบริหาร รองประธานบริษัทเทคโนโลยีของพ่อเลี้ยงเธอเอง แต่แล้ว แซม แกมเบิล ก็ก้าวเข้ามา และปลุกเร้าความกล้าที่จะท้าทายชีวิตให้เธอ ซูซานน่าห์กระโดดซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ฮาเล่ย์เดวิดสันของแซม หนีออกจากพิธีแต่งงานของเธอเอง เพื่อไปใช้ชีวิตตามความฝันที่แซมมองเห็น เทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงโลก จากเครื่องต้นแบบไมโครคอมพิวเตอร์ที่ แยงค์ แยนโคว์สกี้ วิศวกรอัจฉริยะคู่หูของเขาสร้างขึ้นมา

ซูซานน่าห์ แซม แยงค์ ร่วมกันเป็นหุ้นส่วนก่อตั้งบริษัท SysVal จากโรงรถ และดิ้นรนเลี้ยงธุรกิจให้รอดอย่างลุ่มๆ ดอนๆ จนได้มิทเชล เบลน นักการตลาดดาวรุ่งพุ่งแรงที่กำลังประสบปัญหาวิกฤติในชีวิต เข้ามาเป็นหุ้นส่วนคนที่ 4 แล้วพวกเขาก็เริ่มสร้างอาณาจักรธุรกิจแห่งยุคสมัยใหม่ ที่น่าตื่นเต้นขึ้น

อ่านเล่มนี้แล้ว เหมือนอ่านประวัติบริษัทคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ เลย SEP สอดแทรกตัวละครและเรื่องราวสมมุติของเธอ เข้าไปกับเหตุการณ์จริง บริษัท บุคคล ในชีวิตจริงได้อย่างกลมกลืน ตอนที่อ่านฉากที่ สตีฟ จ็อบส์ มองบูธของซูซานน่าห์ ในงานแสดงสินค้า นี่เราอมยิ้มเลยนะ เพราะมันเหมือนเรื่องที่เราอ่านในหนังสือ iCon สตีฟ จ็อบส์ เลย เราว่า SEP ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของบริษัทแอปเปิลเยอะ แล้วแซมนี่คล้าย สตีฟ จ็อบส์ มากเลย คือเป็นผู้ชายที่น่าทึ่ง มีวิสัยทัศน์ (ช่างฝัน) มีพรสวรรค์ในการพูดโน้มน้าว (ขี้โม้) แต่ในบางด้านก็เป็นผู้ชายงี่เง่าคนหนึ่ง

(นอกเรื่องนิดหนึ่งนะคะ ชีวิต สตีฟ จ็อบส์ อ่านสนุกนะ สีสันเยอะ เป็นเด็กที่พ่อแม่รับมาเลี้ยง รูปหล่อ หัวดี ดิ้นรนตอนเรียนมหาวิทยาลัย ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม เคยเป็นฮิปปี้ ไปเดินธุดงค์ที่อินเดีย แต่ก็สร้างบริษัทแอปเปิลจนเป็นตำนานมหัศจรรย์แห่งยุค ทั้งที่เรียนไม่จบ แล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน ทำผู้หญิงท้องก็ไม่รับ ดำเนินธุรกิจพลาดจนถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้าง แล้วก็ไปสร้างสตูดิโอพิกซาร์ ตามหาพ่อแม่แท้ๆ เจอ แต่งงานมีครอบครัว แล้วก็กลับมาสร้างความสำเร็จให้แอปเปิลได้อีกที คืนดีกับลูกสาวที่ตัวเองทิ้ง ต่อสู้กับโรคมะเร็ง ฯลฯ)

อย่างที่บอกว่านี่ไม่ใช่โรแมนซ์แท้ๆ ที่เน้นเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพระเอก-นางเอก แต่นี่เป็นเรื่องราวชีวิตของนางเอกมากกว่า เพราะฉะนั้น นางเอกมีความรักกับผู้ชายมากกว่าหนึ่งคน เนื้อเรื่องก็จะหนักกว่า ยาวกว่า ซูซานน่าห์เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจนะคะ เข้มแข็งและกล้าหาญดี ชีวิตช่วงแรกมีปม เพราะต้องพยายามทำตัวสมบูรณ์แบบเพื่อให้พ่อรัก (นางเอกของ SEP มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับพ่อเกือบทุกเรื่อง ฮ่าฮ่า สงสัยจะเป็นตามทฤษฎีที่นักจิตวิทยาบอกว่า ถ้าเด็กผู้หญิงมีปัญหากับพ่อ ตอนโตก็จะมีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคนรักหรือสามีด้วย) เราชอบซูซานน่าห์ และก็ชอบเพจ น้องสาวของเธอด้วย ส่วนผู้ชายในเรื่อง จะพูดว่าไงดีไม่ให้สปอยล์มากเกินไป เอาเป็นว่า สุดท้ายนางเอกตัดสินใจได้ดีและถูกต้องมาก หนังสือก็อ่านสนุกดี แต่ก็ไม่ได้ชอบมาก เพราะมันไม่ใช่โรแมนซ์เต็มๆ แถมไม่ค่อยมีบทขำๆ ตลก น่ารัก แบบเรื่องใหม่ๆ ของ SEP แบบที่เราชอบด้วย แต่ก็ไม่เสียหลายที่ได้อ่านนะ

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Disclosure - Michael Crichton

คะแนน : 8


คงเหมือนใครหลายคน เรารู้จักชื่อ Michael Crichton จากเรื่อง Jurassic Park (คะแนน 9.5) เริ่มต้นจากดูหนัง แล้วก็มาอ่านนิยาย ไม่น่าเชื่อที่ต้องบอกว่า หนังแอกชั่นไดโนเสาร์ที่ดูมันส์มากๆ แล้ว อ่านหนังสือลุ้นสนุกกว่าดูหนังซะอีก โดยเฉพาะฉากหนีทีเร็กซ์ที่น้ำตกที่ไม่มีในภาพยนตร์ ตอนอ่านยังแปลกใจเลยว่า ขนาดไม่มีภาพไม่มีเสียง แค่ตัวหนังสือ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นลุ้นระทึกขนาดนี้ได้ไง ที่สนุกมากๆ อีกเรื่อง คือ The Great Train Robbery ปล้นเหนือเมฆ (คะแนน 9) เรื่องอื่นๆ ที่เคยอ่านก็สนุกดีทุกเรื่อง เมื่อช่วงที่ไครช์ตันเสียชีวิต ได้อีบุ๊คของเขามาทั้งล็อต ช่วงนี้ไม่มีเรื่องใหม่ๆ อยากอ่าน ก็เลยเปลี่ยนบรรยากาศ กลับไปอ่านเรื่องที่ยังไม่เคยอ่านของนักเขียนที่ชอบบ้าง

Disclosure เคยสร้างเป็นหนัง (ไมเคิล ดั๊กลัส / เดมี่ มัวร์) แต่ไม่เคยดู เห็นพล็อตเรื่องแล้วนึกว่าไม่น่าสนุก เป็นเรื่องการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน ผู้แต่งบอกว่า เขียนมาจากเค้าโครงเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่เปลี่ยนแปลงชื่อกับสภาพแวดล้อมต่างๆ เห็นนิยายเรื่องนี้ก็ได้คะแนนรีวิวจากคนอ่าน Amazon ดี ก็เลยเลือกเรื่องนี้

ทอม ซานเดอร์ ทำงานเป็นหัวหน้าแผนกอยู่ในบริษัทเทคโนโลยีดิจิตอลแห่งหนึ่ง บริษัทของเขากำลังอยู่ในระหว่างการเจรจา ควบรวมกิจการกับบริษัทสื่อการศึกษารายใหญ่ เขาคาดหวังจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ในการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อรองรับการรวมกิจการครั้งนี้ แต่แล้วกลายเป็นว่า ตำแหน่งรองประธานกลับตกเป็นของเมอริดิธ จอห์นสัน อดีตคนรักของเขาเอง ในวันแรกที่เธอเข้ารับตำแหน่ง เมอริดิธ เชิญเขาเข้ามาคุยในห้องสองต่อสองตอนเย็น และรุกไล่เขาให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย เมื่อสุดท้ายทอมปฏิเสธ วันรุ่งขึ้น เมอริดิธ ฟ้องประธานว่า ทอมคุกคามทางเพศ ทางบริษัทจึงแจ้งย้ายทอมไปสาขาอื่น ซึ่งอาจทำให้เขาสูญเสียงาน ทอมจึงจ้างทนายเพื่อฟ้องร้องกลับว่า เธอต่างหากที่เป็นผู้คุกคามทางเพศเขา

เรื่องนี้ไม่มีไดโนเสาร์ ไม่มีปล้นรถไฟ ไม่มีย้อนเวลา ไม่มีเครื่องบินตก แบบเรื่องอื่นๆ ของไครช์ตัน เรื่องราวเกิดขึ้นในออฟฟิศล้วนๆ แต่ก็สร้างความสนุกน่าติดตามได้ตลอดเรื่อง แสดงให้เห็นถึงฝีมือของผู้แต่งจริงๆ เล่นจังหวะการเล่าเรื่องได้ดีมาก ยอกย้อนซ่อนเงื่อน ให้อยากรู้ได้ตลอด นี่เป็นนิยายเก่า 15-16 ปีแล้ว เทคโนโลยีในเรื่อง เป็นเรื่องของการผลิต CD-ROM กับ Virtual Reality เรื่องเกี่ยวกับ CD นี่ล้าสมัยแล้ว แต่ VR นี่ ความเป็นจริงยังตามไม่ถึงจินตนาการในเรื่องเลย

สุดท้ายเราชอบสิ่งที่ทนายสาวในเรื่องพูด "Unfortunately, the law has nothing to do with justice, It's merely a method for dispute resolution." กฎหมายไม่เกี่ยวอะไรกับความยุติธรรมเลย มันเป็นแค่วิธีการยุติการทะเลาะกันเท่านั้น

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Time of the Rose - Bonita Clifton

คะแนน : 7.5



นิยายเก่าตั้งแต่ปี 1994 มีคนเพิ่งเอามาแจก เป็นนิยายแนว Time Travel เห็นเรื่องย่อน่าสนใจ ก็ลองอ่านซะหน่อย

ณ เขตแดนไวโอมิง ในปี 1878 โคลตัน เชส ขี่ม้าฝ่าพายุฝน มาพบพุ่มกุหลาบป่าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเขาอดใจไม่ได้เด็ดกุหลาบมาดอกหนึ่ง พลันลมก็แรงขึ้น ฝนฟ้าคะนอง เขารีบควบม้าฝ่าหมอก พ้นมาฟ้าเปิด แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า คือเมืองใหญ่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน...

ปี 1993 แมดิสัน คอลโลเวย์ เป็นเจ้าของบริษัทเอเจนซีท่องเที่ยว เธอเป็นนักธุรกิจหญิงผู้ประสบความสำเร็จ แต่ชีวิตสมรส 11 ปีเพิ่งพังทลายลง ขณะนี้ เธอเดินทางมาดูงานที่เมืองแจ็คสัน ไวโอมิง และได้พบกับคาวบอยเฒ่าผมขาว เมื่อได้พูดคุยกัน แมดิสันพบว่าเขามีเสน่ห์ดึงดูดแปลกๆ แบบไม่น่าเชื่อสำหรับคนอายุคราวปู่ และเมื่อชายแก่นั้นบอกว่า เขาชื่อ โคลตัน เชส เมื่อวานเขายังอยู่ในปี 1878 ไม่รู้ว่าเขามาอยู่ตอนนี้ได้ยังไง แมดิสันพบว่า ชื่อของเขาเหมือนชื่อคาวบอยที่อยู่ในหนังสือตำนานประวัติท้องถิ่น เธอสงสัยว่า เขาคงสติเลอะเลือนไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วง แมดิสันขี่ม้าตามเขาไปท่ามกลางพายุ แต่กลับตกม้า เมื่อเธอฟื้นสติมาอีกที ชายหนุ่มผมสีเข้มที่อยู่เบื้องหน้าบอกกับเธอว่า เขาคือ โคลตัน เชส และตอนนี้เธออยู่ในปี 1878

เปิดเรื่องได้น่าสนใจนะคะ แต่พระเอกดูจะรักษาความเยือกเย็นได้ดีไปสักหน่อย จู่ๆ โผล่มาอนาคต เจอสิ่งแวดล้อมแปลกๆ แต่ก็ไม่ค่อยตกใจเสียขวัญเท่าไหร่ รู้วิธีย้อนเวลากลับบ้านถูกอีกต่างหาก นางเอกซะอีก กลับไปอยู่อดีตแล้วโวยวายไม่เชื่ออยู่ตั้งนาน

เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในช่วงอดีต ยุคคาวบอย พระเอกเป็นนักแม่นปืน เป็นเจ้าของไร่ปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ช่วงสิบปีที่ผ่านมาเขาไล่ล่าศัตรูที่ฆ่าพ่อแม่ของเขา แต่เมื่อพานางเอกกลับมาด้วย เขาก็พามาพักที่บ้าน และจำเป็นต้องบอกใครๆ ว่า เธอเป็นภรรยาของเขา แต่แล้ว ก็มีคนส่งข่าวมาว่า พบร่องรอยศัตรู โคลท์เตรียมเดินทางไปแก้แค้น แมดิสันจำเป็นต้องหยุดยั้งเขาให้ได้ เพราะในตำนานบอกว่า โคลท์จะถูกลอบฆ่าที่เมืองนั้น

เนื้อเรื่องตรงกลางนี่อ่อนไปหน่อย พระเอกที่มีชื่อเสียงว่าเก่งกาจ แต่ในตอนดำเนินเรื่องนี่กระจอกเหลือเชื่อ ไม่สมกับชื่อเสียงเลย อย่างตอนถูกทุบหัว แล้วปล่อยให้นางเอกถูกจับตัวไปได้ โคตรเสียฟอร์ม ทำเอาเราหมดศรัทธาในตัวพระเอกเลย ส่วนนางเอกก็นะ อุตส่าห์เป็นคนจากอนาคตซะเปล่า แทนที่จะใช้ประโยชน์จากความรู้ที่มี ถ้านางเอกเฉลียวใจซะหน่อยจากข้อมูลในหนังสือ ก็น่าจะรู้ตัวคนร้ายได้ แต่นี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไปอยู่ในโลกอดีตแบบช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ห่วยอ่ะ แถมมีลังเลใจไปมา หนีพระเอกกลับมายุคปัจจุบัน แป๊บเดียวเป็นห่วงก็กลับไปอีก เปลืองกุหลาบเปล่าๆ คือ กุหลาบมี 6 ดอก ข้ามเวลาไปมาได้หลายรอบ แต่หลังจากจบเรื่องตัวร้ายไปได้ พอถึงช่วงท้ายเรื่อง ก็สนุกดี ในการหาวิธีที่จะทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขสมบูรณ์

สุดท้ายขอบ่นหน่อยได้มั้ย ถ้าเรามีกุหลาบใช้เดินทางข้ามเวลาได้สะดวกแบบนี้ คงอยากทำอะไรให้มันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ แก้ไขเหตุการณ์ หรือยับยั้งหายนะ สองคนนี้เล่นใช้อะไรพร่ำเพรื่อไม่คุ้มเลย แต่ก็อ่ะนะ นี่มันนิยาย จะเอาอะไรมาก

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

The Search - Nora Roberts

คะแนน : 7


เล่มนี้เป็นนิยายโรแมนติกสืบสวนเรื่องใหม่ของ Nora Roberts จะว่าไป เราอ่านงานของ NR มาเป็น 100 เรื่องแล้ว (เพราะเคยประมูลนิยายล็อตใหญ่จาก eBay มาได้แบบถูกๆ) ไม่รวมชุด In Death ที่แต่งในนาม J.D. Robb อีก 30 กว่าเล่ม แต่เราไม่เคยนับตัวเองเป็นแฟนนิยายของเธอเลยนะ เพราะไม่มีเรื่องไหนของเธอที่เราชอบสุดๆ ชอบจริงๆ เรื่องที่ชอบที่สุดอยู่ที่คะแนน 8.5 เท่านั้น นั่นก็มีแค่ไม่กี่เรื่อง ซึ่งไม่ใช่ความผิดของผู้แต่ง เพราะ NR เขียนดีมาก แต่สไตล์ของเธอไม่ตรงเป๊ะกับรสนิยมของเรา จะพูดว่าไงดีล่ะ มันยังน้ำเน่าไม่พอสำหรับเรามั้ง แต่ที่อ่านตั้งเยอะตั้งแยะ ก็เพราะการอ่านงานของเธอเป็นอะไรที่ไว้ใจได้ น้อยครั้งที่เราจะให้ต่ำกว่า 7 เพราะฉะนั้น ก็ยังตามอ่านงานของเธอต่อไปเรื่อยๆ

นางเอก ฟิโอน่า บริสโทว์ อาศัยอยู่บนเกาะเล็กๆ ใกล้ซีแอตเติล พร้อมลาบราดอร์คู่ใจ 3 ตัว เป็นเจ้าของโรงเรียนฝึกสุนัข และทำงานเป็นอาสาสมัครหน่วยค้นหาผู้ประสบภัยด้วยสุนัข พระเอก ไซม่อน ดอยล์ เป็นศิลปินช่างไม้ ได้รับลูกหมาจอมซนเป็นของขวัญจากแม่ เขาจึงพามันมาให้ฟิโอน่าอบรมพฤติกรรม เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของทั้งสอง ชีวิตของฟิโอน่าในปัจจุบันดูสงบและมีความสุขดี แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เธอต้องผ่านฝันร้ายในชีวิตมา

เมื่อ 8 ปีก่อน เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง คนร้ายฆ่าเหยื่อหญิงสาวอายุน้อยด้วยผ้าพันคอสีแดงไปแล้วถึง 12 คน ฟิโอน่าในวัย 20 ถูกจับตัวไปเป็นคนที่ 13 แต่เธอหนีรอดมาได้ ฆาตกรแก้แค้นด้วยการฆ่าคู่หมั้นของเธอ แต่คนร้ายก็พลาดท่าถูกจับในที่สุด และขณะนี้ ก็กำลังชดใช้ความผิดอยู่ในคุก แต่แล้ว ก็มีฆาตกรต่อเนื่องรายใหม่ที่ใช้วิธีการฆ่าแบบเดียวกันปรากฏตัวขึ้น และเส้นทางการฆ่าไล่เข้ามาใกล้ตัวฟิโอน่าขึ้นเรื่อยๆ ตำรวจเชื่อว่า เป้าหมายสุดท้ายของฆาตกรเลียนแบบรายนี้อยู่ที่เธอ ฝันร้ายตามกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อหรือยอมเสียคนที่เธอรักไปอีกแล้ว

เอกลักษณ์ของนิยายของ NR อย่างหนึ่งก็คือ อาชีพของนางเอก เวลาเธอเขียนว่า นางเอกเป็นใคร ทำงานอะไร ในเรื่องจะมีรายละเอียดให้คนอ่านเห็นภาพชัดเจนมากๆ เลย ในเรื่องนี้ เราได้เห็นวิธีการฝึกสุนัขเยอะมาก ได้เห็นการทำงานของสุนัขกู้ภัย ซึ่งก็น่าสนใจดี แต่ปัญหาของการอ่านเล่มนี้ก็คือว่า มันยาวเกินไป โดยเฉพาะตรงกลางๆ เรื่อง นอร่าเล่นบรรยายชีวิตประจำวันของพระเอกนางเอกละเอียดยิบ ตั้งแต่ตื่นนอน กินอาหารเช้า ฝึกสุนัข พักเบรก อาหารเที่ยง เล่นกับหมา อาหารเย็น กู้ภัยช่วยคนหลงป่า จนถึงเข้านอน

ถึงแม้เราจะชอบพระเอกนางเอกทั้งคู่ พระเอกตลกดีค่ะ นิสัยขี้รำคาญ พูดตรงจนถึงขั้นหยาบคาย แต่ก็น่ารักดี ขำตรงที่เขาชอบบอกนางเอกว่า คุณไม่ใช่สเปกผมเลยนะ แต่ทำไมผมชอบคุณก็ไม่รู้ แต่ยังไงก็ตาม เราไม่คิดว่า เราอยากรู้ชีวิตของพวกเขาละเอียดขนาดนั้น เราว่า ถึงตัดจำนวนหน้าของนิยายเรื่องนี้ออกไปสัก 1/3 ของเล่ม ก็ยังไม่มีพล็อตเรื่องส่วนไหนหายไปเลย จนตอนท้าย ที่เข้าช่วงไล่ล่าฆาตกรแล้วนั่นแหละ ค่อยยังชั่วหน่อย น่าเสียดายนะคะ ถ้าไม่ใช่ว่าเบื่อจากการอ่านช่วงกลางๆ เรื่องนี้ควรจะได้คะแนน 8 เลยด้วยซ้ำ

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

His at Night - Sherry Thomas

คะแนน : 8


ช่วงนี้งานเข้า ทั้งงานราษฎร์งานหลวง แทบไม่มีเวลาอ่านหนังสือเลย โชคดีที่เมื่อพอมีเวลาของตัวเองเมื่อคืน หนังสือ 1 เล่มที่เลือกมาอ่านในสัปดาห์นี้ เป็นเรื่องที่สนุก ไม่ผิดหวัง

อย่างที่บอกว่าเราเห็นโฆษณาเล่มนี้แล้วอยากอ่านตั้งแต่แรก เพราะอ่านเรื่องย่อแล้วคิดถึงนิยายคลาสสิค The Scarlet Pimpernel (วีรบุรุษดอกไม้แดง) ตรงจุดที่พระเอกต้องแสดงตัวเป็นคนไม่ได้เรื่องต่อหน้าวงสังคม ให้คนอื่นตายใจ เพื่อจุดประสงค์ในการแอบปฏิบัติการภารกิจลับ ปิดบังแม้กระทั่งภรรยาตนเองเพราะความเข้าใจผิดระหว่างกัน แต่พออ่านจริงนอกจากความคล้ายในส่วนนั้นแล้ว การดำเนินเรื่องก็ไม่ค่อยเหมือนกันหรอก แต่เรื่อง His at Night นี้ก็สนุกดี

มาร์ควิสแห่งเวียร์เป็นคนโง่ในสายตาใครๆ แต่ก็ไม่มีใครถือสาเขา เขามักจะซุ่มซ่าม พูดจาเพ้อเจ้อ เดินหลงทิศหลงทางในงานเลี้ยง และถ้าการที่เขาเข้าไปเป็นพยานรู้เห็นในเหตุการณ์อาชญากรรมบ่อยๆ มันก็คงเป็นเพราะบังเอิญแน่ๆ แต่แท้จริงแล้ว ลอร์ดเวียร์เป็นสายลับทำงานให้รัฐบาล เพื่อสืบความจริงเกี่ยวกับคดีต่างๆ เขาได้รับมอบหมายให้ไปสืบคดีที่บ้านของผู้ต้องสงสัยรายหนึ่ง ซึ่งเป็นลุงเขยของ เอลิสแซนด์ เอดจ์เกอร์ตัน หญิงสาวผู้มีชีวิตเหมือนเป็นนักโทษที่ถูกจองจำอยู่ในคฤหาสน์หลังงาม ต้องคอยดูแลป้าที่ถูกลุงให้ยากล่อมประสาทตลอดเวลา

เวียร์วางแผนร่วมกับเลดี้คิงสตัน พากลุ่มแขกทั้งหมดของเธอเข้ามาเป็นแขกในบ้านของเอลิสแซนด์ ในขณะที่ลุงของเธอไม่อยู่ได้สำเร็จ เพื่อค้นหาหลักฐานความผิด ในขณะที่เอลิสแซนด์ซึ่งกำลังสิ้นหนทาง มองว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่เธอจะพาป้าหลบหนีจากเงื้อมมือของลุงได้ ถ้าเธอจะสามารถจับผู้ชายที่มีตำแหน่งและอำนาจมาแต่งงานกับเธอได้ ตอนแรกเธอมองที่เวียร์ แต่แล้วเธอก็สุดทนกับพฤติกรรมที่พระเอกแสดงออก จึงหันเหเป้าไปที่เฟรดดี้ น้องชายพระเอก (เห็นบอกว่าเป็นตัวละครรองจากนิยายเล่มแรกของ Sherry Thomas เรื่อง Private Arrangements ที่เราคงผ่าน เพราะไม่ชอบอ่านเรื่องที่นางเอกเคยคบชู้ ซึ่งชายชู้ก็คือเฟรดดี้นี่แหละ) ซึ่งเป็นสิ่งที่เวียร์ยอมรับไม่ได้ ที่จะให้น้องชายตกเป็นเหยื่อของผู้หญิงเจ้าแผนการ ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายไม่ซื่อตรงต่อกันตั้งแต่ต้น ต่างฝ่ายมีความลับและมีเหตุผลของตนเองอยู่เบื้องหลัง แม้ในที่สุด เมื่อทั้งสองต้องแต่งงานกันแล้ว เอลิสแซนด์บอกความจริงถึงเหตุผลของเธอ แต่เวียร์ก็ยังไม่ยอมให้อภัยและเปิดใจให้เลดี้ของเขา

เนื้อเรื่องดำเนินไปเร็ว สนุกน่าติดตามตลอด และเราชอบที่เรื่องนี้ แสดงให้เห็นฉากสภาพแวดล้อมในยุควิคตอเรียได้ดี ผู้แต่งค้นข้อมูลมาดี ยุคสมัยของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ความก้าวหน้าของรถไฟ โทรเลข กล้องถ่ายรูป (ตอนอ่านเจอกล้อง Kodak ในเรื่อง งงไปแป๊บนึงเลย ก่อนจะตั้งสติได้ว่า เออ กล้องถ่ายรูปมันมีมาตั้งแต่ยุคนั้นแหละ) ความก้าวหน้าทางเคมีและชีวะ (เพชรสังเคราะห์ / ยาพิษ) เราเคยได้หนังสือ The Victorian Internet ที่เป็นเรื่องราวของการสื่อสารด้วยระบบโทรเลขมา แต่ยังไม่ได้อ่านเลย อ่านเรื่องนี้ที่มีการติดต่อด้วยโทรเลขหลายครั้งในเรื่อง จุดประกายให้เราอยากอ่านเล่มนั้นขึ้นมาเลย

รวมๆ แล้วเราชอบเรื่องนี้มากพอดู โดยเฉพาะเรื่องของพระเอกกับนางเอก แต่ยังรู้สึกว่า เรื่องของคู่รองในเรื่องไม่ค่อยกลมกลืนกับเนื้อเรื่องหลัก ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แล้วเราอุตส่าห์ไปอ่าน Not Quite a Husband มาก่อน เพราะคิดว่ามีตัวละครต่อกันทำไมเนี่ย ในเมื่อมีกล่าวถึงชื่อลีโอพระเอกเล่มนั้นแค่นิดเดียว เราเข้าใจผิดไปเองแท้ๆ และเฉลยตอนท้ายเรื่อง เราคิดว่า ผู้แต่งยังเหมือนอธิบายประเด็นต่างๆ ในเรื่องไม่หมด อย่างเรื่องว่า ลุงนางเอกรู้ว่านางเอกเป็นลูกใครตอนไหน ทำไมพ่อพระเอกต้องทำอย่างนั้นกับแม่พระเอก ทำไมพ่อต้องเกลียดเฟรดดี้ ที่จริงก็เป็นแค่จุดปลีกย่อยเล็กน้อย ไม่ได้ทำให้ภาพรวมของเรื่องเสีย แค่แอบคาใจสงสัยเล็กๆ เฉยๆ

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Home for a Soldier - Tatiana March

คะแนน : 7


พักสมองมาอ่านเรื่องเบาๆ สบายๆ ไม่ต้องคิดมาก เรื่องนี้เป็นอีบุ๊คสั้นๆ ไม่เคยอ่านนักเขียนคนนี้ แต่เห็นเรื่องย่อแล้วสนใจก็เลยลองอ่านดู เรื่องมีอยู่ว่า เกรซ นางเอกของเรา ถูกน้องสาวขอร้องให้ไปแต่งงานแทน มันไม่ใช่การแต่งงานที่แท้จริง แต่เนื่องจาก รอรี่ เจ้าบ่าวที่น้องของเธอไปทำข้อตกลงว่าจะแต่งงานด้วย ต้องไปทำงานที่อิรัก 2 ปี และเขาจะสูญเสียสิทธิ์ในการเช่าอพาร์ทเมนท์ไป เพราะนี่เป็นอาคารอพาร์ทเมนท์เก่าที่มีการควบคุมการเช่าที่เข้มงวด ห้ามให้เช่าต่อ ห้ามปล่อยให้ว่าง หนทางที่จะเก็บสิทธิ์นั้นไว้ คือแต่งงาน แล้วให้ภรรยาอยู่อาศัยแทนได้ เกรซกำลังตกงาน แล้วก็ขัดน้องสาวไม่ได้ ก็เลยยอมตกลงแต่งงานกับผู้ชายที่เธอไม่รู้จัก แลกกับการได้ที่พักฟรี 2 ปี เมื่อเขากลับมาก็จะหย่ากันไป ทั้งสองมองมันเป็นข้อตกลงทางธุรกิจล้วนๆ แต่ทั้งคู่ไม่คาดคิดว่า ช่วงเวลาสั้นๆ 2-3 วัน ที่ได้อยู่ด้วยกัน จะทำให้ทั้งสองรู้สึกผูกพันกันมากกว่าที่คิด

ที่บอกว่าอ่านเรื่องย่อแล้วสนใจ ก็อีตรงอยากรู้เหตุผลในการแต่งงานนี่ล่ะค่ะ พอรู้แล้วก็ตลกดี ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามียังงี้ด้วย เรื่องอพาร์ทเมนท์ คือในเรื่องเป็นตึกเก่าในแมนฮัตตัน เคยเป็นที่พักของปู่ย่า (หรือตายายไม่รู้) ที่พระเอกมาอยู่ด้วย พระเอกไม่อยากสูญเสียสถานที่แห่งความทรงจำของตัวเองไป ก็เลยต้องทำขนาดนั้น จะว่าไปโรแมนซ์ร่วมสมัยนี่ สร้างพล็อตเรื่องการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ไม่ได้ง่ายๆ เหมือนโรแมนซ์ย้อนยุค เพราะหมดสมัยคลุมถุงชน แล้วผู้หญิงก็มีทางเลือกที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งผู้ชายเยอะ ถ้าแต่งเหตุผลไม่ดีนี่ เรื่องเสียเอาง่ายๆ ไม่สมจริง หรือกลายเป็นนางเอกอ่อนแอหรือเห็นแก่เงินไป อืมม์ สำหรับเรื่องนี้ เหตุผลจำเป็นมันแปลกดี แต่ก็ไม่เหลือเชื่อเกินไป แล้วก็ไม่ทำให้รู้สึกดูถูกฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

เนื้อเรื่องนอกจากนั้นมันก็ดำเนินไปตามสูตรนะ เดาได้ อย่างเรื่องเข้าใจผิดระหว่างกัน แต่พระเอกนางเอกน่ารักดี ถือเป็นเรื่องอ่านสบายๆ ผ่อนคลายอารมณ์แล้วกัน

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Archangel's Kiss - Nalini Singh

คะแนน : 6.5



อย่างที่บอกไปคราวที่แล้วว่า เราเริ่มอ่านเล่มนี้ไปได้นิดหน่อยแล้ว แต่พอได้ Bonds of Justice มา เราก็เปลี่ยนไปอ่านเล่มนั้นทันที มันคงเป็นเครื่องบ่งชี้ความชอบของเราที่มีต่อซีรีส์ Psy-Changeling กับซีรีส์นี้อยู่แล้ว และเป็นสัญญาณไม่ดีเลยถึงความรู้สึกของเราที่มีต่อ Archangel's Kiss (Guild Hunter เล่ม 2) เพราะแปลว่า มันดึงความสนใจเราไม่อยู่ ทั้งที่ปกติเรามักจะอ่านไปทีละเรื่องให้จบก่อนเสมอ

ในเล่มนี้ เป็นเรื่องต่อเนื่องจาก Angels' Blood โดยตัวเอกยังคงเป็นเอเลน่ากับราฟาเอลเหมือนเดิม เอเลน่าที่นอนหลับไหลจากอาการบาดเจ็บปางตายท้ายเล่มที่แล้วนานถึง 1 ปี บัดนี้เธอผู้กลายเป็นเทวทูตปีกดำได้ฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว ฮันเตอร์สาวต้องเรียนรู้สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ในโลกของเทวทูตและแวมไพร์ และพบว่าเธอกลายเป็นเป้าหมายเสี่ยงอันตรายจากมหาเทพตนอื่นๆ อีกด้วย

ไม่รู้เป็นผลจากการที่กลับมาอ่านเล่มนี้ต่อทันทีหลังจากที่เพิ่งอ่าน Psy 8 ซึ่งสนุกมากจบหรือเปล่า แต่เราอ่านเล่มนี้โดยไม่รู้สึกสนุกเลย เพราะตัวเอกเป็นคู่เดิม เราก็รู้จักอยู่แล้ว เล่มนี้เราได้รู้เรื่องความหลังของทั้งเอเลน่าและราฟาเอลมากขึ้น แต่เราว่ามันเยิ่นเย้อซ้ำซากมาก เนื้อเรื่องเสียเวลากับฝันร้ายและความทรงจำในอดีตของนางเอกมากเกินไป มันค่อนข้างน่าเบื่อ เพราะเป็นสิ่งที่พอเดาได้อยู่แล้วจากที่กล่าวถึงในเล่มแรก

เนื้อเรื่องในปัจจุบันแทบไม่มีอะไรเลย เกิดเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ไปเรื่อยๆ ฝึกร่างกาย ฝึกต่อสู้ ฝึกอาวุธ ฝึกบิน เรียนประวัติศาสตร์ของเหล่าเทวทูต สลับกับการเจอเหตุลอบทำร้ายผู้ใต้ปกครองของราฟาเอล โดยผู้ต้องสงสัยคือพวกเทวทูตที่หวังตำแหน่งมหาเทพ จนท้ายเรื่องก็ไปจบที่การต่อสู้ในงานเลี้ยงของมหาเทพจูลี่จวน ผู้ปกครองดินแดนจีน ซึ่งก็บอกไว้ตั้งแต่ต้นเล่ม ไม่มีจุดพลิกผัน ไม่มีจุดหักมุม

ตัวละครใหม่ๆ พวกองครักษ์ทั้งเจ็ดของราฟาเอลเวียนกันมาปรากฏตัว เพื่อแนะนำให้คนอ่านรู้จัก แต่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญในเนื้อเรื่องจริงจัง ไม่รู้เตรียมเอาไว้เป็นตัวเอกในเล่มอื่นรึเปล่า แต่โผล่หน้ามาจนเวียนหัว จำไม่ได้ และดึงความสนใจจากตัวเอกออกไป ทำให้เนื้อเรื่องไม่มีเอกภาพ และสารภาพตามตรง เราเกลียดบุคลิกของพวกแวมไพร์และเทวทูต ไม่น่ารักและมีเสน่ห์เหมือนพวกเชนจลิงก์เลย ถ้าไม่ได้อ่าน 2 ซีรีส์นี้ใกล้กัน ไม่รู้เราจะอ่านเล่มนี้สนุกกว่านี้รึเปล่า แต่เมื่อจังหวะการอ่านเป็นแบบนี้ ก็อดเปรียบเทียบกันไม่ได้ และทำให้ไม่ปลื้มซีรีส์นี้เอาซะเลย

++++++++++++++++++++


Angels' Judgment
คะแนน : 7


เป็นเรื่องสั้น อยู่ในเล่มรวมเรื่องชื่อ Must Love Hell Hounds เนื้อเรื่อง Angels' Judgment เกี่ยวพันในชุด Guild Hunter เป็นเรื่องของซาร่ากับดีคอน ซาร่าเป็นเพื่อนสนิทของเอเลน่า ในเรื่องเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้าเล่ม 1 ซาร่ายังทำงานเป็นนักล่าแวมไพร์ แต่กำลังถูกทาบทามให้เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการองค์กรฮันเตอร์กิลด์ จึงต้องถูกทดสอบฝีมือจากเหล่าเทวทูต ผอ. คนเก่าจึงส่ง ดีคอน สเลเยอร์ฝีมือฉกาจ มาช่วยซาร่ารับมือในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เป็นเรื่องสั้นๆ ไม่มีอะไรมาก อ่านเพื่อได้รู้จักโลกแวดล้อมในซีรีส์นี้มากขึ้น

++++++++++++++++++++

Angels' Pawn
คะแนน : 7


เป็นเรื่องสั้นที่มีในเวอร์ชันอีบุ๊คเท่านั้น ยังไม่พิมพ์เป็นเล่ม เรื่องของแอชวีนี่ (หรืออาจจะเป็น อัศวินี) นักล่าแวมไพร์ เพื่อนของเอเลน่า โนเวลล่าเรื่องนี้ไม่บอกเวลาในเรื่อง เลยไม่แน่ใจว่า อยู่ตรงช่วงไหนของซีรีส์ แอชรับงานจากเทวทูตนาซาแรค ให้พาตัวแวมไพร์ที่ถูกแวมไพร์อีกกลุ่มลักตัวไปกลับมา โดยมีฌาวิเยร์ แวมไพร์เชื้อสายเคจัน ที่เคยเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับแอชมาหลายครั้ง มาเป็นผู้ช่วยในภารกิจครั้งนี้ เนื้อเรื่องสั้นๆ แต่ทำให้ได้รู้จักบทบาท ชีวิต และสังคมของพวกแวมไพร์ในโลกนี้มากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างแอชกับฌาวิเยร์ ยังไม่ลงเอยกันในเล่มนี้ เพราะเรื่องมันสั้น ยังอยู่แค่ขั้นยั่วเย้าแหย่กัน แต่ก็ขำๆ ปนเซ็กซี่ดีนะ และได้เห็นเค้าลางแว้บๆ ของความสัมพันธ์ที่จะยุ่งยากและลึกซึ้งมากขึ้นในอนาคต ระหว่างแวมไพร์กับนักล่าคู่นี้

เทวทูตนาซาแรคนี่ ดูบทเป็นตัวร้ายมากกว่าแวมไพร์ซะอีก พวกเทวทูตกับมหาเทพในซีรีส์นี้ เหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์หนึ่งที่มีพลังและไม่ตายแค่นั้น ปกครองด้วยอำนาจ ไม่เกี่ยวกับศีลธรรมเลย นึกถึงเวลาอ่านเรื่องของเทพกรีก เทพนอร์ส ที่บางทีพวกเทพก็ทำอะไรแปลกๆ เราเคยอึ้งมากเลยตอนอ่านเรื่องของเทพีเฟรย่ากับสร้อยคอของคนแคระ เพราะฉะนั้นตอนอ่านเรื่องพวกเทพๆ แนวนี้ ต้องลบภาพจากใจไปก่อน เทวดาไม่จำเป็นต้องคู่ความดี

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Bonds of Justice - Nalini Singh

คะแนน : 8.5


เริ่มอ่าน Archangel's Kiss ไป 4-5 บทแล้ว พอดีได้ Psy & Changeling เล่ม 8 มา ก็เลยหยุดเล่มนั้น อ่านเล่มนี้ก่อน เพราะกำลังชอบซีรีส์นี้มากๆ เล่มใหม่ออกมาก็อยากอ่านทันที

Bonds of Justice เป็นเรื่องของแม็กซ์ แชนนอน ตำรวจที่เคยปรากฏตัวในเล่ม 4 กับ โซเฟีย รุสโซ ซึ่งเป็น J-Psy ซึ่ง J ย่อมาจาก Justice คือไซที่ทำงานในกระบวนการยุติธรรม เพราะพวก J มีความสามารถพิเศษในด้านการอ่านความทรงจำ จึงมีประโยชน์ในการหาตัวคนร้ายผู้กระทำผิด แม็กซ์และโซฟีพบกันครั้งแรก ในการสอบปากคำฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่ง และทั้งสองก็ได้มาพบกันอีกครั้ง ในการเป็นพาร์ทเนอร์ทำงานร่วมกันตามคำขอของนิกิต้า ดันแคน สมาชิกสภาไซ เพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับสาเหตุที่ ที่ปรึกษาของนิกิต้าเสียชีวิตติดๆ กัน 3 ราย

แม็กซ์กับโซฟีมีอดีตด้านมืดจากวัยเด็กซุกซ่อนอยู่ แต่ทั้งคู่ไม่มีใครพิรี้พิไรมากมาย ต่างก็เข้มแข็งและก้าวผ่านความขมขื่นจนยืนหยัดได้ด้วยตนเอง โซฟีจะอยู่ในสถานการณ์ลำบากกว่าหน่อย เพราะความเสี่ยงที่เกราะป้องกันตนจาก PsyNet จะพังทลาย หรือจะต้องถูกส่งเข้าไปบำบัดฟื้นฟูสภาพจิต จะออกจาก PsyNet เฉยๆ เหมือนสาวไซคนอื่นก็ไม่ได้ แต่เธอก็ไม่หลบหนีหัวใจตัวเองเลย ความสัมพันธ์ของพระเอก-นางเอกเล่มนี้หวานมากๆ

ปกติคู่ในซีรีส์นี้ชอบเรียกกันด้วยคำแทนชื่ออยู่แล้ว (ลูคัส --> ซาช่า = ซาช่าดาร์ลิ่ง, วอห์น --> เฟธ = เรด, เบรนน่า --> จัดด์ = เบบี้ ฯลฯ) แต่ในเล่มนี้ คำง่ายๆ อย่าง her cop กับ his J เรารู้สึกว่ามันอ่อนหวานดี อย่างซาช่าดาร์ลิ่ง ฟังแล้วรู้สึกถึงความรัก เอ็นดู ทะนุถนอม ล้อเลียนนิดๆ แต่ my cop กับ his J เรารู้สึกถึงความรัก ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ และความอ่อนหวานอ่อนโยน คิดลึกไปมั้ยนี่กับแค่คำสองคำ แต่ตอนอ่านมันทำให้เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

คู่นี้หวานและไม่เกี่ยงงอนกัน เพราะฉะนั้นเข้าใจกันเร็วตั้งแต่ต้นเรื่อง (แต่ยังมีอะไรกันไม่ได้ เพราะโซฟีไวต่อสัมผัสเกินจนอาจเป็นอันตราย) และอีกอย่าง เป็นไปตามอาชีพของตัวเอก เนื้อเรื่องเล่มนี้ก็เลยเน้นไปที่การสืบสวนซะเยอะ อ่านแล้ว สะ-หนุก-มากกก คดีที่ต้องจัดการแยกย่อยเป็นสองทิศทาง คือ การตามหาศพเหยื่อจากความทรงจำของฆาตกรโรคจิต กับงานสืบหาคนร้ายที่จ้องเล่นงานคนใกล้ตัวนิกิต้า มันส์ แอกชั่นเยอะดี ยิ่งช่วงท้ายๆ เรื่อง ลุ้นจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน วางไม่ลงเลย

เล่มนี้ นิกิต้า แม่ของซาช่า มีบทบาทมากพอควร และเราชอบบทของนิกิต้าในเล่มนี้มากเลย ไม่ใช่ว่าเธอกลับตัวเป็นคนดีกะทันหันจนผิดธรรมชาติ แต่เราได้เห็นตัวตนเธอมากขึ้น นอกเหนือจากการมองผ่านสายตาซาช่าหรือพวกดาร์คริเวอร์เท่านั้น ไม่รู้กี่ครั้งในซีรีส์นี้ ที่เราเห็นซาช่าวางสายด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวกับความเมินเฉยของแม่ แต่ในเล่มนี้เราได้เห็นอีกด้านของปลายสายนั้น ทำให้เห็นว่า สมาชิกสภาไซคนนี้อาจไม่ใช่เพียงแค่แม่ผู้เย็นชาอย่างเดียว แต่มีอะไรมากกว่านั้น และทำให้สงสัยขึ้นมาว่า ฉากสนทนาอันเย็นชาธรรมดาๆ ในเล่มก่อนๆ กี่ครั้งที่มันอาจมีเบื้องหลังซ่อนอยู่ และเราได้เห็น คาเล็บ in-action แบบใกล้ชิด ถึงจะนิดเดียว แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาเข้ามาอยู่ใกล้ตัวเอกของเล่มขนาดนี้

ท้ายเล่มมีตัวอย่างเรียกน้ำย่อยของเล่ม 9 ซึ่งมีข่าวออกมานานแล้วว่าเป็นเรื่องของอินดิโก้ รองจ่าฝูงสาวสวยของพวกหมาป่าสโนว์แดนเซอร์ แต่ยังไม่บอกว่าใครเป็นพระเอก ซึ่งแฟนๆ ก็จะคาดเดากันไป ในพรีวิวนี้ เฉลยตัวพระเอกแล้ว ก็เป็นความสัมพันธ์ที่น่าสนใจดีนะว่าจะดำเนินเรื่องยังไง เพราะไม่เหมือนเล่มอื่นๆ เฮ้อ ~ ต้องรอไปอีกจนถึงปลายปีกว่าจะได้อ่าน

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Angels' Blood - Nalini Singh

คะแนน : 7.5


หลังจากอ่าน Psy & Changelings หมดแล้ว เปลี่ยนบรรยากาศไปอ่านโรแมนซ์ย้อนยุคสองเล่ม ได้เวลากลับมาตามอ่านงานของ Nalini ต่อแล้ว

เรื่องราวของ Angels' Blood เกิดขึ้นในโลกที่แองเจิลหรือเทวทูตมีตัวตนอยู่จริง โดยมีคณะอัครเทวดาอาร์ชแองเจิล 10 ตน ขอเรียกง่ายๆ ว่ามหาเทพ กระจายการปกครองอยู่ทั่วเขตแดนรอบโลก เป็นที่เคารพบูชาและยำเกรงแก่มนุษย์สามัญ นอกจากเทวทูตและมนุษย์แล้ว ก็ยังมีแวมไพร์ ซึ่งเดิมเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ทำสัญญาเป็นข้ารับใช้ของเทวทูต 100 ปี เพื่อแลกกับการมีชีวิตนิรันดร์

ณ มหานครนิวยอร์ก เอเลน่า เดฟเวอรูซ์ นักล่ามือหนึ่งขององค์กรกิลด์ฮันเตอร์ เรียกง่ายๆ ว่า เป็นนักล่าค่าหัว ทำงานตามล่าแวมไพร์ที่หนีสัญญาจากเทวทูต ได้รับการติดต่อจากมหาเทพราฟาเอล ให้มารับงานติดตามล่าผู้หลบหนี แต่เหยื่อคราวนี้ไม่ใช่แวมไพร์อาละวาด แต่เป็นมหาเทพกระหายเลือดอีกตนต่างหาก

อ่านจบเล่มแรกแล้ว รู้สึกว่าเราชอบเรื่องนี้น้อยกว่าซีรีส์ Psy & Changelings นะ เหมือนกับว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าเทวทูต แวมไพร์ กับมนุษย์ ยังไม่ค่อยสมดุลกัน ไม่เหมือนดุลอำนาจระหว่างเหล่าไซ/เชนจลิงก์ ที่ดูลงตัวกว่า ใน Angels' Blood ครึ่งเล่มแรก เน้นที่การทำความรู้จักกันระหว่างเอเลน่ากับราฟาเอล ซึ่งแอบเบื่อเล็กน้อย เพราะรำคาญราฟาเอลที่อวดดีมาก ถึงจะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ตามเนื้อเรื่อง ก็ระดับมหาเทพซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้กุมอำนาจสูงสุดบนโลก และมีชีวิตอยู่มาแล้วหลายพันปี ไม่แปลกที่จะมีบุคลิกแบบนี้ แต่ก็อดเอือมนิดๆ ไม่ได้อยู่ดี ว่าแต่ตอนอ่านไปก็รู้สึกว่าเอเลน่ากับราฟาเอล มีส่วนคล้ายอีฟกับรอร์คในซีรีส์ In Death เหมือนกันนะ จนครึ่งเล่มหลังที่เริ่มเข้าสู่เนื้อเรื่องการไล่ล่าและต่อสู้กับยูรามแล้วนั่นแหละ ที่เริ่มอ่านสนุกขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ได้ประทับใจมากนัก เดี๋ยวพออ่านเล่มต่อๆ ไป คงจะลงความเห็นเกี่ยวกับซีรีส์นี้ได้มากกว่านี้ ว่าแต่เล่มนี้บรรยายสภาพเหยื่อได้สยดสยองเห็นภาพมาก ขนาดเป็นตัวหนังสือนะนี่ ถ้าเป็นหนังนี่ติดเรต X ด้านความรุนแรงแน่นอน

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

10 อันดับนิยายไทยในดวงใจ

ระหว่างหาหนังสือ เจอผลโพลอันดับนิยายไทยในใจสาวๆ ที่เคยเซฟเก็บไว้ ตามนี้ค่ะ ขอบคุณผู้ที่เอามาโพสต์ไว้บนเว็บคนแรกด้วย พอดีไม่ได้ก๊อบปี้ชื่อไว้ค่ะ

10 อันดับนิยายไทยในใจสาวๆ
จากนิตยสารสไปซี่ ฉบับหน้าปก ปู ไปรยา

อันดับ 1 คู่กรรม (ทมยันตี)
อันดับ 2 ข้างหลังภาพ (ศรีบูรพา)
อันดับ 3 คำมั่นสัญญา (ทมยันตี)
อันดับ 4 เพชรพระอุมา (พนมเทียน)
อันดับ 5 ปริศนา (ว. ณ ประมวลมารค)
อันดับ 6 ฟ้าจรดทราย (โสภาค สุวรรณ)
อันดับ 7 ทวิภพ (ทมยันตี)
อันดับ 8 เสราดารัล/พรพรหมอลเวง (กิ่งฉัตร)
อันดับ 9 ดั่งดวงหฤทัย (ลักษณวดี)
อันดับ 10 ของขวัญวันวาน (ว. วินิจฉัยกุล)

ในบรรดาเรื่องพวกนี้ก็เคยอ่านทุกเล่ม ไม่มีเรื่องไหนที่รู้สึกขัดแย้งจากลิสต์ว่าไม่สมควรติด เพียงแต่เห็นแล้วก็อยากจัดอันดับของตัวเองดูบ้าง ลองไล่ได้ประมาณนี้

10 อันดับนิยายรักเรื่องโปรดของเราเอง
1. ปริศนา - ว.ณ ประมวญมารค
2. ค่าของคน - โรสลาเรน
3. แต่ปางก่อน - แก้วเก้า
4. ดั่งดวงหฤทัย - ลักษณวดี
5. หัวใจสองภาค - ม.มธุการี
6. แสงดาวฝั่งทะเล - กิ่งฉัตร
7. รากนครา - ปิยะพร ศักดิ์เกษม
8. ใต้เงาตะวัน - ปิยะพร ศักดิ์เกษม
9. คู่กรรม - ทมยันตี
10. นิกกับพิม - ว.ณ ประมวญมารค

เอาแต่นิยายรักนะคะ ไม่นับพวก สี่แผ่นดิน เพชรพระอุมา ข้าวนอกนา จ้อนกับแดง ฯลฯ แล้วกัน สรุปเราชอบงานของคุณหญิงวิมลที่สุดนะนี่ มี 3 เรื่องในลิสต์

ตอนอยู่ ป.4 เราอ่านหนังสือที่เป็นนิยายเล่มแรก คือ ปุลากง หนังสือนอกเวลาของพี่ จากนั้นก็ไล่อ่านมาเรื่อยๆ อ่านโบตั๋น เริ่มจากตราไว้ในดวงจิต เพราะข้าวฟ่างกับคุณผักกาด แล้วก็ขยายไปถึงนักเขียนคนอื่นเรื่อยๆ อ่านมาตลอดจนโต แต่เดี๋ยวนี้แทบไม่ได้อ่านนิยายไทยแล้ว งานยุคหลังๆ ของนักเขียนชื่อดังก็อ่านไม่สนุก งานของนักเขียนใหม่ก็ไม่รู้จัก ไม่รู้เรื่องไหนสนุกบ้าง ก็เลยหันเหไปอ่านนิยายนอกแทน แต่ 10 อันดับข้างต้นนี่ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอ่านอีกไม่รู้เบื่อจริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

PLUTO ตามล่านักฆ่าแอนดรอยด์

คะแนน : 8.5


ปกติเขียนถึงแต่นิยายภาษาอังกฤษที่อ่านจบไป แต่ความจริง เรายังอ่านหนังสืออื่นๆ อีกด้วยนะคะ อย่างตอนนี้กำลังค่อยๆ อ่าน จิตร ภูมิศักดิ์ ทีละนิด และนอกจากหนังสือ อีกอย่างที่เราอ่านเป็นประจำคือ การ์ตูนญี่ปุ่น อย่างที่เราแนะนำตัวเองไว้ว่า เราหัดอ่านหนังสือจากการ์ตูนโดราเอมอน (สนพ. มิตรไมตรี) ผ่านมาจนป่านนี้ ตอนนี้เราก็ยังไม่เลิกอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น เรามีการ์ตูนอยู่เต็มบ้าน เคยนับจริงๆ เมื่อสักสิบปีก่อน ตอนนั้นมีประมาณ 5,000 เล่ม ตอนนี้ไม่รู้มีเท่าไหร่ อาจจะถึงหมื่นเล่มก็ได้ ถึงแม้เรื่องที่เราตามอ่านจะลดน้อยลงเรื่อยๆ ตามปีที่ผ่านไปก็ตาม ที่ผ่านมาเราไม่ได้มีความรู้สึกอยากเขียนบล็อก ถึงหนังสือและการ์ตูนเหล่านั้นมากเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะว่า การอ่านเรื่องที่มีเป็นเล่มจริง พออ่านจบวางไว้บนชั้นหนังสือ มันก็เป็นหลักฐานการอ่านที่เรารู้อยู่ในใจและเห็นอยู่กับตา แต่พอช่วงหลังเปลี่ยนมาอ่านหนังสืออีบุ๊ค ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาว่าอ่านไปเท่าไหร่แล้ว ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันอาจส่งผลทางจิตวิทยา เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราอยากเขียนบล็อกถึงมัน เพื่อบันทึกเป็นหลักฐานการอ่านจบแล้วให้ตัวเองก็ได้ หรือไม่ก็เพราะการ์ตูนเรื่องหนึ่งมันยาว ตามอ่านกันหลายปีกว่าจะจบ บางเรื่องหลายสิบปีก็ยังไม่จบ ก็เลยไม่ค่อยมีโอกาสได้เขียนถึง

กลับมาว่ากันต่อถึงการ์ตูนที่เราจะเขียนถึงวันนี้ เพราะ Pluto เล่ม 8 ซึ่งเป็นเล่มอวสานเพิ่งออกมาในสัปดาห์นี้ เรื่องนี้ขนาดมีแค่ 8 เล่ม ยังตามอ่านกัน 4 ปีเลย อ่านจบแล้วชอบมาก ก็เลยอยากจะบันทึกความรู้สึกที่มีต่อเรื่องนี้ไว้ เรื่องนี้เป็นผลงานของอุราซาว่า นาโอกิ ซึ่งเราชอบมาตั้งแต่สมัยเรื่อง Monster และ 20th Century Boys แล้ว (แต่เราเลิกซื้อ Yawara! ไปกลางคัน เพราะอ่านแล้วรู้สึกว่าไม่สนุก) โดย Pluto ดัดแปลงมาจากตอนหนึ่งของการ์ตูนคลาสสิค ผลงานของปรมาจารย์เทะสึกะ โอซามุ เรื่องอะตอม เจ้าหนูปรมาณู ตอนหุ่นยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก (อยู่ในเล่ม 13 สนพ. วิบูลย์กิจ) ตอนแรกที่เราซื้อ Pluto เล่ม 1 เห็นบนปกก็แปลกใจ เอ๊ะ เทะสึกะ โอซามุ ตายไปตั้งนานแล้ว มาเป็นผู้แต่งร่วมได้ไง แถมการวาดก็เป็นลายเส้นเอกลักษณ์ของอุราซาว่าชัดเจน พอเปิดอ่าน ตอนท้ายก็มีอธิบายไว้ อ๋อ ขออนุญาตทายาท หยิบเนื้อเรื่องเก่าเฉพาะตอนมาเขียนใหม่นี่เอง

ถ้าใครเคยอ่าน Monster และ 20th Century Boys มา จะรู้ว่า อ.อุราซาว่า เขียนพล็อตเรื่องได้น่าติดตามมาก มีปมให้สืบสาวเรื่องราว การลุ้นและตามไขปริศนาหาตัวร้าย อ่านจบแต่ละเล่ม กว่าจะรอให้เล่มใหม่ออกนี่ทรมานใจมากอยากรู้เนื้อเรื่องต่อไป ซึ่ง Pluto ตามล่านักฆ่าแอนดรอยด์ ก็มีคุณสมบัติดังกล่าวครบ การหยิบเนื้อเรื่องจากอะตอมก็ไม่ได้หยิบมาอย่างทื่อๆ แต่มีความกล้าหาญในการดัดแปลงมาเป็นสไตล์ของตัวเองอย่างสร้างสรรค์ โดยยังคงความเคารพต่อผลงานต้นฉบับอย่างเต็มที่ และดีที่มีโครงเรื่องต้นฉบับบังคับ ทำให้ Pluto ไม่ลงเหว ไม่ออกทะเล ไม่ยาวเยิ่นเย้อ เนื้อเรื่องสับสน อ่านแทบไม่รู้เรื่องอย่าง 20th Century Boys เล่มท้ายๆ

เนื้อเรื่องใน Pluto นี้ เรื่องราวเล่าผ่านมุมมองของเกซิกต์ หุ่นยนต์ตำรวจนักสืบจากประเทศเยอรมนีเป็นตัวดำเนินเรื่อง ในโลกยุคอนาคต หุ่นยนต์ชั้นนำของโลกถูกไล่ล่าและถูกฆาตกรรมไปทีละราย โดยฝีมือของผู้ร้ายลึกลับ เงื่อนงำที่ปรากฏในสถานที่เกิดเหตุ อยู่ที่สภาพร่องรอยที่เหมือนกะโหลกมีเขา เกซิกต์ตามสืบคดี และได้ติดตามมาพบอะตอม ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ่นยนต์ชั้นนำของโลก 7 ตัวที่จะถูกตามล่าด้วยเช่นกัน

แม้การดำเนินเรื่องหลักจะยึดโครงเรื่องตามในเรื่องอะตอม แต่การเล่าเนื้อเรื่องเป็นสไตล์สืบสวนสอบสวนไขปริศนาเต็มที่ และที่น่าชื่นชมมากๆ คือตัวละคร ทั้งการออกแบบหน้าตาและบุคลิก ถ้าไม่บอกไม่รู้เลย จากอะตอมหน้าตัวการ์ตูนตาโต กลายเป็นหน้าตาเด็กผู้ชายธรรมดา และเราชอบมิติความลึกของตัวละครที่เพิ่มเข้ามามากๆ เกซิกต์มีความลึกซึ้ง ไม่ใช่หุ่นกระป๋องธรรมดา มีเรื่องราวที่เพิ่มมาจากต้นฉบับมากอยู่ (เรานับแล้ว เกซิกต์ในเรื่องอะตอมมีบทอยู่ 7 หน้าเท่านั้น) เขามีภรรยาหุ่นยนต์ชื่อเฮเลน่า และเขามีฝันร้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่หุ่นยนต์ไม่ควรจะมีได้ แถมยังมีปริศนาเรื่องความทรงจำที่หายไป

อันที่จริงงานของเทะสึกะ โอซามุ ก็ไม่ใช่ว่าตื้นเขิน อย่างเราเคยอ่าน Black Jack บางตอนแล้วกลั้นน้ำตาไม่อยู่ แต่อะตอมเป็นเรื่องสมัยเก่า ลายเส้นโบราณๆ การเล่าเรื่องมันก็เลยทื่อๆ มุมมองภาพเชยๆ และไม่ได้ให้เวลากับตัวละครหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ นอกจากอะตอมมากนัก พอเอามาเล่าใหม่ เพิ่มภูมิหลังตัวละคร มีเนื้อเรื่องใหม่ที่เสริมเข้ามาให้สมบูรณ์ขึ้น บวกกับการวาดที่ใช้มุมกล้องแบบหนัง กลายเป็นเรื่องที่สุดยอดไปเลย ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์ หรือมุมมองที่มีต่อสงคราม ถูกถ่ายทอดมาได้ดีมากๆ

อีกอย่างที่เราชอบคือ บทสนทนาเจ๋งๆ อย่างเรื่อง สมองมนุษย์ที่มีกลไกการลืมเพื่อเยียวยาความเจ็บปวด แล้วหุ่นยนต์ที่จำทุกอย่างในชิพเมมโมรี่ได้ล่ะจะทำยังไง หุ่นยนต์รู้สึกเจ็บปวดโกรธแค้นได้หรือเปล่า จริงๆ เราว่า มันเป็นการพูดถึงจิตใจมนุษย์โดยผ่านมุมมองของหุ่นยนต์นะ จะว่าไปมนุษย์อาจจะมีความอ่อนไหวในใจกับอำนาจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่มีผลต่อจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ ก็เลยมีนักเขียนที่พยายามพูดเรื่องพวกนี้รึเปล่า

ตอนเด็กๆ เราโดนว่าประจำเรื่องหมดเงินไปกับการซื้อการ์ตูน ตอนเป็นวัยรุ่นถูกถามเสมอว่า โตแล้วเมื่อไหร่จะเลิกอ่านซะที บางทีเรายัวะตอบกลับไปว่า เราจะอ่านการ์ตูนไปตลอดชีวิต จนที่บ้านชินเลิกพูดเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้พออายุมากขึ้น รสนิยมเราก็เปลี่ยน เวลาก็ไม่เอื้อ เราอ่านการ์ตูนน้อยลงมากๆ แล้ว เหลือตามอยู่จริงๆ สัก 10 เรื่องเท่านั้น ความคิดก็เปลี่ยนเป็นแค่ว่า เราจะอ่านการ์ตูนไปจนกว่าเราจะรู้สึกว่าอ่านไม่สนุกแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ แบบนี้แหละ ที่ทำให้เรายังเลิกอ่านการ์ตูนไม่ได้เสียที เพราะถ้ายอมรับว่า เป็นผู้ใหญ่แล้วต้องเลิกอ่านการ์ตูน ก็คงน่าเสียดายที่พลาดเรื่องดีๆ แบบนี้ไป

รวมผลงาน Johanna Lindsey

ในโอกาสที่เพิ่งอ่าน That Perfect Someone จบไป ทำให้เราอ่านเรื่องของ Johanna Lindsey ครบทุกเรื่องที่ออกมาแล้ว ณ ตอนนี้ (47 เล่ม) ก็เลยขอเอาไฟล์รายชื่อเรื่องที่เราอ่านแล้วให้คะแนนไว้มาโพสท์ให้ดูเล่นค่ะ



คะแนนที่ให้เป็นความชอบส่วนตัวล้วนๆ นะคะ มีโอกาสสูงที่จะไม่ตรงกับความเห็นของคนอื่น ฮ่าฮ่า

อย่าง Surrender My Love พิศวาสจำนน เนี่ยเราชอบมากๆ เอาไปยัดเยียดให้เพื่อนสนิทอ่าน มันบอกว่าห่วยอ่ะ แต่ไม่รู้ทำไม มันถูกใจเรามากเลย พระเอกไวกิ้งจับตัวนางเอกไปทรมานเพื่อแก้แค้น กลั่นแกล้งรังแกสารพัด แต่ก็อดใจหลงรักนางเอกไม่ได้ เล่าเรื่องเองยังอายตัวเองเลย ชอบพล็อตเรื่องแบบนี้ได้ไง เอาเป็นว่า มันเป็น guilty pleasure ของเราแล้วกัน

เรื่อง Secret Fire จำเลยสวาทก็เหมือนกัน เจ้าชายรัสเซียจับตัวนางเอกลูกสาวท่านเอิร์ลไปเป็นนางบำเรอ เพราะนางเอกดันปลอมตัวเป็นคนรับใช้ แต่เราชอบดมีทรีมากๆ น่ารักอ่ะ และเราชอบพล็อตเรื่อง secret baby นางเอกท้องแล้วหนีไป ให้พระเอกตามหา

ส่วนเรื่องในชุดมัลโลรี คนอื่นมักจะชอบ Gentle Rogue กัน เราก็ดันแหวกแนวไปชอบ Say You Love Me นางบำเรอยอดเสน่หาที่สุดเลย ชอบดีเร็คที่ไม่ค่อยวางอำนาจกับนางเอกแบบพระเอกคนอื่นๆ อาจเพราะเป็นเล่มแรกที่ได้อ่านงานของ JL ด้วย

สรุปเหตุผลที่เราชอบ Johanna Lindsey

1. รับประกันว่านางเอกทุกเรื่องเวอร์จิ้น ไม่ต้องระวังก่อนอ่านว่าจะมีเหตุให้ต้องเสียความรู้สึกหรือเครียดหนักสมอง
2. หลากหลายแนว รีเจนซี่ ยุคกลาง ไวกิ้ง ฮาเร็ม ย้อนเวลา คาวบอย ยุคบุกเบิกตะวันตก ฉากในอวกาศก็ยังมีเลย
3. นางเอกตลก น่ารัก นิสัยดี บางครั้งอาจจะงี่เง่าไปหน่อย แต่ก็ไม่เคยมีใครทำความผิดร้ายแรงให้เราไม่ชอบเลย
4. ส่วนมากเราจะชอบพระเอกของเธอ น่ารักดี ปากแข็ง แต่ก็รักนางเอกมาก (ยกเว้นนิโคลัส Love Only Once กับพระเอกปล้นรักปล้นเรือ นี่เราเกลียดมาก)
5. Surrender My Love, Secret Fire, Say You Love Me, Angel แค่ 4 เรื่องนี้ ก็ทำให้เรายกตำแหน่งนักเขียนโรแมนซ์คนโปรดให้เลย ถึงแม้เรื่องที่เหลืออาจจะธรรมดาก็ตาม
6. ครอบครัวมัลโลรี เป็นกลุ่มตัวละครที่น่ารักมากทั้งตระกูล เวลาพี่น้องอาหลานคุยกันตลกน่ารักดี คนที่เราชอบเป็นพิเศษคือแอนโธนี ดีเร็ค เอมี่ กับเจเรมี่
7. เนื้อเรื่องอ่านสนุก ถึงแม้บางทีอาจจะอ่อนเหตุผล ไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ เรียกชื่อบรรดาศักดิ์ผิดๆ ถูกๆ แต่รวมๆ แล้วก็ถือว่า อ่านได้เพลิน เบาสมอง ไม่ต้องคิดมาก อ่านแล้วสบายใจดี ผ่อนคลายความเครียด

จุดเริ่มต้นที่เราชอบ JL คือเมื่อประมาณ 6 ปีก่อน เราเพิ่งเริ่มบ้าอ่านนิยายโรแมนซ์ หลังจากอ่าน Judith McNaught หมดไป ก็ลองอ่านของคนโน้นคนนี้ โดยลองหาจากร้านเช่าหนังสือก่อน ลดความเสี่ยง ถ้าชอบแล้วค่อยซื้อ วันหนึ่งหยิบสุ่มเรื่องนางบำเรอยอดเสน่หามาจากร้านเช่า เพราะอ่านจากปกหลังแล้วรู้สึกว่าน่าจะสนุก อ่านจบแล้วชอบ แล้วก็รู้ว่ามันต้องเป็นเรื่องในซีรีส์แน่ๆ ก็มาค้นในเน็ต จนรู้ว่าเป็นงานของ Johanna Lindsey แล้วก็เลยปฏิบัติการตามล่างานของ JL สมัยนั้นเรายังไม่เจอแหล่งโหลดอีบุ๊คนะ ช่วงนั้นไม่มีงานสัปดาห์หนังสือ แล้วงานของ JL หลายเล่มก็เก่ามากไม่มีขายที่ร้านแล้ว เราเดินตามล่าที่ร้านเช่าทุกร้านทุกซอยแถวหน้ารามฯ ดั้นด้นไปซีเอ็ดสาขาไกลๆ ที่บอกว่ามีหนังสือของ JL ขาย หาทั้งฉบับภาษาไทย และเวอร์ชันอังกฤษ ร้านขายหนังสือเก่าแถวสุขุมวิท จตุจักร ทั้งเดินคิโนะฯ เอเชียบุ๊คส์ สั่งจาก Amazon ประมูลจาก eBay ก็ทำ พยายามทุกวิถีทาง ใช้เวลาตามอ่านอยู่ 3-4 เดือน จนอ่านได้ครบ 40 เรื่อง ที่ออกมาตอนนั้น

อาจเป็นเพราะสมัยนั้นเราตามอ่านไปเรื่อยๆ อย่างลำบาก เจอเล่มไหนก่อนก็อ่าน ไม่เรียงลำดับ พอเจอเรื่องธรรมดาเข้า 2-3 เล่ม กำลังจะเบื่อ ก็มาตามเจอเรื่องที่เราชอบมากสลับไป ทำให้เราหยุดตามไม่ได้สักทีจนในที่สุดก็อ่านครบ เรื่องไหนเราชอบมาก (พวกที่ได้คะแนน 8-9) ถ้าเราอ่านภาษาไทยแล้วก็ซื้อภาษาอังกฤษเก็บ ถ้าอ่านต้นฉบับแล้วชอบก็ตามซื้อฉบับแปล เพราะฉะนั้น เรามีความรู้สึกพิเศษให้กับ JL มากๆ แม้เรื่องหลังๆ จะไม่สนุกเท่าที่ตามอ่านสมัยโน้นแล้ว แต่เวลาอ่านเล่มใหม่ทีไร เราก็จะคิดถึงความทรงจำช่วงนั้นทุกที แล้วก็ยังมีความรู้สึกดีๆ กับงานของเธอเสมอ

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

That Perfect Someone - Johanna Lindsey

คะแนน : 7


เรื่องใหม่ของ Johanna Lindsey ถ้าสังเกตด้านขวามือของบล็อกนี้ คงทราบแล้วว่า JL เป็นนักเขียนนิยายโรแมนซ์ที่เราชอบเป็นอันดับสอง และถึงแม้ผลงานช่วงหลังๆ ของเธอจะไม่สนุกเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่เราก็ติดตามอ่านเล่มใหม่ทุกเรื่องของเธอเสมอ โดยทำใจไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วว่าไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก แต่ด้วยอานิสงส์จากความชอบดั้งเดิมที่เรายกเธอขึ้นหิ้งบูชาแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าเธอเปลี่ยนแนวไปเขียนอะไรที่เราไม่ชอบเข้าจริงๆ ยังไงก็คงไม่เลิกเป็นแฟนนิยายของเธอแน่ๆ ลัดคิวอ่านทันทีเมื่อได้มาอยู่ในมือ

That Perfect Someone เป็นนิยายชุดมัลโลรี เล่มที่ 10 ถึงบอกว่าเป็นมัลโลรี แต่ความจริงคนตระกูลมัลโลรีถูกจับมาเป็นพระเอก-นางเอกซะหมดบ้านไปนานแล้ว จนขยายมาเป็นฝั่งแอนเดอร์สัน บรรดาพี่ชายของจอร์จิน่า ก็ครบคนแล้ว ตอนนี้เลยขยายไปถึงพวกเพื่อนๆ ของมัลโลรีแทน

พระเอกคือ ริชาร์ด อัลเลน เป็นเพื่อนของกาบรีแอล นางเอกเรื่อง Captive of My Desires ปรากฏตัวครั้งแรกในเล่มนั้น ในชื่อ ฌอง-ปอล และมีเรื่องราวความหลังจากเล่มนั้นเกี่ยวพันในเล่มนี้บ้างเล็กน้อย ส่วนนางเอกคือ จูเลีย มิลเลอร์ เป็นเพื่อนบ้านของเจมส์กับจอร์จ คิดว่านางเอกเป็นตัวละครใหม่นะคะ ตัวละครเก่าที่มีบทเด่นหน่อยก็คือเจมส์ (Gentle Rogue) ซึ่งออกมาทีไรก็ขโมยซีนทุกที กับกาบรีแอล นอกนั้นก็พูดถึงแบบผ่านๆ

จูเลีย ซึ่งเป็นลูกสาวพ่อค้ามหาเศรษฐี หมั้นกับริชาร์ด ซึ่งเป็นลูกชายคนรองของเอิร์ลแห่งมิลตัน มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กแบเบาะ สมัยเด็กเมื่อคู่หมั้นทั้งสองมาเจอกันทีไร ก็ต้องทะเลาะกันทุกที จนต่างฝ่ายต่างเกลียดชังน้ำหน้ากันที่สุด ริชาร์ดมีเรื่องกับพ่อและหนีออกจากบ้านไปเป็นลูกเรือโจรสลัด เมื่ออายุสิบเจ็ดปี โดยไม่เคยติดต่อทางบ้านเลย เวลาผ่านไป 9 ปี ขณะนี้ จูเลียอายุ 21 เลยวัยที่สมควรแต่งงานแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งซะทีเพราะคู่หมั้นหายตัวไป เธอกำลังเดินเรื่องทางกฎหมายที่จะประกาศให้ริชาร์ดเป็นบุคคลที่เสียชีวิตแล้ว เพื่อเธอจะได้เป็นอิสระ แต่แล้วโชคชะตาก็นำทั้งสองให้มาเจอกันในงานเต้นรำสวมหน้ากากของครอบครัวมัลโลรี

เนื้อเรื่องก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก ครึ่งเล่มแรกเป็นการบรรยายเล่าเรื่องพื้นหลังซะเยอะ พระเอกนางเอกเจอกันจริงๆ ไม่กี่ฉาก จนถึงตอนหลังจากที่ตามไปช่วยพระเอกบนเรือ ทั้งคู่ถึงจะได้มาอยู่ดำเนินเรื่องด้วยกันตลอด อ้อ แต่เราว่าเลิฟซีนครั้งแรกของทั้งคู่ มันเกิดขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยไปหน่อย ยังไม่ค่อยรู้จักกันดีเลย เหมือนโดนบังคับว่านี่เป็นนิยายโรแมนซ์นะ เกินครึ่งเล่มมาแล้ว ต้องมีฉากอย่างว่าได้แล้ว ก็จับยัดใส่มา เราว่าถ้าเลื่อนฉากนั้นไปก่อน มาเป็นตอนที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันที่บ้านท่านเอิร์ล เรื่องน่าจะเป็นธรรมชาติกว่านี้ สรุปโดยรวมๆ แล้ว เล่มนี้ก็เหมือนเรื่องยุคหลังๆ ของนิยายชุดนี้ เรื่องเบาๆ อ่านเพลินๆ ไม่มีอะไรเด่นเป็นพิเศษให้น่าจดจำ บางเหตุการณ์อาจจะรู้สึกว่าไร้เหตุผลด้วยซ้ำ ถ้าให้คะแนนความชอบโดยไม่ดูชื่อผู้แต่ง เราคงให้เรื่องนี้ที่ 6.5 แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของ JL ซึ่งเราให้คะแนนลำเอียงเต็มที่ จึงให้ไว้ที่ 7 อย่างน้อยก็ได้ตามมาตรฐานที่เราคาดหวังไว้