วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Luxe Series - Anna Godbersen

คะแนน : 7

วันนี้ ขอขี้โกงพูดถึงหนังสือที่อ่านไม่จบบ้างนะคะ ปกติเวลาเราจะเลือกหนังสือมาอ่าน สิ่งที่เราสนใจมากที่สุดคือชื่อคนแต่ง แต่วันหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว แค่เราเห็นหน้าปกหนังสือเล่มนี้ ก็ทำให้เราตัดสินใจว่าจะอ่านทันที เพราะหน้าปกอย่างเดียวเลยค่ะ ทั้งๆ เราไม่เคยรู้จักเรื่อง ไม่รู้จักคนแต่งมาก่อนเลย เรื่อง Envy เป็นหนังสือที่มีหน้าปกสวยสะดุดตามาก นางแบบบนหน้าปกสวยสุดๆ แล้วดูชุดเสื้อผ้าของนางเอกบนหน้าปกสิ โอ้ย เราชอบมากถึงขนาดเข้าเว็บไซต์ของหนังสือ และจัดแจงดาวน์โหลดรูปภาพมาใช้เป็นวอลล์เปเปอร์ของเครื่องโน้ตบุ๊คเราซะเลย หน้าปกซีรีส์นี้สวยทุกเล่ม แต่ Envy สวยที่สุด ภาพปกแสดงรูปตัวละครหลักในเรื่อง 4 คน เล่มแรกเป็นรูปเอลิซาเบธ เล่มสองเพนเนโลปี เล่มสามไดอาน่า เล่มสี่เป็นลิน่า ในงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมานี้ เราเห็น The Luxe ฉบับแปลไทย ก็ใช้รูปหน้าปกแบบเดียวกันด้วย



เช็คข้อมูลพบว่า นี่เป็นหนังสือในชุด The Luxe Series เป็นนิยาย Young-adult ที่จับกลุ่มนักอ่านหญิงวัยรุ่น ซึ่ง Envy เป็นเล่มที่สาม ต่อจาก The Luxe และ Rumors พอได้มาก็จัดแจงโหลดลงเครื่องทั้ง 3 เล่ม แค่เริ่มต้นเปิดหน้าแรกของ The Luxe ก็ทำให้เราตื่นเต้นแล้ว เพราะหนังสือชุดนี้ ขึ้นต้นเรื่องด้วยการ quote ถ้อยคำจากนิยายในดวงใจของเราเล่มหนึ่งคือ เรื่อง The Age of Innocence ของ Edith Wharton มา เพื่อนำเข้าสู่ฉากของเรื่องซึ่งเป็นยุคสมัยเดียวกัน เป็นเรื่องราวในสังคมผู้ดีของนิวยอร์กช่วงศตวรรษที่ 19 สังคมที่ให้ความสำคัญสุดชีวิตต่อหน้าตาชื่อเสียง นำไปสู่ความปลิ้นปล้อนหักหลังและการใส่หน้ากากเข้าหากัน การปกป้องรักษาชื่อเสียงของตนและวงศ์ตระกูลสำคัญยิ่งกว่าความต้องการของหัวใจ และนี่คือเรื่องราวการชิงรักหักสวาทของหญิงสาว 4 คน ที่อาศัยอยู่ในยุคสมัยนั้น

ต่อไปนี้ ระวังนะคะ เราจะสปอยล์แหลกราญเลย เพื่อบอกว่า ทำไมซีรีส์นี้ถึงเป็นเรื่องที่เราอ่านไม่จบ

ในปี 1899 เรื่องราวของ The Luxe เริ่มขึ้นโดยแนะนำเราให้รู้จักกับ เอลิซาเบธ ฮอลแลนด์ วัย 18 ปี หญิงสาวผู้เพียบพร้อมทั้งความงามและชาติตระกูลผู้ดี เธอเป็นดาวเด่นของวงสังคม นั่นคือภาพภายนอก แต่ภายในใจของเธอมีความลับซุกซ่อนอยู่ เธอแอบรักอยู่กับวิลเลียม เคลเลอร์ เด็กหนุ่มคนขับรถม้าของครอบครัวที่เติบโตมาด้วยกันกับเธอ แต่ด้วยความจำเป็นหลังจากการเสียชีวิตของพ่อ เพื่อรักษาฐานะครอบครัว แม่ของเธอยื่นคำขาดให้เอลิซาเบธแต่งงานกับ เฮนรี่ ชูนเมคเกอร์ ชายหนุ่มรูปหล่อจากครอบครัวชั้นนำ เมื่อดูจากภายนอก เอลิซาเบธกับเฮนรี่ เป็นคู่หมั้นที่เหมาะสมกันมากที่สุด แต่ทั้งสองไม่มีใจให้กันเลย เฮนรี่จำต้องเลือกเอลิซาเบธเพราะคำสั่งของพ่อ เขามีสัมพันธ์สวาทอยู่ก่อนแล้วกับเพนเนโลปี เฮยส์ สาวแสบลูกสาวเศรษฐีใหม่ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเอลิซาเบธเอง การหมั้นของทั้งคู่ ทำให้เพนเนโลปีแค้นเคืองใจ และตั้งใจจะทำทุกวิถีทางไม่ยอมปล่อยให้เฮนรี่หลุดมือไปเป็นอันขาด แต่เฮนรี่เองกลับไม่ได้รักใคร่เสน่หาในตัวเพนเนโลปีมากมายอะไร เมื่อเขาต้องมาเยี่ยมเยียนเอลิซาเบธตามธรรมเนียม ก็ทำให้เขาได้มีโอกาสพบไดอาน่า ฮอลแลนด์ น้องสาวแสนสวยของเอลิซาเบธ ชายหนุ่มประทับใจกับความดื้อรั้นเป็นตัวของตัวเองของไดอาน่า และเริ่มก่อตัวเป็นความรัก ไดอาน่าเองก็อดมีใจให้แก่ชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้เป็นคู่หมั้นของพี่สาวตัวเองไม่ได้ ในขณะที่เอลิซาเบธก็ต้องทุกข์ทรมานใจ เมื่อวิลกำลังจะจากไปเผชิญโชคทางตะวันตก เพราะทนไม่ได้ที่จะเห็นเธอแต่งงานกับชายอื่น และหญิงสาวอีกผู้หนึ่ง ลิน่า บราวด์ สาวใช้คนสนิทของเอลิซาเบธเอง ก็กลายมาเป็นศัตรูของเธออีกคน เพราะลิน่าเองก็หลงรักวิลมาตลอดเช่นกัน ความสัมพันธ์อันสับสนอลหม่านของหญิง 4 ชาย 2 เป็นเรื่องราวหลักๆ ใน The Luxe เล่มแรก

ถ้าถามว่าเรื่องสนุกมั้ย ก็สนุกดีนะคะ และเพราะนี่ไม่ใช่นิยายโรแมนซ์ที่เราคาดหวังถึง Happy Ending ได้ทันทีตั้งแต่ก่อนอ่าน ก็เลยสามารถหลอกล่อให้ผู้อ่านอยากรู้ติดตามว่า แล้วใครจะลงเอยกับใครได้ แต่อย่างที่บอกตอนแรกว่า The Luxe เป็นนิยายจับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น ซึ่งมีผู้ให้นิยามไว้ว่าเหมือน Gossip Girl ยุคโบราณ เราไม่ได้อ่านหรือดูเรื่อง Gossip Girl แต่เราคิดว่า อารมณ์ของ The Luxe ก็ประมาณเหมือน TV Series เรื่อง Dawson's Creek หรือ Popular คือ ชีวิตวัยรุ่นไฮสกูล วุ่นวายเรื่องเพื่อนเรื่องแฟน เดี๋ยวคนนี้คู่กับคนนั้น คนนั้นคบกับคนนี้ เพราะฉะนั้นถึงแม้จะเป็นฉากยุคโบราณ แต่มิติความลึกของตัวละคร มันยังไม่เท่าอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครผู้ใหญ่เหมือนในนิยายโรแมนซ์ ตอนอ่านซีรีส์นี้ไปก็รู้สึกถึงความแก่ของตัวเองเลย

แต่ไหนๆ แล้ว เพราะอยากรู้เรื่องราวว่าจะเป็นไงต่อ อ่านเล่มหนึ่งจบ ก็ต่อที่เล่มสองคือ Rumors เลย หลังจากที่เอลิซาเบธจากไป ก็ใช่ว่าไดอาน่าจะได้ลงเอยกับเฮนรี่ง่ายๆ เพราะมันไม่เหมาะไม่ควรที่จะมารักกับน้องสาวอดีตคู่หมั้น ส่วนเพนเนโลปีที่นึกว่ากำจัดเอลิซาเบธให้พ้นทางไปได้แล้ว แต่กลับพบว่าศัตรูหัวใจของเธอจริงๆ คือไดอาน่าต่างหาก เพนเนโลปีแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับลิน่าผู้ทะเยอทะยาน เพื่อหาหนทางทำลายไดอาน่าและดึงเฮนรี่กลับคืนมา ครอบครัวฮอลแลนด์ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติเรื่องเงินและอาการป่วยของแม่ จนไดอาน่าต้องเขียนโทรเลขขอความช่วยเหลือจากพี่สาว เอลิซาเบธจึงเดินทางกลับบ้าน และจุดหักเหที่เป็นสาเหตุให้เราอ่านซีรีส์นี้ไม่จบก็อยู่ตอนท้ายเล่มสองนั่นเอง เราไม่ติดใจเรื่องวิลนะคะ บางคนไม่ชอบที่เรื่องพลิกแบบนั้น แต่เรากลับรับไม่ได้เรื่องเฮนรี่มากกว่า
สปอยล์

ที่เฮนรี่ไปแต่งงานกับเพนเนโลปี


โอ๊ย ทำได้ไง ทำแบบนั้นด้วยเหตุผลว่า ปกป้องชื่อเสียงไดอาน่าเนี่ยนะ เฮ้ย ไอ้ที่ทำมันไม่ยิ่งทำร้ายไดอาน่ามากกว่าหรือ เรางงๆ กับตรรกะของเฮนรี่มากเลย แต่ก็ไม่แน่ใจกับสภาพสังคมสมัยนั้นเหมือนกัน เพราะอ่านโรแมนซ์จนชิน นางเอกเจอเรื่องอื้อฉาวถูกสังคมนินทาประจำ จนเราไม่คาดว่าเฮนรี่จะต้องพยายามปกป้องชื่อเสียงของไดอาน่าด้วยวิธีการแบบนั้น และนั่นฆ่าความรู้สึกที่เรามีต่อเรื่องนี้ทันที

เพราะเสียความรู้สึก และเพราะขี้เกียจรอลุ้นแล้วว่าบทสรุปสุดท้ายจะเป็นยังไง ก็เลยจัดการสปอยล์ตัวเองซะ เมื่อ Splendor นิยายเล่มสุดท้ายในชุดออกมา เราก็เปิดอ่านตอนจบเลย และสิ่งที่ได้รับรู้ก็ยิ่งทำให้เราหมดไฟในการกลับไปอ่าน Envy เล่มสาม กับ Splendor เล่มสี่ให้จบดีๆ ซึ่งค่อนข้างผิดวิสัย ถ้าไม่ใช่ว่าห่วยจริงๆ อ่านเรื่องไหนมาแล้ว เราก็จะอ่านให้จบ แต่ทั้งๆ ที่เรายังเก็บเรื่องนี้ไว้ในเครื่อง คั่นหน้าไว้เรียบร้อยอยู่บนสุดของหน้าจอ เพื่อรอให้กลับมาอ่าน แต่ผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ไม่เกิดความรู้สึกอยากกลับไปอ่านเสียที เพราะฉะนั้น เราจึงตัดสินใจว่าจะไม่อ่านซีรีส์นี้ต่อแล้ว และเอามาเขียนบล็อกซะ เพื่อเป็นการบอกลา

อย่าเข้าใจผิดว่าเรื่องห่วย หรือเรื่องจบแย่มากนะคะ มันเป็นฉากจบที่สมเหตุสมผล คนดีได้ดี คนที่ร้ายก็ได้บทเรียนที่สาสม แต่ยังไงเราก็อดผิดหวังนิดๆ ไม่ได้อยู่ดี เพราะไดอาน่าเป็นตัวละครที่เราชอบที่สุดในเรื่อง ไม่ใช่แค่ความประทับใจจากนางแบบบนหน้าปกอย่างเดียวนะคะ ในนิยายเราก็ชอบนิสัยไดอาน่ามากที่สุด ถึงจะเสียความรู้สึกกับการกระทำของไดอาน่าเรื่องเกรย์สัน แต่ก็ยังเอาใจช่วยอยู่ ถึงแม้ผู้แต่งจะยืนยันว่าจบแบบนี้ไดอาน่ามีความสุขกว่า แต่เราก็ยังเสียดายอยู่ดี ก็เลยไม่อยากกลับไปอ่านต่อ อาจจะดูไม่ยุติธรรมนักที่เราจะให้คะแนนซีรีส์นี้ เพราะอ่านไปแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น แต่ยังไงก็ขอให้ระดับความชอบของสองเล่มที่อ่านไปไว้ที่ 7 แล้วกันค่ะ

อันนี้เป็นแฟนวิดที่เราว่าทำดีพอใช้ ทำให้พอเห็นภาพและอารมณ์ของเรื่องนี้ ฉากและเครื่องแต่งกายอาจไม่ตรง เพราะมิกซ์มาจากหนังหลายเรื่องปนกัน แต่ตัวแสดงพอได้ เอมม่า วัตสัน ดูเด็กไปหน่อยสำหรับไดอาน่า แต่ก็โอเคอ่ะค่ะ

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Help - Kathryn Stockett

คะแนน : 8



น่าเสียดายที่เรื่องอื่นๆ ที่ต่อเนื่องจาก Lady Gallant มีแต่คนบอกว่าไม่ดีเท่า เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมองหาเล่มอื่นมาอ่าน และมาเลือกเล่มนี้เพราะดาวของ Amazon มีผู้อ่านกว่า 80% จาก 2,122 คน ให้คะแนน 5 ดาว แก่หนังสือเล่มนี้ คือ เดี๋ยวนี้เราจะอ่านอะไร มักจะหารีวิวอ่านก่อนเสมอ ต่างจากสมัยเรียนที่อ่านดะไปเรื่อยๆ ที่มีให้อ่าน ตอนนี้เรามีหนังสือให้เลือกมากขึ้น อันที่จริง แทบจะเรียกว่า มีให้อ่านเยอะมากจนแน่ใจว่าไม่มีวันอ่านจบได้หมดในชีวิตนี้ ดังนั้นเราจึงค่อนข้างเลือกมากกับหนังสือที่จะอ่าน เพราะตอนนี้การอ่านเป็นการลงทุนทางเวลาและอารมณ์ที่มีต้นทุนสูง เดี๋ยวนี้เราไม่มีสองสิ่งนั้นเหลือเฟือพอที่จะปล่อยให้สูญเสียโดยเปล่าประโยชน์แล้ว และอีกอย่าง เราค่อนข้างชอบ หนังติดอันดับ Box Office หรือหนังสือ Bestseller เพราะรสนิยมเราก็ธรรมดานี่แหละ ถ้าคนจำนวนมากชอบ เราก็มักจะชอบด้วย อย่าง Da Vinci Code หรือ Twilight เราอ่านเพราะมันดัง แล้วมันก็สนุกจริงๆ ด้วย

The Help เป็นนิยายที่บอกเล่าเรื่องราวของชนชั้นระหว่างคนขาว-คนดำ เรื่องเกิดขึ้นที่รัฐมิสซิสซิปปี้ ในยุคปี 1960 ยุคสมัยของการตื่นตัวเรื่องสิทธิพลเมืองของชนกลุ่มน้อย โดยเล่าผ่านมุมมองของผู้หญิง 3 คน คือ สกีเตอร์ หญิงสาวผิวขาว กับ เอบีลีน และ มินนี่ หญิงผิวสี ที่ทำงานเป็นแม่บ้านให้แก่ครอบครัวผิวขาว เป็นตัวเลือกที่หยิบมาอ่านแบบแปลกใจตัวเองเล็กน้อย เพราะเราก็ไม่ใช่ว่าจะสนใจปัญหาเรื่องแบ่งแยกสีผิวนัก

ตอนเด็กๆ สมัยประถม เราเคยอ่านเรื่องฮัคเคิลเบอร์รี่ ฟินน์ ที่เป็นหนังสือเล่มเล็กของ สนพ. เม็ดทราย แต่เราจับประเด็นเรื่่องทาสไม่ได้เลย โตขึ้นมาหน่อย ตอน ม.ต้น เราเคยอ่านเรื่องกระท่อมน้อยของลุงทอม ก็พอจะเข้าใจเรื่องราวของการถูกกดขี่มากขึ้น แต่ก็คิดว่า สมัยนั้นเราคงห่างไกลเกินกว่าที่จะมีสำนึกรับรู้ประเด็นลึกๆ ของหนังสือได้ ถึงแม้สหรัฐอเมริกาจะเลิกทาสไปตั้งแต่สมัยสงครามกลางเมือง แต่การแบ่งแยกสีผิวก็ยังดำเนินต่อมาอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในรัฐทางใต้

เราจำได้ว่า ตอนยังผูกคอซอง เราเคยเล่าให้เพื่อนฟังว่า เคยมีกฎหมายว่าคนดำไม่ได้รับอนุญาตให้นั่งรถเมล์ร่วมกับคนขาว
เพื่อนเราถามว่า ที่ไหน
เราบอกว่า ที่อเมริกา
เพื่อนเราถามกลับมาว่า ไหนว่าอเมริกาเป็นประเทศประชาธิปไตย เคารพสิทธิเสรีภาพทุกคนไง
เราตอบเพื่อนเราไม่ได้แฮะ ตอนนั้นยังรู้น้อย และเราก็พลอยสับสนไปด้วยว่า ข่าวหรือบทความที่เราเห็น นั่นคืออเมริกาหรือแอฟริกาใต้กันแน่
ก็เลยตอบแบบงงๆ ไปว่า คงเป็นที่อเมริกาใต้มั้ง

ตอนนี้ถึงโตแล้ว ก็ใช่ว่าจะทำให้เราเข้าใจเรื่องการแบ่งแยกสีผิวได้ลึกซึ้งอะไร แต่ในระหว่างการอ่านครึ่งแรกของหนังสือ เป็นเวลาที่เราอ่านได้ช้ากว่าที่คิด ไม่ใช่เพราะมันอ่านยากหรือน่าเบื่อ แต่เป็นเพราะเราต้องหยุดคิดเป็นระยะๆ ถึงความอยุติธรรมในสังคม และเราสาบานว่า เราอดที่จะเปรียบเทียบมันกับเมืองไทยสมัยนี้ไม่ได้ ประเทศไทยอาจจะซ่อนการแบ่งชนชั้นได้แนบเนียนกว่า เพราะสีผิวไม่เห็นชัด แต่เชื่อเถอะ วาทกรรมของหลายๆ คนที่เราได้ยินมาในช่วงปีที่ผ่านมานี้ มันเหมือนสิ่งที่ฮิลลี่หรือเอลิซาเบธพูดและทำนั่นแหละ แต่แทนที่จะแบ่งด้วยสีผิว สังคมไทยแบ่งกันด้วยความเป็นคนกรุงกับคนต่างจังหวัด เมื่อวานเราไปซื้อหนังสือที่สยามพารากอนที่เพิ่งกลับมาเปิดหลังเหตุการณ์ชุมนุม ได้ยินบทสนทนาบางคำ นี่มันฮิลลี่ชัดๆ ฟังแล้วเกือบจะละอายใจที่ตัวเราเองก็เป็นคนกรุง เกิดกรุงเทพฯ โตกรุงเทพฯ เลย ส่วนคนไทยหลายคนถ้าได้อ่านเรื่องนี้ก็คงเป็นเหมือนเอลิซาเบธ ที่อ่านหนังสือแล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ในนั้นพูดเรื่องของตัวเธอเอง ถ้าคนรอบตัวเราที่ทำงานได้ยินเราเปรียบเทียบอย่างนี้ คงจะเถียงคอเป็นเอ็นว่า เราบ้า เครียด คิดมาก เมืองไทยมีอะไรอย่างนั้นซะที่ไหนล่ะ ชีวิตจริงเราระบายไม่ได้ ก็พูดมันในบล็อกส่วนตัวนี่แหละ เข้าใจอารมณ์สกีเตอร์มากๆ ที่จะคิดจะพูดจะทำอะไร ก็ต้องระวังตัวเพราะขัดกับความเชื่อของคนรอบข้าง

ฟังดูหนังสือเล่มนี้เครียดมากๆ เลยใช่มั้ย แต่ที่จริงเปล่าเลยนะ หนังสือเล่าเรื่องราวในชีวิตของผู้หญิงสามคน สลับมุมมองไปมา เอบีลีนเป็นแม่บ้านผิวสีวัยห้าสิบกว่าที่เลี้ยงดูลูกๆ ให้คนขาวมาแล้วถึง 17 คน เธอเพิ่งเสียลูกชายคนเดียวไปจากอุบัติเหตุในการทำงาน มินนี่วัยสามสิบกว่า เป็นแม่บ้านปากกล้า จึงมักจะมีเรื่องกับนายจ้างเสมอ เธอต้องเลี้ยงลูก 5 คน และต้องทนกับสามีขี้เมา กับสกีเตอร์ หญิงสาวที่เพิ่งเรียนจบจากวิทยาลัย ยังไม่แต่งงานมีครอบครัวเหมือนเพื่อนๆ คนอื่น และเธอยังฝังใจอยากติดตามหาอดีตแม่บ้านผิวสี ที่รักและเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เด็ก ที่หายเงียบไปจากชีวิตเธอเฉยๆ ช่วงที่เธอไปเรียนกำลังจะจบ สกีเตอร์อยากเป็นนักเขียน และนั่นเป็นสิ่งที่ชักนำให้เธอเข้ามาร่วมมือกับเอบีลีนและมินนี่ เพื่อเขียนหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของแม่บ้านผิวสี ที่รับใช้นายจ้างผิวขาว ซึ่งไม่ได้มีแต่ด้านลบ แต่ก็มีด้านบวก ด้านที่งดงามของความรักเมตตาและมิตรภาพระหว่างกัน อย่างที่ในหนังสือบอก ประเด็นของหนังสือคือ ฉันก็คน เธอก็คน เราต่างก็เป็นผู้หญิง เป็นคนเหมือนกัน ทำไมไม่ทำตัวดีต่อกันล่ะ

หนังสืออ่านสนุก ดึงดูดให้คุณเข้าไปรู้จักตัวละครและชีวิตรอบตัวในสังคมอเมริกันยุคนั้นได้ดีมาก ช่วงแรกอาจจะกดดันหน่อยเพราะมีเรื่องน่าหดหู่คับแค้นใจเยอะ แต่ถ้าคุณไม่คิดมากก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย อ่านเอาสนุกเฉยๆ ก็ได้ โดยเฉพาะตั้งแต่กลางเรื่องไป เป็นช่วงลุ้นในการแอบเขียนหนังสือ เรื่องสนุกมากค่ะ วางไม่ลงเลย เมื่อคืนอ่านเลยเถิดจนถึงตีสองเพื่ออ่านให้จบให้ได้ โดยเฉพาะเมื่อดำเนินเรื่องถึงตอนหนังสือออกขายได้แล้ว ตอนกลัวถูกจับได้ว่าเป็นเรื่องของใครเขียน ลุ้นมากค่ะ ว่าจะเอาตัวรอดกันยังไง เป็นหนังสือที่คุ้มค่าในการอ่านมาก สุดท้ายที่เราจะพูดถึงเรื่องนี้ คือ ต่อไปเมื่อเราได้ยินได้เห็นคำว่า พายช็อกโกแลต เราคงต้องนึกถึงนิยายเรื่องนี้แน่ๆ !! หึหึ

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Lady Gallant - Suzanne Robinson

คะแนน : 8.5



หยิบเรื่องนี้มาอ่านเพราะเข้าเว็บ พูดกันเรื่องนิยายที่มีฉากง้อดีที่สุด มีคนพูดถึงเรื่องนี้ อ่านรีวิวแล้วน่าสนใจ โดยเฉพาะตรงที่บอกว่าพระเอกต้องง้อนางเอกนานมากนี่ล่ะ ช้อบ ชอบ พล็อตแบบนี้

Lady Gallant ใช้ฉากในยุคราชวงศ์ทิวเดอร์ รัชสมัยของควีนบลัดดี้แมรี่ เราอ่านนิยายโรแมนซ์ยุครีเจนซี่ซะเยอะ เล่มนี้ได้เปลี่ยนบรรยากาศมาอ่านยุคอื่นบ้างก็ดีค่ะ เราชอบประวัติศาสตร์ยุคทิวเดอร์อยู่แล้วด้วย แล้วตัวละครในเรื่องนี้ก็คิดและกระทำ สมกับที่อยู่ในยุคนั้นดีค่ะ ไม่เหมือนหลายๆ เรื่อง ที่เหมือนพระเอกนางเอกเป็นคนปัจจุบันแต่งชุดย้อนยุคเฉยๆ

นางเอกชื่อเอเลนอร่า เบคเก็ต เป็นนางกำนัลรับใช้ราชินีแมรี่ แต่แอบเป็นสปายส่งข่าวให้ฝ่ายเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระเอกคือ คริสเตียน เดอ ริเวอร์ส ไวส์เคาต์มอนต์ฟอร์ต เขากับพ่อผู้เป็นเอิร์ล ก็อยู่ข้างเอลิซาเบธ และคอยช่วยเหลือฝ่ายโปรเตสแตนท์ที่ถูกราชินีแมรี่ไล่ล่าเช่นกัน ตอนแรกคริสเตียนไม่ชอบนอร่า เพราะรำคาญใจความอ่อนแอขี้กลัวของเธอ แต่ก็แอบหลงเสน่ห์นางเอก เมื่อเธอจะถูกพ่อบังคับให้แต่งงานไปกับคนอื่น เขาก็เลยเสนอตัวแต่งงานด้วยซะเอง ทั้งคู่สารภาพรักต่อกันแล้ว กำลังจะมีความสุข แต่ในวันแต่งงาน ก่อนเข้าพิธี คริสเตียนดันไปเจอสารลับของนอร่าเข้า แล้วเข้าใจผิดว่า นางเอกทรยศต่อเขา ก็เลยเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา

ช่วงที่พระเอกทำร้ายจิตใจนางเอกนี่ ร้ายสุดๆ เหมือนกันนะคะ แต่ละเรื่องที่ทำนี่ ถ้าเป็นชีวิตจริงคงรับไม่ได้ ไม่ยกโทษให้แน่ๆ แต่สารภาพว่า เราชอบน้ำเน่ายุคเก่าแบบนี้แหละ คือถ้าพระเอกร้าย แต่ว่าร้ายเพราะรักนางเอก เราโอเคอ่ะ รักมากแค้นมาก ทำร้ายคนที่ตัวเองรักไปตัวเองก็เจ็บไปด้วย แล้วคำบรรยายตอนนางเอกหัวใจสลายนี่ อืมม์ สุดๆ เห็นภาพความทรมานจิตใจของนอร่าชัดมากๆ สะเทือนใจดี แล้วก็อย่างว่านะคะ พระเอกร้ายขนาดนี้ พอรู้ความจริงแล้ว มาง้อ ก็ต้องง้อนานๆ แบบนี้แหละ ถูกใจคนอ่าน ฉากปรุงยานี่ ถ้าผู้หญิงคนไหนหัวใจไม่ละลายแล้วยอมคืนดีด้วย ก็ใจแข็งมากเลย ชอบจัง อยากอ่านเรื่องแบบนี้อีก

หลังจากลอง google ดู เราเชยมากเลยที่เพิ่งอ่านเรื่องนี้นะนี่ เขาอ่านกันมาตั้งนานแล้ว เจ้าบ่าวอสูร มีแปลไทยแล้วทั้งชุดด้วย

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

A Secret Affair (Huxtable) - Mary Balogh

คะแนน : 8



นี่เป็นเรื่องสุดท้ายในชุดเบญจภาค Huxtable Series เรื่องราวของครอบครัวฮักซ์เทเบิล ที่ประกอบไปด้วยพี่น้อง 3 สาว และน้องชายคนเล็ก ที่จู่ๆ ก็ได้สืบทอดบรรดาศักดิ์เอิร์ลโดยไม่คาดฝัน กับลูกพี่ลูกน้อง(ชั้นที่สอง)ของพวกเขา ก่อนจะพูดถึงเล่มนี้ ขอย้อนกลับไปกล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อ 4 เล่มก่อนนี้สั้นๆ

First Comes Marriage (คะแนน 7.5) เล่มแรกของซีรีส์ เป็นการเปิดตัวเรื่องราว และแนะนำตัวละครหลักในชุด เรื่องของวาเนสซ่า พี่สาวคนกลาง กับ เอลเลียต ผู้ปกครองของท่านเอิร์ลคนใหม่ เราเริ่มอ่านเล่มนี้เมื่อปีที่แล้ว ตอนที่มีหนังสือในชุดนี้ออกมา 3 เล่มแล้ว ก่อนอ่านเราดูพล็อตเรื่องทั้ง 3 เล่ม เราคิดว่า เราน่าจะชอบเล่มนี้น้อยที่สุด เพราะนางเอกเป็นแม่ม่าย แล้วเนื้อเรื่องดูเรียบที่สุด แต่ปรากฏว่า เราชอบเล่มนี้ที่สุดในบรรดาเรื่องของเฉพาะพี่น้องฮักซ์เทเบิล เนื้อเรื่องอาจจะไม่ซับซ้อน เรื่องราวของการแต่งงานเพื่อความสะดวก แต่ด้วยส่วนผสมด้านตัวละครที่ลงตัว ก็ช่วยให้อ่านเรื่องราวความรักของทั้งคู่ได้น่าติดตาม

Then Comes Seduction (คะแนน 6) เรื่องของแคทเธอรีน น้องสาวคนเล็ก กับ แจสเปอร์ หนุ่มเสเพล ที่พนันกับเพื่อนว่าจะล่าพรหมจรรย์เคทให้ได้ในสองสัปดาห์ ไม่ชอบเลยนะคะ นางเอก สวย ใส ไร้สมอง พระเอก งี่เง่า ไร้สำนึก อาจจะแรงไปนะคะ จริงๆ คู่นี้มีอะไรมากกว่านั้นแหละ หลังจากดำเนินเรื่องไป แต่เราไม่เคยหลุดพ้นจากความรู้สึกแรกที่เราคิดกับพระ-นางคู่นี้ได้เลย

At Last Comes Love (คะแนน 7) เรื่องของพี่สาวคนโต มาร์กาเร็ต กับ ดันแคน ท่านเอิร์ลผู้อื้อฉาว เพราะเคยพาผู้หญิงที่มีสามีแล้วหนีตามกันไป เรื่องราวอาจคล้ายกับเล่มแรก ตรงที่ทั้งสองแต่งงานเพื่อแก้ปัญหาให้กันและกัน แล้วก็มาเรียนรู้ตัวตนของกันและกัน มีเนื้อเรื่องเพิ่มตรงที่ต้องร่วมกันแก้ปัญหาจากอดีตของพระเอก เราชอบพระเอกนะ แต่เสียความรู้สึกกับนางเอกนิดหนึ่งเรื่องความหลังของเธอ อาจจะเพราะก่อนอ่านเราคาดหวังจากเม็กไว้มากที่สุด

Seducing an Angel เรื่องของสตีเฟน น้องชายคนสุดท้อง กับ คัสซานดร้า เลดี้แม่ม่ายที่มีข่าวลือว่าเป็นคนฆ่าอดีตสามีตาย เธอเสนอตัวเป็นภรรยาเก็บให้สตีเฟน เพื่อจะได้มีเงินเลี้ยงดูบริวาร เพื่อความยุติธรรมเราไม่ได้ให้คะแนนเรื่องนี้ เพราะเราไม่ได้อ่านจริงๆ แค่เปิดแบบผ่านๆ พอให้รู้เนื้อเรื่องเท่านั้น เพราะเราไม่ชอบเนื้อเรื่องเล่มนี้เลย และรู้สึกแย่มากๆ กับนางเอก จริงๆ เราไม่ได้มีปัญหากับอดีตและตัวตนของนางเอกมากเท่าไหร่นะคะ เราเห็นใจที่เธอต้องเคยพบประสบการณ์เลวร้ายจากสามี แต่ปัญหาคือ เราคิดว่า สองคนนี้เป็นคู่ที่ไม่เหมาะสมกันเลยแม้แต่น้อย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เน้นที่การแก้ปัญหาให้ฝ่ายหญิงอย่างเดียว เพราะสตีเฟนช่างเป็นเทพบุตร หล่อเหลา ร่ำรวย มีบรรดาศักดิ์ นิสัยดี ครอบครัวรัก เราไม่ทราบว่าสตีเฟนมาลงเอยกับผู้หญิงคนนี้ทำไม ถึงไม่ใช่คัสซานดร้า สตีเฟนก็สามารถมีคนอื่นที่เขาจะรักได้ เราไม่รู้สึกว่าเธอเป็น The One สำหรับเขา แต่เหมือนพ่อพระมาทำการกุศล ความสัมพันธ์ที่ไม่สมดุล ทำให้เราไม่รู้สึกถึงความเหมาะสมกันเลยของคู่นี้

และปัญหาเรื่องความเหมาะสมของนางเอก ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราหวั่นใจมาตลอด ในระหว่างการรอคอยนิยายเล่มสุดท้ายในชุด ซึ่งจะเป็นเรื่องของคอนสแตนติน ฮักซ์เทเบิล พี่ชายของเอิร์ลแห่งเมอร์ตันคนก่อน เขาควรจะได้สืบทอดตำแหน่งเอิร์ลมากกว่าสตีเฟน เปล่า เขาไม่ใช่ลูกเมียเก็บ แต่พ่อกับแม่ของเขาแต่งงานกันหลังจากที่เขาเกิดแล้ว 2 วัน ทำให้เขาหมดสิทธิ์ในการสืบทอดไปโดยปริยาย คอนสแตนตินปรากฏตัวตั้งแต่เล่มแรก อันที่จริง เป็นตัวละครคนแรกของเรื่องด้วยซ้ำ ฉากเปิดเรื่องในนิยายชุดนี้ เป็นฉากที่คอนยืนอยู่ที่หลุมศพน้องชายของเขา เราชอบคอนตั้งแต่แรก และก็ลุ้นมาตลอดว่าเรื่องราวของเขาจะเป็นยังไง บทบาทของคอนก็น่าสนใจมาตลอด คอนมีความซับซ้อน เขาเป็นมิตรกับพี่น้องฮักซ์เทเบิลที่เป็นญาติห่างๆ ทั้งๆ ที่เขาน่าจะเกลียดสตีเฟนที่มาแย่งตำแหน่งที่ควรเป็นของเขา เขามีปัญหาการไม่ลงรอยกับเอลเลียต ที่กล่าวหาว่า เขายักยอกทรัพย์สินของน้องชายผู้พิการทางสมองของตัวเอง และเขาเคยทำร้ายความรู้สึกวาเนสซ่าเพราะตั้งใจแก้เผ็ดเอลเลียต เขาเคยเป็นเพื่อนร่วมแก๊งสำมะเลเทเมากับแจสเปอร์ แต่เขาก็ปกป้องเคท

อันที่จริงตั้งแต่อ่านเล่มแรกจบ เราก็ไม่ค่อยแคร์เล่มตรงกลางเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ ใจรอแต่เรื่องของคอนอย่างเดียว แต่ก็หวั่นๆ ในใจว่า ผู้หญิงแบบไหนจะมาเป็นนางเอกของคอน และโชคดีมากๆ ที่ A Secret Affair ไม่ทำให้การรอคอยของเราสูญเปล่าเลย ผู้แต่ง Mary Balogh มอบนางเอกที่คู่ควรเหมาะสมที่สุดให้แก่คอนสแตนติน เธอคือ ฮันน่าห์ ดัชเชสแห่งดันบาร์ตัน

นางเอกของเราเป็นม่าย และเพิ่งออกจากการไว้ทุกข์ให้สามี ฮันน่าห์ สาวสวยที่ไม่มีใครรู้จักจากชนบท วัย 19 แต่งงานกับดยุควัย 70 กว่า หลังจากรู้จักกันได้ 5 วัน และได้ยกระดับตัวเองมาใช้ชีวิตหรูหราร่ำรวยในฐานะดัชเชส พร้อมข่าวลือว่า เธอมีชู้รักนับไม่ถ้วน ตลอดระยะเวลาการแต่งงานที่ยาวนานนับสิบปี เพราะท่านดยุคมีอายุยืนกว่าที่ใครๆ รวมทั้งตัวเธอเองคาดคิด แต่ในที่สุด ฮันน่าห์ก็ได้รับอิสรภาพที่จะใช้ชีวิตตามใจตัวเองในที่สุด ขณะนี้ ในวัย 30 ปี เธอยังคงความงาม อาจจะสวยยิ่งกว่าก่อน เธอร่ำรวย เป็นอิสระ ไม่ต้องพึ่งพาใคร ไร้พันธะ และเธอตัดสินใจว่า เธอจะเลือกคอนสแตนติน ฮักซ์เทเบิล เป็นชู้รักคนใหม่สำหรับฤดูกาลนี้

เพราะคอนเป็นผู้ชายที่มีหลายมิติและซับซ้อน และมีเปลือกนอกหลายชั้นกว่าจะเข้าถึงใจกลางตัวตนที่แท้จริง ผู้หญิงที่จะมารับมือกับคอนได้ดี ก็ย่อมต้องเป็นคนที่เข้าใจความซับซ้อนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอก็เป็นผู้ที่มีเปลือกนอกหลายชั้นเช่นกัน ดัชเชส (เป็นชื่อที่คอนใช้เรียกเธอเกือบตลอดเรื่อง) สามารถจับความสนใจของเราได้ตั้งแต่ปรากฏตัว และรู้สึกทันทีว่า นี่แหละใช่ คนที่เหมาะกับคอน

สัมพันธ์สวาทระหว่างทั้งคู่เกิดขึ้นเร็วตั้งแต่ต้นเรื่อง การหาความสุขทางกายที่ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ทางใจ แต่นั่นก็เป็นแค่เปลือกนอก แล้วเราก็ค่อยๆ ได้เรียนรู้ตัวตนด้านในของทั้งคู่เรื่อยๆ เมื่อทั้งสองค่อยๆ ทำความรู้จักกัน บทสนทนาระหว่างกันก็น่าติดตามตลอด ทั้งสองทันกัน ฮันน่าห์กับคอน เป็นคนฉลาด เจ๋ง โดดเด่นทั้งคู่ เข้มแข็ง และยืนหยัดด้วยตนเองได้ แต่ก็มีความกลัว สับสน ทิฐิ ความดี ความรัก ความเกลียด เหมือนคนทั่วไป จะว่าไป ตัวตนข้างในที่มีความเป็นคนธรรมดากว่าที่คิดนี่แหละ ที่ทำให้เราชอบตัวเอกมากขึ้น พอรู้จักกันถึงจุดหนึ่ง ทั้งคู่ก็ยอมรับความรักที่เกิดขึ้น แม้จะระแวงเรื่องความรักบ้าง จากประสบการณ์ในอดีต ในฐานะที่ความรักเป็นจุดอ่อนในหัวใจที่ทำร้ายตัวเองได้ง่ายๆ โชคดีที่ทั้งสองไม่มีอดีตเลวร้ายฝังลึก ที่ทำให้ต้องปฏิเสธความรักในปัจจุบัน

ในด้านเนื้อเรื่องอาจไม่มีอะไรมาก แทบไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย คนที่ไม่ชอบแนวนี้อาจจะเบื่อได้ ไม่ได้มีเรื่องเข้าใจผิด ไม่มีการทะเลาะแยกทางกัน มีแค่ไปงานเลี้ยง คุยกัน ไปเดินเล่น คุยกัน ลอบไปพบกันกลางดึก แล้วก็คุยกัน เพราะเรื่องของ MB เป็นเรื่องสไตล์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวละครเป็นหลักอยู่แล้ว ก็ไม่ค่อยมีเนื้อเรื่อง แต่เมื่อเราได้ตัวละครน่าสนใจ แค่เราค่อยๆ ได้รู้จักตัวละคร เรื่องมันก็เวิร์กมากๆ แล้ว จนกลายเป็นว่า ช่วงที่ดำเนินเรื่องไปจนถึงการเกิดวิกฤติ มีแอคชั่นขึ้นมาให้พระเอกนางเอกต้องแยกกันไปแก้สถานการณ์ เรากลับเบื่อเรื่องราวช่วงนั้นแฮะ เพราะมันไม่มีส่วนในการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละคร อยากให้ทั้งสองคนกลับมาเจอกันเร็วๆ แล้วก็คุยกันต่อ อ้อ แต่ขออวดหน่อยหนึ่งว่า เราเดาเนื้อความในราชสาส์นฉบับที่สองได้ทันที เพราะคาดไว้ตั้งแต่กลางเรื่องแล้วล่ะ

ช่วงท้ายหลังไปแก้เหตุฉุกเฉินเสร็จ เนื้อเรื่องก็ไม่มีจุดไคลแม็กซ์อะไรอีก เป็นแค่ช่วงการขอแต่งงาน คอนน่ารักผิดคาดมาก ต้องอมยิ้มเลย การเตรียมงานแต่ง ที่ค่อนข้างเยิ่นเย้อยืดยาว แต่มันเหมือนเป็นช่วงโบนัสให้คนอ่าน ได้เห็นตัวละครทั้งชุดรวมตัวกัน มีเด็กๆ ลูกหลาน ครอบครัวคืนดีกัน ได้เห็นความสุขที่เกิดขึ้นนานๆ หลายบท เพราะทั้งสองสมควรจะได้รับมันจริงๆ แต่ความจริงเรารำคาญตัวละครจากเล่มก่อนๆ นะคะ เพราะไม่ได้ชอบมาตั้งแต่แรก แล้วเล่มนี้เราก็ไม่ปลื้มพวกพี่น้องฮักซ์เทเบิล ที่ปฏิเสธดัชเชสตอนแรก อย่างที่คอนพูดในเรื่อง พี่น้องแต่ละคนเลือกคู่ที่ชื่อเสียงอื้อฉาวแย่กว่าดัชเชสตั้งเยอะ มาเกี่ยงงอนอะไรกับนางเอกเล่มนี้ก็ไม่ทราบ แต่อย่างว่า ทั้งฮันน่าห์กับคอนสมควรได้รับความสุขเต็มที่ ถ้าครอบครัวญาติมิตรฮักซ์เทเบิลเป็นส่วนหนึ่งในความสุขนั้น นักอ่านอย่างเราก็ต้องยอมรับเห็นดีเห็นงามด้วย เป็นการจบซีรีส์ที่สวยงามนะคะ 8 คะแนน

ป.ล. แต่ถ้าใครที่ยังไม่เคยอ่านงานของ MB ขอแนะนำว่า อย่าเพิ่งเริ่มอ่านจากชุดนี้ ไปเริ่มที่ชุด Slightly พี่น้องเบดวิน จะดีกว่านี้ค่ะ หรือย้อนไปหางานเก่า ชุด Dark Angel เป็นชุดที่เราชอบที่สุด

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Disdainful Marquis - Edith Layton

คะแนน : 7

เล่มนี้เป็นโรแมนซ์รีเจนซี่ ยุค 80 ที่เขียนขึ้นเมื่อเกือบ 30 ปีแล้ว ดังนั้นไม่มีเลิฟซีน ผู้แต่ง Edith Layton เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว ไม่แน่ใจว่า เคยมีการแปลงานของเธอเป็นภาษาไทยหรือเปล่า แต่ถ้าให้เทียบ รู้สึกสไตล์คล้ายๆ Barbara Cartland น่าจะพอนึกออกมากขึ้น

ก่อนนี้เราก็เพิ่งเคยอ่านเรื่องของนักเขียนคนนี้แค่เรื่องเดียว คือ The Duke's Wager (คะแนน 7.5) ซึ่งก็ชอบพอสมควรทีเดียว แล้วตอนนั้นก็เลยโหลดเรื่องนี้เก็บไว้ใน PDA แต่ยังไม่ได้อ่าน พอนึกไม่ออกว่าจะอ่านอะไร ก็เลยอ่านไอ้ที่มีค้างไว้ในเครื่อง

ที่จริงพระเอกเรื่องนี้ มาร์ควิสแห่งเบสคาซาร์ หรือชื่อที่เพื่อนเรียกว่า ซินจิน (มาจากนามสกุล St. John) ก็เป็นตัวละครในเรื่อง The Duke's Wager เป็นคู่แข่งแย่งนางเอกกับท่านดยุคเรื่องนั้นนั่นเอง ซึ่งตอนแรกเรานึกว่าซินจินจะเป็นพระเอกเรื่องนั้นซะแล้วด้วยซ้ำ เพราะบทเยอะมาก ความสนุกส่วนหนึ่งของเรื่องนั้นก็คือ ความไม่แน่ใจเกือบครึ่งเรื่องว่าใครเป็นพระเอกกันแน่ โชคดีที่นางเอกรักท่านดยุค เพราะเราชอบท่านดยุคที่ภายนอกดูเลว แต่ก็ไม่ปากว่าตาขยิบ ไม่ชอบซินจิน ที่พยายามสร้างภาพเป็นคนดี

แต่ความจริงถึงไม่เคยอ่าน The Duke's Wager เลยก็ไม่มีปัญหา เพราะเรื่องราวสองเล่มแทบไม่เกี่ยวกัน มาในเล่มนี้ซินจินเลิกเสแสร้งแล้ว กลายเป็นคนช่างเยาะหยัน แล้วก็ดูถูกตัวเองอยู่ลึกๆ เพราะความสำนึกผิดที่ตัวเองไม่จริงใจจึงถูกผู้หญิงปฏิเสธ ก็เหมือนเป็นคนใหม่ ตอนนี้ทำงานเป็นสายลับให้รัฐบาล ไปสืบเรื่องที่ปารีส เพราะเป็นช่วงเวลาที่ยังหวั่นเกรงว่า นโปเลียนจะกลับเข้ามามีอำนาจ

พูดมายืดยาว ยังไม่เข้าเรื่องเลย ที่จริงเล่มนี้เป็นเรื่องราวของแคทเธอรีน สาวผู้ดีตกยากที่สมัครเข้ามาเป็นผู้ติดตามของดัชเชสชรา เพราะอยากทำงานเลี้ยงตัวไม่ให้เป็นภาระของพี่สาว(ต่างสายเลือด)-พี่เขย แต่เธอไม่รู้เลยว่า ท่านดัชเชสเป็นหญิงแก่ที่เพี้ยนๆ เพราะเคยมีผู้ติดตามที่เมื่อพาไปงานเต้นรำ แล้วสาวเจ้ารับไซด์ไลน์ ทำให้ดัชเชสมีชื่อเสีย(ง) กลายเป็นที่โจษจันในความแปลก และได้รับเชิญไปงานเลี้ยงมากมาย

แต่กว่าแคทเธอรีนจะรู้ความจริง เธอก็หลวมตัวออกเรือเดินทางมาปารีสเสียแล้ว เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องฝืนใจทำงานเป็นผู้ติดตามต่อไป จนกว่าจะได้รับเงินค่าจ้าง จะได้มีค่าเดินทางกลับบ้าน ในงานเลี้ยงคืนแล้วคืนเล่า มีผู้ชายมากมายมารุมล้อมเพราะคิดว่า เธอเป็นเหมือนผู้ติดตามคนอื่นๆ ของท่านดัชเชส ซึ่งซินจินก็เป็นผู้หนึ่งที่เข้าใจเช่นนั้น แม้จะรู้สึกพิเศษกับหญิงสาว แต่ชายหนุ่มก็คอยเอาแต่เยาะหยันเสียดสีเธอ (อ่ะ เหตุผลเด็กๆ ว่า เพราะเจ็บใจเสียดายที่นึกว่านางเอกเป็นผู้หญิงแบบนั้นก็เลยชอบแกล้ง) แต่ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น เมื่อมีขุนนางฝรั่งเศสจะบังคับเอาตัวแคทเธอรีนไปเป็นนางบำเรอจริงๆ หญิงสาวจึงต้องหนี ระหว่างทางบังเอิญเจอพระเอก ก็เลยร่วมเดินทางหนีกลับอังกฤษด้วยกัน

เนื้อเรื่องก็เรื่อยๆ อ่านได้เพลินๆ ในส่วนตัวละครไม่มีอะไรลึกซึ้งมากนัก เล่นเรื่องการผจญภัยของนางเอกเป็นหลัก บางทีสถานการณ์มันก็อาจจะดูเป็นนิยาย เหลือเชื่อไปบ้าง ก็ไม่ว่ากัน ตามแบบนิยายสมัยเก่า ถ้าเราอ่านเรื่องนี้เมื่อสัก 10-15 ปีก่อน ก็คงจะชอบกว่านี้

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

One False Move - Harlan Coben

คะแนน : 7.5

อ่านเล่มนี้ไม่ต่อเนื่องเท่าไหร่ อ่านทีละนิดอยู่ 4-5 วัน เพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ติดตามข่าวมากกว่า ไม่มีใจจะเขียนอะไรมากมายนักในสถานการณ์บ้านเมืองอย่างนี้

เล่มที่ 5 ในชุดนักสืบ ไมรอน โบลิทาร์ เล่มนี้ก็สนุกใช้ได้ เป็นคดีเกี่ยวกับนักบาสเกตบอลสาวผิวสี ไม่รู้ว่าเพราะอ่านหลายเล่มแล้ว เริ่มจับทางได้รึเปล่า ก็เลยพอเดาเรื่องได้เลาๆ ตั้งแต่กลางเล่ม อ่านจบแล้วสงสัยอย่างเดียว ไมรอนนี่มันไม่มีลูกค้าที่เป็นคนธรรมดาบ้างหรือไง

ตอนนี้ไม่รู้จะหยิบอะไรมาอ่านต่อดี ด้วยสภาพจิตใจและอารมณ์แบบนี้

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Back Spin - Harlan Coben

คะแนน : 8

เห็นความดังของนิยายสืบสวน ชุดนักสืบเอเยนต์นักกีฬา ไมรอน โบลิทาร์ ในเมืองไทยในหลายปีที่ผ่านมานี้ (ผลบุญจากกระแส Da Vinci Code ที่อมรินทร์จับเรื่องนี้เข้าชุดใน Unputdownable Mystery ด้วย) แต่เนื่องจากมีหนังสือรอให้อ่านเยอะ ก็เลยยังไม่ได้อ่านสักที แต่เพื่อนสนิทเราก็เชียร์ ปีที่แล้วเราก็เลยหยิบหนังสือชุดนี้มาอ่าน ซึ่งก็ชอบพอดูทีเดียว จึงอ่านติดต่อกันรวดเดียว 3 เล่ม คือ Deal Breaker, Drop Shot, Fade Away แต่ก็หยุดอ่านซีรีส์นี้ไปแค่ที่เล่ม 3 ทั้งๆ ที่ยังรู้สึกสนุกอยู่ แต่เพราะใน Fade Away มีการกล่าวถึงความหลังของไมรอน มีพฤติกรรมในอดีตจุดหนึ่งของพระเอก เป็นการกระทำที่เราไม่ชอบ มันทำให้เกิดอาการเซ็ง เลยขี้เกียจอ่านต่อ อาจดูเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยมากไปหน่อย ที่เอาจุดย่อยของเรื่องมาตัดสินความชอบ แทนที่จะมองแต่สาระสำคัญอย่างเนื้อเรื่อง แต่สำหรับเรา ตัวละครมีความสำคัญพอๆ กับเนื้อเรื่อง ตัวละครที่เราชอบไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่เราก็ชอบให้พระเอกนางเอกของเรามีศีลธรรม เป็นสาเหตุเดียวกับที่เราหยุดอ่านซีรีส์หมอเคย์ ของ Patricia Cornwell ไปเมื่ออ่านถึงเล่ม 5 เท่านั้น

แต่ช่วงนี้อ่านโรแมนซ์ติดๆ กันเยอะ อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ก็เลยกลับมาที่ซีรีส์นี้อีกรอบ

Back Spin เป็นเรื่องเกี่ยวกับวงการกอล์ฟ ในการแข่งขันยูเอสโอเพ่น ลูกชายของนักกอล์ฟที่กำลังนำการแข่งขันอยู่ถูกลักพาตัวไป ไมรอน โบลิทาร์ จึงถูกขอร้องให้เข้ามาช่วยสืบคดี ในเมืองไทยแปลเรื่องนี้ได้ไม่นาน แต่เล่มนี้น่าจะเขียนนานแล้ว ขนาดไม่ได้เช็คปีที่แต่งเรื่อง ก็รู้สึกถึงความเก่าได้ เพราะในนิยายยังเอ่ยถึงแต่นักกอล์ฟ อย่าง เกร็ก นอร์แมน, นิค ฟัลโด้ อยู่เท่านั้น อย่าว่าแต่ชื่อ ไทเกอร์ วู้ดส์ เลย ไม่มีนักกอล์ฟผิวสีในเรื่องด้วยซ้ำ

เล่มนี้สนุกดี ในระหว่างที่เราอ่าน ดูเหมือนจะจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยว่า เงื่อนงำแต่ละปมมันจะมาเกี่ยวพันกันยังไง เหมือนเห็นแค่ส่วนปลายของปมของร่างแหที่ทอดอยู่รอบตัว แต่เมื่อค่อยๆ ดำเนินเรื่องไป เส้นเชือกรอบๆ ตัวเราก็ค่อยๆ รัดเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้น พอเห็นเค้าราง แต่ก็เดาไม่ถูกอยู่ดีว่าเป็นยังไงแน่ ผิดกับตอนก่อนๆ ที่เราพอเดาได้นะ เนื้อเรื่องเร่งเร้าเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนมาพีคสุดในช่วงเฉลยตอนท้าย ฉลาดมาก เยี่ยม วางไม่ลงเลย โชคดีที่เป็นหนังสือที่ไม่หนา จึงอ่านรวดเดียวจบได้ในค่ำเดียว อืมม์ ไม่เขียนให้ยาวแล้ว รีบไปหา One False Move มาอ่านต่อดีกว่า

ป.ล. เล่มนี้มีพูดถึงความหลังของวิน เพื่อนซี้พระเอก ถึงสาเหตุที่อาจส่งผลให้วินเป็นคนแบบนี้ แต่เราก็ไม่ค่อยชอบหมอนี่เท่าไหร่อยู่ดีแฮะ มันโรคจิตเกิน

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รวมผลงาน Judith McNaught

บทความเกี่ยวกับผลงานของ Judith McNaught นี้ เรียบเรียงขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ 6-7 ปีก่อน ขณะนั้นเราเพิ่งเริ่มอ่านนิยายโรแมนซ์ และเพิ่งค้นพบผลงานของเธอ กำลังอยู่ในอารมณ์ประทับใจจากการอ่านมากๆ ก็เลยรวบรวมเขียนไว้เพื่อแบ่งปันความรู้สึก แล้วนำไปโพสท์ลงในเว็บบอร์ดชมรมโรมานซ์ (บ้านกิ่งฉัตร) ซึ่งขณะนี้เว็บบอร์ดนั้นได้หายไปแล้ว ก็เลยนำมาโพสท์ใหม่ในบล็อกของตนเอง โดยอัปเดตข้อมูลใหม่เข้าไปให้ทันเหตุการณ์มากขึ้น เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้แฟนๆ ที่ชอบผลงานของ JM ได้อ่านกัน

หมายเหตุ: ชื่อเรื่องภาษาไทย ใส่ไว้เท่าที่รู้นะคะ ไม่ได้ใส่ชื่อสำนักพิมพ์ไว้ เพราะไม่มีหนังสือฉบับแปลอยู่กับตัวเลยสักเล่ม อาจมีชื่อไทยของบางเล่มที่ขาดตกบกพร่องไป โดยเฉพาะฉบับลิขสิทธิ์ที่พิมพ์ใหม่ๆ ช่วงนี้

เตือนอีกครั้ง ระวังสปอยล์นะคะ เพราะเราขี้เกียจปิดสปอยล์ ถ้าเรื่องไหนคุณยังไม่ได้อ่าน โปรดเลื่อนหน้าจอผ่านไปเลย


ผลงาน Judith McNaught
ผลงานเขียนนิยายเรื่องแรกคือ Whitney, My Love ตีพิมพ์ในปี 1985 ซึ่งประสบความสำเร็จทันทีที่ออกจำหน่าย และได้รับรางวัล Romantic Times Award for Best New Historical Novel และผลงานที่ตามมาหลังจากนั้น คือ Double Standards และ Tender Triumph ซึ่งเคยตีพิมพ์ก่อนหน้านั้น ก็ถูกนำมาขายใหม่ และ Tender Triumph ได้รับรางวัล Romantic Times Critic's Choice Award ให้เป็น Best Super Romance

ในปี 1987 เรื่อง Once and Always ได้รับเลือกเป็น Good Housekeeping's Novel of the Month for January 1987 ชนะ Affaire de Coeur Golden Pen Certificate และRomantic Times Reviewers Choice Award winner for Best Historical Romance
ถัดมาในปี 1988 เรื่อง Something Wonderful ขึ้นอันดับ 1 ใน New York Times bestseller และผลงานที่ตามหลังมาแต่ละเรื่องก็ติดอันดับทุกเรื่อง รวมทั้ง Kingdom of Dreams (1989), Almost Heaven (1990) และ Paradise (1991), Perfect (1993)
ปี 1998 Night Whispers เป็นนิยายโรแมนติก/สืบสวนเรื่องแรกของเธอ และ Every Breath You Take (2005) เป็นผลงานล่าสุด

ผลงาน นิยาย 14 เรื่อง เรียงตามลำดับปีที่ตีพิมพ์ครั้งแรก
Tender Triumph, 1983
Double Standards, 1984
Whitney, My Love, 1985
Once and Always, 1986
Something Wonderful, 1988
A Kingdom of Dreams, 1989
Almost Heaven, 1990
Paradise, 1991
Perfect, 1993
Until You, 1994
Remember When, 1996
Night Whispers, 1998
Someone to Watch Over Me, 2003
Every Breath You Take, 2005

เรื่องสั้น 2 เรื่อง
Miracles (A Holiday of Love), 1995
Double Exposure (A Gift of Love), 1995

อดีต ปัจจุบัน อนาคต
ผลงานที่หายไป Water's Edge
ผลงานเรื่องต่อไป Can't Take My Eyes Off of You
ชีวิตส่วนตัว จูดิธ แมคนอธ
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย จูดิธ แมคนอธ


รายชื่อผลงาน เรียงตามลำดับการปรากฏของตัวละคร
ยุคอดีต

Westmoreland Dynasty Saga
1. A Kingdom of Dreams (ดวงดาวแห่งความฝัน)
2. Whitney, My Love (วิทนีย์ที่รัก, จอมใจดยุค)
3. Until You (วิหคหลงรัง, ลิขิตรัก ดวงใจปรารถนา)
4. Miracles (ปาฏิหาริย์รัก - ท้ายเล่มวิหคหลงรัง)

Sequels Series
1. Once & Always (ตราบสิ้นกาลเวลา, รักนี้เพียงเธอ)
2. Something Wonderful (สะใภ้เจ้า)
3. Almost Heaven (ดั่งสวรรค์สร้าง, สาปสวรรค์)

ยุคปัจจุบัน

Single Novels
1. Tender Triumph (เพียงกล้ามอบหัวใจรัก)
2. Double Standards (รักแท้ไม่แปรผัน, รักล้นใจ เจ้านายร้อยเล่ห์, เล่ห์ร้ายลิขิตรัก)

Paradise Series (Second Opportunities Series)
1. Paradise (สวรรค์รอรัก, วิมานใจ)
2. Perfect (เพชรประดับเรือน, ตราบหัวใจอุ่นไอรัก)
3. Night Whispers (มงกุฎดอกรัก)
4. Someone to Watch Over Me (เงื่อนลับรักลวง)
5. Every Breath You Take (ทุกลมหายใจมอบให้เธอ)

Foster Saga
1. Double Exposure
2. Remember When (พลอยพราวแสง, รอยจำในดวงใจ)

Judith McNaught (1) Tender Triumph

Tender Triumph, 1983 (เพียงกล้ามอบหัวใจรัก)
Contemporary Romance
Hero & Heroine: Ramon Galverra & Kate Connelly
คะแนน : 7


เคท ซึ่งเป็นเจ้าของอพาร์ทเมนท์ สนใจทำแต่งาน เพราะเข็ดหลาบกับชีวิตสมรสครั้งแรกที่ล้มเหลว ได้พบกับรามอน หนุ่มอเมริกาใต้เลือดสเปนที่ทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหวได้อีกครั้ง เธอตัดสินใจแต่งงานกับเขา และย้ายไปอยู่กับเขาในถิ่นกันดารที่เปอร์โตริโก

เรื่องนี้ได้คะแนนรีวิวใน Amazon ไม่ค่อยดี แต่พอได้อ่านก็โอเคนะ เวอร์ชันภาษาไทยไม่มีลิขสิทธิ์ จึงมีการเปลี่ยนชื่อตัวละครกับชื่อผู้แต่งบนหน้าปก

Judith McNaught (2) Double Standards

Double Standards, 1984 (รักแท้ไม่แปรผัน, รักนี้มิอาจหักห้าม, รักล้นใจ เจ้านายร้อยเล่ห์, เล่ห์ร้ายลิขิตรัก)
Contemporary Romance
Hero & Heroine: Nick Sinclair & Lauren Danner
คะแนน : 8


ลอเรน นางเอกถูกขอให้ไปสมัครเป็นเลขานุการของพระเอก เพื่อวางแผนล้วงความลับทางธุรกิจ ลอเรนไม่อยากทำเลยแกล้งเขียนใบสมัครไม่ดี แต่ขากลับบังเอิญเกิดเจอนิคโดยที่ไม่รู้ว่านี่คือเจ้าของบริษัท เธอหกล้ม นิคจึงพามาทำแผล แล้วเลยตกลงรับเธอเข้าทำงานด้วย เมื่อได้ใกล้ชิดกันลอเรนก็อดหลงรักนิคไม่ได้ แต่พระเอกของเราก็ไม่ยอมจริงจังด้วย เพราะมีความหลังฝังใจเรื่องแม่ทิ้ง จนไม่ยอมเชื่อใจผู้หญิง

เรื่องนี้สนุกดีค่ะ แต่สั้นไปนิดนึง

เกร็ดเบื้องหลังเรื่องนี้คือ JM แต่งแคแรกเตอร์แม่ของนิคขึ้นมาจากคุณย่าของเธอ ความหลังที่นิคเจ็บปวดกับเรื่องของขวัญกับแม่ ก็มีเค้าความจริงจากเรื่องของพ่อของ JM เอง ที่เอามาแต่งนิยายเป็นการแก้แค้นเล็กๆ แทนพ่อ

Judith McNaught (3) Whitney, My Love

Whitney, My Love, 1985, 1999 (วิทนีย์ที่รัก, จอมใจดยุค)
Historical Romance : Regency
Hero & Heroine: Clayton Westmoreland & Whitney Stone
คะแนน : 8.5


วิทนีย์เป็นเด็กสาวจอมแก่นที่คอยตามตื๊อพอล หนุ่มละแวกบ้านเดียวกัน พ่อเลยส่งตัวไปอยู่กับป้าที่ฝรั่งเศส นางเอกไปโตเป็นสาวสวยมีเสน่ห์ที่ปารีส เคลย์ตัน พระเอกซึ่งเป็นดยุคหนุ่มหล่อ รวย เสเพล ไปพบวิทนีย์เข้าก็ปิ๊ง เลยไปสู่ขอกับพ่อ แลกกับเงินจำนวนมาก เธอจึงถูกพ่อเรียกตัวกลับมาอังกฤษ แต่เคลย์ตันขอให้ปิดเรื่องหมั้นไว้ก่อน เพราะอยากจะให้วิทนีย์รักเขาก่อนแต่งงาน แต่เธอก็ไม่สนใจพระเอกของเราที่อุตส่าห์ลงทุนปิดบังตัวตนและตำแหน่งมาตามจีบ เคลย์ตันจึงต้องปราบพยศแม่ตัวดี จนได้แต่งงานกันก็ยังมีเรื่องเข้าใจผิด กว่าจะลงเอยด้วยดีก็ต้องงอนต้องง้อกันไม่รู้กี่รอบ

ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ JM เขียน แต่ได้ตีพิมพ์หลัง 2 เรื่องข้างบน ที่เห็นปีที่พิมพ์มี 2 ครั้ง เพราะครั้งหลังเป็นฉบับ Special Edition ค่ะ มีเพิ่มตอนจบมาอีก 40 กว่าหน้า เพื่อให้เรื่องต่อเนื่องกันกับ Until You และ A Kingdom of Dream มากขึ้น แล้วก็ลดความรุนแรงของฉากแส้ฟาดกับฉากข่มขืนลง เพราะนักอ่านบางคนก็รับความโหดขนาดนั้นของพระเอกไม่ค่อยได้ JM ก็มาแก้ใหม่ให้อ่านแล้วไม่ค่อยฝืนความรู้สึกมากไป

เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ได้อ่านงานของ JM และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติดหนึบเลยค่ะ จนต้องไปขวนขวายหาเรื่องอื่นของ JM มาอ่าน เป็นเรื่องที่ได้รับการแนะนำจากสมาชิกในบอร์ดชมรมโรมานซ์ อดีตบอร์ดย่อยในเว็บบอร์ดบ้านกิ่งฉัตร ตอนนี้บอร์ดไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว ยังไงก็ขอขอบคุณผู้แนะนำเมื่อสมัยโน้นไว้ ณ ที่นี้

Judith McNaught (4) Once and Always

Once and Always, 1986 (ตราบสิ้นกาลเวลา, รักนี้เพียงเธอ)
Historical Romance : Regency
Hero & Heroine: Jason Fielding & Victoria Seaton
คะแนน : 7.5


วิคตอเรียต้องกลายเป็นกำพร้ากะทันหันเพราะพ่อแม่ตายเนื่องจากอุบัติเหตุ จึงต้องเดินทางจากอเมริกาไปอยู่กับญาติฝ่ายแม่ที่อังกฤษ ซึ่งก็คือลุงของพระเอก ดยุคแห่งอเธอร์ตัน ท่านดยุคอยากให้ทั้งสองคนแต่งงานกันเลยประกาศไปว่าทั้งคู่หมั้นกันแล้ว เจสันต่อต้าน วิคตอเรียซึ่งมีคนรักอยู่แล้ว และไม่รู้เรื่องหมั้น จนมารู้สาเหตุที่พระเอกเย็นชากับเธอก็โกรธ แต่เธอก็ยอมแต่งงานกับเจสันเมื่อเห็นว่า ท่านดยุคป่วยใกล้ตาย แต่เจสันก็ไม่ยอมเปิดใจให้วิคตอเรียเสียที เพราะอดีตอันแสนรันทดขมขื่นของเขา

เนื้อเรื่องยังไม่ค่อยมีอะไรมากเท่าไหร่ แต่ก็อ่านได้เพลินๆ ไม่ค่อยชอบที่พระเอกเคยแต่งงาน เคยมีลูกมาก่อนเท่าไหร่ค่ะเลยให้คะแนนน้อยหน่อย อันนี้เป็นอคติส่วนตัวค่ะ ไม่ชอบพระเอกที่มีอดีต คือแบบมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่นแบบผ่านๆ รับได้ แต่แบบเคยรักลึกซึ้ง เคยฝังใจ หรือเก็บมาเจ็บปวด/เจ็บแค้น จะไม่ค่อยชอบอ่ะค่ะ ชอบให้รักนางเอกคนเดียว แถมเจสันยังไปมีอะไรกับนางบำเรอหลังแต่งงานอีกด้วย

Judith McNaught (5) Something Wonderful

Something Wonderful, 1988 (สะใภ้เจ้า)
Historical Romance : Regency
Hero & Heroine: Jordan Townsend & Alexandra Lawrence
คะแนน : 9


พระเอกของเราเป็นดยุคหนุ่มหล่อ รวย เจ้าชู้อีกแล้ว ส่วนนางเอกเป็นสาวชนบทแสนซื่อผู้เชื่อมั่นในความรักแท้ในอุดมคติ จอร์แดนเดินทางผ่านมาใกล้หมู่บ้านของเธอ อเล็กซานดร้าช่วยชีวิตของเขาจากการถูกลอบทำร้าย และเป็นลมสลบไปเพราะความตกใจ เขาจึงพาเธอไปพักในโรงแรมเนื่องจากตอนแรกไม่รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง แม่นางเอกจึงมาโวยวายเอาเรื่อง โทษฐานที่ทำให้นางเอกของเราเสื่อมเสียชื่อเสียง พระเอกก็จำใจยอมแต่งงานด้วยเพราะสงสารนางเอก เขาตั้งใจว่าจะส่งเธอไปอยู่ที่อื่นแล้วจะใช้ชีวิตสำราญของตัวเองต่อ แต่ก็เกิดรักอเล็กซานดร้าขึ้นมาจริงๆ แต่แล้วจอร์แดนกลับถูกทำร้ายหายสาบสูญไป จนทุกคนคิดว่าเขาตายแล้ว

ผ่านไปหนึ่งปีเมื่อเขากลับมาอีกครั้ง กลับพบว่า อเล็กซานดร้าเปลี่ยนแปลงไป เพราะมีคนบอกอเล็กซ์ว่า จอร์แดนตั้งใจจะทิ้งเธอให้อยู่ที่ชนบท ทำให้อเล็กซ์เสียใจและตั้งใจว่าจะไม่ยอมเป็นภรรยาผู้อ่อนต่อโลก ว่านอนสอนง่ายยอมทำทุกอย่างตามคำบัญชาของสามีอีกต่อไป จอร์แดนจะทำอย่างไรเพื่อจะได้หัวใจของอเล็กซ์กลับคืนมา และค้นหาว่าผู้ที่ลอบทำร้ายเขาคือใคร

เป็นเรื่องแรกของ JM ที่ขึ้น #1 New York Times bestseller และเป็นเรื่องแรกอีกเหมือนกันที่ JM เริ่มเขียน Epilogue หรือบทตาม หลังจากนั้นมา JM จะเขียนบทตามทุกเรื่อง เพราะนักอ่านส่วนใหญ่ชอบที่ได้รู้ว่า หลังจากนั้นพระเอก-นางเอกของเราใช้ชีวิตกันยังไง มีลูกสาวหรือลูกชาย อะไรแบบนี้แหละค่ะ มีเกร็ดอีกนิดว่า นี่เป็นเรื่องแรกที่ JM ไปคุยกับสำนักพิมพ์ว่า อย่าทำปกแบบหนุ่มสาวกอดกันบนปกได้มั้ย หลังจากนั้นมาปกหนังสือของ JM ก็จะไม่โป๊ สวยดี ถือไปอ่านที่ไหนก็ไม่เขินด้วย

Judith McNaught (6) A Kingdom of Dreams

A Kingdom of Dreams, 1989 (ดวงดาวแห่งความฝัน)
Historical Romance : Medieval
Hero & Heroine: Royce Westmoreland & Jennifer Merrick
คะแนน : 9


รอยซ์ เวสต์มอร์แลนด์ เอิร์ลแห่งเคลย์มอร์ เป็นนักรบผู้เก่งกาจ มีฉายาน่าเกรงขามว่า Wolf ส่วนเจนนิเฟอร์เป็นลูกสาวหัวหน้าเผ่าของสก็อตแลนด์ ซึ่งเป็นศัตรูกัน เจนนิเฟอร์และน้องสาวต่างสายเลือดของเธอถูกคนของรอยซ์จับตัวมา เธอพยายามหลบหนีแต่ก็ถูกจับตัวกลับมาอีก และเธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้เมื่อเขาเสนอให้เธอยอมขึ้นเตียงกับเขา เพื่อแลกกับการปล่อยตัวน้องสาวไป

รอยซ์เป็นนักรบที่เก่งมาก จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นดยุคแห่งเวสต์มอร์แลนด์คนแรก เป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลของเคลย์ตัน เรื่อง Whitney, My Love กับสตีเฟน เรื่อง Until You โดยที่ JM แต่งเรื่องนี้เพราะมีแฟนนักอ่านเรียกร้องเข้าไปมากว่า อยากอ่าน WML ภาค 2 แต่ JM ไม่ชอบเขียนภาคต่อ เพราะไม่อยากเขียนให้ทั้งคู่ต้องมีเรื่องขัดแย้งกันอีก แล้วก็ไม่ยอมเขียนเรื่องรุ่นลูกเหมือนกัน ด้วยเหตุผลว่า ไม่อยากเขียนถึงเคลย์ตัน-วิทนีย์ตอนแก่ผมหงอก ก็เลยเอาเรื่องบรรพบุรุษที่กล่าวไว้ในเรื่องวิทนีย์มาเขียนแทน ออกมาเป็นเรื่องนี้ เป็นเรื่องเดียวของ JM ที่ใช้ฉากในยุคกลาง

แต่ก็มีนักอ่านฝรั่งบางคนบ่นว่า สมัยยุคกลางไม่มีคนชื่อเจนนิเฟอร์ เพราะชื่อเจนนิเฟอร์เพิ่งใช้กันแพร่หลายในยุคศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมาเท่านั้นเอง โดยแผลงมาจากชื่อกวินเนเวียร์ (เหมือนชื่อมเหสีของกษัตริย์อาร์เธอร์) แต่ไม่เป็นไรค่ะ ฝีมือระดับ JM จุดเล็กๆ น้อยๆ เรามองข้ามได้ ^_^ ฮ่าฮ่า ลำเอียงเห็นๆ คือ ที่จริงชื่อรอยซ์นี่ JM ก็บอกว่าเช็คมาจากหนังสืออ้างอิง แต่ไม่รู้ทำไมถึงเลือกชื่อเจนนิเฟอร์ให้สาวโบราณ หรือชื่อวิทนีย์ก็ฟังเป็นสาวสมัยใหม่ ว่าที่จริง JM อาจจะไม่ค่อยเคร่งเรื่องรายละเอียดข้อเท็จจริงตามประวัติศาสตร์เท่าไหร่นะคะ เพราะเรื่องอื่นในยุครีเจนซี่ ก็มีการเรียกยศกับบรรดาศักดิ์ผิดๆ เหมือนกัน เช่น เอลิซาเบธ นางเอกเรื่อง Almost Heaven บางครั้งถูกเรียกว่าเลดี้คาเมรอน ซึ่งที่ถูกต้อง ควรเรียกว่า เลดี้ฮาเวนเฮิร์สเท่านั้น ตามชื่อตำแหน่งไม่ใช่นามสกุล แต่ก็ต้องเข้าใจว่า ตอนที่แต่งเรื่องนี้อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลาย เว็บไซต์ยังไม่เกิด ไม่เหมือนพวกเราที่สงสัยอะไรก็ google หรือ wiki ข้อมูลมาได้ง่ายๆ

Judith McNaught (7) Almost Heaven

Almost Heaven, 1990 (ดั่งสวรรค์สร้าง, สาปสวรรค์)
Historical Romance : Regency
Hero & Heroine: Ian Thornton & Elizabeth Cameron
คะแนน : 10


เอลิซาเบธ เคาน์เตสแห่งฮาเวนเฮิร์ส ได้พบกับเอียน ธอร์นตัน ชายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงไม่ดีและมีชาติกำเนิดคลุมเครือในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง ทั้งสองเริ่มตกหลุมรักกัน แต่เมื่อพี่ชายต่างบิดาของเอลิซาเบธมาพบทั้งคู่อยู่ด้วยกันก็โกรธมาก ประณามเอียนว่าไม่คู่ควร และประกาศว่า เอลิซาเบธมีคู่หมั้นแล้ว เมื่อเอียนเข้าใจผิดว่าเธอยั่วเขาเล่นจึงจากไป แต่เอลิซาเบธก็เสื่อมเสียชื่อเสียงจนถูกขับออกจากวงสังคม จากนั้นผ่านไปเกือบสองปี เอลิซาเบธกำลังลำบากเพราะถูกอาบังคับจะให้แต่งงานไปเสียกับใครก็ได้ที่ยอมแต่งงานด้วย เธอจะถูกส่งตัวไปพักอยู่กับชายสามคนที่ตอบรับคำเชิญว่าสนใจจะแต่งงานกับเธอ เธอแทบไม่เชื่อหูเมื่อได้ยินว่า หนึ่งในนั้น คือ เอียน ธอร์นตัน แต่คนที่แทบไม่เชื่อสายตายิ่งกว่า คือ เอียน เมื่อเขาพบเธอมาปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านเขา

เอลิซาเบธเป็นเพื่อนกับอเล็กซานดร้า นางเอกเรื่อง Something Wonderful และมีตัวละครจาก SW มาปรากฏตัวในเรื่องนี้บ้าง แต่ก็เห็นชัดๆ ว่า JM เพิ่งแต่งเรื่องเพื่อนสมัยเด็กขึ้นมาทีหลัง เพราะใน SW ไม่มีการพูดถึงเอลิซาเบธสักนิด ซึ่งเป็นกรณีเหมือนที่แซคจาก Perfect ไม่เคยถูกพูดถึงใน Paradise เพราะ JM เคยบอกว่า เธอแต่งเรื่องทีละเรื่อง ไม่ได้มองล่วงหน้าถึงเรื่องต่อไป แต่เธอก็ชอบให้ตัวละครจากเรื่องก่อนๆ ปรากฏตัว ซึ่งแฟนๆ ก็ชอบเหมือนกัน มาปรากฏตัวอีกก็ดีค่ะ ชอบ

Almost Heaven เป็นนิยายโรแมนซ์เรื่องเดียวที่เราให้คะแนน 10 เต็ม ในชั้นหนังสือของเราที่เรียงนิยาย JM ไว้ สภาพเล่มนี้เยินกว่าเล่มอื่นเลย เพราะเปิดอ่านบ่อยกว่าเพื่อน เรื่องนี้น่ารักมากๆ ค่ะ เป็นเรื่องของ JM ที่มีฉากขำๆ มากที่สุดด้วย ไม่มีตรงไหนในเรื่องนี้ที่เราไม่ชอบเลย เอลิซาเบธกับเอียนเป็นคู่พระคู่นางที่เราชอบที่สุดในนิยายโรแมนซ์ เริ่มจากหน้าตา คืออย่าว่ากันนะคะว่ายึดติดรูปกายภายนอก เพราะยังไงเวลาอ่านนิยาย ก็ชอบจินตนาการว่านางเอกสวยพระเอกหล่อไว้ก่อน แล้ว JM ก็ช่างบรรยายความสวยของเอลิซาเบธให้เรารู้สึกว่าเธอสวยมากๆ จริงๆ ขอยกข้อความจากหนังสือมาทั้งฉากเลยนะคะ

Standing in the doorway like a vision from heaven was an unknown young woman clad in a shimmering silver-blue gown with a low, square neckline that offered a tantalizing view of smooth, voluptuous flesh, and a diagonally wrapped bodice that emphasized a tiny waist. Her glossy golden hair, was swept back off her forehead and held in place with a sapphire clip, then left to fall artlessly about her shoulders and midway down her back where it ended in luxurious waves and curls that gleamed brightly in the dancing candlelight. Beneath gracefully winged brows and long curly lashes her glowing green eyes were neither jade nor emerald, but a startling color somewhere in between.

In that moment of stunned silence Roddy observed her with the impartiality of a true connoisseur, looking for flaws that others would miss and finding only perfection in the delicately sculpted cheekbones, slender white throat, and soft mouth.

The vision in the doorway moved imperceptibly. “Excuse me,” she said to Alexandra with a melting smile, her voice like wind chimes, “I didn’t realize you weren’t alone.”

In a graceful swirl of silvery blue skirts she turned and vanished. and still Roddy stared at the empty doorway while Alexandra’s hopes soared. Never had she seen Roddy display the slightest genuine fascination for a feminine face and figure. His words sent her spirits even higher. “My God,” he said again in a reverent whisper. “Was she real?”


เป็นไงคะ อ่านแล้วก็ต้องถอนหายใจเลย นึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าเป็นคนจริง จะจินตนาการให้เหมือนหน้าดาราคนไหนดี แต่สิ่งที่ทำให้เราชอบเอลิซาเบธจริงๆ แล้วก็คือ นิสัยของเธอมากกว่า เธอเป็นนางเอกที่น่ารักมากๆ นิสัยดีอ่อนโยน มีความตั้งใจแน่วแน่ บวกอารมณ์ขัน อันที่จริงนางเอก JM ก็เป็นแบบนี้ทุกคนค่ะ แต่เอลิซาเบธหวานที่สุด ซึ่งบางคนอาจจะชอบแนวเด็กดื้อ หรือแนวผู้ใหญ่กว่านี้

ส่วนเอียนก็ โอย พระเอกในฝันชัดๆ ค่ะ ซึ่งที่จริง พระเอกของ JM ก็เป็นตามแบบฉบับเหมือนกันแทบทุกคนอีกเช่นกัน ตัวสูง ผมดำ คมเข้ม หล่อ รวย เก่ง ฉลาด แต่นั่นก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราชอบเรื่องของ JM มากๆ สังเกตตัวเองมาหลายทีแล้ว ถ้าชอบพระเอกนางเอก พล็อตเรื่องห่วยก็ยังชอบ แต่ถึงเรื่องสนุกแต่ไม่ชอบพระเอกนางเอก เราก็จะขัดใจทุกที ใน Amazon เคยมีคนบรรยายไว้ว่า ทำไมถึงชอบตัวละครชายของ JM ขอยกมาใช้อธิบายความรู้สึกของเรานะคะ พระเอกของ JM นั้น เข้มแข็งแต่ไม่ข่มขู่ อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ เป็นคนที่ไว้วางใจได้แต่ไม่ใช่น่าเบื่อ แล้วที่สำคัญคือ รักนางเอกมากๆ ทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เพื่อนางเอก สรุปว่าเป็นผู้ชายแบบที่ไม่มีตัวตนในชีวิตจริง ทำให้สาวๆ อดหลงรักผู้ชายในฝันแบบนี้ไม่ได้

มีคนที่ไม่ชอบเรื่องนี้ตรงจุดที่เอลิซาเบธไม่เชื่อใจเอียนแล้วหนีจากไป แต่เราไม่มีปัญหากับจุดนี้ เพราะมันนำไปสู่ช่วงเวลาแยกจากกัน ที่สะเทือนอารมณ์ความรู้สึก อ่านคำบรรยายความรู้สึกปวดร้าวของทั้งคู่แล้วซึ้งมาก โดยเฉพาะคำพูดของเอลิซาเบธตอนที่เธอกลับมาหาเอียน ขอยกมาทั้งย่อหน้าอีกรอบนะคะ

Looking like a courageous, heartbroken angel. Elizabeth faced her adversary across his desk, her voice shaking with love. “Listen carefully to me, darling, because I’m giving you fair warning that I won’t let you do this to us. You gave me your love, and I will not let you take it away. The harder you try, the harder I’ll fight you. I’ll haunt your dreams at night, exactly the way you’ve haunted mine every night I was away from you. You’ll lie awake in bed at night, wanting me, and you’ll know I’m lying awake, wanting you. And when you cannot stand it anymore,” she promised achingly, “you’ll come back to me, and I’ll be there, waiting for you. I’ll cry in your arms, and I’ll tell you I’m sorry for everything I’ve done, and you’ll help me find a way to forgive myself-”


เฮ้อ~ นี่แหละค่ะ รัก เข้าใจผิด งอน ง้อ ไม่ว่าจะดูเหมือนน้ำเน่าแค่ไหน แต่ในเมื่อนี่เป็นนิยายที่ทำให้คุณสุข เศร้า ซึ้ง เมื่ออ่านถึงหน้าสุดท้ายแล้วทำให้คุณหลับตาและรู้สึกถึงรอยยิ้มที่ริมฝีปากตัวเองได้ คุณจะไม่หลงรักมันได้ยังไง

Judith McNaught (8) Paradise

Paradise, 1991 (สวรรค์รอรัก, วิมานใจ)
Contemporary Romance
Hero & Heroine: Matthew Farrell & Meredith Bancroft
คะแนน : 9.75


เมอริดิธ วัย 18 เป็นลูกสาวของเจ้าของห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ ส่วนแมทเป็นชายหนุ่มฐานะยากจนที่ต้องดิ้นรนทำงานส่งเสียตัวเอง ทั้งสองมีโอกาสพบกันในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง และเกิดความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนขึ้น เมอริดิธเกิดตั้งท้องขึ้นมาจึงไปหาแมท ทั้งคู่จึงแต่งงานกัน แมทต้องเดินทางไปทำงานที่อเมริกาใต้ทำให้ต้องห่างไกลกัน ต่อมา เมอริดิธแท้งลูก ทั้งสองต้องแยกจากกันด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวทั้งสองฝ่าย เวลา 11 ปีผ่านไป แมทซึ่งสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาเป็นอภิมหาเศรษฐี ได้มีโอกาสกลับมาพบเมอริดิธ ซึ่งในปัจจุบันเป็นผู้บริหารระดับสูงของห้าง เกิดเรื่องราวความขัดแย้งทั้งส่วนตัวและทางธุรกิจ ในขณะที่ทั้งคู่ยังโกรธเกลียดกันเหลือเกิน เมอริดิธก็ได้รู้ว่า การหย่าร้างของทั้งคู่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และเธอกับเขายังคงมีสถานะเป็นสามีภรรยากันอยู่

JM บอกว่า ตอนแรกก็กังวลใจเหมือนกัน ที่ต้องแต่งให้เมื่อกลับมาเจอกันนางเอกของเรื่องต้องอายุเกือบ 30 แล้ว เพราะนางเอกนิยายส่วนใหญ่จะอายุ 20 กว่าๆ กันซะมาก แต่ JM ก็คิดว่าจำเป็น เพราะตามเรื่องเมอริดิธจะต้องไต่เต้าขึ้นมาเป็นรองประธานบริษัทแล้ว ถ้าอายุน้อยจะไม่ค่อยสมจริง ประเด็นนี้ต้องเข้าใจบริบทว่า เรื่องนี้เขียนเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน นักอ่านนิยายเป็นผู้หญิงอายุประมาณ 20-30 เป็นส่วนมาก ถ้าเป็นสมัยนี้อายุนางเอก 30 กว่าเยอะแยะ คงไม่ต้องห่วงอะไร ส่วนลิซ่า เพื่อนนางเอก ตอนแรก JM ตั้งใจจะเขียนให้มาเป็นคู่แข่ง เป็นตัวอิจฉา แล้วสุดท้ายจะตายเพราะเสพยาเกินขนาด แต่เปลี่ยนใจ เพราะไม่อยากเขียนอะไรรันทดหดหู่ขนาดนั้น เลยแต่งให้กลายเป็นเพื่อนซี้นางเอกแทน

เรื่องนี้ติดอันดับ New York Times bestseller ถึง 13 สัปดาห์ ฉากที่เมอริดิธไปบอกความจริงกับแมทเรื่องแท้งลูกเป็นฉากที่เขียนได้ซาบซึ้งและสะเทือนอารมณ์มากค่ะ อ่านแล้วน้ำตาไหลพรากเลย สงสารทั้งคู่ ความจริงชอบเรื่องนี้มากอยากจะให้ 10 แต่เพราะไม่ค่อยชอบเนื้อเรื่องตอนท้ายเท่าไหร่ คาใจเรื่องนางเอกกับคู่หมั้น และรู้สึกว่า JM หาทางออกให้คู่หมั้นนางเอกพ้นทางง่ายไปหน่อยก็เลยขอหักคะแนนนิดนึง

Judith McNaught (9) Perfect

Perfect, 1993 (เพชรประดับเรือน, ตราบหัวใจอุ่นไอรัก)
Contemporary Romance
Hero & Heroine: Zack Benedict (Zachary Benedict Stanhope III) & Julie Mathison
คะแนน : 9.5


แซค เบเนดิกท์ ซูเปอร์สตาร์นักแสดง/ผู้กำกับ ฮอลลีวู้ดชื่อก้อง ถูกตัดสินจำคุกข้อหาฆาตกรรมภรรยาตนเอง หลังจากถูกจองจำอยู่ 5 ปี เขาหลบหนีออกมาจากเรือนจำ และได้จับจูลี่ ครูสาวโรงเรียนประถมไปเป็นตัวประกันในระหว่างทางหลบหนี แซคพาจูลี่ไปอยู่ด้วยกันที่บ้านพักบนภูเขา เมื่อแรกจูลี่พยายามหนี แต่เมื่อได้ใกล้ชิดกัน เธอก็พบว่าเขาไม่ใช่ผู้ร้ายใจอำมหิต ความรักของแซคกับจูลี่ก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่คดีความผิดที่ยังติดตามตัวแซคเป็นอุปสรรคขวางกั้นไม่ให้ทั้งสองอยู่ร่วมกันได้

แซค เป็นเพื่อนกับแมท และเรื่องนี้มีแมทกับเมอริดิธจาก Paradise มาปรากฏตัวด้วยนิดหน่อย ในเรื่องนี้จะมีพูดถึงเรื่องโครงการ Pass It On ที่สอนหนังสือให้ผู้หญิงที่ด้อยโอกาสการศึกษา เป็นโครงการจริงที่ JM ช่วยสนับสนุนอยู่ อันที่จริงคือ JM เขียนต้นฉบับเรื่องนี้จบไปแล้วด้วยซ้ำ กำลังจะตีพิมพ์ เมื่อมีผู้มาขอให้ JM ช่วยเหลือโครงการนี้ JM จึงเขียนเพิ่มเติมเรื่องในอดีตสมัยเด็กของจูลี่ตอนที่เป็นเด็กกำพร้า แม้จะไปโรงเรียนก็อ่านหนังสือแทบไม่ได้เข้าไปในตอนต้นเรื่อง

เรื่องนี้ก็สนุกมากค่ะ องค์ประกอบทุกอย่างที่ทำให้เราชอบ Judith McNaught ก็ยังมีอยู่ครบ ทั้งบุคลิกพระเอก นางเอก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ การดำเนินเรื่อง ยอดเยี่ยมหมดเลยค่ะ เพียงแต่ฉากประทับใจอาจจะซึ้งไม่เท่า Paradise เท่านั้น

Judith McNaught (10) Until You

Until You, 1994 (วิหคหลงรัง, ลิขิตรัก ดวงใจปรารถนา)
Historical Romance : Regency
Hero & Heroine: Stephen Westmoreland & Sheridan Brohmleigh
คะแนน : 7.5


เชอริแดน หญิงสาวชาวอเมริกันเดินทางมาอังกฤษในฐานะผู้ดูแลของคาริส แลงคาสเตอร์ ที่เดินทางมาหาคู่หมั้น แต่คาริสกลับหนีตามผู้ชายไปเสียก่อน ในขณะที่เชอริแดนกำลังสับสนว่าจะบอกความจริงคู่หมั้นของคาริสอย่างไร เธอไม่รู้เลยว่า คู่หมั้นคนนั้นได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไปแล้ว สตีเฟน เวสต์มอร์แลนด์ เอิร์ลแห่งแลงฟอร์ด รู้สึกผิดที่มีส่วนในการตายของเขา จึงมารอรับหญิงสาวที่ท่าเรือเพื่อบอกข่าวร้าย เมื่อสตีเฟนพบเชอริแดนก็เข้าใจผิดว่าเธอคือมิสแลงคาสเตอร์ เชอริแดนประสบอุบัติเหตุ เมื่อเธอฟื้นขึ้นมา เธอสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป สถานการณ์อันสับสนอลเวง ทำให้สตีเฟนต้องรับบทคู่หมั้นจำเป็นของหญิงสาว

สตีเฟน ปรากฏตัวครั้งแรกในเรื่อง Whitney, My Love เป็นน้องชายของเคลย์ตัน ตอนในเรื่อง WML สตีเฟนยังไม่มีบรรดาศักดิ์ พอมาเป็นพระเอกเต็มตัวในเรื่องนี้ JM ก็ให้สตีเฟนได้สืบทอดตำแหน่งเอิร์ลมาจากญาติ แล้ว JM ก็ย้อนไปเขียนใน WML ฉบับ Special Edition อธิบายสาเหตุที่ได้บรรดาศักดิ์ กับรักขมครั้งแรกของสตีเฟน

เรื่องนี้เหมือนการชุมนุมเลยค่ะ ตัวละครจากเรื่องก่อนๆ มาปรากฏตัวหลายคนมาก ทั้งวิทนีย์-เคลย์ตัน วิคตอเรีย-เจสัน อเล็กซานดร้า-จอร์แดน นิคกี้ และตัวละครประกอบอีกหลายคน เสียดายที่ไม่กล่าวถึงเอลิซาเบธ-เอียนเลย มีพูดถึงแค่ว่า ลูกชายของวิทนีย์-เคลย์ตัน ชอบเล่นกับเด็กๆ ธอร์นตัน ซึ่งก็คงหมายถึงลูกชาย ลูกสาวของเอียนกับเอลิซาเบธ ตัวละครเก่าๆ พวกนี้ช่วยสร้างสีสันให้เรื่องนี้ได้ดีเหมือนกันค่ะ เพราะเนื้อเรื่องจริงๆ ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่

Judith McNaught (11) Miracles (A Holiday of Love)

A Holiday of Love – Miracles, 1995 (ปาฏิหาริย์รัก - ท้ายเล่มวิหคหลงรัง)
Anthology
Hero & Heroine: Nicholas DuVille & Julianna Skeffington
คะแนน : 7


จูเลียนน่าเป็นลูกสาวบารอนที่แม่พยายามจับผู้ชายรวยๆ เป็นสามี เธอได้พบนิโคลัสในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง จึงไปขอร้องให้เขาทำลายชื่อเสียงเธอเสีย เธอจะได้ไม่ต้องถูกแม่บังคับให้แต่งงาน ตอนแรกเธอคิดว่าการทำลายคือการเต้นรำ 3 ครั้งในงานเดียวกันกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่นิคกี้กลับพาเธอไปที่ห้องนอน เมื่อคนอื่นมาพบเข้า เขาจึงต้องยอมแต่งงานกับเธอ แต่ก็ด้วยความรู้สึกเกลียดนางเอกว่า ถูกหลอกให้แต่งงานด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นในเล่มที่เป็นชุด เขียนร่วมกับนักเขียนคนอื่นๆ 3 คน โดยใช้เทศกาลคริสต์มาสเป็นธีมของหนังสือชุดนี้ พระเอกคือนิโคลัส ดูไวล์ หนุ่มฝรั่งเศสเจ้าเสน่ห์ผู้เป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั่วยุโรป จากเรื่อง Whitney, My Love และ Until You ส่วนนางเอกปรากฏตัวครั้งแรกใน Until You เหมือนกัน แต่ในเรื่องนั้นทั้งคู่ไม่มีโอกาสเจอกัน มาเจอกันในเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นก็เลยไม่มีอะไรเท่าไหร่ แฟนๆ บ่นกันใหญ่ว่า ให้นิคกี้เป็นพระเอกทั้งที ทำไมเรื่องสั้นอย่างนี้

Judith McNaught (12) Double Exposure (A Gift of Love)

A Gift of Love – Double Exposure, 1995 (ไม่ทราบข้อมูลฉบับแปล)
Anthology
Hero & Heroine: Spencer Addison & Corey Foster
คะแนน : 6


ตอนสมัยวัยรุ่น คอรีย์เคยแอบปิ๊งสเปนเซอร์ ชายหนุ่มสุดเพอร์เฟกต์ หลานชายของเพื่อนพ่อแม่ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขารักเธอตอบ คอรีย์เฝ้ารองานเต้นรำวันคริสต์มาสที่สเปนเซอร์ยอมตกลงจะเป็นคู่ของเธอ แต่แล้วด้วยความสะเพร่า เขาก็ทำร้ายความรู้สึกเธอโดยไม่ตั้งใจ จนคอรีย์ตัดใจและเก็บความรู้สึกทั้งหมดฝังลงในจิตใจ และดำเนินชีวิตต่อไปเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ปัจจุบัน เธอเป็นช่างภาพของนิตยสารเกี่ยวกับบ้านและไลฟ์สไตล์ (ประมาณแนว Martha Stewart) ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว และเธอต้องไปถ่ายภาพงานแต่งงานให้หลานสาวของสเปนเซอร์ ผู้ที่เธอไม่ได้พบนานนับสิบปี

เป็นเรื่องสั้นรวมในเล่มที่เขียนร่วมกับนักเขียนอื่น โดยมีธีมเกี่ยวกับคริสต์มาส เราไม่ชอบเรื่องนี้เลย เนื้อเรื่องก็อ่อน ตัวละครก็ห่วย เป็นคำคุณศัพท์ที่ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่า เราจะได้เอามาใช้บรรยายงานของนักเขียนในดวงใจของเรา แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ เราเกลียดพระเอกเรื่องนี้ ความผิดพลาดที่เขาทำเมื่ออดีต แม้ที่จริงไม่ใช่เรื่องใหญ่และไม่ได้ตั้งใจ แต่เราคิดว่า มันเป็นเรื่องงี่เง่าที่พระเอกนิยายโรแมนซ์ไม่ควรทำ เหตุผลมันโง่เกินไป แม้เมื่อตอนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว พระเอกก็ยังแย่อยู่ ดูจากการที่เขาหลอกนางเอกในงานแต่งงาน

Judith McNaught (13) Remember When

Remember When, 1996 (พลอยพราวแสง, รอยจำในดวงใจ)
Contemporary Romance
Hero & Heroine: Cole Harrison & Diana Foster
คะแนน : 6.5


ไดแอน่า เป็นผู้บริหารของนิตยสารที่เกี่ยวกับบ้านที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่ง คู่หมั้นของเธอไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่น ทำให้เธอมีปัญหาถูกโจมตีและส่งผลกระทบถึงภาพลักษณ์หนังสือของเธอ ส่วนพระเอก โคล เป็นนักธุรกิจชั้นนำ ที่ถูกลุงขู่ให้แต่งงาน มิฉะนั้นเขาจะต้องเสียหุ้นในบริษัทที่เขาสร้างมาเองกับมือไป เมื่อโคลได้มีโอกาสพบไดแอน่าในงานเลี้ยง และจำได้ว่าเธอเคยดีกับเขาสมัยก่อนตอนที่เขายังเป็นเพียงผู้ดูแลคอกม้า เขาจึงขอเธอแต่งงาน ซึ่งไดแอน่าก็ยอมตกลง เพราะการแต่งงานจะช่วยแก้ปัญหาให้ทั้งคู่ได้พอดี

ไดแอน่า กับ คอรีย์ ในเรื่องสั้น Double Exposure เป็นพี่น้องต่างสายเลือดกัน ไม่มีตัวละครจากนิยายเรื่องอื่นปรากฏตัวอีก เพียงแต่เอ่ยถึงนิดเดียวว่า โคล เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่สร้างตัวขึ้นมาเหมือน แมท ฟาร์เรล โดยส่วนตัวคิดว่า เรื่องนี้ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ สู้เรื่องก่อนๆ หน้าของ JM ไม่ได้เลย

Judith McNaught (14) Night Whispers

Night Whispers, 1998 (มงกุฎดอกรัก)
Romance/Suspense
Hero & Heroine: Noah Maitland & Sloan Reynolds
คะแนน : 7


สโลน เป็นตำรวจหญิงซึ่งโตมาโดยมีแม่เลี้ยงดูคนเดียว เนื่องจากพ่อซึ่งเป็นคนรวยแยกทางกับแม่ไปตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กแบเบาะ และไม่เคยมาเหลียวแลเลย วันหนึ่งพ่อของเธอโทรศัพท์มาว่าต้องการให้ไปหา สโลนปฏิเสธ แต่เมื่อ FBI พอล ริชาร์ดสัน ปรากฏตัวขึ้นมาบอกว่า พ่อของเธอเป็นผู้ต้องสงสัยทำผิดกฎหมาย เขาขอให้เธอช่วยพาเขาแฝงตัวเข้าไปสืบเรื่อง สโลนจึงตกลงไปพักอยู่กับพ่อ และได้พบกับพี่สาว ย่าทวด รวมทั้งเพื่อนบ้านหนุ่มนักธุรกิจผู้น่าสงสัย โนอาห์ แต่เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมขึ้น สโลนไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย

พอล ริชาร์ดสัน เป็น FBI ที่ตามจับแซคในเรื่อง Perfect มามีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ และเป็นคู่รองของเรื่องนี้ โดยคู่กับพี่สาวนางเอก และตอนแรก JM ตั้งใจจะให้แมท-เมอริดิธ กับ แซค-จูลี่ มาปรากฏตัวในงานเลี้ยงต้อนรับสโลนด้วย แต่รู้สึกว่าไม่เหมาะเลยตัดออก เรื่องนี้ JM เปลี่ยนมาเขียนแนวโรแมนซ์/สืบสวน ซึ่งก็คงประสบความสำเร็จในด้านยอดขายนะคะ เรื่องนี้เคยขึ้นถึง #1 New York Times paperback bestseller แต่ส่วนตัวชอบให้ JM เขียนแนว historical romance มากกว่าค่ะ

Judith McNaught (15) Someone to Watch Over Me

Someone to Watch Over Me, 2003 (เงื่อนลับรักลวง)
Romance/Suspense
Hero & Heroine: Michael Valente & Leigh Kendall
คะแนน : 8


ลีห์ ดารานางเอกบรอดเวย์ชื่อดัง ประสบอุบัติเหตุในระหว่างขับรถไปหาสามีของเธอที่บ้านพักบนภูเขา เมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่า สามีของเธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในพายุหิมะ และลีห์ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเมื่อสามีของเธอถูกพบเป็นศพโดยมีกระสุนทะลุศีรษะ ในท่ามกลางช่วงเวลาอันสิ้นหวังนั้น ไมเคิล วาเลนเต้ ก็ก้าวเข้ามาช่วยเหลือดูแลเธอ เขาเป็นมหาเศรษฐีนักธุรกิจผู้มีชื่อเสียงอื้อฉาว มีคดีความนับไม่ถ้วน ตั้งแต่คดีฆ่าคน ฟอกเงิน มีชื่อโยงใยกับกลุ่มมาเฟีย แต่เขาก็เป็นอัศวินผู้คอยปกป้องคุ้มครองเธอเสมอ

เราปฏิเสธที่จะอ่านเรื่องนี้มานานมาก เพราะอคติส่วนตัว จากการที่เรื่องหลังๆ ของ JM มีสไตล์ไม่เหมือนเดิม เราชอบผลงานยุคหลังของเธอน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะตั้งแต่เปลี่ยนมาเป็นแนวโรแมนซ์สืบสวน และตอนที่เรื่องนี้ออกใหม่ๆ อ่านพล็อตเรื่องแล้วเราไม่ชอบใจ แล้วก็รู้สึกแปลกๆ กับนางเอกว่า เพิ่งเป็นม่ายหยกๆ ระหว่างสืบสวนหาฆาตกรฆ่าสามีแท้ๆ มารักกับพระเอกแล้วหรือ ทำไมเร็วจัง แถมตอนแรกเรื่องนี้ออกเป็นปกแข็งราคาแพงอีก ก็เลยไม่ยอมซื้อหนังสือ แต่แม้เวอร์ชันปกอ่อนจะออกมา จนได้อีบุ๊คมาอยู่ในมือตั้งนานแล้ว เราก็ยังเลี่ยงที่จะอ่านเรื่องนี้มาตลอด เพราะกลัวว่าการอ่านเรื่องนี้จะยิ่งไปทำลายความรู้สึกดีที่เรามีต่อผลงานของ JM เข้าไปอีก พอจะเข้าใจมั้ยคะ แบบยิ่งแคร์มากก็ยิ่งกลัว

จนในที่สุด เมื่อตั้งใจจะอัปโหลดบทความชุดนี้ ก็เลยรู้สึกว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ เหลือเรื่องของ JM อยู่เรื่องเดียวที่ยังไม่อ่าน ก็อ่านให้ครบดีกว่า อ่านจบแล้วก็รู้สึกดีใจมากเลยที่ได้อ่าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลจากการที่เราไม่ได้ตั้งความหวังสูงกับเรื่องนี้หรือเปล่า ทำให้เราชอบเรื่องนี้มากกว่าที่คาดไว้ จุดที่เราเคยมีอคติไว้ทั้งหมด พออ่านเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางความรู้สึกของเราเลยสักนิด สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเหมือนสิ่งที่แฟนๆ หลายๆ คนเคยพูดว่า งานที่แย่ที่สุดของ Judith McNaught ก็ยังดีกว่างานที่ดีที่สุดของนักเขียนอีกหลายๆ คน

เนื้อเรื่องตอนแรกเริ่มต้นช้าๆ ตามสไตล์ JM ที่บรรยายเรื่องราวละเอียด ค่อยๆ ย้อนอดีตเล่าความเป็นมาของตัวละคร เพื่อดึงดูดให้เราอินกับตัวละครเรื่อยๆ โดยเป็นมุมมองของนางเอกก่อน กว่าพระเอกจะเข้ามามีบทจริงจังก็ปาเข้าไปหนึ่งในสี่ของเรื่องแล้ว แต่ก็อ่านไม่เบื่อเลย แล้วเรื่องก็ค่อยๆ เข้มข้นขึ้น แล้วบทของคู่รองที่เป็นตำรวจสืบคดีนี้ก็น่าอ่านมาก ในเรื่องปมฆาตกรรมแม้จะไม่เน้นมาก แต่ก็ทำให้เราสงสัยใคร่รู้ได้ตลอดเรื่อง สารภาพว่า เดาฆาตกรไม่ถูก ไม่ใช่ว่าซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรนะคะ แต่เดาผิดเพราะไม่นึกว่าจะง่ายขนาดนั้น

ในส่วนของโรแมนซ์ พระเอกของเรา ไมเคิล นี่รักนางเอกมากๆ ทำเพื่อนางเอกสารพัด อย่างเรื่องการไปซื้อลูกแพร์มาให้นางเอก แม้เรื่องนี้จะไม่มีความขัดแย้ง/ความเข้าใจผิดระหว่างพระ-นาง แต่ก็ทดแทนด้วยความรักซึ้งๆ หวานๆ ของทั้งคู่ แม้จะดูเหมือนว่านางเอกพบรักใหม่เร็ว แต่พออ่านเข้าจริงๆ ตามเนื้อเรื่องคือ สามีที่ตายไปนั้นเป็นคนเจ้าชู้และนอกใจนางเอก เพราะฉะนั้นเมื่อนางเอกรู้ความจริง ก็เหมือนความรักที่ผ่านมาเป็นความลวง จะหมดรักสามีก็ไม่แปลก และการเริ่มต้นใหม่กับไมเคิลก็เป็น “โอกาสครั้งที่สอง” ที่ทั้งคู่สมควรได้รับ

ตัวละครจากเรื่องอื่นๆ ที่ปรากฏตัว มีคอร์ทนีย์ น้องสาวของโนอาห์จาก Night Whispers และ โจ คนขับรถของแมทใน Paradise ตัวนางเอกเรื่องนี้เป็นเพื่อนกับแมทกับเมอริดิธ แต่ไม่ได้มีบทของทั้งคู่ในเรื่อง เรื่องนี้ JM ฉีกสไตล์ของเธอเองอีกครั้งโดยไม่มี Epilogue ท้ายเรื่อง แต่พอจบฉากไคลแม็กซ์ ก็ต่อด้วยการเขียนเป็น 3 บทสั้นๆ ถึงฉากแต่งงานและทิศทางของชีวิตใหม่ของพระเอกนางเอกหลังจากนั้น

Judith McNaught (16) Every Breath You Take


Every Breath You Take, 2005, 2006 (ทุกลมหายใจมอบให้เธอ)
Romance/Suspense
Hero & Heroine: Mitchell Wyatt & Kate Donovan
คะแนน : 7


บนเกาะสวรรค์กลางทะเลแคริบเบียน ณ สถานที่ตากอากาศชั้นเลิศ เคท โดโนแวน เจ้าของภัตตาคารในชิคาโก ได้พบกับมิทเชล ไวแอท นักธุรกิจมหาเศรษฐี โดยไม่ทันตั้งตัว คลื่นอารมณ์ที่ก่อตัวขึ้นระหว่างหัวใจเป็นสิ่งที่ทั้งสองไม่อาจต้านทาน แต่แล้ววิมานก็พังทลาย เมื่อมิทเชลถูกตำรวจล่อหลอกให้กลับสหรัฐเพื่อไปให้ปากคำ เนื่องจากศพพี่ชายต่างมารดาของเขาที่หายสาบสูญไปถูกค้นพบ ทิ้งเคทไว้กับความสับสนและสงสัยในตัวคนรัก เขามีความผิดจริงหรือไม่ มีความลับใดซุกซ่อนอยู่ในอดีตของเขา และเขามีใจจริงต่อเธอหรือเปล่า และนั่น เป็นสาเหตุให้เธอปกปิดความลับสำคัญที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ให้เขารู้เช่นกัน

เรื่องนี้มีบทของแมทกับเมอริดิธนิดหน่อย เป็นเพื่อนกับพระเอก ที่เห็นมีปีที่พิมพ์สองครั้ง เนื่องจากเมื่อออกมาครั้งแรกเป็นปกแข็ง เสียงตอบรับจากนักอ่านไม่ค่อยดี เมื่อถึงกำหนดที่ฉบับปกอ่อนตีพิมพ์ในปีถัดมา JM ก็เลยเขียนฉากโบนัสเพิ่มเติมระหว่างพระเอกนางเอกช่วงที่กลับมาพบกันเข้าไปอีกประมาณ 3-4 บท เป็น Special Edition พร้อมกับเพิ่ม Epilogue สั้นๆ เพื่อนำเข้าสู่เรื่องราวของนิยายเล่มถัดไป ชื่อ Can’t Take My Eyes Off of You

เราเคยอ่านฉบับดั้งเดิม ก็คิดว่าพออ่านได้ แต่ไม่ประทับใจนัก เรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่มันขาดอะไรไปบางอย่าง ปัญหาเรื่องนางเอกของ JM ไม่ค่อยเชื่อใจพระเอกนี่เป็นเกือบทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้เราคิดว่า เคทหลงเชื่อคำพูดแฟนเก่าง่ายไปหน่อย แต่เนื่องจากกำลังอินกับ STWOM ที่เพิ่งอ่านจบไป ก็เลยไปซื้อฉบับปกอ่อนของเรื่องนี้ ซึ่งได้รับคำชมจากนักอ่านว่าดีขึ้นกว่าเดิม มาอ่านอีกที ก็พบว่า ไม่ต่างจากเดิมมากเท่าไหร่ แต่ดีขึ้นเพราะของเดิมเนื้อเรื่องมันห้วนๆ แล้วก็คืนดีกันง่ายๆ หลังจากพูดจากันไม่กี่คำ ฉากที่เพิ่มขึ้นมาระหว่างแดนนี่กับมิทเชลน่ารักดี โดยเฉพาะตอนที่แดนนี่จะช่วยมิทเชลถอดเสื้อ เพราะได้ยินผู้หญิงคนอื่นบอกว่า มิทเชล hot น่าร้าก~ แต่โดยรวมๆ ก็ไม่ทำให้ความรู้สึกจากการอ่านเปลี่ยนแปลงไปมากนัก

Judith McNaught - ผลงานที่หายไป Water’s Edge

ถ้าใครมี Something Wonderful ภาคภาษาอังกฤษ ท้ายเล่มจะมีตัวอย่างเรื่อง Water’s Edge ของ JM ซึ่งนางเอกของเรื่องนั้นคือ ลีห์ ตอนแรก JM ตั้งใจจะเขียนเรื่องโดยมีพล็อตว่า นางเอกเป็นดาราบรอดเวย์ประสบอุบัติเหตุขณะเดินทางไปหาสามี และเธอฟื้นขึ้นมาพบว่าตัวเองย้อนเวลาไปอยู่ในยุคกลาง พบท่านเอิร์ลนักรบที่กำลังกราดเกรี้ยวใส่เธอ แต่เขียนไปเขียนมา ความคิดแตกออกเป็นสอง JM ก็เลยเอาพล็อตนี้มาแตกเป็นสองเรื่อง เรื่องหนึ่งก็กลายเป็น Someone to Watch Over Me เอาตัวละครที่เป็นนางเอกบรอดเวย์ไป และมีเนื้อเรื่องสืบเรื่องฆาตกรรม

ส่วนเนื้อเรื่องอีกส่วนก็ถูกสร้างนางเอกขึ้นมาใหม่ เพราะดาราบรอดเวย์ไม่ค่อยเข้ากับท่านเอิร์ล นางเอกต้องเรียบร้อยกว่านั้นมั้งคะ นางเอกซึ่งอาศัยอยู่ในยุคปัจจุบัน หน้าตาไม่สวย เป็นหนอนหนังสือ เกิดย้อนเวลากลับไปอยู่ในยุคกลาง ไปอยู่ในร่างเลดี้สาวสวย ซึ่งท่าทางว่าเลดี้คนนี้ก็ไม่มีใครชอบเลย และได้พบกับท่านเอิร์ลเจ้าอารมณ์ ท่านเอิร์ลคนนี้คงจะเป็นสามีของเลดี้ ที่กำลังโกรธเลดี้ว่าคบชู้ ท่านเอิร์ลนี่เป็นเพื่อนกับรอยซ์ ดยุคแห่งเวสต์มอร์แลนด์ ใน A Kingdom of Dream และเรื่องนี้ก็จะมีบทของ รอยซ์ กับเจนนิเฟอร์ด้วย เรื่องนี้ท่าทางน่าอ่านค่ะ เป็น Time Travel เรื่องแรกของของ JM ด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า JM ไม่ยอมแต่งเรื่องนี้ให้จบ และพับเรื่องนี้เก็บขึ้นหิ้งไปแล้ว ไม่มีโครงการเขียนต่อด้วย เศร้าเลยค่ะ อุตส่าห์รออ่าน

Judith McNaught - ผลงานเรื่องต่อไป

Can’t Take My Eyes Off of You
กำหนดออก 2011
Contemporary Romance


ยังไม่มีข้อมูลออกมามากเท่าไหร่ ทราบแต่ว่า พระเอกชื่อเคลย์ตัน เป็นลูกหลานตระกูลเวสต์มอร์แลนด์ในยุคปัจจุบัน เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ส่วนนางเอกชื่อ ฮอลลี่ เป็นสัตวแพทย์ ปรากฏตัวครั้งแรกในเรื่อง Every Breath You Take เป็นเพื่อนสนิทของเคท ชื่อเคลย์ตันกับฮอลลี่ เป็นชื่อลูกชายกับลูกสะใภ้ของ JM เอง พล็อตเรื่องน่าจะเกี่ยวข้องกับ second chance อีก

เรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะได้อ่านกันจริงๆ เมื่อไหร่นะคะ เพราะเห็นเลื่อนกำหนดออกมาหลายครั้งแล้ว ปีแล้วปีเล่า ไม่มีการประกาศเป็นทางการถึงเหตุผลที่เรื่องนี้ออกล่าช้าด้วย แต่ในเน็ตมีคนพูดกันว่า เนื่องจาก JM มีปัญหาครอบครัว เพราะคุณแม่มีอาการป่วย JM ต้องไปดูแล และคุณแม่ของเธอก็เสียชีวิตไป ส่งผลต่อสภาพจิตใจในช่วงระยะที่ผ่านมา ทำให้กระทบต่อตารางเวลาการทำงานของเธอ

ก็ขอภาวนาและเอาใจช่วยให้ JM ผ่านช่วงเวลาวิกฤติในชีวิตนี้ไปได้ด้วยดีอีกครั้ง เผื่ออานิสงส์จะได้ตกแก่แฟนๆ นักอ่านที่ติดตามผลงานของเธออยู่ทั่วโลก ได้มีโอกาสสัมผัสงานชิ้นนี้ แต่ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่มีโอกาสได้อ่านผลงานใหม่ๆ ของเธออีก แค่จากผลงานสร้างสรรค์ที่ผ่านมา ชื่อของเธอก็จะติดอยู่บนทำเนียบยอดนักเขียนนิยายโรแมนซ์ตลอดไป ขอบคุณนะคะ Judith McNaught ที่มอบความรู้สึกดีๆ ให้แก่แฟนๆ นักอ่าน

ประวัติ Judith McNaught

Judith McNaught เป็นนักเขียนนิยายโรแมนซ์ยอดนิยมคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลงานติดอันดับขายดีเป็นจำนวนมาก ผลงานของเธอทั้งหมดได้รับการตีพิมพ์รวมกันมากกว่า 30 ล้านเล่มทั่วโลก ก่อนมาเป็นนักเขียน เธอเคยผ่านงานด้านวิทยุ ภาพยนตร์ การเงิน มาก่อน เป็นผู้บริหารหญิงคนแรกของสถานีวิทยุ CBS เคยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับในกองถ่ายภาพยนตร์ และเป็นประธานบริษัทจัดหางาน

ชื่อจริง: Judith McNaught
ที่อยู่ปัจจุบัน: Texas
อายุ: ย่าง 66 ปี ณ ปี 2010 (เกิดปี ค.ศ. 1944)
ครอบครัว: ลูกสาวชื่อ Whitney ลูกชายชื่อ Clayton และมีทั้งหลานยายกับหลานย่าแล้ว หย่าร้างกับสามีคนที่สามเมื่อปี 2003

JM ใช้เวลาเขียนนิยายเรื่องแรกคือ Whitney, My Love ในปี 1978 ใช้เวลาถึง 5 ปี เขียนเสร็จแล้วเอาไปเสนอสำนักพิมพ์ก็ยังขายต้นฉบับไม่ได้ JM หมดความเชื่อมั่นและอยากจะเลิก แต่สามีของเธอ Michael McNaught เป็นกำลังใจให้ตลอดในระหว่าง 5 ปีนั้น คอยเอากาแฟมาให้ตอนเขียนต้นฉบับ กอดเธอเมื่อต้นฉบับถูกส่งคืนมาพร้อมจดหมายปฏิเสธ เมื่อขาย Whitney ไม่ได้ JM จึงเขียน Tender Triumph ซึ่งขายต้นฉบับได้ในปี 1982 ช่วงเวลาหลังจากนั้น 1 ปีกว่า เธอเขียน Double Standard และเขียนแก้ Whitney ใหม่ ขณะนั้น เธอกับสามีกำลังตั้งตารอให้สำนักพิมพ์ส่งหน้าปกหนังสือ Tender Triumph ซึ่งมีชื่อเธอบนปกมาให้ แต่ Mike เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุอย่างกะทันหัน ถัดจากนั้นวันเดียว หน้าปกหนังสือถูกส่งมาถึง และ 3 เดือนหลังจากนั้นต้นฉบับ Whitney ก็ถูกซื้อไป เมื่อ Tender Triumph วางแผงปลายปีนั้น JM แทบไม่สนใจ และตลอด 2 ปีจากนั้นเธอเกือบจะไม่รู้สึกอะไรอีกนอกจากความเจ็บปวด และความพยายามที่จะนำครอบครัวให้ก้าวต่อไป

ความสูญเสียครั้งนี้ส่งผลต่องานเขียนของ JM เป็นอย่างยิ่ง เมื่อเธอเริ่มพ้นจากความโศกเศร้า เธอมองไปรอบตัวและรู้สึกว่า เธอไม่ใช่คนเดียวที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์นี้ มีผู้หญิงอีกมากมายที่ต่อสู้เอาตัวรอด เลี้ยงลูกตามลำพัง และทำใจให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ทำให้รู้สึกถึงความเข้มแข็งของเพศหญิง และเธออยากจะถ่ายทอดภาพของผู้หญิงแบบที่ผู้หญิงเป็น คือ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ ดีงาม น่ารัก และมีความร่วมใจในการสนับสนุนกันและกัน
(เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ Judith McNaught - September 28, 1999 จากเว็บไซต์ All About Romance)


เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย Judith McNaught
Judith McNaught เคยเข้าไปพูดคุยและตอบคำถามแฟนผลงานของเธอในเว็บบอร์ดของสำนักพิมพ์ Simon and Schuster แต่ปัจจุบันเธอก็ไม่ได้เข้าไปอีกหลายปีแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เห็นคือปี 2006 แต่ก็ยังมี archive เก่าเก็บอยู่ ที่นี่

ใครสนใจก็ลองเข้าไปอ่านดูนะคะ มีเรื่องน่าสนใจเยอะเลย ทั้งเรื่องเบื้องหลังในการเขียน คำถามจากนิยายแต่ละเรื่อง ตัวละคร อย่างมีเรื่องนึง อ่านแล้วขำดีค่ะ มีคนถามว่า ถ้ามีโอกาส JM อยากใช้นามปากกามั้ย เธอก็บอกว่า จะใช้นามปากกา เพราะใช้ชื่อจริงนี่ก็ทำให้ขาดความเป็นส่วนตัวไปบ้างเหมือนกัน คนจำหน้าไม่ได้แต่จะจำชื่อได้ บางทีก็มีปัญหา อย่างเช่น เคยมีครั้งนึง คอมพิวเตอร์เธอเสีย เธอเลยโทรไปฝ่ายบริการลูกค้าของไมโครซอฟท์ แต่ทางนั้นก็โอนสายไปโอนสายมา 6 ครั้ง ทุกครั้งก็ต้องให้ตอบคำถามซ้ำๆ จนสุดท้าย JM ชักยัวะ ก็เลยใส่ใหญ่เลยว่า ไมโครซอฟท์บริการไม่ดียังไง พนักงานคนนั้นก็ถามกลับมาว่า เมื่อกี้คุณบอกว่า คุณชื่อ จูดิธ แมคนอธหรือคะ พอ JM บอกว่าใช่ พนักงานคนนั้นก็บอกว่า เค้าเป็นแฟนของ JM ตั้งนานแล้ว แม่เค้า เพื่อนเค้า ทุกคนที่เค้ารู้จักอ่านนิยาย JM กันหมด แล้วเค้าก็เคยสงสัยว่า JM ตัวจริงเป็นคนยังไง… เท่านั้นค่ะ JM บอกว่า ตั้งแต่นั้นมา ถ้าต้อง complain ใคร จะให้ผู้ช่วยเป็นคนทำ

พระเอกเรื่อง Someone to Watch over Me ผู้คอยช่วยเหลือให้นางเอกผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าเสียใจ ถูกตั้งชื่อว่า Michael ตามชื่อสามีคนที่สองของ JM ที่เสียชีวิตกะทันหันเมื่อ 20 กว่าปีก่อน และเป็นคนที่ JM ถือเป็น love of her life จวบจนทุกวันนี้

JM เอาชื่อลูกตัวเองไปตั้งชื่อตัวเอกในนิยายเรื่องแรกของเธอ ตอนนั้น Whitney 10 ขวบ ส่วน Clayton 9 ขวบ ตอนแรกชื่อเรื่อง Whitney, My Love ในต้นฉบับเธอก็ตั้งชื่อแค่ว่า Whitney แล้วสำนักพิมพ์เติมให้ เธอก็ไม่ว่าอะไร ขอแค่มีชื่อ Whitney บนปก ส่วน Clayton นี่ ตอนเขียนบทแรกๆ เธอตั้งใจจะให้ Nicki เป็นพระเอก ให้ Clayton เป็นผู้ร้าย แต่ไปๆ มาๆ Clayton มีเสน่ห์กว่าเลยได้เป็นพระเอก

พูดเรื่องชื่อเรื่อง JM บอกว่า อายชื่อเรื่อง Tender Triumph มาก ตอนแรกเธอขอว่าไม่เอาชื่อนี้ แต่สำนักพิมพ์ยืนยัน พอดีเป็นเรื่องแรกยังไม่มีอำนาจต่อรองค่ะ ส่วน Double Standards เธอก็ว่ายังไม่เข้ากับเรื่องเท่าไหร่ แต่ไม่ค้าน ดีกว่าได้ชื่อที่แย่กว่านี้ ส่วน Once and Always ปรึกษาชื่อกับบรรณาธิการ หลังจากนั้นมาก็เริ่มมี power ค่ะ ตั้งชื่อเรื่องเอง ตั้งแต่ Something Wonderful แล้วชื่อเรื่องของ JM ก็จะเป็นคำสุดท้ายที่เป็นตอนจบของเรื่อง ทั้ง A Kingdom of Dreams, Almost Heaven, Paradise กลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งไปเลยค่ะ ส่วน Someone to Watch Over Me, Every Breath You Take, Can’t Take My Eyes Off of You เป็นชื่อเพลงดัง

พระเอกของ JM ทุกเรื่องจะมีลักษณะ larger than life ต้องเป็นระดับอภิมหาเศรษฐี ถ้าเป็นขุนนางก็ต้องเป็นดยุค แค่ท่านเอิร์ลไม่พอ เพราะ JM เป็นไฮโซ เคยมีเรือหรูริมทะเลสาบ แล้วย้ายออกไปอยู่บ้านขนาด 12,000 ตารางฟุต เธอบอกว่า จะไม่แต่งให้พระเอกเป็นหนุ่มข้างบ้าน แต่งนิยายแนวชีวิตรักชาวบ้านไม่ได้ เพราะไม่มีประสบการณ์ ^_^

ข้อมูลเกี่ยวกับ Judith McNaught เป็นการเก็บเล็กผสมน้อยมาจากหลายๆ เว็บไซต์ ซึ่งอาจมีข้อมูลคลาดเคลื่อนได้ แต่ก็พยายามใช้ข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ของเจ้าตัวให้มากที่สุด ถ้ามีข้อใดผิดพลาดขออภัยต่อ JM และผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้

http://en.wikipedia.org/wiki/Judith_McNaught
http://judithmcnaughtforum.com/forum/ubbthreads.php?ubb=showflat&Number=135536#Post135536
http://www.judithmcnaught.com/

วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Match Made in Court - Janice Kay Johnson

คะแนน : 8



เล่มนี้หยิบมาอ่านเพราะเห็นได้รีวิวระดับ A- ของ AAR อีกแล้วนะคะ เล่มนี้เป็นนิยายโรแมนซ์ของ สนพ. Harlequin แบบที่เน้นเรื่องความรักกับครอบครัว จึงไม่มีบทพิศวาสหวือหวา

นางเอกคือ ลินเนอา โซเรนเซน พี่ชายของเธอ ฟินน์ ทะเลาะกับภรรยา ด้วยโทสะได้ทำร้ายเทสส์จนเสียชีวิต เมื่อฟินน์ถูกตำรวจจับตัวไป และต้องขึ้นศาลพิจารณาคดี ลินเนอาจึงรับฮันน่า หลานสาววัย 6 ขวบที่เธอรักมาดูแลเอง ในขณะที่พี่ชายของเทสส์ คือ แมทธิว ซึ่งเป็นวิศวกรทำงานอยู่ต่างประเทศ เมื่อรู้ข่าวการตายของน้องสาวก็รีบเดินทางกลับอเมริกาทันที แมทไม่เคยชอบฟินน์และครอบครัวของเขา แมทฟ้องร้องเพื่อขอเป็นผู้ดูแลฮันน่า เพราะไม่ต้องการให้หลานสาวอาศัยอยู่กับครอบครัวของผู้ที่เป็นสาเหตุให้น้องสาวของเขาตาย ศาลครอบครัวตัดสินให้ลินเนอาได้เป็นผู้ปกครองชั่วคราวของฮันน่า โดยให้แมทได้รับสิทธิมาเยี่ยมหลาน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของสัมพันธภาพที่ก่อตัวขึ้นระหว่างอาลินนี่กับลุงแมท โดยมีฮันน่าเป็นศูนย์กลาง

สนุกดีค่ะ เนื้อเรื่องอาจไม่มีอะไรตื่นเต้น แต่ก็ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ อ่านเพลินไม่มีเบื่อเลย

นางเอกทำงานเป็นบรรณารักษ์และรับจ๊อบดูแลสัตว์เลี้ยงไปด้วย ซึ่งเธอมีปัญหาขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะแม่รักแต่พี่ชาย แต่พอมีปัญหาเกิดขึ้น นางเอกของเราก็ลุกขึ้นมาปกป้องหลานเต็มตัว แต่เธอก็มีเหตุผลและไม่ได้กีดกันแมท ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นธรรมชาติดีค่ะ ส่วนความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นระหว่างพระ-นาง ที่จริงเป็นเรื่องคำพูดนิดเดียวเอง แต่ก็เข้าใจได้ค่ะ นิยายก็ต้องมีจุดพลิกผันเพราะเรื่องไม่เข้าใจกันแบบนี้แหละ ถึงจะสนุก พระเอกก็โอเคเลย เด็ดขาด มั่นใจในตัวเอง แต่ก็เป็นคนดีมาก ไม่มีพฤติการณ์ระรานนางเอกแบบไม่มีเหตุผลเลย สรุปว่าชอบค่ะ ไม่ผิดหวัง